กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-11-2022, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,581
ได้ให้อนุโมทนา: 216,249
ได้รับอนุโมทนา 739,387 ครั้ง ใน 36,033 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-11-2022, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,733 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทุกวันศุกร์กระผม/อาตมภาพต้องเข้าอบรมตามโครงการ Upskill การสอนวิชาพระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ความจริงวันนี้ก็มีเรื่อง แต่ว่าพูดไปท่านทั้งหลายก็คงฟังแล้วเลยไปเฉย ๆ เพราะว่า "เกินภูมิ" ไปมาก อย่างเช่นว่า ดวงจิตของพระอรหันต์จัดเป็นอเหตุกจิต จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ดังนั้น..สิ่งที่พระอรหันต์กระทำจึงไม่ใช่กรรม เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ก่อให้เกิดบุญบาป นี่เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพสรุปลงมาให้พวกท่านฟังแบบง่ายที่สุดแล้ว อย่างอื่นถ้าพูดต่อไป ไอ้ที่เหนื่อยก็คือกระผม/อาตมภาพ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องฟังต่อหรอก..!

ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพเห็นว่าการเรียนพระอภิธรรมนั้นเป็นการ "หาเรื่องเหนื่อย" เรียนไปก็ไม่ได้อะไร นอกจากแบกกิเลสมาว่า "กูเก่ง" เพราะว่าพระอภิธรรมนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแก่บุคคลทั่วไป หากแต่ตั้งใจเทศน์โปรดพระพุทธมารดา ตลอดจนกระทั่งพรหมเทวดาที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล แค่ฟังหัวข้อก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร เข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้นได้ ขนาดนั้นยังต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วคิดว่ามีมนุษย์หน้าไหนสามารถฟังพระอภิธรรมต่อเนื่องได้ถึง ๓ เดือนโดยที่ไม่ตายเสียก่อนบ้าง ?

พอบอกว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือพรหมเทวดาก็เข้าใจเลยว่าธรรมที่เป็นกุศล ประกอบด้วยอะไรบ้าง ธรรมที่เป็นอกุศลประกอบด้วยอะไรบ้าง ธรรมที่เป็นกลาง ๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ดังนั้น..กำลังใจของพระอรหันต์จึงเป็นอัพยากฤต ก็คือไม่ปรุงแต่งไปในด้านบุญด้านบาป สิ่งที่ท่านกระทำเหลือเพียงกิริยาเท่านั้น กรรมจึงไม่มี

พวกท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในอธิกรณสมถะ วิธีระงับอธิกรณ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ทั้ง ๗ วิธี มีวิธีหนึ่งเรียกว่า สติวินัย ก็คือการที่สงฆ์สวดประกาศว่า สิ่งที่พระอรหันต์ท่านทำนั้นไม่นับเป็นอาบัติ เพราะว่าเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ ย่อมไม่ทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษหนัก

แต่ว่าบางอย่างที่ยังเป็นจริยาส่วนตัว หรือที่ภาษาไพเราะเขาว่าเป็น "วาสนาที่ตัดไม่ขาด" ก็อาจจะยังทำตามปกติ อย่างเช่นพระสารีบุตรเถระ พอต้องข้ามร่องข้ามรางกับคนอื่นเขา ท่านก็โดดข้ามเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระสารีบุตรเกิดเป็นลิงมาหลายชาติ ติดนิสัยของการกระโดดโลดเต้น ดังนั้น..เรื่องพวกนี้สำหรับพระอรหันต์จึงเป็นเพียงกิริยา ไม่ใช่กรรม แต่กรรมจะเกิดขึ้นถ้ามีคนไปตำหนิท่าน ยิ่งฟังก็ยิ่งมึน ดังนั้น..เอาแค่นี้ก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2022 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-11-2022, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,733 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ การที่สามเณรรูปหนึ่งออกมาไลฟ์สดต่อว่าต่อขานเจ้าอาวาส ในเรื่องที่ไม่ให้เงินกฐิน ๑,๐๐๐ บาท ประมาณว่า "กูก็ไม่ได้อยากได้หรอก แต่กูก็อยากได้" สรุปแล้วคนพูดยังสับสนเองเลย

ในเรื่องของกฐินนั้น ท่านทั้งหลายก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า "ถวายต่อพระภิกษุสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอารามนั้น" ที่บอกชัดเจนอย่างนี้ก็เพราะว่าถ้าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถรับกฐินได้ ก็จะมีการขอยืมตัวพระจากวัดอื่นไปร่วมเป็นคณะปูรกะ ก็คือให้เต็มคณะสงฆ์ เพียงพอที่จะรับกฐินได้ หรือถ้าอย่างที่พวกเราทำกัน อย่างเช่นวัดวังปะโท่ วัดพุทธบริษัท หรือว่าสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ก็จะขอตัวพระจากวัดเราไปตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษาเลย

คราวนี้ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ที่ไปร่วมเพื่อให้เต็มองค์สงฆ์ ที่เรียกว่าคณะปูรกะ จะไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินเหล่านั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ผ้าที่เกิดในที่นั้นเป็นของเธอ คำว่า เป็นของเธอ ในที่นี้ก็คือเป็นของพระที่จำพรรษา ณ ที่นั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วโดยหลักการปฏิบัติ เมื่อขอยืมตัวพระจากที่อื่นไป ผู้ยืมก็มีน้ำใจถวายค่ารถ ค่าเสียเวลาให้กับท่านบ้างเป็นปกติ นี่คือสิ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่

เหตุที่ต้องย้อนมาพูดถึงตรงนี้ ก็เพราะว่าสามเณรไม่มีการจำพรรษา ในเมื่อสามเณรไม่มีการจำพรรษา ย่อมไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นองค์กฐิน คือผ้าไตรเอง หรือว่าบริวารกฐินอย่างข้าวของเงินทอง

แต่ว่าหลวงพ่อเจ้าคุณวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งกระผม/อาตมภาพรู้จักท่านมาตั้งแต่ยังเป็นพระครูปลัด ท่านก็ยังเมตตาแก่สามเณร ก็น่าจะควักเงินส่วนอื่นถวายไปรูปละ ๑,๐๐๐ บาท พวกท่านต้องไม่ลืมนะว่าเขามีสามเณรถึงอยู่ ๑๔๐ รูป เพราะว่าเป็นสำนักเรียนใหญ่ ถ้าอยากรู้ว่าวัดบางพลีใหญ่ในมีอะไรดี แค่ไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมก็รู้แล้ว ห้องน้ำของเขานี่สุดยอดยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวอีก..!

แต่คราวนี้ผู้ที่ออกมาไลฟ์สดนั้นบวชเณรแก้บน ตัวเองก็อายุ ๓๐ แล้ว ในเมื่อบวชแก้บน แล้วก็ไม่ได้บวชเต็มในช่วงพรรษา ก็เลยโดนตัดออกไป ไม่ได้ให้อะไร แต่ปรากฏว่าความโลภของคนมีมากกว่าที่คิด เห็นคนอื่นได้ กูก็ต้องได้ด้วย ก็เลยไลฟ์สด จนกระทั่งท่านที่ไม่รู้ความจริงก็จะไปตำหนิติเตียนทางคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่ใน ก่อกรรมแก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2022 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-11-2022, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,733 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าเราดูกันตามหลักของธรรมวินัยแล้ว สามเณรไม่มีการจำพรรษา จึงไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกองกฐิน ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่เมตตา ก็คือต้อง "มือเปล่า" เลย อย่าว่าแต่สามเณรรูปนี้แค่บวชแก้บนเท่านั้น ไม่ได้อยู่จำพรรษา พูดง่าย ๆ ก็คือตลอดพรรษาฤดูฝน ไม่ได้อยู่ร่วมกับเขามาตั้งแต่ต้น

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะเกิดความเสียหายทันทีถ้าหากว่าเราไปรับมาแล้วก็แชร์ต่อ เพราะว่าญาติโยมส่วนใหญ่แล้วไม่เข้าใจเรื่องของธรรม เรื่องของวินัย เรื่องหลักการปฏิบัติของพระ คิดอยู่อย่างเดียวก็คือ เอาความสะใจที่ว่า "ขอให้ได้แชร์เท่านั้น" ส่วนความเสียหายจะเกิดกับคณะสงฆ์แค่ไหน ให้สงฆ์ไปแก้ไขกันเอง

ทำให้กระผม/อาตมภาพไปนึกถึงคำพูดของพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ที่ท่านปรารภว่า "ถ้าพวกมึงคิดกันอย่างนี้ กูก็เหนื่อยแหละ..!" ก็คือต้องตามแก้ปัญหากันไม่รู้จบ

จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งและชัดเจน เพราะถ้าหากว่ายึดตามหลักธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ บุคคลที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ต้องมีพรรษาพ้น ๑๐ รู้รายละเอียดในสังฆกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรู้ในพระธรรมวินัย อาจสามารถชี้แจงสั่งสอนให้กุลบุตรรู้ตามได้ แล้วถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรก็ต้องแก้ไขให้เขาได้อีกด้วย ถ้าหากว่าเราศึกษาไม่พอก็ต้องเร่งรัดตัวเองให้มากกว่านี้

ดังนั้น..ในวันก่อนที่กระผม/อาตมภาพกล่าวสัมโมทนียกถาในงานอบรมก่อนสอบ ถึงได้บอกกับเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า บางท่านบวชมาหวังความสงบ หวังแต่จะสวดมนต์ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน หาความสุขเฉพาะตัว ไม่ได้คิดที่จะศึกษาเล่าเรียนอะไรให้วุ่นวาย ก็เป็นความคิดที่ดี

แต่ความเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดเนื่องด้วยญาติโยมเขาสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ในเมื่อโยมสงเคราะห์มาทุกอย่าง ถึงเวลาโยมมีความทุกข์ใจมา แล้วเราไม่มีหลักธรรมอะไรเลยที่จะบอกกล่าวปลอบใจแก่ญาติโยมเขาเลย แล้วคิดว่าที่คุณไม่เรียนนั้นทำถูกไหม ? คิดว่าการไม่ศึกษาเล่าเรียน เราสามารถที่จะแสดงธรรมได้ดีไหม ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาพระธรรมใวินัยให้ละเอียด ให้เข้าใจลึกซึ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2022 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-11-2022, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,733 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งวิธีการตัดสินอธิกรณ์ เราก็ต้องอาศัยพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ รองลงไปถึงเป็นกฎหมายบ้านเมือง แล้วถัดจากนั้นถึงเป็นจารีตประเพณีที่ชาวบ้านนิยม ไม่ใช่อย่างปัจจุบันนี้ สมมติว่าโกงเงินวัดไป อย่างล่าสุดนี่ก็เห็นว่าขนไปเป็นล้านเลย แล้วก็โดนตำรวจจับได้ อ้างว่าต้องรอศาลตัดสินก่อน ถ้าผมผิดแล้วถึงจะสึก อันนั้นเขาเรียกว่าหลงประเด็น

เพราะว่าเรื่องของพระเรา ทันทีที่การกระทำนั้นสำเร็จลง ความผิดก็สำเร็จไปแล้ว อย่างเช่นว่าหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ทำเคลื่อนออกจากฐาน แค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถือว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ถ้าจะขาดความเป็นพระก็ขาดไปแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้ศาลตัดสิน ศาลชั้นต้นตัดสินแล้วก็ยังอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้วก็ยังฎีกา ศาลฎีกาตัดสินอฃแล้ว กูก็ยังฟ้องศาลปกครองต่อ นั่นจะหลงประเด็นไปกันใหญ่ ดังนั้น..ผู้ที่จะตัดสินอธิกรณ์ เขาถึงได้บอกว่าต้องเป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย อยู่พร้อมหน้ากันทั้งโจทก์และจำเลย

ปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ของเรา ต้องบอกว่าค่อนข้างจะหย่อนยาน แล้วก็คล้อยตามทางโลกมากจนลืมไป แม้กระทั่งกฎหมายบางข้อที่บัญญัติขึ้นมาแล้วค้านกับพระธรรมวินัยก็ไม่มีการติติงหรือว่าทักท้วงกัน อย่างเช่นว่าถ้าพระสงฆ์ต้องคดี ต้องสึก ก็คือเอาผ้าเหลืองออกเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่คดีความเหล่านั้นยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านผิดหรือเปล่า ? ก็ในเมื่อพวกเราไม่ทักท้วงกัน ถึงเวลากฎหมายเหล่านี้ออกมาก็ประดักประเดิกอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

จึงต้องขอฝากไว้กับท่านทั้งหลายว่า เรื่องพวกนี้อะไรที่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าท่านสงสัย ยังสามารถไต่ถามกระผม/อาตมภาพได้ แต่ถ้าหากว่าสิ้นกระผม/อาตมภาพไป ท่านทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาจนสามารถที่จะชี้แจงแสดงเหตุให้ครบถ้วนได้ ไม่อย่างนั้นแล้วความเสียหายและหย่อนยานก็จะเกิดกับคณะสงฆ์ของเราไปเรื่อย ท้ายที่สุดพระพุทธศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2022 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว