กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-03-2023, 18:43
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,524
ได้ให้อนุโมทนา: 215,913
ได้รับอนุโมทนา 736,867 ครั้ง ใน 35,896 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-03-2023, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันอบรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้กับเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ วันที่สาม

ในงานนี้ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีวิสุทธิวงศ์, ดร. (สุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ.๙) ประธานคณะวิปัสสนาจารย์ได้ปรารภว่า เป็นงานอบรมที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยพบมา เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดทั้ง ๑๑๒ แห่งที่มานั้น ลงปฏิบัติธรรมโดยพร้อมเพรียงกันทุกรอบ

คณะสงฆ์ภาค ๑๔ มีสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ๑๒๐ แห่ง แต่ว่ามาปฏิบัติธรรมแค่ ๑๑๒ แห่ง เหตุก็เพราะว่ามีเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมบางแห่งชราภาพ เจ็บป่วย และได้รับอุบัติเหตุ ส่งใบลาโดยตรงต่อพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ แล้ว

ส่วนในเรื่องที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์สุวิทย์ได้ปรารภนั้น เกิดจากการที่กระผม/อาตมภาพใช้วิธีที่บอกกับคนอื่นว่า "เรียกแขก" ซึ่งวิธีการนี้ กระผม/อาตมภาพใช้มาตั้งแต่สมัยการปฏิบัติกรรมฐานประจำปีของบรรดานิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี หรือวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ ซึ่งบรรดานิสิตได้เรียกร้องว่า "เอาท่านอาจารย์พระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. เท่านั้น คนอื่นไม่เอา..!"

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะวิธี
"เรียกแขก" แบบนี้แหละ คำว่า "เรียกแขก" ในที่นี้ก็คือการปฏิบัติธรรมในช่วงตี ๔ กระผม/อาตมภาพจะลงไปเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง ถ้าหากว่าช่วงประมาณ ๘ โมงครึ่งก็จะลงตั้งแต่ ๘ โมง ถ้าหากว่าช่วง ๖ โมงเย็น ก็จะลงไปตั้งแต่ ๕ โมงครึ่ง เป็นต้น

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เล่า มีทั้งประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม ประสบการณ์ในการธุดงค์ พระพุทธศาสนาในประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาต่าง ๆ ในวงการสงฆ์ซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันและควรจะมีการแก้ไขอย่างไร หรือว่าตอบปัญหาในการปฏิบัติธรรม เป็นต้น

วิธีการเหล่านี้นั้น กระผม/อาตมภาพจะไม่ใช้วิธีเรียกให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าปฏิบัติตรงเวลา แต่จะบอกกล่าวในเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์แบบนี้ด้วยการเล่าไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเล่าไปเรื่อย ถึงเวลาผู้ฟังเห็นว่าน่าสนใจ ก็จะลงมาฟังมากขึ้น..มากขึ้น แล้วบอกต่อ ๆ กันไป

ท้ายที่สุดทุกคนก็จะมารวมกันโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งวิธีการทั้งหลายเหล่านี้ ใครจะเอาไปใช้ กระผม/อาตมภาพก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องมีประสบการณ์มากสักหน่อย จะได้สามารถเล่าเรื่องต่อเนื่องได้วันละ ๔ เวลา เป็นระยะเวลา ๗ วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง ไม่เช่นนั้นถ้าหากว่าเป็นเรื่องซ้ำ ๆ ซาก ๆ เขาก็จะหมดความสนใจ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2023 เมื่อ 00:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 11-03-2023, 00:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อทุกคนลงมาพร้อมเพรียงกันแล้ว การปฏิบัติธรรมช่วงตี ๔ นั้น กระผม/อาตมภาพจะเป็นผู้นำเอง พระภิกษุสามเณร ตลอดจนแม่ชีและฆราวาสที่เคยปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนก็จะทราบดีว่า กระผม/อาตมภาพจะนำปฏิบัติแบบไหน ซึ่งการนำปฏิบัติในลักษณะนั้น จะทำให้ทุกคนจิตใจสงบเร็วมาก เมื่อจิตใจทรงตัว ตั้งมั่น สงบเยือกเย็นแล้ว การปฏิบัติธรรมช่วงต่อไปทั้งวันก็จะไม่มีการต่อต้าน เหตุเพราะว่าในเมื่อใจสงบ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด แรงกระทบไม่มี ส่วนเวลาอื่น ๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายไปแล้ว

เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะต้องไม่ลืมว่าการนำปฏิบัติธรรมของท่านนั้น ต้องประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญสองประการ ประการแรกก็คือ สามารถดึงความสนใจของเขาทั้งหลายเหล่านั้นให้คล้อยตามแนวการปฏิบัติของเราได้ ประการที่สองก็คือ ความสามารถในการนำปฏิบัติของท่านต้องมีอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกเอาไว้ตั้งแต่สมัยกระผม/อาตมภาพยังเป็นฆราวาสนำในการสอนมโนมยิทธิว่า ครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้ว่าลูกศิษย์กำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะนำเขาได้ตรงกับความต้องการได้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเลียนแบบและทำตาม ก็ต้องซักซ้อมกำลังใจของตน การซักซ้อมกำลังใจของตนนั้น ก็คือการซักซ้อมในเจโตปริยญาณ

เจโตปริยญาณคือการรู้ใจนั้น การรู้ใจคนอื่นมีแต่เสมอตัวและขาดทุน คำว่าเสมอตัวก็คือ เราสามารถรู้ใจเขาแล้วรักษาอารมณ์ของตนเองได้ แต่ถ้าขาดทุนก็คือ ถ้ารู้ใจว่าเขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีกับเรา แล้วเราไปโกรธไปเกลียดเขา ก็จะเป็นการขาดทุน

ดังนั้น..ในเรื่องของการใช้เจโตปริยญาณนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ใจตัวเอง เราต้องดูว่ากำลังใจของเราตอนนี้มีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มีก็สร้างความดีนั้นขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ตอนนี้กำลังใจของเรามีความชั่วอยู่หรือไม่ ? ถ้าหากว่ามีอยู่ ก็เร่งรีบขับไล่ออกไปจากใจ แล้วก็ระมัดระวังไว้ อย่าให้ความชั่วทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามาอีก

ถ้าท่านทั้งหลายซักซ้อมกระทำในลักษณะอย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะมีความเคยชินกับการรู้ใจตนเอง ถ้าท่านสามารถรู้ใจตนเองได้ในขอบเขตระดับไหน ท่านก็จะสามารถรู้ใจคนอื่นได้ในขอบเขตระดับนั้น แม้กระทั่งบุคคลที่อยู่ในระดับสูงกว่า ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เจตนาปิด ท่านที่มีเจโตปริยญาณคล่องตัวก็สามารถที่จะรู้ได้เช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2023 เมื่อ 00:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 11-03-2023, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเข็ดมาตั้งแต่สมัยที่ "พระองค์ที่ ๑๐" ซึ่งไปยังวัดท่าซุงแล้ว ท่านปิดจนกระทั่งกระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้นอกจากความมืดสนิท ซึ่งถ้าหากว่าการใช้เจโตปริยญาณดูใจคนอื่นแล้วเห็นในลักษณะนั้น แปลว่ากำลังใจของบุคคลนั้นย่ำแย่มาก..!

กระผม/อาตมภาพจึงได้ฟันธงว่า
"พระองค์ที่ ๑๐" ท่านหาความดีไม่ได้ จนกระทั่งภายหลังพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านชมว่า "โง่ดีมาก..!" เนื่องเพราะว่าการใช้เจโตปริยญาณนั้น เราจะรู้ได้ในระดับที่เท่ากันและต่ำกว่าเท่านั้น ระดับที่สูงกว่า ถ้าเขาเจตนาปิด เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย หรือว่าอาจจะรู้ผิดพลาดอย่างที่กระผม/อาตมภาพเป็นมา

อีกท่านหนึ่งซึ่งต้องขออภัย ขอกล่าวถึง ณ ที่นี้ หวังว่าลูกหลานหรือว่าลูกศิษย์ของท่านจะให้อภัย ก็คือท่านอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ซึ่งเป็นผู้ออกหนังสือมหาจักรและคนค้นโลกยุคแรก ท่านอาจารย์ปถัมภ์นั้นได้เจโตปริยญาณคล่องตัวมาก ท่านมาสายพุทธภูมิเต็มตัว ถึงขนาดสามารถที่จะบัญญัติกองกรรมฐานของตนเองขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่พ้นไปจากกสิณของพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นกสิณมหาจักร ก็คือบริกรรมว่า "จักรเข้า..จักรเข้า..จักรเข้า" จนกระทั่งสามารถกำหนดรูปกงจักรให้ใหญ่ให้เล็กได้อย่างใจ

ท่านอาจารย์ปถัมภ์นั้นพบเห็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงครั้งแรก ไปคุยกับผู้คนแทบจะทั่วไปหมดว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้นกำลังใจสะอาด สว่างจนหาประมาณมิได้ เป็นพระสุปฏิปันโนที่ควรค่าแก่การกราบไหว้และเคารพนับถืออย่างยิ่ง แต่ว่าเมื่อไปอีกครั้งหนึ่งนั้น พบว่าหลวงพ่อกำลังดุด่าลูกศิษย์ที่ทำการทำงานผิดพลาดอยู่พอดี ท่านก็ตั้งใจกำหนดใจดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านรู้ทันเลยปิดกำลังใจเสีย ท่านอาจารย์ปถัมภ์ไม่สามารถที่จะดูได้ จึงพิจารณาแล้วฟันธงจากเปลือกนอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น อย่างเก่งก็เป็นไม่เกินระดับสกทาคามี เพราะว่ายังมีอารมณ์โกรธ ด่าคนอื่นเขาอยู่..!

ความจริงถ้าท่านที่เป็นพระสกทาคามีอย่างแท้จริงจะรู้ว่า กำลังใจของพระสกาทาคามีนั้นมีแค่แรงกระทบนิดหน่อยเท่านั้น ต่อให้รู้สึกโกรธก็เนิ่นนานหลังจากที่ได้รับการกระทบแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ..นั่นเขาทำไม่ดีกับเรา แล้วกำลังที่สูงกว่าของพระสกาทาคามีก็กดความไม่พอใจนั้นจมหายไป แต่ท่านอาจารย์ปถัมภ์ไปโดนในลักษณะที่
"พระองค์ที่ ๑๐" บอกกล่าวกับกระผม/อาตมภาพว่า "แว่นแตก" ก็คือทิพจักขุญาณไม่สามารถจะใช้ให้ได้ผลได้ตามปกติ ดังนั้น..จึงได้ "ฟันธง" ในลักษณะนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2023 เมื่อ 00:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 11-03-2023, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเล่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ เพื่อที่จะได้เป็นเนติ คือแบบอย่างแก่บุคคลที่มีความสามารถทางด้านทิพจักขุญาณ โดยเฉพาะเจโตปริยญาณว่า ท่านจะสามารถรู้ใจคนอื่นได้เฉพาะที่เท่ากันหรือต่ำกว่าเท่านั้น ถ้าท่านที่สูงกว่าตั้งใจปิด เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ดังที่ท่านอาจารย์ปถัมภ์โดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านปิด หรือว่าดังที่กระผม/อาตมภาพโดน "พระองค์ที่ ๑๐" ท่านปิด จนเกิดอาการ "แว่นแตก" มาแล้ว

ท่านที่ตั้งใจจะเลียนแบบ โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่จะสอนกรรมฐาน จึงควรที่จะฝึกดูใจของตนเองให้มีความคล่องแคล่วว่องไว สามารถรู้ทันได้ทุกเวลาว่ากิเลสกินใจเราหรือไม่ ? เราขับไล่กิเลสออกจากใจได้ทันหรือไม่ ? เรามีความดีอยู่ในใจหรือไม่ ? เราสามารถเสริมสร้างความดีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือไม่ ?

ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้ ต่อให้ท่านไม่ต้องการรู้ใจคนอื่น ถึงเวลาถ้าเขาอยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่า เราก็จะรู้ได้โดยอัตโนมัติเอง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2023 เมื่อ 00:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว