#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ญาติโยมหลายท่านกำลังใจตกจากเรื่องของทิดคม หรือว่าอดีตท่านเจ้าคุณคม วัดป่าธรรมคีรี ซึ่งความจริงแล้ว จะว่าไปก็คือญาติโยมเหล่านั้นตั้งกำลังใจไว้ผิด คือ การส่งใจออกนอก ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น ล้วนแล้วแต่พาให้เราทุกข์ทั้งสิ้น แต่ก็มักจะทำกันเป็นปกติ เพราะว่าไม่เคยชินกับการรักษากำลังใจของตนเอง ดังนั้น..หลายท่านจึงมีอาการเหมือนกันคนอกหัก รู้สึกว่าโดนบุคคลที่ตนเองเคารพรักและไว้ใจทรยศ..!
ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกแบบนั้น กระผม/อาตมภาพอยากจะยกตัวอย่างบุคคลที่อเนจอนาถกว่านั้นหลายเท่า ก็คือคุณน้าของกระผม/อาตมภาพเอง คุณน้าตอนแรกให้ความเคารพท่านอาจารย์นิกรมาก เชียงรายไกลแค่ไหนก็ต้องตะเกียกตะกายไปร่วมงานให้ได้ ถ้าหากว่าท่านอาจารย์นิกรมากรุงเทพฯ หรือว่าปริมณฑล ก็ต้องไปกราบทุกครั้ง แล้วก็เกิดปัญหา ท่านอาจารย์นิกรโดนจับ ต้องสึกหาลาเพศไป..! คุณน้าของกระผม/อาตมภาพก็ต้องทำใจอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมาเกาะท่านอาจารย์ยันตระ วัดป่าสุญญตารามแทน ก็ทำแบบเดิม ก็คือไม่ว่าวัดจะมีกิจกรรมที่ไหนก็ไปร่วมงาน ไม่ว่าท่านอาจารย์ยันตระจะพาบริวารไปไหนก็ติดตามไปด้วย แล้วท่านอาจารย์ยันตระก็มีปัญหา ถึงขนาดต้องหลบหนีไปต่างประเทศ คุณน้าก็แทบจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย..! แล้วท้ายที่สุดเพื่อนฝูงก็ชวนไปหาหลวงพ่อภาวนาพุทโธ คุณน้าแกเป็นคนรักใครรักจริง แกก็ทุ่มสุดตัวเหมือนเดิม ก็คือวัดสามพรานมีงานเมื่อไร ก็ไปช่วย ทั้งทำบุญทั้งออกโรงทาน หลวงพ่อภาวนาพุทโธพาลูกศิษย์ไปไหนก็รีบจองรถตามไป แล้วในที่สุด หลวงพ่อภาวนาพุทโธก็โดนตำรวจจับเข้าคุก ดังนั้น..ถ้าหากว่าทุกท่านคิดว่าตนเองเหมือนกับคนอกหัก ให้ดูโยมน้าของกระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่าง ว่านั่นไม่ใช่อกหักธรรมดา แต่เป็นอกหักซ้ำสอง ซ้ำสามกันเลยทีเดียว เรื่องพวกนี้ถ้าจะว่าไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของแต่ละคนที่ทำมา บุคคลที่สร้างบุญไว้ดีก็ย่อมได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี บุคคลที่สร้างบุญไว้ไม่ดี และกำลังใจไม่มั่นคง ก็มักจะถือมงคลตื่นข่าว เขาว่าที่ไหนดีก็เฮตามเขาไป ถ้าลักษณะอย่างนี้ โอกาสที่จะพลาดมีสูงมาก เพราะว่าเราไม่ได้ไปหาครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ได้ไปหาเพราะอยากได้หลักธรรม แต่ไปหาเพราะเฮตามเพื่อนฝูงไป ว่าครูบาอาจารย์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีคนไปหามาก อยากที่จะมีส่วนร่วมด้วย ก็เลยเกิดปัญหาอย่างนั้นขึ้นมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2023 เมื่อ 01:25 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความจริงแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ก็คือเมื่อเราได้หลักธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งอันเป็นที่ชอบใจแล้ว ก็ให้เร่งปฏิบัติให้เกิดผลให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงแก่ตัวเองให้มากที่สุด เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นมา กำลังใจจะได้ไม่หวั่นไหว ไม่ถดถอย ไม่จิตตก ไม่อกหัก อย่างที่เห็นกันอยู่
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่มีแค่นี้เท่านั้น ยังคงจะมีมากขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ เหตุเพราะว่าของเราต้องถือว่าอยู่ในช่วงปลายศาสนาแล้ว โอกาสที่จะได้พบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริงนั้นเป็นของยาก จึงต้องเป็นบุคคลที่ระมัดระวังและมีปัญญาประกอบเสมอ ไม่ใช่ถึงเวลาเขาชักชวนไปทางไหน ก็เฮตามกันไป อย่างปัจจุบันนี้ก็มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ทางจังหวัดสุพรรณบุรี บอกว่าใกล้จะมรณภาพแล้ว ลูกศิษย์คนไหนที่ต้องการพบ ให้รีบไปหา เป็นต้น ถ้าหากว่าเรายึดตัวบุคคลก็ต้องตะเกียกตะกายไปหา เพราะเกรงว่าหลักยึดของตัวเองจะสูญหายไป แต่ถ้าเรายึดหลักธรรม ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัด ไม่จำเป็นต้องไปหาครูบาอาจารย์ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา สร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังใจของเราให้มากที่สุด ยกเว้นขั้นตอนในการปฏิบัติบางอย่างที่ไม่สามารถจะหาจากตำราได้ ค่อยไปสอบถามจากครูบาอาจารย์ กระผม/อาตมภาพเองติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ชีวิตฆราวาส ๑๑ ปี เป็นพระอีก ๗ พรรษา ระยะเวลา ๑๘ ปีที่อยู่กับท่านมาเคยถามปัญหาแค่ ๔ ครั้งเท่านั้น เพราะว่าเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านของกำลังใจ ทำให้ไม่แน่ใจว่าตำราเขียนไว้ถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องสอบถามจากครูบาอาจารย์ให้ชัดเจน ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพ ปัจจุบันนี้เป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาติดตามอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง มีโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์ชั้นยอดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็คงจะมีอะไรสอบถามมากมาย ขออภัย..ท่านทั้งหลายเข้าใจผิดแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2023 เมื่อ 01:27 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ปัญหาทุกอย่างจะมีคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทุ่มเททำกันจริง ๆ ชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก แล้วก็จะชัดเจนเองว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นหมายถึงอะไร ยกเว้นขั้นตอนอย่างที่ได้ว่ากล่าวเอาไว้ เราค่อยไปกราบเรียนถามสอบถามจากท่าน นอกจากไม่เป็นการรบกวนครูบาอาจารย์แล้ว ยังทำให้เรายึดหลักธรรมแทนตัวบุคคลด้วย
ตัวบุคคลนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสามัญลักษณะ ก็คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น..ถ้าเรายึดตัวบุคคล โอกาสที่เราจะได้ดีมีน้อยมาก เพราะว่าเรายึดผิดที่ แต่ถ้าเรายึดหลักธรรมเป็นใหญ่ เราจะมีหลักยึดที่มั่นคงอย่างแท้จริง ขอเพียงให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำจริงเท่านั้น เพียงแต่ว่าให้ทำแบบบุคคลที่มีปัญญาประกอบ ไม่ใช่ทำเพราะแรงชักชวน โฆษณาของคนใดคนหนึ่ง ในชีวิตของกระผม/อาตมภาพเจอคนจำนวนมากที่มีเจโตปริยญาณ โดยเฉพาะสองท่าน ก็คือพุทธอิสระกับทิดคม หรืออดีตเจ้าคุณคมที่สึกไป ในระหว่างที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ท่านจะสามารถรู้เท่าทันอารมณ์จิตของบุคคลที่ต่ำกว่าหรือเสมอกันได้ จึงทำให้ท่านสามารถพูดดักใจของเราได้จนกลายเป็นอัศจรรย์ แล้วทำให้คนเชื่อถือ เลื่อมใส ทุ่มเททำบุญอย่างชนิดขาดปัญญาประกอบ กลายเป็นอธิโมกขศรัทธา เมื่อถึงเวลากำลังของท่านลดถอยลง วิชาเสื่อมขึ้นมา ก็จะเกิดอาการอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็น ก็คือกิเลสตีกลับ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมทับตัวเอง กลายเป็นว่าตัวเองก็ยังสั่งสอนตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เคยพูดเคยบอกเอาไว้ บางอย่างก็เหมือนกับด่าตัวเองชัด ๆ แต่เราก็ไม่ตำหนิกัน เพียงแต่อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต ระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน รู้ใจคนอื่น และท้ายที่สุด รู้วิธีทำกิเลสให้สิ้นไป ถ้าตราบใดยังไม่สามารถทำกิเลสให้สิ้นไปได้ วิชาทั้งหลายเหล่านั้นมีโอกาสเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรของเรา ต้องรีบปลีกตัวออกจากหมู่ ให้เวลาตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่จะประคับประคองปรับปรุงกำลังใจของเราให้ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้หมดกิเลส ยิ่งสามารถขัดเกลาตนเองให้กิเลสเบาบางได้เท่าไร ความปลอดภัยก็จะมีสูงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าพลาดให้กิเลสตีกลับเมื่อไร ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพกล่าวมาในข้างต้น ก็จะเป็นตัวอย่างที่เราท่านทั้งหลายได้เห็นอยู่กับตา สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2023 เมื่อ 01:29 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|