#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพไปยุ่งอยู่กับเรื่องการอบรมพระอุปัชฌาย์ทั้งที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) และวัดสามพระยา วรวิหาร หลายวัน ความย่อหย่อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวัดก็มากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเรื่องหน้าที่ของพวกเรา ก็คือการทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ การบิณฑบาต เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก็ขาด ตามใจตัวเอง เพราะว่ามีเงินจ่ายค่าปรับ..! ทำแบบนั้นเท่ากับว่าเรากำลังจะทำให้ตัวเองหลุดจากผ้ากาสาวพัสตร์ไปโดยใช่เหตุ..!
การทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ คือการสร้างสมาธิเพื่อสู้กับกิเลส เนื่องเพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ นั้น อาศัยศีลอย่างเดียวก็ป้องกันได้แค่ระดับหยาบเท่านั้น ระดับกลางต้องอาศัยสมาธิเป็นเครื่องช่วยอย่างมาก จนกระทั่งถึงระดับละเอียด จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ คราวนี้เราไปทิ้งเครื่องมือในการสู้กิเลส โดยหวังความสบายเป็นที่ตั้ง ก็เท่ากับหาที่ตาย..! เพราะว่าการที่ต้องสึกหาลาเพศไป ก็คือตายจากความเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องของการตามใจปากตัวเองด้วยการสั่งอาหารมาฉัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขี้เกียจบิณฑบาต หรือว่าตามใจปากอยากจะฉันของแบบนั้น ขอให้รู้ว่าท่านทำลายทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาของตนเองไม่เหลืออะไรเลย เนื่องเพราะว่าอันดับแรกเลย ฝืนคำของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ ท่านทั้งหลายบวชเข้ามา พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกชัดเจนแล้ว ปิณฑิยาโลปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตคือการเที่ยวบิณฑบาต ส่วนคุณงามความดีของการเที่ยวบิณฑบาตนั้นมีมากจนพูดไม่หมด กระผม/อาตมภาพจะไม่กล่าวถึงตรงจุดนั้น กล่าวถึงแค่ว่าเราละเมิดคำสอนของครูบาอาจารย์ที่บอกเราตั้งแต่วันแรกที่บวช โดยเฉพาะการตามใจปากตัวเองคือการละเมิดศีล ทำไมกระผม/อาตมภาพถึงกล่าวอย่างนั้น ? เนื่องเพราะว่าการหักห้ามปากของตนเองไม่ให้กิน ไม่ให้ฉันในสิ่งที่ชอบ กับการหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ใช้กำลังใจเหมือนกัน เท่ากัน ดังนั้น..ใครที่ยังตามใจปากตัวเอง รับประกันได้ว่าศีลของท่านบกพร่องอย่างแน่นอน มีโอกาสเมื่อไรพลาดเมื่อนั้น เพราะว่าแค่ห้ามปากยังห้ามไม่ได้ แล้วจะไปห้ามกาย ห้ามวาจา ในเรื่องของศีลยิ่งเป็นเรื่องยาก ก็แปลว่าเรามีแต่สร้างความเสียหายให้กับตนเอง โดยที่หวังเอาความสบายเข้าว่า ไม่ต้องไปกล่าวถึงประโยชน์ว่าการบิณฑบาตนั้นก่อประโยชน์ให้กับตนเองและญาติโยมอย่างไรบ้าง เอาแค่ว่าในสิ่งที่เราไม่ทำ ก็คือการที่เราละเมิดคำสั่งครูบาอาจารย์ ซึ่งคนประเภทนี้เอาดีไม่ได้แน่นอน จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะสังวรระวังเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ว่านึกจะทำอะไรก็ทำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2025 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพเองกับพรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องแค่ไม่กี่คน สมัยก่อนแบกระเบียบวัดเอาไว้จนหลังแอ่น สิ่งใดที่ครูบาอาจารย์สั่งคือสิ่งที่ต้องทำตลอดชีวิต โดยเฉพาะท่านบอกว่า "หมาของข้าสั่งครั้งเดียว มันทำตลอดชีวิต ถ้าข้าสั่งแล้วพวกแกทำตลอดชีวิตไม่ได้ก็เลวยิ่งกว่าหมา..!" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่รู้จักกำหนดจดจำ ทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน ทำตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ ท้ายสุดก็ออกมาเป็นหลักให้แก่ญาติโยมเขาได้ ส่วนที่เหลือนั้นเอาตัวไม่รอดอย่างที่เห็น..!
โดยเฉพาะโลกยุคปัจจุบัน สิ่งยั่วยุเราให้หลุดจากศีลมีมาก เราไม่รู้จักสร้างกำลังเพื่อที่จะหักห้ามตนเอง ก็แปลว่าเราพร้อมที่จะตาย ไม่ต้องไปหวังเลยว่าบวชมาแล้วจะเอาดีได้ ก็ในเมื่อเรื่องหยาบ ๆ ที่เป็นแค่ระเบียบวินัย หรือว่าสิ่งที่จำเป็นที่ต้องปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร เรายังทำไม่ได้ แล้วจะไปพูดอะไรถึงเรื่องของมรรคเรื่องของผล ที่เป็นเรื่องละเอียดกว่านั้นจนนับไม่ได้ ดังนั้น..หลายสิ่งหลายอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกพวกเราไปอยู่เสมอ แต่ก็มักจะกลายเป็นคำพูดผ่านหู แทบจะไม่มีใครสนใจนำมาปฏิบัติขัดเกลาตนเองอย่างจริงจังเลย ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ที่เราปฏิญาณตนว่า "ขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ก็ไม่ต้องหวัง เพราะว่าระเบียบวินัยทุกอย่างก็คือการที่นำเราให้เดินตรงทาง ทางนี้ก็คือมรรค ๘ ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำพาสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ย่อลงมาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ระเบียบวินัยทุกอย่างก็คือศีล ความตั้งใจเพียรพยายามรักษาเอาไว้ นั่นก็คือการสร้างสมาธิ เพราะว่าสภาพจิตที่เพียรระมัดระวัง ไม่ให้ตนเองละเมิดระเบียบหรือวินัย ก็คือการสร้างสมาธิโดยตรง แล้วแค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเวลาในการชำระใจของตนเองอย่างเด็ดขาดและจริงจังทุกวัน ดังนั้น..บรรดาผู้ที่เคยพบกระผม/อาตมภาพสมัยบวชอยู่ที่วัดท่าซุงจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน เพราะว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เนื่องจากว่าปฏิบัติทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืนโดยไม่ได้สนใจเวลา คืนหนึ่งนอนเต็มที่ก็ไม่เกิน ๒ ชั่วโมง ที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก แล้วสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายทำคืออะไร ? ตามใจปากตนเอง ละเมิดระเบียบ ละเมิดวินัย ละเมิดคำสั่งครูบาอาจารย์ แล้วหวังว่าตนเองจะได้ดี ก็น่าจะเป็นไปได้อยู่มั้ง ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2025 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ยิ่งอยู่นานไป เรายิ่งต้องเป็นแบบอย่างแก่รุ่นหลัง แล้วถ้าแบบอย่างบิด ๆ เบี้ยว ๆ เสียตั้งแต่แรก จะไปหวังให้รุ่นหลังได้ดีนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องยึดหลักที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คือตรงไปตรงมา ไม่มีหน้าไม่มีหลัง จึงจะสมกับเป็นผู้ที่บวชมาเพื่อละกิเลส
อยากจะเก่ง อยากจะมีความสามารถ แต่ความเพียรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แล้วจะไปสำเร็จอย่างที่ตนเองต้องการนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ กระผม/อาตมภาพเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า ต่อให้ลูกศิษย์เก่งแค่ไหนก็ตาม เมื่อรับการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ อย่างเก่งก็ได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วพอตนเองนำไปถ่ายทอดต่อ ลูกศิษย์ก็รับไปได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของที่เราได้มา ก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อย สามรุ่นผ่านไปก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว วิชาการความรู้ต่าง ๆ แทบจะไม่เหลือหลักเกณฑ์อะไรที่มั่นคงเลย..! ดังนั้น..ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องใช้ความเพียรพยายามเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ครูบาอาจารย์สอนมา เราอยากได้ครบ ๑๐๐ ถ้วนก็ต้องขยัน ใช้ความเพียรไป ๑๕๐ หรือ ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะไปหวังว่ามีความรู้ความสามารถเท่าครูบาอาจารย์ที่เราเคารพเลื่อมใสนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้..! จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะระมัดระวังให้มากกว่านี้ สิ่งที่เราคิด คำที่เราพูด การกระทำของเราทั้งหมดจะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างชัดเจน ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ โอกาสที่จะเอาดีย่อมไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับพวกเราได้เลย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2025 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|