กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-04-2022, 23:15
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,066 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"

ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"



วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๙.๐๐ น. พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ประธานชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลท่าขนุน เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) บรรยายธรรมในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม" แทนพระเดชพระคุณพระราชวิมลโมลี, ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ซึ่งอาพาธ ณ กุฏิข้างป่าช้า วัดอุทยาน ถนนเลียบคลองบางกอกน้อย หมู่ที่ ๕ ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-04-2022, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอเจริญพรญาติโยมทั้งหลาย ที่เข้ามาฟังรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมครั้งที่ ๓๔ ภายในวันนี้ เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์พระปลัดสรวิชญ์ ท่านได้แนะนำประวัติไปแล้วว่า กระผม/อาตมภาพเคยออกธุดงค์มา

กระผม/อาตมภาพนั้นตั้งใจที่จะบวชมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าความพร้อมไม่มี เหตุที่ความพร้อมไม่มีนั้น ก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนกรรมฐานให้ แล้วเกิดสภาวะแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บุคคลทั่วไปที่กำลังใจของเราไม่ได้รับการฝึกหัด เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ แต่ว่าพอฝึกหัดไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มนิ่งแล้ว ก็เหมือนกับที่น้ำนิ่ง สามารถสะท้อนให้เห็นสิ่งต่าง ๆ รอบข้างได้ชัดเจนมาก

ตรงจุดนี้ก็เลยทำให้กระผม/อาตมภาพ ไปเห็นในสิ่งที่น่ากลัวสำหรับนักบวช ก็คือไปเห็นในส่วนที่เป็นทุคติภูมิ พูดง่าย ๆ ว่านรก และเห็นว่านักบวชทั้งหลายนั้นลงไปในนรกกันเยอะมาก ทำให้ไม่กล้าที่จะบวช ทั้ง ๆ ที่ใจรักทางด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก

เพราะว่าทางด้านบ้านของกระผม/อาตมภาพนั้น อยู่ใกล้กับวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ของทางด้านคณะสงฆ์ธรรมยุต เท่านั้นยังไม่พอ เนื่องจากว่าสภาพตอนที่เด็ก ๆ นั้นภูมิประเทศรอบข้างส่วนใหญ่คือป่า ก็ทำให้มีพระธุดงค์ไปปักกลดปฏิบัติธรรมกันบ่อย ๆ ได้ถวายการรับใช้ ได้ฟังท่านเล่าเรื่องราวลี้ลับต่าง ๆ ก็เกิดความอยากจะบวชแล้วทำให้ได้อย่างท่านบ้าง

แต่ปรากฏว่าพอมาฝึกกรรมฐานเข้าจริง ๆ สภาวะที่เกิดขึ้น ต่อให้ "รู้หนอ..เห็นหนอ" อย่างไรก็ไม่หาย กลับชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือพอเรายิ่งไม่สนใจก็ยิ่งเห็นชัด ก็เลยทำให้กลัว ไม่กล้าที่จะบวช เพราะว่าบวชไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างท่านทั้งหลายที่เห็นเหล่านั้นหรือเปล่า ? จึงผลัดมาแล้วผลัดมาอีก เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า

จนกระทั่งอายุ ๒๗ ปี ซึ่งตอนนั้นชีวิตก็กำลังรุ่งเรืองมาก เพราะว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง เงินเดือนประมาณ ๗,๐๐๐ บาท ซึ่งตรงจุดนี้ญาติโยมต้องเข้าใจว่า สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๐๐๐ กว่าบาทเท่านั้น เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท สามารถซื้อทองได้ตั้ง ๓ บาทกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-04-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนวิชากรรมฐานแล้วเกิดสภาวะพิเศษที่ว่านี้ขึ้นมา ท่านถามว่า "ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ รูป กระผม/อาตมภาพจะบวชให้กับท่านได้หรือเปล่า ?" จึงมาคิดว่า ตัวเราเองก็อยากจะบวชมานานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าบวช แล้วนี่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอบถามแล้ว เราควรที่จะบวชหรือยัง ? เมื่อมานึกย้อนว่าทำไมเราไม่กล้าบวช ทั้ง ๆ ที่อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก ? ก็มาเห็นว่า ที่ไม่กล้าบวชเพราะว่ากลัวอบายภูมิ..!

แต่คราวนี้ก็มานึกอีกครั้งหนึ่งว่า แล้วพระในอดีต ถ้าไล่ยาวไปจนถึงสมัยพุทธกาลเลย จนกระทั่งมาจนถึงรุ่นของครูบาอาจารย์ ท่านมีความรู้ มีความสามารถ โดยเฉพาะในสมัยพุทธกาล ท่านสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานกันได้มากมาย แล้วทำไมตรงจุดนี้เราถึงไม่สามารถที่จะทำได้อย่างท่าน ? ก็เพราะว่าเรายังเกรงกลัวอยู่ โดยเฉพาะกลัวต่อความตาย ในเมื่อเรากลัวความตาย ก็เลยทำให้เราเองไม่กล้าที่จะทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก จึงเกิดเหตุที่ทำให้ไม่กล้าบวชมาจนกระทั่งอายุ ๒๗ ปีเข้าไปแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ยุคสมัยนี้ของเรา เมื่อศึกษาในระเบียบวินัยของพระแล้ว ศีลมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อ เหตุที่ศีลมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อ ก็เพราะว่าศีลที่เกี่ยวกับภิกษุณี เราได้กำไรเก็บเอาไว้เฉย ๆ เพราะว่าไม่มีนางภิกษุณีแล้ว การประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับนางภิกษุณี ที่จะผิดจะพลาดทำให้ละเมิดศีลจนเกิดโทษต้องลงอบายภูมิก็ไม่มี

บรรดาข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีวร อาสนะ เสนาสนะต่าง ๆ พระสงฆ์ก็ไม่ต้องสร้างเอง ไม่ต้องทำเอง เพราะฉะนั้น...พวกบรรดาอาบัติต่าง ๆ ที่จะทำให้ศีลขาดเหล่านี้ ก็เท่ากับว่าไม่มี เพราะว่าสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็หามาถวาย หรือว่าจัดสร้างถวายให้

ในเมื่อได้กำไรมากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่ายังพลาดลงอบายภูมิก็ต้องถือว่าเราไร้ความสามารถเอง จึงรับปากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า "ตกลงครับ กระผมจะบวชให้ตามที่หลวงพ่อต้องการ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-04-2022, 22:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อบวชเข้ามาแล้ว จากการที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมา จึงทำให้รู้ว่า ถ้าเรายังไม่ครบ ๕ พรรษา ก็ไม่ควรที่จะไปจากครูบาอาจารย์ เพราะว่าการไปจากครูบาอาจารย์ก่อนที่จะครบ ๕ พรรษานั้น พระวินัยเขาว่ายังไม่ได้นิสัยมุตตกะ คือยังไม่พ้นจากการปกครองของครูบาอาจารย์ ก็จะเกิดโทษในการไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยขึ้นมาได้

ดังนั้น...ในช่วงระยะ ๓ - ๔ พรรษาแรก
กระผม/อาตมภาพจึงมีหน้าที่อยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ทำหน้าที่การงานตามที่ครูบาอาจาย์มอบหมายให้ อย่างที่สองก็คือ ทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก..!

คำว่า เอาชีวิตเข้าแลกตรงนี้ก็คือไม่เลือกเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม ถ้าหากว่าตื่นอยู่ จะปฏิบัติธรรมตลอดเวลา จนกระทั่งระยะนั้นส่วนใหญ่แล้วคืนหนึ่งก็จะได้จำวัด คือนอนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็ยังฉันมื้อเดียวอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วงว่าบุคคลที่พบกระผม/อาตมภาพในสมัยนั้นกับสมัยนี้ ทุกคนจะทักว่าอ้วนขึ้น แต่คำว่าอ้วนขึ้นในที่นี้ ก็ยังผอมอยู่ในสายตาของคนทั่วไป เพียงแต่ว่ามีเนื้อมีหนังขึ้นมามากกว่าตอนนั้น

คราวนี้เมื่อศึกษานักธรรมจนกระทั่งจบนักธรรมชั้นเอก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็บอกว่า "ความรู้ของแกพอคุ้มตัวได้แล้ว เรื่องของสมาธิสมาบัติต่าง ๆ ก็ฝึกซ้อมจนคล่องตัวแล้ว อนุญาตให้ออกธุดงค์ได้"

ในเมื่อท่านอนุญาตให้ออกธุดงค์ได้ ก็ดีใจว่าความสามารถของเราเพียงพอที่ครูบาอาจารย์ปล่อยให้ออกไปธุดงค์ก่อนที่จะครบ ๕ พรรษา เมื่อพระพี่พระน้องได้ยินว่าจะไปธุดงค์ คนโน้นก็ขอตาม คนนี้ก็ขอตาม ไม่ทราบเหมือนกันว่ากระผม/อาตมภาพมีอะไรดี ทำให้คนอื่นมักจะเห็นเป็นผู้นำอยู่เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-04-2022, 22:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็เลยออกธุดงค์ แต่ปรากฏว่าสถานที่แรกเลยที่เลือกก็คือ เมืองลับแล ไม่ใช่เมืองลับแลของจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เป็นลับแลที่ภาษาสายวัดป่าท่านเรียกว่า ชาวบังบด ก็คือบรรดาท่านที่อยู่อีกภพภูมิหนึ่ง ที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับเราทุกอย่าง คุณความดีของท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เพียงพอที่จะเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมกับพวกเราได้ จึงต้องมีเขตหนึ่งแยกต่างหากออกไปตามกัมมวิปากชาฤทธิ์ ก็คือฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของท่าน

เขตทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีบุญมีกุศลร่วมกันมาจริง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ แต่ว่าบุคคลที่เคยมีบุญ มีกุศล มีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์กันมา บางทีก็หลงเข้าไปเอง บางทีเมื่อตั้งใจไป ท่านก็จะอนุญาตให้เข้าไปได้

แต่ว่าสถานที่นั้นต้องเดินผ่านป่าใหญ่ไพรทึบไปเป็นวัน ๆ เมื่อพระพี่พระน้องทั้งหมดได้ยินว่าจะต้องไปบุกป่าฝ่าดงกันขนาดนั้น ท่านจึงถอนตัวกันหมด แต่กระผม/อาตมภาพตั้งใจแล้วว่า ต่อให้ตายก็ต้องไปตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

ปรากฏว่าเมื่อไปถึงสถานที่บริเวณซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ป่าใหญ่ เมื่อชาวบ้านชี้ทางให้ว่าต้องเดินไปตามทางนี้เรื่อย ๆ จนกว่าที่จะเข้าไปในพื้นที่นั้นได้ ทันทีที่เห็นสภาพป่า กำลังใจของ
กระผม/อาตมภาพก็เหลืออยู่แค่ว่า "ตายแน่..ตายแน่" เท่านั้น จะ "ตายหนอ" หรือ "ตายแน่" ก็คือตายแน่ ๆ..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ในตอนแรก
กระผม/อาตมภาพคิดว่าเป็นรอยเท้าสัตว์เลี้ยง ปรากฏว่าไม่ใช่ ญาติโยมชาวกะเหรี่ยงที่พูดไทยไม่ชัดเลย บอกว่าเป็นสัตว์ป่า พอเห็นว่ารอยเท้าเหมือนอย่างกับรอยเท้าวัวควายในคอก ก็คือรอยซ้อนรอย รอยซ้อนรอยมากจนประมาณไม่ถูก แล้วเสียงสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่ร้องอยู่ในป่า ก็บอกให้รู้ถึงปริมาณว่ามีมากแค่ไหน

แต่กำลังใจก็คิดว่า "ในเมื่อเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งที ถ้าไปตายข้างหน้า คนเขายังว่าเรากล้า ถ้าถอยหลังมาแล้วตาย คนเขาจะตำหนิว่าเราขี้ขลาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ขึ้นหน้าเถอะ..!" เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาบุกป่าฝ่าดงไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 10-04-2022, 16:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ฟังอยู่ว่า การเข้าป่านั้นกำลังใจต้องเข้มแข็งจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว อำนาจของป่าใหญ่จะข่มท่าน จนกระทั่งความกลัวมีมากกว่าความกล้า ถ้าความกลัวมีมาแต่พอดี จะช่วยให้กำลังใจของเราเกาะความดีได้เร็วมาก แต่ถ้าความกลัวเกินพอดี เราอาจจะขาดสติ เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ บางท่านก็ถึงขนาดเสียสติ บ้า ๆ บอ ๆ ไปเลยก็มี

กระผม/อาตมภาพก็พยามยามข่มใจตนเอง อาศัยนึกถึงพระเป็นหลักว่า ถ้าหากว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตลงไป เราก็ขอให้พระท่านเป็นที่พึ่งอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อบุกเข้าไปในสถานที่นั้นจนค่ำ ก็ไปปักกลดพักนอนอยู่ ปรากฏว่ารอบข้าง ไม่ทราบว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นผีหรือเป็นอะไร เสียงเกรียวกราวไปทั้งคืน แต่ด้วยความที่เดินป่าบุกเขามาทั้งวัน เหนื่อยมาก แรก ๆ ก็ยังรักษาสภาพจิตให้อยู่กับการภาวนาได้ แต่ว่าท้ายที่สุดก็ตามจิตตัวเองไม่ทัน ตัดวูบเดียว หลับไปตอนไหนไม่รู้ ? มาตื่นอีกทีตอนใกล้รุ่ง

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็คือวางกำลังใจว่า เราไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร แค่มาอาศัยสถานที่นี้เพื่อปฏิบัติธรรมชั่วคราวเท่านั้น สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นคุณความดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้โมทนาด้วย แต่ถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่ใช่ความดีความงามแล้ว ท่านทั้งหลายอย่าได้รบกวนเลย เพราะว่ายังเป็นพระใหม่ ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นมือใหม่หัดเดินป่าเท่านั้น

เมื่อเข้าไปจนถึงสถานที่นั้น ก็พบกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ก็คือว่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ชาวบ้านชาวช่องคล้าย ๆ กับบ้านนอกต่างจังหวัดของเรา แต่มีความสมบูรณ์เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะไร่ จะนา จะสวน ล้วนแล้วแต่พืชผลสมบูรณ์กว่าบ้านเราที่ใส่ปุ๋ยใส่ยาเสียอีก

จนกระทั่งได้หลักจากเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า เขาออกมาทำบุญกับพวกเราบ่อย ๆ แต่ว่ให้สังเกตว่า ถ้าเขามา...อันดับแรกเลย จะนำอาหารที่เป็นมังสวิรัติมา หรือนำผักผลไม้มา ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกล้วย กล้วยของเขาจะหวีใหญ่มาก หวีหนึ่งอย่างน้อยมี ๑๖ ลูก ถ้ามาเป็นเครือ เครือหนึ่งอย่างน้อยจะมี ๑๓ หวีขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 21:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 10-04-2022, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเคยถ่ายรูปเอาไว้ แต่ว่าสมัยนั้นเป็นกล้องฟิล์มเก่า ๆ ภาพก็ไม่ชัดเจนนัก หลังจากที่โยกย้ายวัดมาหลายแห่ง ทำให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังสามารถหาต้นฉบับเจอหรือไม่ ?

เรื่องราวทั้งหลายนี้ ถ้าเราไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ก็จะทำให้พวกเราไม่เชื่อ แต่ว่าเมื่อพบเห็นด้วยตนเอง ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง เพราะว่าการธุดงค์ครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อถึงเวลาเข้าป่าใหญ่ดงสูง บางที ๑๐ กว่าวันไม่เจอบ้านคนเลย ไม่รู้ว่าจะหาอาหารบิณฑบาตจากที่ไหน จนต้องตั้งใจขอบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ ก็ปรากฏว่าทั้ง ๆ ที่เป็นป่า แต่มีแม่ค้าส้มตำหาบเดินสวนมา..! เมื่อเห็นพระก็ทำท่าดีอกดีใจว่าได้มีโอกาสทำบุญแล้ว แล้วก็จัดแจงตำส้มตำถวายพระ..!

กระผม/อาตมภาพได้รับบทเรียนมาหลายครั้งว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าขี้สงสัย เพราะถ้าขี้สงสัยเมื่อไร บางทีเขาอาจจะไม่สงเคราะห์เราเลย จึงรับเอาอาหารที่เขาถวาย เมื่อฉันเสร็จ ให้พรเสร็จ ก็มองส่งเขาไปจนสุดสายตา

แล้วสิ่งที่สงสัยก็คือว่า หาบของเขานั้น ด้านหนึ่งก็คือพวกครก พวกเครื่องปรุง พวกผักต่าง ๆ อีกด้านหนึ่งเป็นมะละกอ ๑ ลูกเท่านั้น แต่มะละกอลูกนั้นโตเต็มหาบพอดี..! ก็เลยทำให้คิดว่าจะต้องเป็นท่านทั้งหลายที่ออกมาจากในพื้นที่แบบนั้นแน่นอน เพราะว่าพืชผลการเกษตรทุกอย่างของเขานั้น มีความเจริญงอกงามกว่าข้างนอกเยอะมาก อย่างต้นลิ้นจี่ แต่ละต้นนี่ลูกดกจนกิ่งย้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นลิ้นจี่ป่า ที่คนไทยเราเรียกว่า "คอแลน"

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านมีโอกาสเข้าไปก็ให้ระมัดระวังด้วย เพราะว่าระยะเวลาไม่นาน ทางด้านนอกจะผ่านไปหลายวันหลายคืน กระผม/อาตมภาพแนะนำพระรุ่นน้องที่อยากจะเข้าไปว่า ถ้าไปถึงตรงนั้นก็จะเป็นเขตของพวกบังบด ปรากฏว่าพระรุ่นน้องท่านเดินหายไปประมาณครึ่งวัน แล้วก็กลับออกมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 21:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 10-04-2022, 16:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่อาสานำทางไปส่งตรงปากทาง ถามว่าเข้าไปถึงหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าแค่เข้าไปถึงเขตที่อากาศไม่เหมือนข้างนอกก็หยุด แล้วเดินกลับออกมา ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ว่าข้างนอกผ่านไปแล้วครึ่งวัน ถามว่าอากาศไม่เหมือนข้างนอกอย่างไร ? ท่านเล่าให้ฟังว่า มีแสงสว่างมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ไม่มีต้นกำเนิดแสง ไม่มีดวงอาทิตย์

ส่วนอีกท่านหนึ่งไป ก็ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าท่านนี้ภาวนาเก่ง แม้แต่เดินอยู่ก็ภาวนาได้ ท่านจึงภาวนาเพลินไป ปรากฏว่าพอเงยหน้าขึ้นมา เห็นบรรยากาศเป็นอย่างที่เพื่อนฝูงเล่าให้ฟังว่า มีแสงสว่างมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ต้นไม้ไม่มีเงา แล้วไม่มีแหล่งกำเนิดแสง จึงรีบเดินย้อนออกมา ปรากฏว่าหายไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน..!

ภายหลังเมื่อกระผม/อาตมภาพได้เดินทางข้ามไปฝึกฝนตนเองทางประเทศพม่า พอดีตรงกับวันพระ ได้ไปภาวนาอยู่บนภูเขา เพราะว่าเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย เนื่องจากว่าทางด้านชาวมอญชาวพม่านั้น เมื่อถึงเวลาก็จะแห่กันมาทำบุญหมดทั้งหมู่บ้าน จึงมีความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำข้าวปลาอาหารอะไรก็ตาม
กระผม/อาตมภาพจึงหนีขึ้นไปภาวนาอยู่บนเขา ก็คือพิงผนังเขา แล้วก็ภาวนาเงียบ ๆ อยู่

ปรากฏว่าอยู่ ๆ มีบุคคลผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เหมือนอย่างกับผุดขึ้นมา แวบเดียวก็มายืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นดังนั้น
กระผม/อาตมภาพก็คิดว่า "นี่ไม่ใช่คนปกติแล้ว" จึงส่งเสียงทักไปว่า "โยม...เป็นภพภูมิไหนหรือ ?" เขาเองเขาก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะมีพระมานั่งซุ่มเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้

ในเมื่อเห็นเขา เขาก็ยอมรับ บอกว่า "เป็นชาวลับแลครับ"
ก็ถามว่า "แล้วโยมมาทำอะไร ?"
เขาบอกว่า "จะมาทำบุญที่วัดนี้ เนื่องจากว่าเป็นวันพระใหญ่"
ก็ถามว่า "ที่โยมมานี่เป็นฤทธิ์ เป็นอภิญญา ตามที่มีในพระไตรปิฎก หรือว่าอย่างไร ?"
ท่านบอกว่า "ไม่ใช่ขอรับ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม ที่ภาษาบาลีเรียกว่ากัมมวิปากชาฤทธิ์ พวกผมทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ทั้งหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 21:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 10-04-2022, 16:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเกิดคะนองปาก บอกเขาว่า "ลองมาแข่งกันหน่อยไหม ว่าใครจะลงมาถึงข้างล่างก่อนกัน ?" ปรากฏว่าชาวลับแลผู้นั้นบอกว่า "ถ้าจะแข่งกันธรรมดาก็ไม่สนุก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน"

แล้วท่านก็ล้วงถุงผ้าออกมาแล้วเปิดให้ดู ปรากฏว่าข้างในเป็นเหรียญเงินใหญ่ ๆ รูปพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระบรมราชินีนาถของอังกฤษทั้งถุงเลย บอกว่า "ถ้าหากว่าท่านลงไปถึงก่อน ผมถวายหมดทั้งถุงนี้เลย แต่ถ้าหากว่าผมลงไปถึงก่อน ท่านต้องนิมนต์เพื่อนพระอีก ๔ รูป รวมกับท่านเป็น ๕ รูป ไปให้กระผมทำบุญถึงที่บ้าน ๑ วัน"

เมื่อนึกตรองดูแล้วว่า ครูบาอาจารย์ท่านเตือนว่า วันเวลาในเขตนั้น ๑ วันเท่ากับข้างนอก ๑ ปี ทำให้ไม่กล้ารับคำท้าของท่าน เพราะว่าถ้าหายไป ๑ ปี คงได้เดือดร้อนกันเป็นแน่ เนื่องจากว่าข้ามไปอีกประเทศหนึ่ง แล้ววีซ่าก็อาจจะหมดอายุเสียก่อน เป็นต้น

ในเมื่อไม่รับ ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ครับ ถ้าหากว่าท่านมาที่นี่อีก ให้มายืนบริเวณนี้แล้วเรียกผม ผมจะออกมารับ" แล้วท่านก็เปิดทางให้ดู ปรากฏว่าจุดที่เราเห็นเป็นภูเขาทั้งลูก อยู่ ๆ ก็ว่างโล่งไปเฉย ๆ แล้วก็เป็นป่า เป็นลำห้วยลำธาร เป็นหมู่บ้านอยู่ข้างใน

แต่ว่าตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้
กระผม/อาตมภาพยังไม่ได้กลับไปเลย เหตุเพราะว่าไม่มีเวลาว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากว่าถ้าตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก ก็คือ ๑ วันของเขาเท่ากับ ๑ ปีของเรา ถ้าเวลาต่างกันขนาดนั้น เราเข้าไปสักวันสองวัน กว่าจะออกมาข้างนอกได้ ญาติโยมข้างนอกก็คงจะวุ่นวายกันน่าดู

ตรงจุดนี้ที่สามารถเป็นไปได้นั้น ขอบอกว่าไม่ใช่ความสามารถของกระผม/อาตมภาพเอง แต่ว่าเป็นท่านทั้งหลายเหล่านั้นเปิดโอกาสให้ ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นเปิดโอกาสให้ ก็แสดงว่าในอดีตต้องเคยมีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน ก็เลยทำให้ตรงจุดนี้ ช่วยให้เราสามารถที่จะเข้าไปในเขตแดนของท่านได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2022 เมื่อ 21:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 12-04-2022, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การธุดค์นั้น ส่วนที่อยากเตือนแก่ญาติโยมทั้งหลายก็คือว่า ในปัจจุบันนี้พระธุดงค์ส่วนใหญ่กลายเป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เหตุที่กลายเป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เพราะว่าอาจจะมีแนวคิดวิธีการอะไรที่ไม่เหมือนเขา ก็เลยทำให้แปลกแยกจากสังคม จนต้องต้องไปเข้าป่า

ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ ยังไม่ทันจะศึกษาพระธรรมวินัยจากครูบาอาจารย์จนกระทั่งได้นิสัยมุตตกะก็เข้าป่าเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยไปทำผิด ทำพลาด ทำให้ญาติโยมตำหนิติเตียน ทำให้คนเสื่อมความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของเราได้

อีกประการหนึ่งก็คือว่า เมื่อท่านทั้งหลายไปโดยที่ตนเองไม่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา ท่านทั้งหลายที่เป็นอีกภพภูมิหนึ่งก็ไม่มายุ่งมาเกี่ยวด้วย เพราะเหมือนกับว่ามาแล้วท่านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ว่าถ้าหากว่าท่านเป็นผู้ที่พอจะมีศีล มีสมาธิอยู่บ้าง เขาทั้งหลายเหล่านี้มักจะมาขอส่วนกุศล

กระผม/อาตมภาพเองเคยธุดงค์ไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีบ้านหลังใหญ่สร้างอยู่ เป็นบ้านไม้ชิงชันทั้งหลัง กว้างพอกับศาลาวัดเลย แต่ว่าเจ้าของอยู่ไม่ได้ เหตุที่อยู่ไม่ได้เพราะเขาลือกันว่าผีดุ กระผม/อาตมภาพก็เลยเข้าไปพักดู ปรากฏว่ายังไม่ทันจะดึก ประมาณแค่ ๒ ทุ่มครึ่ง ๓ ทุ่มเท่านั้น เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็แห่กันมา ถ้าใช้สำนวนชาวบ้านก็คือ "เหมือนกับป่าช้าแตก" กระผม/อาตมภาพดูใจของตนเองว่าเรากลัวหรือไม่ ขอบอกอย่างไม่อายว่า "กลัว"

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า การที่ยังสามารถนั่งอยู่ได้นั้น เนื่องจากสติรั้งเอาไว้ว่า ที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มานั้น ไม่ได้มาเบียดเบียนเรา แต่ส่วนใหญ่ก็คือต้องการความดี ต้องการบุญกุศลจากเรา แต่ที่รู้ว่าตัวเองกลัว ก็เพราะว่าขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา สันหลังเย็นวาบ ๆ เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2022 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 12-04-2022, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเขาทั้งหลายมาถึง จึงได้สอบถามว่า "ทำไมถึงต้องมาหลอกกันด้วย ?" เขาก็ปรึกษากันพักหนึ่ง แล้วก็ส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย มาบอกว่า "ขอเรียนพระคุณเจ้าได้ทราบว่า ที่พวกกระผมมานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะมาหลอกใคร แต่พวกกระผมเป็นผู้ที่มีบุญน้อย เหมือนกับยาจก เหมือนกับขอทาน แต่งตัวสวยที่สุดแล้ว ก็คือสิ่งที่ท่านทั้งหลายเห็นแล้ววิ่งหนีกัน ทำให้กระผมกับพรรคพวกไม่มีโอกาสที่จะบอกกล่าวเลยว่าตนเองต้องการอะไร"

"เมื่อพระคุณเจ้าเปิดโอกาสให้ ก็ขอให้ช่วยถวายสังฆทานให้แก่พวกกระผมด้วย" จึงได้รับปากเขาทั้งหลายเหล่านั้นไปว่า "จะถวายสังฆทานให้ แต่ว่ามีหลักฐานอะไรว่าพวกท่านอยู่ตรงนี้ ?" เขาก็ชี้มือไปด้านหนึ่ง บอกว่า "ทางด้านนั้นมีกระดูกของพวกผมอยู่ ทางเจ้าของที่ตอนสร้างบ้าน เมื่อขุดหลุมแล้วเจอกระดูกเข้า ก็เอาใส่โอ่งแล้วตั้งศาลเอาไว้ให้ มีกระดูกพวกผมอยู่ทางด้านโน้น ๒ โอ่ง..!"

เมื่อเป็นเช่นนั้น รุ่งเช้าขึ้นมา ก่อนบิณฑบาต
กระผม/อาตมภาพก็เลยเดินไปดู ปรากฏว่ามีศาลเล็ก ๆ อยู่ แล้วก็มีโอ่งใบไม่ใหญ่นัก ประมาณโอบเดียว ๒ ใบ ใส่กระดูกอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้คาดว่าตรงจุดนั้นน่าจะเป็นป่าช้าเก่า จึงทำให้บุคคลที่มาซื้อที่ตรงนั้น สร้างบ้านแล้วไม่สามารถที่จะอยู่ได้

เมื่อออกบิณฑบาตกลับมา ฉันเสร็จ..ยังไม่ทันที่จะปฏิบัติศาสนกิจอะไรต่อ ปรากฏว่ามีคนเดินเกาะกันมาเป็นหางเลย มากันห้าหกคน คนเดินนำหน้ามารายงานตัวว่าเป็นเจ้าของบ้าน ได้ยินว่ามีพระมาอยู่ตรงนี้ ๒ วันแล้ว จึงได้พาลูกน้องมา แต่ว่ามาด้วยความกล้าหาญสุดขีด ก็คือมาเอาตอนเกือบเพล ต้องการที่จะให้มีแสงแดดจัด ๆ ผีจะได้ไม่หลอก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2022 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 12-04-2022, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพได้บอกกับเขาไปว่า "บรรดาท่านที่มานั้นไม่ได้ตั้งใจมาหลอก แต่ว่ามาเพราะต้องการบุญ ต้องการกุศล เพียงแต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นบุญน้อย เมื่อถึงเวลามา แต่งตัวได้สวยเต็มที่ก็ที่ท่านทั้งหลายวิ่งหนีกัน ต่อไปอย่าได้กลัวอีก เราเป็นเศรษฐี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกลัวขอทาน" เจ้าของบ้านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดีแล้วขอรับ กระผมจะถวายอาหารในวันพรุ่งนี้ แล้วก็กรวดน้ำอุทิสส่วนกุศลไปให้ ขออย่างเดียวว่า รับส่วนกุศลไปแล้ว อย่ามารบกวนกันแบบนี้อีก"

ในเมื่อเป็นไปตามนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ย้ายที่ต่อไป เพราะว่าพระนักปฏิบัติถ้าติดที่ติดทางแล้วก็มักจะเกิดความประมาท ก็คือพออยู่จนเคยชิน สภาพจิตเริ่มนิ่งนอนใจ ก็จะไม่เอาการภาวนา เผลอเมื่อไรก็จะนอนสบายอย่างเดียว

เมื่อผ่านไปได้ปีเศษ
กระผม/อาตมภาพก็ได้ย้อนกลับไปทางด้านนั้นอีก ปรากฏว่าไม่มีบ้านหลังนั้นแล้ว เมื่อสอบถามญาติโยมที่เส้นทางบิณฑบาต ญาติโยมบอกว่า "เมื่อหลวงพ่อมาอยู่แล้วทำให้สงบเรียบร้อยลงได้ เจ้าของบ้านก็เลยตัดสินใจขายที่ขายบ้าน แต่เนื่องจากว่าคนซื้อบ้านกับคนซื้อที่ดินเป็นคนละรายกัน คนซื้อบ้านก็เลยต้องรื้อบ้านไป ทางด้านเจ้าของที่ดินก็ยังไม่ได้เข้ามาทำประโยชน์ จึงรกเป็นป่าอย่างที่พระคุณเจ้าได้เห็น"

ที่เล่าตรงจุดนี้ให้พวกเราฟังนั้น เหตุก็เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สภาวธรรมอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้น แม้ว่าท่านต้องการหรือไม่ต้องการ ก็คืออุปกิเลสตัวที่เรียกว่าญาณ เครื่องรู้ปรากฏ

ถ้าสภาพจิตของเรานิ่งพอ ก็จะสะท้อนภาพต่าง ๆ ให้ปรากฏชัด เหมือนกับสะท้อนเงาลงในน้ำ ถ้าเราจัดการไม่ถูกต้อง จากอุปกิเลสที่แปลว่าใกล้จะเป็นกิเลส ก็จะเปลี่ยนเป็นกิเลสไปทันที ทำให้เราเสียเวลาในการปฏิบัติธรรม ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ เพราะว่าปฏิบัติเมื่อไรก็อยากเห็นแบบนั้น ปฏิบัติเมื่อไรก็อยากได้แบบนั้น ในเมื่อท่านเอาความอยากนำหน้า เอาตัณหานำทาง โอกาสที่จะได้แบบนั้นจึงไม่มีอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 13-04-2022, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครูบาอาจารย์บางท่านถึงขนาดฟันธงว่า ถ้าท่านเคยได้สภาวธรรมดี ๆ แล้ว อย่าหวังเลยว่าจะได้แบบนั้นอีก ก็เพราะว่าจัดการไม่เป็น ภาวนาเมื่อไรก็อยากได้แบบนั้น ภาวนาเมื่อไรก็อยากเป็นแบบนั้น ก็เลยทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่นิ่ง ไม่สงบอย่างแท้จริง

กระผม/อาตมภาพเองก็เคยเกิดปัญหานี้เป็นปี ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็ตัดใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะเป็นหรือไม่ จะเห็นหรือไม่ เราไม่สนใจ ปรากฏว่าพอวางกำลังใจแบบนี้ ก็สามารถที่จะกลับไปสู่ความนิ่งได้เท่าเดิม ในเมื่อนิ่งได้เหมือนเดิม ก็สามารถที่จะรู้เห็นแบบนี้ได้อีก

ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีทั้งประโยชน์และมีทั้งโทษ คำว่ามีประโยชน์ก็คือ เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ทำเมื่อไรก็เป็นมหากุศลแก่ตัวเรา และเป็นสิ่งที่จะติดตามเราไปในทุกชาติทุกภพ จนกว่าท่านจะจบเส้นทางการเวียนว่ายตายเกิด ก็คือเข้าสู่พระนิพพาน

ไม่เช่นนั้นในเรื่องของบุญนั้นยังเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าจะหนุนเสริมให้ท่านไปสู่สุคติ ไม่ว่าจะเป็นสุคติเบื้องสูงหรือว่าสุคติเบื้องต่ำก็ตาม จะคอยกันไม่ให้ท่านทั้งหลายลงสู่ทุคติ

แต่ท่านทั้งหลายต้องคอยกระทำด้วยความไม่ประมาท คือย้ำบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ลักษณะแบบเดียวกับที่เรากินอาหาร ก็คือต้องกินทุกวัน เราถึงจะไม่หิว ลักษณะของการปฏิบัติธรรม ก็คือต้องปฏิบัติทุกวันเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะฟุ้งซ่านได้ง่าย

ถ้าหากว่าสภาพจิตของเราโดนกิเลส คือความฟุ้งซ่านเข้ามา ก็จะทำให้เราเสียผลของการปฏิบัติไปนานมาก กว่าที่จะตีคืนได้ บางท่านก็ถึงขนาดท้อใจไปเลย สภาวะเช่นนี้บางคนเรียกง่าย ๆ ว่า "สมาธิตก" บางคนก็เรียกว่า "จิตตก" บางคนก็บอกว่า "กรรมฐานแตก" ก็คือการที่เราปฏิบัติดี ๆ แล้วก็แพ้กิเลส เกิดความฟุ้งซ่านไปใน ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อย่างเต็มที่

ลักษณะอย่างนี้ครูบาอาจารย์ท่านเคยแนะนำว่า ทำเหมือนอย่างกับเราขี่ม้าพยศ ในเมื่อไม่สามารถที่จะดึงให้อยู่ในเส้นทางได้ ก็กอดคอคอยดูว่าม้านั้นจะพาเราไปไหน ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติในมหาสติสายพองยุบ ก็คือการกำหนดว่า รู้หนอ..รู้หนอ.. หรือว่า เห็นหนอ..เห็นหนอ..ไปเรื่อย จนกว่าสภาพจิตของเราจะกลับมานิ่งได้เหมือนเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2022 เมื่อ 17:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 13-04-2022, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งที่ท่านพระปลัดสรวิชญ์ได้ขอไว้ในตอนแรก ก็คือว่าให้ช่วยบอกถึงอานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ให้ด้วย ตรงจุดนี้ วันนี้กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะปล่อยวัวไป ๒ ตัว ปล่อยควายไป ๓ ตัว และปล่อยปลาไปอีกหลายหมื่นบาท รวมแล้วเฉพาะวันนี้ก็จ่ายไปแสนกว่าบาท

เหตุที่ทำเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เด็ก พูดง่าย ๆ ว่าป่วยเช้าป่วยเย็นก็ว่าได้ อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง โดนหมอฉีดยาจนกระทั่งกลัวเข็มไปเลย เพราะว่าหมอก็มือหนัก ฉีดยาทีก็เจ็บก้นไปหลายวัน

เมื่อมาพบครูบาอาจารย์ ก็คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่เราเชื่อว่าท่านมีความสามารถพิเศษรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านได้บอกกล่าวให้ทราบว่า กระผม/อาตมภาพเป็นทหารมามาก แต่ละชาติก็ล้วนแล้วแต่ฆ่าฟันข้าศึกเอาไว้ กรรมปาณาติบาตใหญ่เหล่านี้ เมื่อเราชดใช้กรรมในทุคติมาแล้ว ก็จะมีเศษกรรมที่หลงเหลืออยู่ติดตามมา ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ๆ

ให้ไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นว่า ปลาหน้าเขียง ไก่หน้าเขียง เป็นต้น เดือนละตัวสองตัวก็ได้ ถ้าหากว่าปล่อยอย่างสม่ำเสมอไปได้ระยะหนึ่ง อาการเหล่านี้ก็จะบรรเทาลง

ในเมื่อครูบาอาจารย์แนะนำ กระผม/อาตมภาพก็ปล่อยทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ปี ๒๕๒๙ ก็คือปีที่ตนเองบวชพรรษาแรก มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ปล่อยมาทุกเดือน ถ้าจะนับชีวิตก็นับไม่ถ้วน

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เมื่อไปถึงตลาดแล้ว เห็นปลาเขาตาปริบ ๆ อยู่ทั้งกะละมัง ก็ไม่สามารถที่จะซื้อแค่ตัวสองตัวได้ ส่วนใหญ่ก็เหมาหมด ระยะหลังเมื่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนักขึ้น ก็มีการปล่อยชีวิตสัตว์ใหญ่ ก็คือปล่อยวัวปล่อยควายเพิ่มเข้าไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2022 เมื่อ 17:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 14-04-2022, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ได้กราบเรียนถามครูบาอาจารย์ว่า "การปล่อยสัตว์เป็นการต่อชีวิตไม่ใช่หรือครับ ? กระผม/อาตมภาพเอง ไม่ได้ต้องการที่จะอายุยืน เพราะว่าอยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ลำบากในการดูแลร่างกายนี้วัอีกนหนึ่ง"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า "แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะเป็นการต่ออายุ ก็ต่อเมื่อมีอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เราฆ่าคน หรือฆ่าสัตว์ใหญ่เข้ามาสนองในตอนนั้นพอดี ก็จะทำให้เราพ้นวาระกรรมนี้ไปได้ แล้วอายุยืนไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าแกปล่อยชีวิตสัตว์ให้เขารอดตาย ให้เขาได้ไปพบกับครอบครัว ได้รับความสุข ความสบาย ต่อไปถ้าแกทำอะไรก็จะมีความสะดวก มีความคล่องตัวไปด้วย"


กระผม/อาตมภาพก็ได้ปล่อยชีวิตสัตว์มาตลอด ๓๖ ปี ปีนี้ขึ้นปีที่ ๓๗ แล้ว ขอยืนยันว่ากระผม/อาตมภาพเอง เป็นบุคคลที่เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่าย ไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวก โดยเฉพาะมีญาติพี่น้องก็ดี มีเพื่อนฝูงสหธรรมิกก็ตาม หรือว่ามีญาติโยมทั้งหลายคอยสนับสนุนอยู่ตลอดมา

แม้กระทั่งการปล่อยปลา ซึ่งแรก ๆ ก็อยู่ในหลักไม่กี่ร้อยบาท ปัจจุบันนี้การปล่อยปลาปล่อยสัตว์ต่าง ๆ อยู่ในหลักเดือนละแสนกว่าบาท..! ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเราต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย

โดยปกติแล้ว เรื่องการกระทำต่าง ๆ ที่เรียกง่าย ๆ ว่ากรรมนั้น ถ้าหากว่าเราทำในอดีตก็จะส่งผลในปัจจุบัน คราวนี้การที่เราทำในอดีต ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นชาติก่อน หากแต่ว่าเป็นอดีตในชาตินี้ก็ได้ เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายต้องทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 14-04-2022, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพนั้นมีกรรมหนักตรงจุดนี้ เป็นมาลาเรียเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี เนื่องเพราะว่าไปเป็นทหารอยู่ที่ชายแดนตาพระยา ได้รับเชื้อมาลาเรียจากทางด้านโน้นมา แล้วเมื่อไปหาหมอ ด้วยความที่เป็นคนหนุ่มก็กลั้นเอาไว้ไม่ให้สั่น ไปถึงหมอก็ไม่ตรวจอะไรเลย บอกว่า "ไม่สั่น..ไม่ใช่มาลาเรีย เอายาแก้ปวดลดไข้ไปก็พอ" ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นแค่แอสไพรินหรือว่ายาเม็ดสีชมพู ยังไม่มียาพาราเซตามอลอย่างสมัยนี้ เมื่อโรคกำเริบขึ้นมาจึงทำให้สลบหมดสติไป ๒ วัน ตอนช่วงนั้นก็มีประสบการณ์ว่าคนตายแล้วเป็นอย่างไรเช่นกัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไม่สามารถที่จะรักษาหายได้อีก

ครั้นปี ๒๕๓๒ ได้ธุดงค์มาทางฝั่งพม่า ก็เจอเชื้อดื้อยาฝั่งพม่าซ้ำเข้าไปอีก ทำให้ตนเองนั้นเป็นบุคคลตัวอย่างที่ทางเวชศาสตร์เขตร้อนเอาไว้ศึกษา เกี่ยวกับเรื่องโรคที่มี
แมลงเป็นพาหะนำมา ถ้าหากว่ามียาตัวใหม่ ทางด้านเวชศาสตร์เขตร้อนก็จะเรียกไปเป็นบุคคลทดลองยาของเขา

ตรงจุดนี้เมื่อโรคกำเริบขึ้นมา เราจะปวดร่างกายจนกระทั่งรู้ว่ากระดูกมีกี่ข้อ แม้กระทั่งเส้นผมของเรา พอเอามือแตะไปเหมือนกับเข็มแทงหัว ก็คือประสาททุกเส้นอักเสบหมด ทำให้เข้าใจว่าบุคคลที่เขาตายกันด้วยโรคมาลาเรียนั้น ส่วนใหญ่ก็คือตายเพราะทนการอักเสบไม่ไหว

ในเมื่อทำการปล่อยปลามาตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี จนปัจจุบันนี้อายุ ๖๓ ปี โรคภัยไข้เจ็บที่เคยกำเริบอยู่ทุกบ่อย ก็เริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ จากที่กำเริบทุกเย็น ถ้าหากว่าพักผ่อนเพียงพอก็ไม่กำเริบ และขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่ได้กรำงานหนักมาก บางทีก็หายดีไปเป็นเดือนเลยก็มี

ตรงจุดนี้เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของการปล่อยชีวิตสัตว์ ก็คือแม้ว่าจะไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาตัดรอน ทำให้ไม่เป็นการต่ออายุ แต่ว่าก็ช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยลงไปอย่างหนึ่ง ช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่การงานในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ มีความสะดวก มีความสบายอีกอย่างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 14-04-2022, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพได้ใช้เวลามาพอสมควร เหลือเวลาอยู่ประมาณ ๑๐ นาที ท่านใดที่จะแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ก็สามารถที่จะพิมพ์เข้ามาในช่องแชต หรือถ้าหากว่าท่านที่เป็นโคโฮสท์เปิดไมค์ฯ ให้ ก็สามารถส่งเสียงเข้ามาได้เลย

ถ้าหากว่ายังไม่มีคำถาม ก็ขออนุญาตเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น การรู้เห็นต่าง ๆ เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติ ถ้าหากว่าร้านค้านี้เขาไม่แถม ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ปฏิบัติธรรม

เนื่องเพราะว่าวิสัยในการปฏิบัติธรรมนั้น มีถึง ๔ อย่างด้วยกัน ก็คือวิสัยสุกขวิปัสสโก ไม่จำเป็นต้องรู้เห็นอะไรเลยก็บรรลุมรรคผลได้

วิสัยเตวิชโช มีการรู้เห็นต่าง ๆ อยู่ ๓ ประการ

วิสัยฉฬภิญโญ มีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมา ๖ อย่าง และ

วิสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต ซึ่งจะมีความรู้ครอบคลุมอีกทั้ง ๓ ประเภทเบื้องต้นได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไป อย่าตั้งความหวังว่าเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องได้อย่างนี้ เพราะถ้าหากว่าท่านไปตั้งความหวังในลักษณะอย่างนี้ จิตใจของท่านจะฟุ้งซ่าน และไม่นิ่งอย่างแท้จริง ทำให้เสียประโยชน์ในการปฏิบัติไปโดยใช่เหตุ

ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ท่านใดมีคำถามก็เชิญได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 14-04-2022, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าลูกปล่อยปลา ปล่อยหอยให้คุณแม่ที่ป่วยอยู่ จะได้บุญไหมคะ ?

ตอบ : การทำความดีอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าบุคคลอื่นยินดีด้วย ก็จะมีส่วนในผลบุญนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย ดังนั้น...ถ้าหากว่าญาติโยมปล่อยชีวิตสัตว์ หรือว่าทำในทาน ในศีล ในภาวนาอะไรก็ตาม ถ้าบอกกล่าวแก่พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือว่าเพื่อนฝูงของเรา แล้วเขายินดีด้วย เขาก็จะมีส่วนในผลบุญนั้น

บางทีเราอาจจะเห็นว่าเป็นบุญที่ได้ง่ายมาก ยกมือสาธุก็จบแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราต้องยินดีจากใจอย่างแท้จริงว่า โอหนอ...ในขณะที่เราไม่มีโอกาสจะทำบุญนั้น แล้วมีคนอื่นได้ทำบุญในสิ่งที่เราอยากทำ ช่างน่ายินดีจริงหนอ ถ้าลักษณะอย่างนี้ กุศลที่จะพึงเกิดในปัตตานุโมทนามัยก็จะมีแก่ท่านทั้งหลาย

แต่ถ้าหากว่าในปัจจุบันนี้ เท่าที่กระผม/อาตมภาพสังเกตดู ส่วนใหญ่คำว่า "สาธุ" แฝงความหมายว่า "กูจะเอาบุญของมึง" แปลว่าตั้งกำลังใจไว้ผิดแล้ว ขอเจริญพร

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 14-04-2022, 00:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คุณแม่เพื่อนป่วยหนัก ถ้าลูกเจริญสติภาวนา แผ่ส่วนกุศลให้ จะถึงคุณแม่ของเพื่อนไหมคะ ? แล้วอาการของคุณแม่จะทุเลาลงหรือเปล่า ?

ตอบ : ตรงจุดนี้ก็แบบเดียวกัน ก็คือว่าต้องให้เขายินดีและโมทนาด้วย

มีบุญกุศลเพียงประการเดียวที่ไม่ต้องโมทนา แล้วบุคคลที่เป็นพ่อเป็นแม่ได้รับเลย ก็คือกุศลจากการบรรพชาอุปสมบทเท่านั้น เพราะว่าเป็นสิทธิโดยตรงของท่านที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ต้น นอกนั้นแล้วกุศลอื่นล้วนแล้วแต่ต้องอนุโมทนาทั้งสิ้น หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเป็นการประกันความเสี่ยงก็คือ ทำเองเสียเลย อย่าไปรอโมทนาบุญของคนอื่น

เมื่อท่านอนุโมทนาแล้ว จะหายป่วยหรือไม่ก็ต้องขึ้นกับความหนักเบาของกรรมที่ท่านได้ทำมาด้วย ถ้าทำมาหนัก อาการป่วยก็แค่บรรเทา ถ้าทำมาเบา อาการป่วยก็อาจจะหายไปเลยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 14-04-2022, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในการปล่อยสัตว์ต่าง ๆ จำเป็นจะต้องแผ่เมตตาหรือไม่ครับ ?

ตอบ : การที่เราไปปล่อยชีวิตเขา แปลว่าเราเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาอยู่แล้ว ดังนั้น...ตรงจุดนี้การที่ท่านบอกว่าแผ่เมตตา แต่ว่ากระผม/อาตมภาพใช้คำว่า อุทิศส่วนกุศล ก็คือสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความดี แล้วเราจะต้องอุทิศให้แก่ผู้อื่นเขา บางคนใช้คำง่าย ๆ ว่ากรวดน้ำ

ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า การแผ่เมตตาเหมือนกับเราให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น การอุทิศส่วนกุศลเหมือนเราให้ข้าวปลาอาหารแก่ผู้อื่น ถ้าหากว่าเขาหิวมา เราให้ร่มเงาแก่เขา ก็แค่ผ่อนคลายร่างกายไปได้เล็กน้อย แต่ว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขความหิวของเขาได้

แต่ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้ เขาอนุโมทนาแล้วได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข แบบเดียวกับที่เราคนทำจะพึงได้รับ ก็ลักษณะเหมือนกับเราให้ข้าวปลาอาหาร แล้วคนเขาหิวได้กินตรงนั้นลงไป ก็จะทำให้เขามีความสุข สามารถที่จะไปสู่ภพภูมิที่เขาต้องการได้ เพราะว่ามีกำลังมากขึ้นแล้ว

กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกรูปนะครับ ท้ายสุดนี้กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธัมมะรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน พร้อมทั้งกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ ที่ท่านทั้งหลายได้สร้างในวันนี้ จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่านมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัย ก็ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลายจงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลสมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ธรรมบรรยายในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาศรม"
วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2022 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว