กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-03-2022, 07:17
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,275
ได้รับอนุโมทนา 739,968 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-03-2022, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานนี้ก็ได้ลุ้นการประกาศผลสอบบาลีกัน ซึ่งวัดท่าขนุนก็ได้มีมหาเปรียญเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ รูป ก็คือพระมหาชลธี ธมฺมวโร ส่วนอีก ๒ รูปที่เข้าสอบนั้น พระมหาเอกชัย สุทฺธิธมฺโม สอบตก ส่วนพระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ติดซ่อมวิชาแปลมคธเป็นไทย

ในช่วงของการประกาศผลบาลีก่อนสอบนั้น ได้มีการประกาศว่าจะไม่ติดรายชื่อทั้งที่วัดปากน้ำและวัดสามพระยา เพราะว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังรุนแรงอยู่ มีการประกาศผลออนไลน์แทน ซึ่งมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น

แล้วก็เป็นไปตามที่คาดหมายก็คือ ทางด้านสำนักเรียนวัดโมลีโลกยารามของท่านเจ้าคุณสุทัศน์ (พระธรรมราชานุวัตร, สุทัศน์ วรทสฺสี ป.ธ.๙ ,ดร.) กวาดประโยคบาลีระดับชั้นต่าง ๆ ไปแบบถล่มทลายเช่นเคย ต้องบอกว่าหลังจากที่ท่านเจ้าคุณสุทัศน์ได้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่สำนักบาลีวัดโมลีโลกยารามแล้ว ก็ได้ปรับปรุงจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วในที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเกิดจากการทุ่มเทจนกระทั่งประสบความสำเร็จ ความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ถ้าว่ากันตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ความสำเร็จนั้นจะต้องประกอบด้วยอิทธิบาททั้ง ๔ ก็คือ

๑) ฉันทะ มีความยินดีและพอใจที่จะกระทำสิ่งนั้น ๆ
๒) วิริยะ เมื่อยินดีและพอใจแล้วก็พากเพียรพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมก็คือทุ่มเทกันชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก
๓) จิตตะ มีกำลังใจปักมั่นต่อเป้าหมาย จดจ่อ ไม่เคลื่อนคลาย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน จนกว่าจะบรรลุตามเป้าประสงค์ที่ตั้งเอาไว้

ข้อสุดท้าย ยิ่งสำคัญที่สุด ๔) วิมังสา ต้องมีการไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราตั้งใจจะทำอะไร ? ปัจจุบันนี้ทำไปแล้วเท่าไร ? ยังเหลืออีกมากน้อยแค่ไหนกว่าที่จะถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ ? และยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-03-2022, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดาบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้นำเอาหลักของทฤษฎีฝรั่งมาเป็นการสรุปและประเมินผล ซึ่งความจริงแล้วก็คือหลักวิมังสาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนพวกเรามา ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ตรงจุดนี้จะทำให้เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าทฤษฎีต่าง ๆ ของฝรั่งจะวิเศษเลิศลอยแค่ไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่พ้นไปจากความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

โดยเฉพาะหลักธรรมของพระองค์ท่านนั้น รู้แท้ รู้จริง ไม่สามารถที่จะคัดค้านได้ ประกอบไปด้วยอกาลิโก คือไม่จำกัดด้วยเวลา ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหนสมัยไหนก็ตาม ถ้าหากว่ารู้หลักธรรมแล้วตั้งใจน้อมนำไปปฏิบัติ ก็สามารถเข้าถึงได้ตามที่ตนเองต้องการ

มีการท้าทายให้ผู้อื่นเข้ามาพิสูจน์ ตามที่บาลีกล่าวไว้ว่า เอหิปัสสิโก ก็คือ ถ้าหากว่าต้องการผลจริง ๆ ต้องเข้ามาทำด้วยตนเอง ไม่มีใครที่จะสามารถบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จได้ นอกจากพากเพียรพยายามกระทำเอาด้วยตนเอง

ในส่วนนี้นั้นศาสนาพุทธของเราต่างจากศาสนาอื่น ๆ เพราะว่าศาสนาอื่น ๆ ส่วนมากแล้วเป็นศาสนาเทวนิยม มีการร้องขอต่อเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อให้ดลบันดาลให้เป็นไปตามความต้องการของตน แต่สำหรับศาสนาพุทธนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนในเรื่องของเทวตานุสติ ก็คือคนเรามีศักยภาพที่จะเป็นเทวดา นางฟ้า หรือว่าพรหมได้ด้วยตนเอง

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติในศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีการละอายต่อความชั่ว ไม่กล้ากระทำความชั่ว มีความเกรงกลัวต่อผลของบาปที่จะส่งผลให้ แล้วละเว้นจากความชั่วทั้งหลาย ท่านก็สามารถเกิดเป็นเทวดาหรือว่านางฟ้าได้ ตามลำดับความดีที่ท่านเข้าถึง

นอกจากมีศีลบริสุทธิ์ มีความละอายชั่วกลัวบาปแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายยังกระทำความดีจนเคยชิน คำว่า เคยชิน ก็คือสามารถทรงความดีเอาไว้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ หรือว่าสามารถทรงสมาธิสมาบัติในระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่ปฐมฌานหยาบขึ้นไปจนถึงฌาน ๔ ละเอียด ท่านก็สามารถเกิดเป็นรูปพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-03-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังสอนให้เกินไปกว่านั้น ก็คือนอกจากเทวตานุสติ การที่เราสามารถเป็นเทวดานางฟ้าในระดับปกติ สามารถเป็นโลกียพรหม หรือว่ารูปพรหมแล้ว พระองค์ท่านยังสอนให้เข้าถึงสมาบัติ ๘ ก็คือเปลี่ยนจากกสิณกองใดกองหนึ่งที่ทรงได้ถึงระดับฌาน ๔ ไปเป็นอรูปฌาน ก็คือเพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็จับความว่างไม่มีอะไรของอากาศ ก็จะสามารถเข้าถึงสมาธิอย่างเต็มที่ในระดับเดียวกับฌาน ๔ แต่ว่ายึดเอาความว่างของอากาศเป็นอารมณ์ ท่านจะเข้าถึงอรูปพรหมชั้นแรกก็คืออากาสานัญจายตนฌาน

ถ้าหากว่าท่านกระทำต่อไปอีก ด้วยการพินิจพิจารณาว่า คำว่าอากาศนั้น ก็ยังมีขอบเขตที่ยึดถืออยู่ เพราะว่าสภาพจิตของเราเป็นผู้กำหนดซึ่งขอบเขตนั้น ก็ไปกำหนดเอาผู้ยึดถือก็คือวิญญาณความรู้สึกนั้นแทน เพิกภาพเสีย แล้วจับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณแทน เมื่อสามารถทรงกำลังได้เต็มที่ถึงระดับเดียวกับฌาน ๔ ท่านก็จะได้อรูปฌานที่ ๒ ก็คือวิญญานัญจายตนฌาน
ท่านก็จะสามารถเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๒ ก็คือวิญญาณัญจายตนพรหม

ถ้าหากว่าท่านกระทำต่อไปอีกโดยที่ไม่ท้อถอย พิจารณาเห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ ล้วนแต่เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าสามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้เอาไว้ จนกระทั่งทรงกำลังใจเต็มที่ได้เท่ากับฌาน ๔ ท่านก็จะเข้าถึงอรูปฌานที่ ๓ คืออากิญจัญญายตนฌาน
ท่านก็จะสามารถเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๒ ก็คือ อากิญจัญญายตนพรหม

เมื่อท่านเข้าถึงอรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เรียกง่าย ๆ ว่าสมาบัติที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ แล้วท่านนำเอาผลนั้นมาใช้ ก็คือเมื่อตัวเรารู้สึกว่าหิว ก็ทำเป็นเหมือนไม่หิว รู้สึกว่ากระหาย ก็ทำเป็นเหมือนไม่กระหาย รู้สึกว่าร้อน ก็ทำเป็นเหมือนกับไม่ร้อน รู้สึกว่าหนาว ก็ทำเป็นเหมือนกับไม่หนาว เป็นต้น

ถ้าหากว่าท่านสามารถรักษาความรู้สึกเช่นนี้เอาไว้ จนทรงสมาธิในระดับฌาน ๔ ได้ ท่านก็จะเข้าถึงอรูปฌานที่ ๔ เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็จะเกิดเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-03-2022, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่คือการสอนในระดับของเทวตานุสติ ที่ยังอยู่ในขอบเขตที่จับได้ต้องได้ ด้วยกำลังของปุถุชนทั่ว ๆ ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนเราให้ก้าวพ้นจากระดับปุถุชนไปอีก

ก็คือถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริบูรณ์ เป็นผู้ที่ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญา เห็นว่าตัวเราจะต้องตายอยู่เสมอ เมื่อเราจะต้องตาย ก็ควรที่จะหาสุคติเป็นที่ไป ซึ่งสุคติทั้งหลายนั้นอาจจะกลับมาทุกข์ได้อีก นอกจากพระนิพพาน ก็เอากำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานไว้

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำได้ทรงตัวมั่นคง จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ไม่มีความหนักใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าอารมณ์ทรงตัวจริง ๆ ท่านก็จะเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า คือความเป็นพระโสดาบัน

ถ้าท่านทั้งหลายรักษาอารมณ์ทั้งหลายนี้ไว้แล้ว สามารถขยายศีล ๕ ออกไปเป็นการรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ โดยที่ไม่มีความหนักใจเลย ท่านก็จะเลื่อนชั้น เป็นพระอริยเจ้าในระดับพระสกทาคามี

เมื่อสามารถรักษาคุณสมบัติเหล่านี้เอาไว้ได้แล้ว ยังทรงศีล ๘ โดยอัตโนมัติ ตัดความรัก คืออารมณ์โลภและอารมณ์ราคะออกไปได้ ตัดความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาทต่าง ๆ ลงไปได้ ท่านทั้งหลายก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าในระดับพระอนาคามี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 25-03-2022, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าหากว่าสามารถยอมรับกฎของกรรมอย่างแท้จริง ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ ปล่อยวางภาระทั้งปวงลงได้ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วแล้ว แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ได้เกาะ ท่านทั้งหลายก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

เราจะเห็นว่าในเรื่องการศึกษานั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา สอนไว้ครบถ้วนทั้งทางโลกทางธรรม สอนไว้ทั้งปริยัติและปฏิบัติ เมื่อท่านทั้งหลายเรียนรู้ในปริยัติธรรม สามารถนำมาปฏิบัติจนเกิดผล แล้วเสวยผลแห่งการปฏิบัติของท่านได้ ก็เรียกว่าเข้าสู่ปฏิเวธธรรมได้อย่างแท้จริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราจึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพ โดยไม่ต้องบีบบังคับให้ใครเคารพ เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การบูชา โดยที่ไม่ต้องบังคับให้ใครบูชา ท่านทั้งหลายจะเกิดอาการยึดมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย อย่างชนิดที่เรียกว่า ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี สามารถสละชีวิตเพื่อพระรัตนตรัยได้ สามารถสละชีวิตเพื่อปกป้องพระธรรมได้ สามารถสละชีวิตเพื่อปกป้องสถาบันสงฆ์ได้

ถ้าท่านทั้งหลายกระทำกำลังใจมาถึงระดับนี้ได้ ก็ได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ศึกษาในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนปรากฏผลแก่ตนอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว