กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-10-2021, 20:33
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,274
ได้รับอนุโมทนา 739,799 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-10-2021, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ จะว่าไปแล้วก็มีหลายเรื่อง เพียงแต่ว่าส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกกับญาติโยมก็คือว่า วัตถุมงคลที่จองกันในกระทู้ต่าง ๆ ต้องการอะไรก็ให้รีบจอง เพราะว่าหลังจากการตัดยอดกลางเดือนแล้ว น่าจะมีการเก็บกลับเกือบหมด เนื่องจากกระทู้ต่าง ๆ หลายกระทู้สำเร็จเสร็จสิ้นลงตามความประสงค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฐินปลดหนี้ กฐินวัดท่าขนุน หรือแม้กระทั่งที่ใกล้จะสำเร็จลงอย่างการหล่อพระพุทธรูปทองคำ ใครที่เล็งอะไรไว้ก็ให้รีบด่วนด้วย

ส่วนวัตถุมงคลที่สร้างเลียนแบบพระกรุที่พี่ณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ทำมา ถ้าหากว่าต้องการก็รีบจองเพิ่ม เพราะว่าแม้แต่ตัวพี่ณพเองก็หวง กระผม/อาตมภาพเองก็ขอบอกว่า "วัตถุมงคลที่ดีนอกดีในแบบนี้หายากมาก แค่สังฆาฏิของพระสุปฏิปันโน ๒๐ กว่ารูปที่ผสมลงไป ชาตินี้ทั้งชาติหาไม่ได้อีกแล้ว..!"

ถ้าจะฟังคำจากหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข ท่านบอกว่า "นอกจากมหาวีระแล้ว ไม่มีใครสามารถรวมพระสุปฏิปันโนระดับนี้ไว้ได้มากขนาดนี้อีก" เนื่องเพราะว่าพระชุดนั้นทั้งหมดเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ ทั้งที่เป็นพระอริยเจ้าและพระโพธิสัตว์ ทุกท่านทรงความเป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างชัดเจน และแสดงออกให้ลูกศิษย์เห็นบ่อยมาก

อย่างหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค ที่อายุยืนถึง ๑๒๘ ปี หลวงพ่อวัดท่าซุงให้การยกย่องว่า "ถ้าในระดับปฏิสัมภิทาญาณด้วยกัน หลวงปู่สีอยู่ในระดับ แคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท" ก็แปลว่าเป็นสุดยอดของสุดยอดทีเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2021 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-10-2021, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรืออย่างหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย เป็นพระอรหันต์รูปเดียวที่เข้านิโรธสมาบัติได้ในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งตัวกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครทำได้ มีอยู่วันหนึ่งเดินตรวจงานกับหลวงพ่อฤๅษีฯ ไปถึงตรงบริเวณกุฏิต้อนรับพระสุปฏิปันโน ๑๐ รูปในยุคนั้น หลวงพ่อท่านปรารภว่า "แม้แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าหลวงปู่ชุ่มท่านทำได้อย่างไร เพราะว่านิโรธสมาบัตินั้นเป็นการแยกจิตกับกายออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อจิตกับกายแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ร่างกายก็เหมือนกับขอนไม้ท่อนหนึ่ง แล้วไปบังคับให้เดินได้อย่างไร ?"

กระผม/อาตมภาพกราบเรียนหลวงพ่อว่า "ถ้าตามความเข้าใจของผมก็คือ ตั้งกำลังอภิญญาให้สูงสุดเท่าที่ทำได้ แล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อนว่า ในระหว่างนั้นจะทำอะไรบ้าง เป็นระยะเวลายาวนานเท่าไร แล้วค่อยเข้านิโรธสมาบัติ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าก็ไม่เคยทำเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำได้อย่างที่แกพูดหรือเปล่า ? เพราะว่าส่วนใหญ่พระที่เข้านิโรธสมาบัติก็เข้าอิริยาบถเดียว ส่วนมากก็นอน ส่วนน้อยนั่ง ที่น้อยกว่านั้นน่าจะเป็นยืน"

อย่างหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ยืนอยู่ ๓ ปีกว่า ยืนจนกระทั่งปลวกขึ้นขามาถึงหัวเข่า แล้วก็ไปโดนคนเขาทุบออกมา ก็คือไปทุบรังปลวกทิ้ง ท่านพิจารณาว่า ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติจนกระทั่งมรณภาพไปเลย เพราะว่าเวรกรรมที่เนื่องกับชาวบ้านยังเหลืออยู่ ต้องไปชดใช้เขาก่อน ท่านจึงยอมถอนออกจากสมาบัติแล้วก็กลับเข้ามาในบ้านในเมือง มาอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ญาติโยมทั้งหลายที่มีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา

ส่วนหนึ่งที่ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ รู้จักหลวงปู่คำคะนิงดีมาก ก็เพราะว่าในประวัติหลวงปู่ปาน ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเขียนไว้ว่าเข้าป่าไปแล้ว ไปเจอนักบวชประหลาดแต่งตัวปุปะไม่เหมือนกับพระ เมื่อพูดไม่เข้าหูก็ตีกัน ก็คือดวลกันด้วยอำนาจอภิญญา ท้ายที่สุดก็มาเฉลยว่าคือหลวงปู่คำคะนิง ในส่วนนี้ต้องบอกว่าพระในระดับนั้น หายากสุด ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2021 เมื่อ 14:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-10-2021, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้แต่หลวงปู่บุดดาที่กระผม/อาตมภาพมีโอกาสพบมากที่สุด เพราะว่าวัดท่านอยู่ไม่ห่างจากวัดท่าซุง ถ้าไปเพื่อหลักธรรมจริง ๆ คิดอะไรอยู่ ท่านจะพูดออกมาหมด ก็คือหลวงปู่ท่านบอกว่า "การเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องรักษาศีลมากหรอก ศีลแค่ ๑๐ ข้อก็พอแล้ว"

ผมเองนึกในใจว่า "ศีลพระตั้ง ๒๒๗ ข้อ" ท่านพูดสวนความคิดขึ้นมาทันทีว่า "ไอ้นั่นเป็นศีลเอาใจชาวโลก ดูอย่างสามเณรศีล ๑๐ ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ?" ก็จริงของท่าน ก็เลยนึกต่อไปว่า "แล้วถ้าหากว่าผมปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวผมเองมาถูกทางแล้ว ?" ท่านบอกทันทีว่า "ดูที่ศีล ฆราวาสศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาศีล ๘ สามเณรศีล ๑๐"

ไม่ต้องถามครับ แค่คิดอยู่ในใจ คิดไม่จบด้วย เอาแค่ "ถ้าผม..." ก็ได้คำตอบแล้ว แล้วคิดว่าพระระดับนี้ พวกท่านจะมีโอกาสได้เจอกันบ้างไหม ? เพราะว่าถ้าเป็นฆราวาสทั่วไป ท่านก็จะพยายามที่จะไม่แสดงออก เนื่องจากว่าแสดงไปตัวเองก็เดือดร้อน

ประการแรก พระพุทธเจ้าห้ามแสดงอุตตริมนุสสธรรมต่ออนุปสัมบัน คือบุคคลที่ศีลไม่เท่ากัน แปลว่าแม้แต่สามเณรยังไม่มีโอกาสได้เห็น

ประการที่สอง คนเรามักจะบ้าเรื่องความสามารถพิเศษ จนกระทั่งโดนเขาแหกตา อย่างเสกต่อเสกแตนออกจากปาก แล้วก็พวกประเภทโอนไว ทำบุญเร็ว ก็เสียผลประโยชน์ของตนเองไปมาก

ประการสุดท้าย การที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ต้องเกิดจากการเลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง เลื่อมใส เพราะเห็นคุณความดีของพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ใช่เลื่อมใสเพราะฤทธิ์เพราะอภิญญา เพราะถ้าเลื่อมใสในลักษณะอย่างนั้นเป็นการยึดติด ยึดติดทั้งวัตถุและตัวบุคคล

แต่การเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยนั้น ก้าวล่วงวัตถุไปแล้ว ก็คืออาศัยวัตถุเป็นเครื่องยึดเกาะ เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงว่า คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นแล้วกำลังใจก็จะไม่ยึดเกาะในวัตถุ แต่ยึดเกาะในนามธรรม คือความเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-10-2021 เมื่อ 23:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-10-2021, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้หลวงปู่หลวงพ่ออีกหลายท่านที่ทรงคุณความดีในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแล้ว อย่างหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ สามารถที่จะสงเคราะห์คนได้มากกว่าพระอริยเจ้าทั่วไป เพราะว่าพระโพธิสัตว์นั้น ถ้าเพื่อความสุขของบุคคลอื่น บางทีท่านก็ยอมฝืนกฎของกรรม แต่ว่าพระอริยเจ้าจะไม่ยอมล่วงละเมิดกฎของกรรมแบบนั้น

หรือว่าครอบครัวพระพี่พระน้อง อย่างหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร (พระสุพรหมยานเถร) วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษา (พระสุธรรมยานเถร) หรือว่าหลวงปู่วัดน้ำบ่อหลวง ครูบาคัมภีระ (พระครูสุนทรคัมภีรญาณ) นี่ตระกูลพระอรหันต์เลย เพราะว่าหลวงปู่ครูบาเป็งที่เป็นโยมพ่อซึ่งมาบวชทีหลังกับโยมแม่ ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ทั้งนั้น พูดง่าย ๆ ว่าครอบครัวนี้เกิดมาเพื่อเป็นพระอรหันต์ คล้าย ๆ กับครอบครัวพระสารีบุตร

ครอบครัวพระสารีบุตร นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ลูก ๗ คนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่พระสารีบุตรที่ชื่อสมัยนั้นคือท่านอุปติสสะ รองลงไปก็ท่านอุปเสนะ ท่านจาลา ท่านอุปจาลา ท่านสีสุปจาลา ท่านจุนทะ แล้วก็ท่านเรวัตตะ เจ็ดพี่น้อง แม้กระทั่งพระเรวัตตะที่อายุแค่ ๗ ขวบ ก็เป็นพระอรหันต์ทั้งบ้าน

ดังนั้น..ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้าสร้างเจดีย์ ๔ ครูบาก็เพื่อเชิดชูคุณความดีของครอบครัวพระอรหันต์ การที่บุคคลได้เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน แสดงว่าสร้างบุญสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน ครอบครัวหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร แสดงว่าสร้างความดีมาในระดับที่พร้อมจะบรรลุมรรคผลเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งโยมครูบาเป็งที่เป็นพ่อ มาบวชเมื่อแก่มากแล้ว แต่เมื่อได้ผู้บอกทางที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้เช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-10-2021 เมื่อ 00:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 09-10-2021, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งของที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ใช้ ไม่ว่าจะของอะไรก็ตาม จะมีพลังงานหลงเหลืออยู่ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านเล่าว่า เตียงที่พระนาคเสนบรรลุมรรคผล เตียงที่ว่าก็น่าจะเป็นอาสนะที่ท่านนั่ง แต่ว่าเป็นลักษณะของเตียงไม้หรือตั่งไม้ ท่านบอกว่ามีคนไปนั่งปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุต่อมาอีกเป็นพันองค์เลย เพราะว่ากระแสพลังที่หลงเหลืออยู่ ช่วยประคองใจไม่ให้คิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว กำลังใจสะอาดใกล้เคียงความเป็นพระอรหันต์เลย

กระแสของบุคคลที่กำลังสูงกว่า โดยเฉพาะพระอริยเจ้า จะจูงใจของเราให้ไปในด้านที่ดีมากกว่า ถ้าหากว่าท่านใช้กำลังเต็มที่จริง ๆ เอาแค่พระโสดาบัน ต่อให้คนคิดร้ายอยู่ ก็ทำร้ายไม่ได้ เพราะว่ากำลังความดีของท่านเหมือนกับลบความจำด้านชั่วของเราออกไปชั่วคราว ในส่วนนี้ก็เลยทำให้บรรดาวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่รับกระแสพลังจากตัวเจ้าของ จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปโดยอัตโนมัติ

ดังนั้น..เราจะเห็นว่ามีการสร้างบริโภคเจดีย์ บรรจุผ้าไตร บรรจุไม้เท้า หม้อกรองน้ำ หรือว่าบาตรของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ตั้งแต่ยุคอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นอกจากเป็นเจดีย์ คือเครื่องระลึกถึงคุณความดีของครูบาอาจารย์แล้ว ยังมีกระแสพลังที่จะช่วยผู้ปฏิบัติที่มุ่งไปในทางเดียวกัน ให้เข้าถึงที่สุดของทางได้ง่ายกว่าทำเองเป็นอย่างมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2021 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 09-10-2021, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเครื่องชุดนี้ ส่วนที่อยากจะแนะนำก็คือว่า ท่านใดได้ไป เวลาภาวนา พนมมือขออนุญาตท่านแล้วก็ติดตัวไว้ ขอกระแสพลังของบรรดาพระสุปฏิปันโนทั้งหลาย เจ้าของสังฆาฎิหรือว่าเจ้าของผงวิเศษเหล่านั้น ช่วยสงเคราะห์กำลังใจของเรา ให้ทรงอยู่ในด้านความดี ไม่มีนิวรณ์ ๕ มากินใจชั่วคราว จะเป็นการทุ่นแรงในการปฏิบัติได้เป็นอย่างมาก

บรรดาพระเครื่องที่ช่วยในการปฏิบัติธรรม กระผม/อาตมภาพเองก็เจอมาหลายอย่างด้วยกัน อย่างเช่นว่าพระของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม พระของหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้มุ่งแต่เอามรรคเอาผลอย่างเดียว เมื่อกระแสพลังที่ท่านประจุไว้ หรือว่าเสกไว้ อธิษฐานไว้ ก็จะพามุ่งไปในด้านที่ท่านตั้งความปรารถนาไว้เช่นกัน

ความจริงยังมีเรื่องอื่นที่จะเล่าให้ฟังอีกหลายเรื่อง แต่ดูท่าว่าเวลาจะล่วงเลยมามากพอแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งเจริญพรบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2021 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว