#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพไปรับโล่เกียรติคุณเพชรพุทธบริหารการศึกษา ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ความจริงก็มีพระเถระหลายรูปที่ให้ตัวแทนไปรับ แต่กระผม/อาตมภาพถือว่าทางด้านเจ้าภาพเขาให้เกียรติเรา ด้วยการมอบโล่เกียรติคุณให้ เราก็ควรที่จะให้เกียรติเจ้าภาพของด้วย อยู่ในลักษณะของปูชโก ลภเต ปูชํ วนฺทโก ปฎิวนฺทนํ ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ อีกประการหนึ่งก็จะได้ไปพบปะครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกษียณอายุราชการ กลายเป็นระดับปูชนียบุคคลไปแล้ว ก็คือถ้าหากว่าจบปริญญาเอกแล้ว อย่าหวังว่าเกษียณอายุราชการแล้วไปอยู่อย่างสงบได้ เนื่องเพราะว่าสิ่งที่ท่านจบมาไม่มีใครจบซ้ำหัวข้อนั้นได้ ก็แปลว่าในด้านนั้นท่านจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ถ้าผู้อื่นจะทำซ้ำหัวข้อนั้นก็ต้องขยายพื้นที่ หรือย้ายไปพื้นที่อื่น ก็แปลว่าโอกาสที่จะตกงานไม่มี อย่างไรเสียเรื่องหัวข้อเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นสารนิพนธ์ เขาก็ต้องอาศัยเจ้าของหัวข้อนั้นไปบรรยายอยู่ดี..! ครูบาอาจารย์หลายท่านก็ยังกระฉับกระเฉงดูแข็งแรง แต่บางท่านก็คุกเข่าถวายของไม่ได้แล้ว ต้องขออนุญาตยืนถวายของ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเรียนมาผ่านไป ๒๐ ปีแล้ว เพราะจำได้ว่าเรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์รุ่นแรกที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ปี ๒๕๔๘ แล้วก็เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท รุ่น ๑ ของวัดไร่ขิง แต่มาตอนหลังเขาไม่นับรุ่นให้ เขาไปนับรุ่น ๑ เมื่อเปิดวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ วัดไร่ขิง พวกที่เรียนกับส่วนวิทยบริการอย่างกระผม/อาตมภาพ ก็เลยกลายเป็นรุ่นพิเศษ หรือไม่ก็ตกรุ่นไปเลย..! ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพมีงานมากอยู่ทุกวัน ก็เลยไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว เพราะว่าเวลาไม่พอให้ทำงาน..! เมื่อรับโล่เกียรติคุณแล้ว กลับมาก็ต้องมาเข้าประชุม เตรียมการจัดงานบรรยายประสิทธิผลการปฏิบัติธรรมแบบธรรมนาวาวัง ซึ่งพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเอง ก็ยังต้องเข้าประชุมผ่านระบบออนไลน์เหมือนกัน ยังไม่ทันจะเสร็จดี ก็ต้องมานั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้พวกท่านทั้งหลายได้ฟัง เสร็จจากนี่ก็ยังต้องไปเข้ารายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมต่อ จนกระทั่งเรื่องพระของเราที่เกิดอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วยแข้งขาหัก ยังกลายเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงไป..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2025 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปจนกระทั่งสติทรงตัวแล้ว เราจะสามารถจัดความสำคัญก่อนหลังเร็วช้าของงานได้ ต่อให้ช้ากว่ากัน ๓ นาที ๕ นาทีก็ถือว่าช้ากว่า เราก็ทำเรื่องที่มาถึงก่อน ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ท่านทั้งหลายจะมีงานอยู่ตรงหน้างานเดียว แล้วก็ไม่หนักเกินกำลังรับผิดชอบของตนเอง
แต่ส่วนใหญ่พวกเราพอเจอหลาย ๆ งานแล้ว ก็มักจะเอามาสุมรวมกัน ไม่มีการแยกแยะว่าอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรสำคัญมาก อะไรสำคัญน้อย กลายเป็นว่างานเกินกำลังตนเอง แล้วก็มาเครียด เราจะเห็นได้ว่าผลของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเอามาใช้ในชีวิตจริงจะใช้ได้ทุกเรื่อง มีพระสังฆาธิการหลายรูปบอกว่า "ถ้าผมงานมากแบบหลวงพ่อเล็ก ก็คงเครียดตายไปแล้ว" ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถที่จะวางกำลังใจลงตรงหน้าได้ว่า "เราทำเฉพาะตอนนี้" ก็คงจะเครียดแน่นอน จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ได้และทำให้ถึง ไม่เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่า เรากดดันตัวเองอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าสติไม่มี ปัญญาไม่พอ งานเบาก็กลายเป็นงานหนัก งานหนักก็กลายเป็นงานหนักมาก เพียงแต่เสียดายว่าการเข้าประชุมเพื่อฟังบรรยายงานวิจัย เกี่ยวกับประสิทธิผลของการปฏิบัติธรรมแบบธรรมนาวาวังนั้น กระผม/อาตมภาพติดงานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ไม่อย่างนั้นก็จะไปฟังดูว่ามีความดีเด่นแบบใดบ้าง ทุกท่านต้องเข้าใจว่าเรื่องของการปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะสายไหนก็ตาม ก็จะเกิดผลในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลายทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าสายนั้นจะสอนดีสอนถูกแค่ไหน เพียงแต่ว่างานนี้ผู้ใหญ่ท่านเน้นเรื่องของธรรมนาวาวัง จึงมีการทำผลงานวิจัยถึงประสิทธิผล ก็คือการที่ปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดผลสำเร็จขนาดไหน ถ้าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Impact ก็คือส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราและคนรอบข้างอย่างไรบ้าง โดยปกติแล้ว เรื่องแบบนี้ถ้าหากว่ายกขึ้นเวทีมาแถลงเมื่อไร ก็จะมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดทุกครั้ง จนกระทั่งคนแทบจะไม่อยากจะพูดแล้ว เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะแบกกิเลสเข้าไปว่า "การปฏิบัติสายกูต้องดีที่สุด" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอเขายกความดีของสายอื่นขึ้นมา เราก็มักจะรับไม่ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2025 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
จากประสบการณ์ที่กระผม/อาตมภาพ ทำงานเกี่ยวกับศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีมาหลายปี แล้วตำแหน่งปัจจุบันก็คือประธานศูนย์ฯ ซึ่งไม่มีใครมารับช่วงสักที เห็นชัด ๆ เลยว่าต้นสายไม่มีปัญหา ครูบาอาจารย์ท่านไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสายพุทโธแบบวัดป่า สายสัมมาอะระหังแบบหลวงพ่อวัดปากน้ำ สายนามรูปแบบวัดปราสาททอง สายเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียน สายมโนมยิทธิแบบหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตลอดจนกระทั่งสายอื่น ๆ ซึ่งอาจจะมี ต้นสายไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
แต่ว่าบรรดาลูกศิษย์มักจะแบกกิเลสไปชนกัน ก็คือเอามานะแบกไปด้วยว่า "ของกูต้องดีที่สุด หลวงพ่อกูต้องเจ๋งที่สุด" ก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาคุยเรื่องแบบนี้เมื่อไร แทนที่จะกลายเป็นธัมมัสสากัจฉา ก็กลายเป็นวิวาท (วิ-วา-ทะ) แบบภาษาไทย เพราะว่าวิวาทแบบภาษาบาลีก็คือความต่างในคำพูด พูดง่าย ๆ ก็คือมีการถกเถียงกันเพื่อหาข้อยุติ แต่วิวาทแบบไทยนั้นให้อ่านว่าวิวาท (วิ-วาด) ก็คือทะเลาะเบาะแว้งกันแทน..! อย่าลืมว่าหลักธรรมของหลวงพ่อนั้น ของสายนี้ ความจริงแล้วไม่มี มีแต่หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เมื่อพระองค์ตรัสสอนไปถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อให้เหมาะแก่จริตของผู้รับฟัง แล้วบรรดาครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ท่านถนัดแบบไหนก็ทำแบบนั้น แล้วเมื่อท่านทำได้ผลก็เอามาเผยแผ่ให้กับลูกศิษย์ของตน ถ้าสายนั้นมีลูกศิษย์มาก ก็จะกลายเป็นสายกรรมฐานขึ้นมา กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพ่อครัวทำอาหาร คนนั้นถนัดผัด คนนี้ถนัดต้ม คนโน้นถนัดแกง คนนั้นถนัดปิ้งย่าง เราชอบแบบไหนก็กินแบบนั้น แต่ไม่ใช่ไปติว่าของคนอื่นไม่ได้เรื่อง ต้องแบบของเราเท่านั้น ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าบุคคลที่ไปคุยกัน หรือธัมมัสสากัจฉากัน ถ้ามีบุคคลที่ปฏิบัติธรรมจนได้หลักจริง ๆ คอยอยู่เป็นผู้ควบคุมการสนทนาธรรม เรื่องก็จะไม่เลยเถิด แต่ถ้าหากว่าไม่มี ต่างคนต่างเอากิเลสไปชนกันเมื่อไรก็กระจายเมื่อนั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2025 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพตั้งใจจะไปดูว่า ใครจะแบกกิเลสไปมากน้อยเท่าไร แต่พอดีว่าหลวงปู่เชิด - พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรมุนี (เชิด จิตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งปัจจุบันท่านก็เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ ท่านต้องการที่จะให้ช่วยไปปลุกเสกพระกริ่งและพระสุนทรีวาณี ฉลอง ๘๔ พรรษาของท่าน
เมื่อเป็นวาระสำคัญแล้วครูบาอาจารย์ระดับนั้นท่านขอมา กระผม/อาตมภาพก็ต้องสละงานเพื่อไปให้ท่านก่อน นั่นก็คือเราต้องชั่งน้ำหนักของงานตรงหน้าว่าอะไรสำคัญกว่า การที่จะไปดูไปฟังเพื่อผลวิจัยนั้นออกมาในแนวไหน แล้วต้องการไปดูว่าใครแบกกิเลสไปเถียงกันบ้าง จึงกลายเป็นเรื่องรองลงไป เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายอย่าได้แบกกิเลสไปชนกัน ขอให้เข้าใจว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง ต่อให้สายธรรมที่หนักแน่นมั่นคงอย่างสายวัดป่าหลวงปู่มั่น ปัจจุบันนี้ก็ยังเกิดสนิมภายในตนเอง มีบุคคลที่ไม่สวดมนต์ไหว้พระ เพราะว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์..! ไม่ปฏิบัติเคร่งครัดแบบเอาชีวิตเข้าแลก เพราะว่าต้องเอาเวลาไปออกยูทูบหรือว่าเฟซบุ๊ก..! สนิมทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกัดกร่อนและทำลายสายปฏิบัติเหล่านั้น ให้ค่อย ๆ เสื่อมทรามลงไป แบบเดียวกับพระพุทธศาสนาของเรา ที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้ นอกจากพุทธบริษัททั้ง ๔ เราท่านทั้งหลายจึงต้องถือเป็นภาระว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องทำให้รู้ลึก รู้จริง เข้าถึงจริง ๆ และเอาผลไปใช้งานได้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2025 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|