กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-04-2009, 09:34
ตาตั้ม ตาตั้ม is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 19
ได้ให้อนุโมทนา: 53,283
ได้รับอนุโมทนา 23,990 ครั้ง ใน 876 โพสต์
ตาตั้ม is on a distinguished road
Default เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๒

เนื่องจากเดือนนี้ "แอบ" ผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) ไปกราบทำบุญกับหลวงพี่เล็กที่บ้านอนุสาวรีย์มาครับ แต่เนื่องจากเป็นการแอบไปก็เลยต้องรีบกลับ ทำให้ไม่ได้รับฟังธรรมะและเกร็ดต่าง ๆ ที่หลวงพี่ท่านเมตตาสั่งสอนครับ

ดังนั้นรบกวนพี่ ๆ น้อง ๆ ท่านอื่นเมตตานำ "เก็บตก" ต่าง ๆ จากบ้านอนุสาวรีย์มาเผยแผ่เป็นธรรมทานด้วยครับ

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-09-2009 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตาตั้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-04-2009, 10:02
นางมารร้าย นางมารร้าย is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 619
ได้ให้อนุโมทนา: 16,587
ได้รับอนุโมทนา 75,077 ครั้ง ใน 1,359 โพสต์
นางมารร้าย is on a distinguished road
Default

นางมารร้ายสรุปไว้ที่เว็บกระโถนฯ ค่ะ ขอก๊อปมาที่นี่ให้ดูแล้วกัน

สรุปธรรมะจากบ้านอนุสาวรีย์...

พระอาจารย์เล่าถึงความเสื่อมในสังคมไทยปัจจุบันให้ฟังค่ะ ว่ามีสาเหตุจากคนเสื่อมศีลธรรม

ด้วยเหตุที่ในสมัยหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ..นับถือศาสนาคริสต์ มีนโยบายให้ตัดวิชาศีลธรรมออกจากหลักสูตรการศึกษา
เด็กตั้งแต่รุ่นนั้นเป็นต้นมา ไม่รู้จักศีลห้า ไม่รู้จักความดี ไม่มีศีลธรรมให้ยึดเหนี่ยว เด็กรุ่นนั้นเติบโตมา..ซึ่งก็น่าจะอายุราว ๆ สี่สิบในสมัยนี้

เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตมีครอบครัว ก็เป็นพ่อคนแม่คนที่ขาดวุฒิภาวะ ทำให้เกิดสถาบันครอบครัวล่มสลาย เกิดปัญหาเด็กวัยรุ่นวุ่นวายอยู่ทั่วไป
เมื่อพวกเขาไปเป็นครู ก็ไม่ได้มุ่งสอนนักเรียนอย่างเต็มที่ กลับแข่งกันสร้างสถาบันกวดวิชามุ่งหาผลประโยชน์...สถาบันครูจึงล่มสลายตามมา

สมัยทักษิณแม้จะรู้ปัญหา แต่พอจะบรรจุวิชานี้กลับเข้ามา ก็ถูกศาสนาอื่น ๆ ต่อต้าน แล้วตัวทักษิณเองก็กลายเป็นตัวอย่างไม่ดี ทำให้คนยิ่งเห็นว่าการเป็นคนร่ำรวยนั้นดี..ถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว เลยไม่มีใครเห็นความสำคัญของศีลธรรม แสวงหาแต่เงินทองแสวงหาแต่วัตถุ

ลองมาดูนักการเมืองสมัยนี้ จะเห็นว่าในการอภิปรายแต่ละที เขาไม่ได้แข่งกันหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเอง แต่หาหลักฐานมาเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ประเทศเราต้องอยู่ในมือนักการเมืองไร้ศีลธรรมแบบนี้ น่าสลดใจไหม

ทั้งเรื่องสีเหลืองสีแดงที่เป็นปัญหาขณะนี้ ก็ล้วนแต่ทำเพื่อธุรกิจตัวเองเพื่อพวกพ้องตัวเอง ถ้าเป็นคนที่รักชาติอย่างแท้จริงไม่อิงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยสามัญสำนึกมันต้องบอกได้แล้วว่าที่ทำลงไปนี่มันให้ผลร้ายกับประเทศแค่ไหน นี่อะไร..เคยมีธุรกิจยิ่งใหญ่..พอประสบปัญหาล้มละลาย...แล้วเพื่อนไม่ช่วย..กูต้องเอามึงลงด้วยเหมือนกัน..ไม่ว่าด้วยวิธีไหน

ฉะนั้น..เราที่ปฏิบัติธรรมะจะต้องมีสติกำกับตัวเองอยู่ตลอด ให้คิดและทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ให้ไขว้เขวไปกับกระแส ไม่ว่าจะเหลืองจะแดงหรือกระแสวัตถุนิยมไหน ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเองและพวกตัวเองชนะ..ร่ำรวย แต่เพื่อให้ประเทศชาติชนะ..สังคมอยู่รอด ให้ประชาชนจนรุ่นลูกรุ่นหลานอาศัยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป

นางมารร้ายขอสรุปว่า ถ้าจะทำลายประเทศไหน..ให้ทำลายคน...แล้วถ้าจะสร้างประเทศไหน..ให้สร้างคนและพัฒนาคนค่ะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นางมารร้าย ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 10-04-2009, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่ผมไปคัดลอกคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยที่เขามีการสงวนลิขสิทธิ์เอาไว้ ทำแบบนี้ผมเองจะผิดศีลหรือไม่ ?
ตอบ : ในเมื่อเขาสงวนลิขสิทธิ์ แล้วเราไปละเมิดจึงเท่ากับว่าผิดกฎหมาย

ถาม : ไม่อยากให้มีการสงวนลิขสิทธิ์
ตอบ : ไปคุยกับทางวัดท่าซุงเอง มาบอกตรงนี้อาตมาไม่สามารถช่วยอะไรได้

ถาม : อยากให้คนทั่วไปสามารถอ่านหรือคัดลอกคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีได้
ตอบ : ถ้าคุณไม่กลัวติดคุกก็ทำได้ ยกตัวอย่างเว็บพลังจิตที่มีการคัดลอกเนื้อหาคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้เขาจะประกาศห้าม แต่ทางเว็บพลังจิตก็ยังทำ ทั้งนี้เนื่องจากเว็บสโนว์ซึ่งเป็นเว็บมาสเตอร์ เขายินดีรับผิดชอบ ต่อให้ติดคุกเขาก็ยอม คุณทำได้อย่างเขาหรือเปล่า ? ถ้าคุณใจกล้ายอมที่จะติดคุกได้แบบเขาก็ทำไป

จริง ๆ แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่ ไม่ใช่สิ่งที่มาจำกัดหรือสงวนเอาไว้ แทนที่คำสอนพระพุทธศาสนาจะได้เผยแพร่ไป แต่ต้องมาโดนจำกัด พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามารเขาเก่งแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 11:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-04-2009, 15:32
วาโยรัตนะ วาโยรัตนะ is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 550
ได้ให้อนุโมทนา: 13,972
ได้รับอนุโมทนา 45,891 ครั้ง ใน 953 โพสต์
วาโยรัตนะ is on a distinguished road
Default

ผมนี่แหละที่ "ตกข่าว" ได้อ่านแล้ว รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น หลังจากนั่งมึนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่สามารถช่วยอะไรได้ ได้แต่ตั้งใจว่าจะทำตัวเองให้ดี ให้สว่าง และให้คนรอบ ๆ ตัว ในครอบครัว โดยเฉพาะลูกคนโต และที่จะกำลังจะลืมตามาดูโลก ให้พวกเขาได้ตระหนักในหน้าที่ความเป็นคนดี ตามแบบอย่าง หลวงปู่ หลวงพ่อ พระอาจารย์ โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดในชีวิต ต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาจะได้เป็น "คนดี" เป็นคนมีศีลมีธรรม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-04-2009, 16:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าใครจะเอาคำสอนที่อาตมาเทศน์ไปคัดลอกหรือเล่าต่อก็ไม่ว่า เพราะถือว่าคำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ของหลวงปู่ หลวงพ่อ อาตมาไม่หวง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 11:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 19-04-2009, 18:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ได้กล่าวว่า "บุคคลที่กล่าววาจาหยาบคายที่สุดในสมัยพุทธกาล คือ ท่านพราหมณ์ภารทวาชโคตร ท่านด่าบริภาษแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าถามพราหมณ์ภารทวาชโคตรว่า "ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภค หรือของดื่มต้อนรับแก่มิตรอำมาตย์ หรือญาติผู้เป็นแขกที่มาเยือนท่านบ้างหรือไม่ ?"

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทูลตอบว่า "ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับแก่มิตรอำมาตย์ญาติผู้เป็นแขกเหล่านั้นในบางคราว"

พระพุทธเจ้าถามว่า "ถ้ามิตรและอำมาตย์ญาติ ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับของเคี้ยวของบริโภคแล้วของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?"

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ตอบว่า "ถ้ามิตรและอำมาตย์ญาติผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับของเคี้ยวของบริโภค ของเหล่านั้นก็เป็นของข้าพระองค์อย่างเดิม"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าว่าเราผู้ไม่ด่า ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธ เราไม่รับการด่าของท่าน เรื่องการด่านั้น ก็เป็นของท่านแต่ผู้เดียว"


ถาม : ตอนแรกนึกว่าพระที่กล่าววาจาหยาบคาย ท่านจะหมายถึงพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ติดนิสัยวาสนาเก่ามา
ตอบ : นั่นพระปิลินทวัจฉะ เนื่องจากพระปิลินทวัจฉะ เกิดในครอบครัววรรณะพราหมณ์ถึง ๕๐๐ ชาติ เมื่อกล่าววาจากับคฤหัสถ์หรือพระภิกษุด้วยกันก็พูดว่า "เจ้าถ่อย เจ้าถ่อย" กล่าวด้วยความเคยชินมิได้กล่าวด้วยเจตนาหยาบ

วันหนึ่งพระปิลินทวัจฉะเข้าไปบิณฑบาตที่กรุงราชคฤห์ เจอผู้ชายคนหนึ่งถือดีปลีมาเต็มถาด จึงถามว่า "เจ้าถ่อย ในภาชนะของแกมีอะไร ?" ชายคนนั้นคิดว่าสมณะรูปนี้กล่าวคำหยาบกับเราแต่เช้า เราก็ควรกล่าวคำเหมาะแก่สมณะรูปนี้เหมือนกัน จึงตอบว่า "ในภาชนะของข้ามีขี้หนูสิท่าน" เมื่อพระเถระคล้อยหลังไป ดีปลีกลายเป็นขี้หนูไปหมด เป็นทั้งเกวียนเลย

ผู้ชายคนนี้ก็เลยคิดว่าต้องเป็นเพราะพระเถระรูปนั้นแน่ ๆ ก็เลยเดินทางไปตามหาพระปิลินทวัจฉะ บังเอิญไปพบผู้ชายอีกคนหนึ่งก่อนและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายอีกคนฟัง ชายอีกคนจึงแนะนำให้ถือดีปลีเต็มถาด ไปยืนข้างหน้าพระเถระ พอพระเถระกล่าวว่า "นั่นอะไร เจ้าถ่อย" ก็จงกล่าวว่า "ดีปลีขอรับ"

เมื่อพระเถระกล่าวว่า "จักเป็นอย่างนั้นเจ้าถ่อย" แล้วมันก็จะกลายเป็นดีปลี ชายผู้นั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น และขี้หนูก็ได้กลับกลายมาเป็นดีปลีดังเดิม

สำหรับพระปิลินทวัจฉะนี้ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้เป็นที่รักที่พอใจของเทวดา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 19-04-2015 เมื่อ 21:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 19-04-2009, 18:58
คนเก่า's Avatar
คนเก่า คนเก่า is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: ชมพูทวีป
ข้อความ: 189
ได้ให้อนุโมทนา: 21,727
ได้รับอนุโมทนา 55,275 ครั้ง ใน 1,402 โพสต์
คนเก่า is on a distinguished road
Default

ท่านทำบุพกรรมไว้อย่างไร จึงเป็นที่รักของเทวดายิ่งกว่าภิกษุทั้งหลาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คนเก่า ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 19-04-2009, 22:05
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลาย เพราะในอดีตท่านและสหายหมู่มาก ได้เคยรักษาศีลเจริญกรรมฐานร่วมกัน ครั้นตายจากความเป็นมนุษย์ หมู่คณะนั้นจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาร่วมกัน ครั้นท่านจุติจากความเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ บรรลุพระอรหัตผล เทวดาพวกพ้องเก่าก็มาอาราธนาท่านแสดงธรรม ธรรมที่ท่านแสดงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดามาก ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดาครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 20-04-2009, 10:28
คนเก่า's Avatar
คนเก่า คนเก่า is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: ชมพูทวีป
ข้อความ: 189
ได้ให้อนุโมทนา: 21,727
ได้รับอนุโมทนา 55,275 ครั้ง ใน 1,402 โพสต์
คนเก่า is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tidtou อ่านข้อความ
ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลาย เพราะในอดีตท่านและสหายหมู่มาก ได้เคยรักษาศีลเจริญกรรมฐานร่วมกัน ครั้นตายจากความเป็นมนุษย์ หมู่คณะนั้นจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาร่วมกัน ครั้นท่านจุติจากความเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ บรรลุพระอรหัตผล เทวดาพวกพ้องเก่าก็มาอาราธนาท่านแสดงธรรม ธรรมที่ท่านแสดงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดามาก ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดาครับ

ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คนเก่า ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 20-04-2009, 10:38
วาโยรัตนะ วาโยรัตนะ is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 550
ได้ให้อนุโมทนา: 13,972
ได้รับอนุโมทนา 45,891 ครั้ง ใน 953 โพสต์
วาโยรัตนะ is on a distinguished road
Default

อ่านกระทู้นี้แล้ว จิตใจแช่มชื่นดีแท้หนอ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 20-04-2009, 13:24
ตัวแสบจำเป็น's Avatar
ตัวแสบจำเป็น ตัวแสบจำเป็น is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
สถานที่: บางกอก
ข้อความ: 119
ได้ให้อนุโมทนา: 18,697
ได้รับอนุโมทนา 24,558 ครั้ง ใน 954 โพสต์
ตัวแสบจำเป็น is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า อ่านข้อความ
ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ
ที่หลวงพ่อพระสิวลีมีความเป็นเลิศในด้านลาภสักการะ ไม่ใช่เพราะว่า
บุพกรรมที่ท่านได้ถวายน้ำผึ้งเป็นทานหรือคะ? ที่น้ำผึ้งสดนั้นเป็น
สิ่งที่ขาดในการจะทำทานที่เป็นมหาทาน เมื่อครั้งที่พระราชากับชาวบ้าน
แข่งกันทำบุญ (เล่าไม่ค่อยถูก เพราะจำได้ไม่แม่น แต่คุ้น ๆ ว่าเคย
อ่านเจอค่ะ)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวแสบจำเป็น ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 20-04-2009, 13:40
คนเก่า's Avatar
คนเก่า คนเก่า is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: ชมพูทวีป
ข้อความ: 189
ได้ให้อนุโมทนา: 21,727
ได้รับอนุโมทนา 55,275 ครั้ง ใน 1,402 โพสต์
คนเก่า is on a distinguished road
Default

อยากรู้เรื่องละเอียด ต้องไปหาอ่านตอนพระพุทธองค์เสด็จไปเยี่ยมพระเรวัต (น้องพระสารีบุตร)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คนเก่า ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 20-04-2009, 14:00
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า อ่านข้อความ
ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ
ลักษณะแห่งบุญที่ทำกระมังครับพี่ อย่างพระสีวลีท่านมีลาภมากก็เพราะท่านได้เคยร่วมถวายน้ำผึ้งเป็นบุญปิดท้าย ทำให้ทานนั้นบริบูรณ์ อานิสงส์จึงส่งผลให้ท่านมีลาภมาก ส่วนพระปิลินทวัจฉะท่านได้อานิสงส์จากการรักษาศีลและเจริญกรรมฐาน
ด้วยอาการแห่งบุญที่ไม่เหมือน(หรืออาจจะเหมือนแต่ก็ไม่เสมอกันในบางจุด) จึงทำให้อานิสงส์ที่ได้แสดงผลชัดแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กระมังครับ ทั้งนี้เกี่ยวกับอธิษฐานบารมี คือ ความตั้งใจด้วย
แต่ที่แน่ ๆ นั่นคือ หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์นี้ ท่านทำความดีพร้อมกับคนดี เป็นคนดีหมู่มาก และคนหมู่มากต่างก็ยินดีในความดีของกันและกัน ยังผลให้เมื่อถึงสุคติโลกสวรรค์ จากการที่เคยเกื้อหนุนกันในสมัยที่เป็นมนุษย์ เมื่อเกิดเป็นเทวดาก็มาสงเคราะห์เกื้อกูลกันต่อไป
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 21-04-2009, 12:27
ณญาดา's Avatar
ณญาดา ณญาดา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 27
ได้ให้อนุโมทนา: 12,017
ได้รับอนุโมทนา 34,840 ครั้ง ใน 741 โพสต์
ณญาดา is on a distinguished road
Default

ไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน เนื่องจากติดภาระในช่วงวันหยุดยาว พอเข้ามาได้ก็รีบอ่านในกระทู้ต่าง ๆ แหม! ยิ่งอ่านยิ่งชื่นใจได้ความรู้ดีจริง ๆ ขอบคุณและอนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้และทุกความคิดเห็นค่ะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทิดตู่ : 21-04-2009 เมื่อ 14:14 เหตุผล: แก้การเว้นวรรคไม้ยมก บางจุด"กระทู้ต่างๆ"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ณญาดา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 21-04-2009, 13:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) และนางภัททกาปิลานี (ภรรยาของปิปผลิมาณพ) ให้ฟัง

"ปิปผลิมาณพ เมื่อถึงคราวเจริญวัย บิดาและมารดาปรารถนาจะให้มีคู่ครอง แต่ปิปผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน เมื่อบิดามารดาเคี่ยวเข็ญหนักเข้า ปิปผลิมาณพจึงได้นำทองคำมาหล่อเป็นรูปผู้หญิงซึ่งมีลักษณะงามมาก และได้บอกแก่บิดามารดาว่า ถ้ามีหญิงงามดังรูปหล่อทองคำนี้ตนจึงจะยอมแต่งงานด้วย

มารดาจึงสั่งให้พราหมณ์ ๘ คน ยกรูปทองคำตั้งขึ้นบนรถแล้วตระเวนไป ถ้าเจอหญิงที่มีรูปงามดังรูปหล่อนี้ให้จัดการสู่ขอและนำรูปหล่อทองคำนี้เป็นสินสอด

เผอิญว่ามีคนมีบุญเสมอกันอยู่ด้วยสิ ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ตระเวนไปจนถึงสาคลนครในมัททรัฐ ไปเจอแม่นมของนางภัททกาปิลานี ตอนนั้นแม่นมกำลังจะไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ แลไปเห็นรูปหล่อทองคำก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นธิดาของเจ้านายแอบหลบหนีออกมาเที่ยว จึงกล่าวว่า "แม่หัวดื้อ มาที่นี่ทำไม ?" แล้วเงื้อฝ่ามือตีที่ข้างแก้มของรูปหล่อ พร้อมกับพูดว่า "จงรีบกลับไป"

เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ คนเห็นเข้าจึงเข้าไปถามแม่นมว่า "ธิดาของนายเจ้า งามเท่ารูปหล่อทองคำนี้หรือไม่ ?" แม่นมบอกว่า "ธิดาของนายเรางามกว่านี้พันเท่า แม้อยู่ในที่มืด ความมืดก็จะหายไปด้วยแสงสว่างที่ออกจากร่างกายของนาง" พวกพราหมณ์จึงตามไปบ้านของภัททกาปิลานี และทำการสู่ขอนาง

เรื่องนี้คนใช้เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีได้แต่งงานกัน ก็คือ ปิปผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน ส่วนนางภัททกาปิลานีก็ไม่ต้องการแต่งงานด้วยเช่นกัน ต่างฝ่ายจึงเขียนจดหมายว่าตนเองไม่ต้องการแต่ง ประสงค์ที่จะบวช แล้วให้คนใช้ทั้งสองฝ่ายส่งไปหาอีกฝ่าย

ระหว่างทางคนใช้ของทั้งสองมาเจอกัน ก็แอบเปิดดูข้อความในจดหมาย ต่างฝ่ายจึงทำการเปลี่ยนข้อความจดหมายเป็นทั้งสองต่างพึงพอใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น..ทั้งสองคนจึงได้แต่งงานกัน

เมื่อแต่งงานกันไปแล้วทั้งสองก็ประพฤติอยู่ในพรหมจรรย์ เวลานอนก็นำพวงมาลัยมาคั่นกลาง ดอกไม้ในด้านของคนใดเหี่ยว พวกเขาจะรู้ได้ว่าราคะได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้นั้น ไม่มีการถูกตัวหรือยิ้มหัวเราะให้กัน จนกระทั่งบิดามารดาของทั้งสองสิ้นชีวิต

ทีนี้ ทั้งปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีเป็นผู้มีทรัพย์มากถึง ๘๗ โกฏิ แต่ทั้งสองไม่ปรารถนาในทรัพย์สิน ต้องการที่จะออกบวช ทั้งสองเลยตัดสินใจปลงผมบวช เมื่อถึงทางสองแพร่งปิปผลิมาณพคิดว่า ถ้ามีคนอื่นเห็นว่าเราบวชแล้วยังมีสตรีเดินตาม คนอื่นจะคิดในทางร้าย และเกิดโทษแก่บุคคลนั้น จึงตัดสินใจแยกทางกับนางภัททกาปิลานีที่ทางสองแพร่งนั้น โดยปิปผลิมาณพเดินไปทางขวา ส่วนภัททกาปิลานีเดินไปทางซ้าย

ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องนี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 19-04-2015 เมื่อ 21:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 22-04-2009, 14:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาตมานอนแล้วดันมีผีเด็กผู้หญิง ขึ้นมาคร่อมบีบคอ ผีเด็กผู้หญิงมันบีบจนแทบหายใจไม่ออก ตอนนั้นอาตมาก็ไม่ได้ใส่วัตถุมงคลอะไรเสียด้วย แต่นึกได้ว่ามีแหวนจักรพรรดิอยู่ในกระเป๋าเสื้อบริเวณอก ก็เลยนึกในใจว่า "ทำไมแหวนจึงไม่ช่วย" นึกแค่นั้นแหละ ก็พลันปรากฏแสงวูบออกมา และแสงนั้นก็ไปทำลายขันธ์ของผีตัวนั้นจนแตกกระจาย

แต่ไม่ใช่แค่ผีตนเดียว เหล่าบรรดาเทวดาที่อยู่บริเวณนั้นขันธ์ของท่านก็พลันแตกสลายไปด้วย นับว่าพลังของแหวนจักรพรรดินั้นทรงพุทธานุภาพมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว และตอนนี้ขันธ์ของเทวดาที่แตกสลายไปยังกลับคืนมาได้ไม่หมดเลย

จริง ๆ ตอนนั้นก็มีเทวดาอยู่ แต่ทำไมเทวดาจึงปล่อยให้ผีมันเข้ามาทำร้ายได้ คงเป็นเพราะไม่ได้บอกให้เทวดาช่วยคุ้มครองดูแล เทวดานี่ก็ซื่อเสียจริง ถ้าไม่บอกก็ทำเฉย ไม่รู้ไม่เห็นเสียอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 11:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 22-04-2009, 16:10
เสาวณีย์'s Avatar
เสาวณีย์ เสาวณีย์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Apr 2009
ข้อความ: 6
ได้ให้อนุโมทนา: 7,785
ได้รับอนุโมทนา 2,342 ครั้ง ใน 57 โพสต์
เสาวณีย์ is on a distinguished road
Default

ขอบคุณคุณเถรีและทุกท่านที่นำธรรมของหลวงพ่อมาเล่าต่อนะคะเพราะว่าไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกเดือน ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ โมทนาบุญด้วยนะคะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เสาวณีย์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 23-04-2009, 01:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,384 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับความทุกข์ ถ้าเป็นวาระที่ต้องออกไปเรียนรู้ล่ะครับ ?
ตอบ : มันจะเรียนไม่รู้จักจบจักสิ้นน่ะสิ

เปรียบเหมือนกับการทำวิทยานิพนธ์ เราทำมาจนถึงบทที่ ๕ ซึ่งเป็นบทสุดท้าย ก็หลงดีใจว่าใกล้จะจบแล้ว แต่จริง ๆ ยังเหลือบรรณานุกรมและภาคผนวกอีกบาน..!

พวกเราเรียนรู้เกี่ยวกับทุกข์กันมาจนเยอะแล้ว ให้รู้จักนำทุกข์นั้นมาพิจารณาให้เกิดเป็นปัญญา และหาทางออกให้พ้นจากทุกข์นั้น ไม่ใช่เรียนอยู่นั่นแหละ เรียนไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้นำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มันก็เลยยังไม่จบกันเสียที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 11:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 02-05-2009, 21:40
แก้ว แก้ว is offline
สมาชิก
 
วันที่สมัคร: Apr 2009
สถานที่: ป่าคอนกรีต
ข้อความ: 2
ได้ให้อนุโมทนา: 4
ได้รับอนุโมทนา 313 ครั้ง ใน 8 โพสต์
แก้ว is on a distinguished road
Default

ขอถามทุกท่านครับ ผมสงสัยใจความตอนหนึ่งว่า แสงนั้นก็ไปทำลายขันธ์ของผีตัวนั้นจนแตกกระจาย ทว่าไม่ใช่แค่ผีตนเดียวสิคะ เหล่าบรรดาเทวดาที่อยู่บริเวณนั้นขันธ์ของท่านก็พลันแตกสลายไปด้วย
ถ้าขันธ์ถูกทำลายดวงจิตไม่หายไปหรือครับหรือ ดวงจิตมีสภาพหลับหรือยังไง งงครับ ปรากฏ ถึงจะโดนยังไงก็ต้องมีสภาพเหมือนเดิมไม่ใช่หรือครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ แก้ว ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว