กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-01-2022, 20:21
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,582
ได้ให้อนุโมทนา: 216,253
ได้รับอนุโมทนา 739,366 ครั้ง ใน 36,033 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-01-2022, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไม่อยู่เสียหลายวัน มีเรื่องที่น่าพูดถึงซึ่งเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสนำมาบอกกล่าว ก็คือเรื่องราวที่วัดหนองบัว เมืองจะอีน ประเทศพม่า ที่กระผม/อาตมภาพไปบูรณะเอาไว้ แล้วตอนหลังครูบาน้อย อดีตเจ้าอาวาส ท่านก็สึกหาลาเพศไป พร้อมกับขนเอาเงินทองที่กระผม/อาตมภาพให้ไปสร้างวัด เอาไปค้าขายตามที่ตัวเองต้องการ แล้วก็ขาดทุนหมดเนื้อหมดตัวกลับมา..!

ในช่วงที่ท่านสึกหาลาเพศไป กระผม/อาตมภาพได้ส่งพระครูน้อย (พระครูสังฆรักษ์วิฑูรย์ จนฺทวํโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) ซึ่งเป็นคนบ้านหนองบัว ไปเป็นเจ้าอาวาสแทน

หลังจากที่ครูบาน้อย อดีตเจ้าอาวาส ไปค้าขายจนหมดเนื้อหมดตัวกลับมา ก็กลับมาบวชใหม่ ซึ่งความจริง ตรงนี้ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพเองก็จะไม่บวชให้ เพราะว่าตอนที่ท่านไปนั้น ก็น่าจะต้องอาบัติขาดความเป็นพระไปแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าช่วงปีกว่า ก่อนที่จะมีการฉลองวัดหนองบัว ท่านไม่ส่งบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนให้ กระผม/อาตมภาพทวงถามทีไร ท่านก็บอกว่า มัวแต่ยุ่งกับงานก่อสร้างแล้วไม่มีเวลาทำ แต่ก็บอกว่ามีความจำเป็นต้องจ่ายค่าแรงเท่านั้น ค่าวัสดุเท่านี้ แล้วขอเบิกเงินไปเรื่อย จนกระทั่งหลังงานฉลองวัด ซึ่งเบิกเงินก้อนสุดท้ายไปเพื่อฉลองวัดล้านกว่าบาท หลังจากนั้นท่านก็สึกหาลาเพศไป

ทางด้านชาวบ้านก็ส่งข่าวมาว่าที่ท่านต้องสึกหาลาเพศไป เป็นเพราะโดนชาวบ้านกดดัน เนื่องจากว่าไปยืมทองคำชาวบ้านเอาไว้ ๑๐ กว่าบาท โดยอ้างว่าเพื่อนำมาใช้จ่ายในเรื่องการก่อสร้างวัด เพราะว่ากระผม/อาตมภาพหาเงินให้ไม่ทัน แล้วก็ยังไปปล่อยข่าวเรื่องที่กระผม/อาตมภาพได้แก้วอินทนิลมาว่า กระผม/อาตมภาพไปโกงเอามรกตของชาวบ้านไปทั้งก้อน..! จึงไม่กล้าเดินทางไปวัดหนองบัวอีก ทั้งที่กระผม/อาตมภาพไม่ไปเพราะถือว่าหมดหน้าที่ซึ่งครูบาอาจารย์มอบหมายให้แล้ว

บรรดาเจ้าคณะปกครองทางด้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ใหญ่ธัมมะเสนะ ครูบาญาณ ก็เดินทางมาที่วัดตองไว ด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อขอทราบความจริงตรงนี้ กระผม/อาตมภาพจึงได้หอบเอาบัญชีรายจ่ายทั้งหมดข้ามไปเรียนถวายท่าน กางบัญชีให้ดูว่าแต่ละเดือน ๆ จ่ายไปเท่าไร

ดังนั้น...ข้ออ้างที่ท่านบอกว่ากระผมไปโกงทองคำของชาวบ้าน ซึ่งมีจำนวนน้อยนิดมากเมื่อเปรียบกับเงิน ๑๐ กว่าล้านบาทที่จ่ายไป จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เมื่อบรรดาพระผู้ใหญ่ทราบความจริงก็หูตาสว่าง จึงขอพระจากวัดท่าขนุนซึ่งเป็นเชื้อสายบ้านหนองบัวก็คือพระครูน้อย ไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2022 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-01-2022, 22:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้น ทางด้านโน้นก็ส่งข่าวมาว่า อดีตครูบาน้อยไปค้าขายพวกพลอย พวกหยก ตามความถนัดเดิมของตนเอง แต่คราวนี้ เรื่องของการค้าขายหยก เท่าที่กระผม/อาตมภาพเข้าไปดูในตลาดหยกเมืองมัณฑะเลย์แล้ว จัดว่าเป็นการพนันที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะว่าหินแต่ละก้อน เขาจะปาดหน้าให้เห็นนิดเดียวว่ามีความเขียวหรือไม่เขียวมากเท่าไร เป็นเนื้อหยกในระดับไหน เสร็จแล้วก็ให้แต่ละคนประมูลสู้ราคากัน

ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือทางด้านลูกชายของพ่อออกสุจินต์ ที่เป็นคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทยพม่า ไปเจอหยกเข้าก้อนหนึ่ง เมื่อเล็งดูแล้วว่าคุ้มค่าแน่ ก็ซื้อมาในราคา ๓ ล้านบาทไทย มีผู้ให้ราคาต่อเดี๋ยวนั้นเลย ๕ ล้านบาท แต่ไม่ยอมขาย เอามาผ่าเองที่ด่านเจดีย์สามองค์ ปรากฏว่าหมดราคา

กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าบรรดาเซียนหยกเขารู้ได้อย่างไรว่ามุมไหนที่ปาดออกมาแล้วคนจะเห็นว่ามีเนื้อหยกมาก หยกก้อนนั้น ความจริงถ้าเป็นไปตามที่สายตาเห็น หรือใช้แว่นขยายส่อง ใช้ไฟส่องตามที่เขาดูกัน น่าจะได้กำไรเกิน ๑๐ ล้านบาท แต่ปรากฏว่าพอผ่าออกมาแล้ว เนื้อหยกเป็นแว่น ๆ เรียงต่อกัน ไม่ใช่เนื้อเดียว แต่ว่าคนผ่านี่ผ่าเก่งมาก ก็คือปาดให้ดูด้านที่มองทะลุเห็นเนื้อหยกเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ได้เห็นด้านที่มีเนื้อแทรกเป็นแว่น ๆ อยู่ ก็ทำเอาหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ตีอกชกหัวว่ารู้อย่างนี้ ขายไปตอนเขาให้ ๕ ล้านบาท ก็กำไรตั้งเกือบครึ่งแล้ว

อดีตครูบาน้อยไปหมดเนื้อหมดตัวตรงนั้นมา ตามที่ผู้ใหญ่บ้านส่งข่าวมาก็คือ ๒๐๐ กว่าแสนพม่า ลองคิดดูเป็นเงินไทยเท่าไร ? ๑๐ แสนเป็น ๑ ล้าน ๑๐๐ แสนก็ ๑๐ ล้าน ก็แปลว่าหมดไป ๑๐ กว่าล้านจั๊ตของพม่า ซึ่งตรงนั้นก็คือเป็นเงินที่เบียดบังไปจากที่
กระผม/อาตมภาพให้ไปสร้างวัด

คราวนี้ในส่วนที่เบียดบังนี้ ท่านเบียดบังไปตั้งแต่ตอนเป็นพระอยู่ ถ้าหากว่าเกินบาทก็น่าจะขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ว่าพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้ก็ไม่รู้ หรือถึงรู้ก็คงคิดว่าไม่เป็นไร จึงบวชให้ท่านใหม่ เมื่อท่านอยู่เมืองไทยก็มาสอบใหม่จนได้นักธรรมชั้นเอกแล้วค่อยกลับไปทางฝั่งพม่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2022 เมื่อ 14:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-01-2022, 22:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ด้วยความที่ท่านเห็นข้อบกพร่องของพระครูน้อย เจ้าอาวาสใหม่ ที่พอไปเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ลืมตัว ก็คือกิจวัตรอะไรที่เคยทำในระหว่างที่อยู่วัดท่าขนุน ไปที่โน่นก็ปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะเอาแต่กินแล้วนอน คราวนี้เอาแต่กินแล้วนอน ชาวบ้านก็ยังพอรับได้ แต่ถ้าท่านนอนจนเลยเพล ท่านก็ไม่ออกมาฉัน แต่วันไหนถ้าหากว่าไม่เลยเพล ท่านก็ออกมาฉัน แต่ด้วยความที่ท่านเลยเพลบ่อยมาก ชาวบ้านจึงเลิกส่งข้าว ท่านก็ไปด่าเขาอีก..!

คราวนี้ในช่วงที่ท่านไปอยู่ที่นั่น กระผม/อาตมภาพก็ให้นโยบายไปว่า บ้านหนองบัวเป็นหมู่บ้านที่รวยมาก ต้องบอกว่ารวยที่สุดในประเทศพม่าก็ว่าได้ เพราะว่าหนุ่มสาวเกือบทั้งหมู่บ้านมาทำงานในประเทศไทย เนื่องจากว่าพูดภาษาเดียวกัน เพราะว่าเป็นคนไทยโบราณที่โดนกวาดต้อนไปในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในช่วงที่กระผม/อาตมภาพไปสร้างวัดอยู่ ถ้าไม่ใช่ช่วงที่มีเทศกาลของวัด ก็จะเหลือแต่คนแก่กับเด็ก ๆ ที่อยู่ติดบ้าน นอกนั้นพวกรุ่นหนุ่มรุ่นสาวถึงวัยกลางคนมาทำงานเมืองไทยทั้งนั้น ต้องบอกว่าเงินทองดีมาก ถ้าหากว่าพระเณรไปกิจนิมนต์บ้านอื่นอาจจะได้สักร้อยจั๊ต สองร้อยจั๊ต แต่ถ้าหากว่ามากิจนิมนต์ที่บ้านหนองบัว จะได้รับการถวายพันหรือสองพันจั๊ต ต่างกันเป็น ๑๐ เท่า จึงให้นโยบายไปว่าคนหนองบัวต้องดูแลวัดหนองบัวกันเอง

แต่ปรากฏว่าเมื่อพระครูน้อยไปทำในส่วนที่เขาเสื่อมศรัทธา เขาจึงไม่ค่อยให้การสนับสนุน ท่านก็ต้องกลับมา ถึงเวลาวัดจะมีงาน ก็มาขอข้าวของ โดยเฉพาะข้าวสารอาหารแห้งเพื่อที่จะไปจัดงานวัด เลี้ยงพระ เลี้ยงโยม พอหลายครั้งเข้า
กระผม/อาตมภาพก็ดุไป ท่านก็ไม่กล้าเข้าวัดอีก โดยเฉพาะถ้าเข้าวัดท่าขนุนมาก็ต้องทำตามระเบียบวัด ก็จะทำให้ท่านลำบาก เพราะว่าไม่สามารถที่จะกินนอนได้ดั่งใจตัวเอง

ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายฟังแล้วต้องระวังให้ดี เพราะว่าทุกวันนี้เวลาที่กระผม/อาตมภาพบิณฑบาต เจอญาติโยมบางคนถามว่า "เป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้แล้ว ยังต้องบิณฑบาตอีกหรือ ? วัดอื่นพอขึ้นเป็นเจ้าอาวาสก็ให้สามเณรบิณฑบาตให้ฉันแล้ว" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "พระพุทธเจ้าบิณฑบาตจนวาระสุดท้ายของชีวิต พระองค์ท่านไม่เคยใช้สามเณรบิณฑบาตแทน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2022 เมื่อ 14:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-01-2022, 22:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อตนเองมีจุดบกพร่อง ก็ทำให้อดีตครูบาน้อยอยากจะกลับไปเป็นเจ้าอาวาสใหม่ เพื่อที่จะได้กอบโกยเงินทองจากชาวบ้านอีก จึงพยายามที่จะกระทุ้งอยู่ทุกวิถีทาง อย่างเช่นว่า "พระอาจารย์เล็กไม่ต้องการให้พระครูน้อยเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ถึงขนาดไม่ยอมให้เข้าวัดท่าขนุนเลย" หรือไม่ก็ "ผมเองยังติดต่อกับพระอาจารย์เล็กอยู่ตลอดเวลา พระอาจารย์เล็กอยากจะให้ผมกลับไปเป็นเจ้าอาวาสแทนพระครูน้อย" เป็นต้น จึงมีการหาเหตุทำเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ นานา ไปถึงเจ้าคณะปกครอง

เรื่องวุ่นวายอยู่หลายปี จนกระทั่งท้ายสุด ทางฝ่ายเจ้าคณะปกครองทนไม่ไหว ก็เลยนัดพิจารณาให้จบคดีลงไป โดยส่งครูบาตานอ่อง ซึ่งเป็นคนไทยโบราณเหมือนกัน แต่ทางด้านโน้นเรียกว่าคนลาว เพราะว่าภาษาพูดคล้าย ๆ ลาว มาเป็นประธานในการตัดสินความ

บรรดาเจ้าคณะปกครองที่ร่วมงานทุกคนก็มีความเห็นเหมือนกันว่า ให้เจ้าอาวาสทำหน้าที่เจ้าอาวาส ลูกวัดทำหน้าที่ลูกวัด ไม่ใช่มาแย่งชิงกันเป็นใหญ่แบบนี้ แต่ว่าอดีตครูบาน้อยไม่ยอม อย่างไรเสียก็ต้องงัดเจ้าอาวาสออกไปให้ได้ เพราะว่าถ้าท่านเป็นแทน ท่านมั่นใจว่าจะอาศัยข้ออ้างการบูรณะวัดใหม่ มาขอเงินจาก
กระผม/อาตมภาพและชาวบ้านอีก ก็เลยทำให้กลายเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ว่ายากสอนยากในสายตาของบรรดาเจ้าคณะปกครอง

ในเมื่อประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ๓ วาระแล้ว ท่านยืนยันว่าไม่ปฏิบัติตาม ทางคณะสงฆ์ทุกวัดในเขตอำเภอสองแควก็ประกาศคว่ำบาตรท่าน ก็คือไม่ให้คบหาสมาคมด้วย ไม่ให้ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมด้วย ทำให้อดีตครูบาน้อยไม่สามารถที่จะอยู่บ้านหนองบัวต่อไปได้ ข่าวสุดท้ายได้ยินว่าหนีไปทางบ้านหนองมัง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ทางด้านแม่สอดแทน

ตรงจุดนี้ก็คือว่า ครูบาน้อยในระยะแรกนั้นทำงานดีมาก ละเอียดรอบคอบ แต่พอนานไป ๆ เงินที่กระผม/อาตมภาพให้ไปนั้น มากจนกระทั่งท่านเกิดความโลภขึ้นมา เพราะว่าหลายครั้งที่
กระผม/อาตมภาพเอาไปเกิน ๑ ล้านบาทไทย บางทีแลกเป็นเงินพม่าแล้วก็ ๒๐ กว่าล้านจั๊ต แบกใส่กระสอบปุ๋ยกันไป

ท่านก็เริ่มมองหาทางอนาคตของตนเอง โดยการอ้างว่าต้องจ่ายโน่นบ้าง นี่บ้าง นั่นบ้าง แล้วก็เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ พอมาปีกว่าสุดท้ายที่ไม่ยอมส่งบัญชีเลย โดยที่อ้างว่ามัวแต่ก่อสร้างอยู่ ไม่มีเวลาทำบัญชี ซึ่งตรงนี้
กระผม/อาตมภาพไม่เชื่อ เพราะกระผม/อาตมภาพเคยสร้างทีละหลายวัดพร้อมกันก็ยังทำบัญชีได้ และโดยเฉพาะท่านมีเถยยจิตคิดจะยักยอกตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อทำไปก็แปลว่าขาดจากความเป็นพระไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2022 เมื่อ 14:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 28-01-2022, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในเรื่องของพระครูน้อยของเรานั้น เป็นส่วนที่ต้องบอกว่า เมื่ออยู่กับพวกเรา ก็พอที่จะลากถูกันไปได้ แต่พอไปเป็นเจ้าอาวาส ถือว่าตนเองมีอำนาจเต็ม สิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝืนใจทำก็เลิกทำ ทำให้ไม่มีคุณงามความดีไว้รักษาตัวเอง ระเบียบวินัยต่าง ๆ ไม่ปฏิบัติ ชาวบ้านก็เสื่อมศรัทธา จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ต่อให้อดีตครูบาน้อยไม่อยู่ แล้วชาวบ้านจะทนพระครูน้อยได้อีกนานเท่าไร ?

ตรงจุดนี้ที่มาบอกกล่าวไว้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายคิดเผื่อไว้ว่า ถ้าภายภาคหน้าต้องไปเป็นเจ้าอาวาสก็ดี ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินเงินทองก็ดี ส่วนหนึ่งที่ต้องตระหนักเลยก็คือว่า พระเรามีราคาแค่บาทเดียว โกงเงินถึงบาทเมื่อไร ขาดจากความเป็นพระเมื่อนั้น..!

แล้วระยะหลัง ทั้ง ๆ ที่อดีตครูบาน้อย ต้องบอกว่ายังเป็นคนหนุ่มอยู่ แต่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหาสาเหตุไม่ได้ จนกระทั่งท้ายสุดก็ไปโทษว่าเป็นเพราะนางตะเคียนเล่นงานเอา จึงไปตัดไปเผาต้นตะเคียนที่มหากว้าง (พระมหากว้าง ญาโณ) ปลูกเอาไว้จนหมด

โดยที่ไม่รู้ว่าบุคคลที่ล่วงละเมิดอาบัติหนัก ไม่ว่าจะปาราชิกหรือสังฆาทิเสสก็ตาม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกเอาไว้ว่า เป็นตัวดึงไสยศาสตร์ประเภทลมเพลมพัดได้ดีที่สุด เหมือนกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็ก เพราะว่าอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคล แต่ว่าความประพฤติปฏิบัตินั้นเลวร้ายมาก จึงทำให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงวิ่งเข้าใส่ ในลักษณะของสิ่งที่ดีดึงดูดความดี สิ่งที่ไม่ดีย่อมดึงดูดความไม่ดี ในเมื่อโดนในลักษณะนั้น ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องนี้ จึงกลายเป็นว่าไปเที่ยวโทษสิ่งอื่นนอกกายตนเอง

กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกว่า ท่านทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะรับผิดชอบหน้าที่อะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษากำลังใจตนเอง อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราได้ ต่อให้ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวใจ ก็ต้องควบคุมให้อยู่ในกรอบของความดี ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะเกิดความอยากเด่น อยากดัง โลภในลาภ บ้าอำนาจ อยากมีบริวารมาก ๆ อยากเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะอยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่น แล้วก็ไปดิ้นรนทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งบางทีกิเลสล้นออกมามากเกินไป ทำให้คนที่พบเห็นเลิกคบหาสมาคมไปเลยก็มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2022 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 28-01-2022, 22:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,740 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมก็ดี ในฐานะของพระภิกษุสามเณร แม่ชีก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องควบคุมกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ของตัวเองให้อยู่ในกรอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขารังเกียจ เพราะว่าจะกลายเป็นคนปากร้าย ขาดความยุติธรรม โกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

เมื่อทำนานไป ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เหมือนบาดแผลเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อบาดแผลเน่ามากเข้า ๆ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล คนก็จะรังเกียจและถอยออกห่าง หลายคนก็ใช้วิธีการประจบผู้มีอำนาจเพื่อเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป หลายคนก็คิดว่าตัวเองฉลาด หลอกคนที่มีอำนาจให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้นได้ แล้วก็มาภูมิใจว่าสามารถปั่นหัวคนอื่นเขาได้

สำหรับคนอื่นแล้วไม่รู้ แต่กระผม/อาตมภาพนั้นต้องบอกว่า "แกล้งโง่" มาตลอด คืออยากจะรู้ว่ากิเลสของคนจะมากเท่าไร แล้วยังจะตอหลดตอแหลไปได้อีกนานเท่าไร บางทีเห็นแล้วก็สมเพชเวทนา แต่ในเมื่อไม่ถึงวาระช่วยไม่ได้ ก็ได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าปล่อยไว้นานไป ก็อาจจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมได้

ตรงนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวให้แก่ญาติโยมได้สังวรณ์เอาไว้ว่า เรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ท้ายสุดญาติโยมชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนนั้น ยังจะให้การสนับสนุนต่อไปอีกเท่าไร ? ก็ได้แต่หวังว่าชาวบ้านจะมีความอดทนพอ ไม่เช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็คงต้องหาเจ้าอาวาสใหม่ไปให้เขาอีก วันนี้จึงขอบอกกล่าวกับทุกท่านแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2022 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว