กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-12-2024, 20:07
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,806
ได้ให้อนุโมทนา: 221,423
ได้รับอนุโมทนา 782,816 ครั้ง ใน 38,402 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-12-2024, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,833
ได้ให้อนุโมทนา: 156,117
ได้รับอนุโมทนา 4,458,677 ครั้ง ใน 35,440 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตอนนี้พระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วจากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้อัญเชิญมาถึงประเทศไทยแล้ว พุทธศาสนิกชนมีเวลาที่จะสักการะพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่ท้องสนามหลวงเป็นเวลา ๗๓ วัน

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว ไม่ว่าจะเป็นของประเทศศรีลังกาก็ดี ของประเทศจีนก็ตาม เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนของประเทศนั้น รักใคร่และหวงแหนเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่วาระที่สำคัญจริง ๆ อย่าหวังเลยว่าจะอัญเชิญไปที่ไหนได้ง่าย ๆ..!

ต้องถือว่าเป็นโอกาสดี เพราะว่าแม้เราจะเดินทางไปถึงประเทศจีนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าสักการะเหมือนกับที่ท้องสนามหลวง ถือว่าเป็นการสร้างพุทธานุสติระดับ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ก็คือถ้าสามารถติดตาติดใจเอาไว้ได้ ก็เท่ากับประกันความเสี่ยงในเรื่องของคติ คือที่ไปในเบื้องหน้าของเราได้เลย..!

แต่คราวนี้ในเรื่องของอนุสตินั้น จำเป็นที่จะต้องระลึกถึงบ่อย ๆ ระลึกถึงให้เคยชิน เพราะว่าจิตของเรามีสภาพจำ ถ้าหากว่าระลึกถึงจนเคยชิน ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา สภาพจิตก็จะเกาะความดีที่เราระลึกถึงโดยอัตโนมัติ แต่ขนาดนั้นก็ตาม
ก็ยังมีบุคคลบางประเภทถึงแม้ว่าจะมีการปฏิบัติภาวนา ระลึกถึงความดีเป็นปกติ แต่ตอนช่วงก่อนตายมีอาสันนกรรมเข้ามาแทรก

อย่างเช่นว่าทำให้เกิดเสียงดังเหมือนใครทุบข้างฝาปังใหญ่ ทำให้ตกใจ จิตหลุดจากสิ่งที่ตนเองเกาะอยู่ แต่ก็ยังดีที่มีโอกาสไปผ่านตำหนักพระยายม ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านสอบสวนแล้ว โอกาสที่รอดจะมีสูงมาก เพียงแต่ว่าไม่สามารถที่จะไปยังสุคติได้ ในทันทีทันใดหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรที่จะประมาทอย่างเด็ดขาดว่า "เราทำดีแล้ว เราทำถูกแล้ว" เพราะว่ากรรมเก่าในอดีตอาจจะมาสนองช่วงใดก็ไม่แน่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องระมัดระวัง รักษาอนุสติหรือการระลึกถึงความดีส่วนใดส่วนหนึ่งเอาไว้เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2024 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-12-2024, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,833
ได้ให้อนุโมทนา: 156,117
ได้รับอนุโมทนา 4,458,677 ครั้ง ใน 35,440 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในส่วนของอนุสติทั้ง ๑๐ ประการ ไม่ว่าจะเป็น

พุทธานุสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า

ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระธรรม

สังฆานุสติ การระลึกถึงพระสงฆ์

สีลานุสติ การระลึกถึงคุณของศีล

จาคานุสติ การระลึกถึงคุณของการให้ทาน

เทวตานุสติ การระลึกถึงหลักธรรมหรือคุณธรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา

กายคตาสติ การระลึกถึงร่างกายนี้ว่ามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร

มรณานุสติ การระลึกถึงความตายเพื่อที่จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

อุปสมานุสติ การระลึกถึงความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวง หรือบางท่านใช้คำว่าระลึกถึงพระนิพพาน

และสำคัญที่สุดก็คืออานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออกที่เป็นแม่ของกรรมฐานทั้งปวง
กรรมฐานทุกกอง ถ้าขาดอานาปานสติ ไม่สามารถที่จะทรงตัวมั่นคงได้ อย่างดีก็ทรงตัวอยู่ในระดับปฐมฌานได้ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็พังเสียหายไปในเวลาไม่นาน

เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะยึดอานาปานสติเป็นหลัก แล้วจะปฏิบัติควบกับกรรมฐานกองไหน ก็ตามแต่ความรักชอบเฉพาะตน แต่ว่าในเรื่องของอนุสตินั้น เป็นกรรมฐานที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายที่สุด พูดง่าย ๆ ว่านั่งเฉย ๆ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ประกอบอะไร ก็สามารถตามนึกถึงได้

สมัยที่เริ่มฝึกฝนอยู่ กระผม/อาตมภาพไปผิดทาง ก็คือไปเล่นของยากอย่างกสิณเสียก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมาฝึกอนุสติ ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าเราจะฝึกผิดหรือเปล่า ? เพราะว่าในเมื่อฝึกกสิณมา ในส่วนของอนุสติก็เลยติดภาพกสิณมาด้วย คือไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าเฉย ๆ แต่หากว่านึกถึงภาพพระทั้งองค์ ไม่ได้นึกถึงพระธรรมเฉย ๆ แต่นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงพระธรรมเทศนา กระแสธรรมหลั่งไหลลงมาเป็นดอกมะลิแก้วอยู่ตรงหน้า เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2024 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-12-2024, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,833
ได้ให้อนุโมทนา: 156,117
ได้รับอนุโมทนา 4,458,677 ครั้ง ใน 35,440 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อซักซ้อมจนคล่องตัวแล้ว ไปเรียนถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "ในส่วนอนุสติทั้ง ๑๐ กระผมสามารถที่จะไล่อารมณ์จนกระทั่งเต็มได้ภายใน ๓๐ นาทีแล้วครับ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สมัยที่พ่อฝึก ถ้าใช้เวลาไล่อารมณ์เต็มถึง ๒ นาทีก็ถือว่าแย่แล้ว" ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า "ขิง ข่า ตะไคร้ มาทั้งสวนเลย..!" แต่พอเกิดความเข้าใจแล้ว ถึงได้ทราบว่า สิ่งที่ท่านพูดมานั้นก็คือเป็นตามนั้นจริง ๆ..!

เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองประกันความเสี่ยง ด้วยการเริ่มจาก ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ พอเปลี่ยนกองกรรมฐานก็ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ จึงทำให้เสียเวลาไปนาน เมื่อปฏิบัติคล่องตัวมาก ๆ แค่เราก็เปลี่ยนจาก ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ ก็หมดเรื่องไป ก็คือแค่เปลี่ยนกองกรรมฐานเท่านั้นเอง ใช้อารมณ์เท่าเดิม ไม่ต้องขยับเขยื้อนไปไหน

จากที่ตอนแรกคิดว่า "หลวงพ่อท่านเกทับเราหรือเปล่า ?" ก็กลายเป็นเข้าใจชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด แต่เราต้องทำให้ถึงเท่านั้น

ส่วนกรรมฐานอื่น ๆ ที่กระผม/อาตมภาพฝึกมา ในส่วนที่ยากที่สุดอยู่ที่อรูปฌาน ๔ และพรหมวิหาร ๔ กรรมฐาน ๘ กองนี้ถือว่าเป็นกรรมฐานที่ค่อนข้างจะยาก แต่ว่าถ้าหากว่าตั้งใจทำจริง ๆ ก็ไม่เกินกำลังของพวกเราที่จะทำได้ เพียงแต่ว่าอรูปฌานนั้น อย่างน้อย ๆ เราต้องทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ก็คือไม่ใช่กสิณอากาศหรือช่องว่าง เพราะว่ามีสภาพคล้ายคลึงกับสภาพของอรูปฌานเป็นปกติ
อยู่แล้ว

ดังนั้น..ในส่วนที่มีบุคคลถามว่า "อากาสกสิณ หรือว่ากสิณอากาศ กสิณช่องว่าง ต่างจากอากาสานัญจายตนฌานอย่างไร ?" ตอบง่าย ๆ ว่า
"อากาสกสิณนั้น เราจับแค่ช่องว่างที่กำหนดหรือตั้งใจว่า ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้น เราจับความว่างไร้ขอบเขต" พูดง่าย ๆ ก็คือ "อย่างหนึ่งมีกรอบ อีกอย่างหนึ่งไม่มีกรอบ" แต่คำว่าไม่มีกรอบ เมื่อเลื่อนไปถึงวิญญาณัญจายตนฌาน ท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า "อากาสานัญจายตนฌานนั้นก็ยังมีกรอบอยู่" อันนี้เอาไว้ทำถึงแล้วท่านทั้งหลายก็จะรู้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2024 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-12-2024, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,833
ได้ให้อนุโมทนา: 156,117
ได้รับอนุโมทนา 4,458,677 ครั้ง ใน 35,440 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งของวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิของกระผม/อาตมภาพเอง ก็คือ UNESCO ประกาศให้ "ต้มยำกุ้ง" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศไทย ก็แปลว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าเอ่ยถึงต้มยำกุ้งต้องเป็นประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่คุณมาศึกษาเรียนรู้ อาจจะเป็นลูกมือช่วยพ่อครัวทำครัว พอที่จะ "ครูพักลักจำ" จดจำสูตรและวิธีทำไปได้ เอาไปทำแล้วจะไป "เคลม" ว่าเป็นของประเทศคุณ..!

กระผม/อาตมภาพเคยไปชิมอาหารไทยในต่างประเทศแล้ว ขอบอกว่ารสชาติ "เห่ย" มาก มีอย่างเดียวที่ถือว่าอร่อยเลย แล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไรก็คือส้มตำ ไปเจอของอร่อยที่ประเทศเนปาล เหลือเชื่อว่าประเทศเนปาลที่ส่วนใหญ่แล้ว ปลูกผักผลไม้ให้เทวดาเลี้ยง โตบ้างไม่โตบ้าง แต่ว่ามะละกอที่เขาเอามาทำส้มตำนั้น เคี้ยวกรอบชนิดที่ลั่นอยู่ในหูเลย..! ไม่แน่ใจว่าเขาเอาวัสดุมาจากที่ไหน ?

แต่ขอยืนยันว่ากินอาหารไทยอร่อยที่สุดที่เนปาลก็คือส้มตำเท่านั้น ส่วนที่อื่น ๆ แม้แต่ต้มยำกุ้งก็ตาม น้ำล้างกระทะบ้านเราน่าจะอร่อยกว่า..! เพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะไปทำเอาใจฝรั่ง ก็คือไปลดเครื่องปรุงที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนลงเสียหมด..!

ในส่วนของวัฒนธรรม ตลอดจนกระทั่งประเพณี แม้กระทั่งน้ำจิตน้ำใจของคนไทยเรา ต้องบอกว่าเป็น Soft Power ที่พารายได้เข้าประเทศเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเขาบอกว่า "แม้แต่เหี้ยยังเป็น Soft Power ได้" ฝรั่งเขาตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะไปตามดูในสวนลุมพินีกันเป็นวัน ๆ ถ่ายคลิปไปลงแล้วคนเห็นเขาก็แตกตื่นกัน โดยเฉพาะตรงที่ว่า "ทำไมคนไทยไม่ตื่นเต้นกับของอย่างนี้เลย ?" แล้วก็มีคนเข้าไป "คอมเม้นท์" ว่า "ไทยเรามีรัฐบาลประเภทนี้มาเยอะแล้ว ก็เลยเคยชิน..!" ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

คราวนี้บ้านเราเมืองเรา ถ้าหากว่าจะไปอาศัยแต่การท่องเที่ยวอย่างเดียวย่อมไปไม่รอด ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ต่างประเทศเขาพยายามที่จะสร้างแบรนด์ สร้างสินค้าต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ แล้วส่งไปขายต่างประเทศ ไทยเราก็สร้างแบรนด์เหมือนกัน มีบางอย่างโด่งดังในต่างประเทศ แต่บ้านเราไม่สนใจ มัวแต่ไปตามก้นฝรั่งอยู่นั่นแหละ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2024 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-12-2024, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,833
ได้ให้อนุโมทนา: 156,117
ได้รับอนุโมทนา 4,458,677 ครั้ง ใน 35,440 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพยังรออยู่ว่าถ้าน้องลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) แกมีเวลาว่าง แล้วสร้างแบรนด์อะไรขึ้นมา อาจจะทำให้คนไทยเราหูตาสว่างบ้าง ว่าประเทศไทยของเรานั้นคนมีความสามารถเยอะมาก แต่ขาดการสนับสนุนจากรัฐบาลเท่านั้น

บรรดาเด็กเก่ง ๆ ของเรา ไม่ว่าจะทางด้านการศึกษาระดับคณิตศาสตร์โอลิมปิก ฟิสิกส์โอลิมปิก ตลอดจนกระทั่งการกีฬาต่าง ๆ ก็อยู่ในลักษณะที่ว่ากลับมาก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไป "โหนกระแส" ก็คือโผล่หน้าไปให้เห็น มอบรางวัลนิดหน่อย แล้วก็ไม่มีการสนับสนุนอะไรกันอีกเลย "หายเข้ากลีบเมฆ" ไปตามระเบียบทุกครั้ง..!

แม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ว่าอาฒยา ฐิติกุล หรือว่า "โปรจีน" ที่ฝรั่งเรียก "จีโน่" เพิ่งจะกวาดรางวัลใหญ่ในวงการกอล์ฟมาให้ประเทศไทย เชื่อว่าพวกท่านทั้งหลายก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย..!

ดังนั้น..ในเรื่องของการอ่อนด้านบริหารจัดการ โดยเฉพาะเรื่องของต่างประเทศเป็นจุดบอดของบ้านเรามาโดยตลอด บุคคลที่มีความสามารถด้านต่างประเทศที่กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วยอมรับเลยก็มี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นทูตอยู่สารพัดประเทศ จนกระทั่งได้ฉายาว่า "ปลาไหลใส่สเก็ต" ก็คือ "พูดชัด ๆ แต่เตะไม่ถึง..!"

อีกสองท่านก็คือท่านอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีพระราชทาน และดร.ศุภชัย พาณิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการ UNCTAD และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเราควรที่จะนำมาใช้งานให้มากกว่านี้ แต่ว่าด้วยความที่การเมืองส่วนใหญ่ก็คือ "เพื่อพวกพ้องและตัวกู" ก็เลยไม่มีใครใส่ใจที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ทอดทิ้งบุคคลที่มีความสามารถไปอย่างน่าเสียดาย

พวกเราทั้งหลายให้โยนเรื่องพวกนี้ออกจากหัวไป แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาของเราต่อ ไม่อย่างนั้นแล้วเกิด รัก โลภ โกรธ หลง ตามไป กำลังใจเราจะเสียเปล่า ๆ..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2024 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว