กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 10-04-2009, 22:24
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๑.นามรูป

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน “นามรูป” นั้น อะไรเป็นนาม อะไรเป็นรูป
พระนาคเสนทูลตอบว่า ธรรมชาติที่ละเอียดไม่มีตัว เช่น จิต (หรือวิญญาณ) เจตสิก (ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร) นี้เป็นนาม
ส่วนธรรมชาติที่หยาบกว่าและอาจรับทราบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นรูป


ม. เพราะเหตุไรนามอย่างเดียวหรือรูปอย่างเดียวจึงเกิดขึ้นไม่ได้
น. เพราะต่างอิงอาศัยซึ่งกันและกันจึงเกิดขึ้น

ม. พระคุณเจ้าจงหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ
น. ขอถวายพระพร เหมือนไก่ก่อนเกิดเป็นลูกไก่ ต้องเป็นตัวอ่อนมาก่อนหนึ่ง ต้องเป็นไข่มาก่อนหนึ่ง
ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็ฟักออกเป็นลูกไก่ไม่ได้ฉันใด “นามรูป” ก็ฉันนั้น คือต้องอิงอาศัยกันทั้งนามและรูปจึงจะเกิดขึ้นเป็น “นามรูป” ได้ (นามรูปปัญหา)


ม. ที่พระคุณเจ้าว่านี้ ชอบแล้ว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 11-04-2009 เมื่อ 20:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 11-04-2009, 20:32
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๒. กิจของนามรูป

ม. การได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้รับสัมผัส เหล่านี้เกิดแต่ใจอย่างเดียวหรือเกิดจากที่มาต่างกัน
น. มิได้เกิดแต่ใจอย่างเดียว ที่ได้เห็นรูปเพราะรูปกระทบตา ที่ได้ยินเสียงเพราะเสียงกระทบหู ที่ได้กลิ่นเพราะกลิ่นกระทบจมูก ที่ได้ลิ้มรสเพราะรสกระทบลิ้น
ที่ได้รับสัมผัสเพราะวัตถุภายนอกถูกต้องกาย ขอถวายพระพร เมื่อกิจเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว จึงมีรายงานไปยังใจให้กระทำกิจของตน
ได้แก่ การเทียบเคียงรายงานใหม่กับรายงานเก่า แล้วพิจารณาจัดการกับการรับรู้ที่เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ (ปัญจายตนกัมมนิพพัตตปัญหา)


ม. การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดขึ้นที่ใด การรับรู้ทางใจ ก็เกิดขึ้นที่นั้นหรือ
น. ขอถวายพระพร ย่อมเป็นเช่นนั้น

ม. อย่างไหนเกิดก่อน อย่างไหนเกิดหลัง
น. วิญญาณ ๕ (การรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ) เกิดก่อนมโนวิญญาณ (การรับรู้ทางใจ)

ม. วิญญาณ ๕ สั่งมโนวิญญาณไว้หรือว่าให้ตามไปเกิดด้วยกัน
น. หามิได้ หากมโนวิญญาณมีลักษณะเหมือนที่ลุ่ม

ม. มีลักษณะเหมือนที่ลุ่มเป็นอย่างไร
น. ขอถวายพระพร ฝนตกน้ำจะไหลไปทางไหน

ม. ที่ลุ่มอยู่ทางใด น้ำก็ไหลไปทางนั้น
น. ฝนตกครั้งที่สองอีก น้ำจะไหลไปทางไหน

ม. น้ำคราวก่อนไหลไปทางไหน คราวหลังก็ไหลไปทางนั้น
น. ขอถวายพระพร น้ำคราวก่อนสั่งน้ำคราวหลังไว้หรือว่าให้ไหลตามไป หรือว่าน้ำคราวหลังนัดน้ำคราวก่อนว่าจะไหลไปตาม

ม. หามิได้ การที่น้ำสองคราวไหลไปรวมกันเพราะทางนั้นเป็นที่ลุ่ม
น. ฉันใดก็ฉันนั้น วิญญาณ ๕ เหมือนดังน้ำ คือเกิดขึ้นแล้วก็ไหลไปหามโนวิญญาณ
ทั้งนี้ก็เพราะมโนทวารมีหน้าที่รับรู้พิจารณาอารมณ์ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย น้อมเหนี่ยวไว้ เพื่อกระทำให้แจ้งอีกชั้นหนึ่ง (จักขุวิญญาณ มโนวิญญาณปัญหา)


ขอถวายพระพร อาศัยรูปกระทบตา เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกจักขุวิญญาณ, อาศัยเสียงกระทบหู เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกโสตวิญญาณ,
อาศัยกลิ่นกระทบจมูก เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกฆานวิญญาณ, อาศัยรสกระทบลิ้น เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกชิวหาวิญญาณ, อาศัยสิ่ง (โผฏฐัพพะ) กระทบกาย เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกกายวิญญาณ,
อาศัยนามธรรมต่าง ๆ เกิดกับใจ เกิดการรับรู้ขึ้นเรียกมโนวิญญาณ ในขณะที่วิญญาณเกิดขึ้นนั้น ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิตก วิจาร ก็เกิดร่วมขึ้นด้วยเช่นกัน (เวทคูปัญหา)
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 11-04-2009, 20:39
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

ม. วิญญาณมีลักษณะอย่างไร
น. วิญญาณมีลักษณะรู้แจ้ง เหมือนคนยืนอยู่ที่สี่แยกย่อมรู้ย่อมเห็นคนที่เดินผ่านไปมา
ฉะนั้น เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงเป็นต้น ก็ย่อมเกิดอาการรู้ทันทีว่านั่นรูป นั่นเสียง (วิญญาณลักขณปัญหา)


ม. ผัสสะมีลักษณะอย่างไร
น. ผัสสะมีลักษณะประจวบ เช่นตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกทางตา ขณะที่ทั้ง ๓ ประจวบกันเข้า ขณะนั้นเป็นผัสสะ

ม. พระคุณเจ้าจงเปรียบเทียบให้ฟัง
น. เหมือนแกะสองตัวชนกัน ตัวหนึ่งเหมือนตา อีกตัวหนึ่งเหมือนรูป อาการชนเทียบได้กับผัสสะ หรือเหมือนมือ ๒ ข้างประกบกัน
มือข้างหนึ่งเหมือนตา มืออีกข้างเหมือนรูป อาการประกบเทียบได้กับผัสสะ (ผัสสลักขณปัญหา)


ม. เวทนาเล่ามีลักษณะอย่างไร
น. เวทนามีลักษณะรู้สึกและเสพเสวย เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง หรือเฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง

ม. พระคุณเจ้าจงยกตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง
น. เหมือนข้าราชการทำความดีจนได้รับบำเหน็จต่าง ๆ เมื่อข้าราชการผู้นั้นรำพึงถึงการกระทำดีและบำเหน็จที่ตนได้รับจนรู้สึกอิ่มใจ
ความรู้สึกนั้นเป็นสุขเวทนา (เวทนาลักขณปัญหา)


ม. สัญญาเล่า ลักษณะอย่างไร
น. มีลักษณะกำหนดรู้และจำได้

ม. กำหนดรู้และจดจำอะไรได้
น. กำหนดจำลักษณะรูปพรรณสัณฐานและบัญญัติของสิ่งต่าง ๆ ได้ อุปมาดังเจ้าพนักงานเข้าไปในพระคลังหลวง เห็นเครื่องราชูปโภค
ก็หมายจำไว้เป็นอย่าง ๆ แม้ภายหลังจะไม่ได้เข้าไปดู ก็จำได้ นึกได้ถึงรูปร่างสีสันของเครื่องราชูปโภคเหล่านั้น (สัญญาลักขณปัญหา)


ม. เจตนาเล่า มีลักษณะอย่างไร
น. มีลักษณะจงใจและปรุงแต่งขึ้น

ม. พระคุณเจ้าจงเปรียบให้ฟัง
น. เหมือนบุคคลปรุงยาพิษแล้วดื่มเองด้วย ให้คนอื่นดื่มด้วย ตัวเขาเองจึงเป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ หรือเหมือนบุคคลปรุงอาหารด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อยและนมเนย
ให้ตนเองบริโภค แล้วให้คนอื่นบริโภคด้วย ตัวเขาเองก็เป็นสุข ผู้อื่นก็เป็นสุข
หรือเหมือนแพทย์ตรวจอาการของโรคทราบตลอดแล้ว จึงหยิบเอาตัวยาต่าง ๆ มาปรุงขึ้นรักษาโรคฉันใด
เจตนาย่อมคิดอารมณ์ที่ข้องอยู่ในใจ แล้วปรุงขึ้นเป็นโครงการฉันนั้น (เจตนาลักขณปัญหา)


(หมายเหตุ ความย่อหน้านี้ ปรากฏเฉพาะใน “ปัญหาพระยามิลินท์” น.๕๑ เท่านั้น แต่ไม่ปรากฏใน “มิลินท์ปัญหา” สำนวนแปลอื่น ๆ )

ม. วิตกมีลักษณะอย่างไร
น. มีลักษณะติดไปกับจิต คือนึกจับหรือตริในสิ่งที่เจตนาปรุงขึ้น อุปมาดังช่างไม้ที่เข้าหน้าไม้ได้สนิท (วิตักกลักขณปัญหา)

ม. วิจารเล่า มีลักษณะอย่างไร
น. มีลักษณะตามเคล้าอารมณ์ คือตรองเรื่องที่วิตกยกขึ้นหรือจับอยู่ อุปมาวิตกดังอาการเคาะระฆัง
อุปมาวิจารดังเสียงครางของระฆังภายหลังที่ถูกเคาะแล้ว (วิจารลักขณปัญหา)
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 11-04-2009 เมื่อ 20:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 13-04-2009, 23:08
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

ม. นามธรรมต่าง ๆ ที่เกิดประชุมกันเข้าในขณะหนึ่ง จะแจงออกมาให้เห็นชัด ๆ ว่า ขณะนี้เป็นวิญญาณ นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา สัญญา เจตนา วิตก วิจารได้หรือไม่
น. ขอถวายพระพร ยากที่จะแจงเช่นนั้นได้ อุปมาดังของเสวยที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จะให้เจ้าพนักงานครัวแยกของที่มีรสเค็ม รสเปรี้ยว รสหวานออกมาถวายอีกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม
แม้นามธรรมเหล่านี้จะประชุมกันเข้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเกิดพร้อมกันจนยากจะแยกให้เห็นชัด แต่ยังคงปรากฏลักษณะของตนที่พอให้กำหนดได้(เอกภาวคตปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว

๓.ไตรลักษณ์

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สิ่งที่ไม่มีในโลกนี้เลย ได้แก่อะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร สิ่งนั้นคือนามรูปและรูปไม่ประกอบนามซึ่งเกิดจากส่วนย่อย ๆ รวมกันขึ้น
คงที่เที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นชิ้นเป็นอันอยู่เช่นนั้น ไม่ตกอยู่ใต้ความบีบคั้นขัดแย้ง เป็นตัวเป็นตน ขอถวายพระพร สิ่งซึ่งมีลักษณะเช่นนี้ไม่มีในโลก (โลเกนัตถิภาวปัญหา)

ม. เข้าใจละ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 15-04-2009, 23:11
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด บุญกับบาป

๑.สังสารวัฏและการเวียนว่ายตายเกิด
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สังสารวัฏได้แก่อะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ได้แก่การเวียนเกิดเวียนตาย

ม. พระคุณเจ้าจงหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ
น. เหมือนชาวสวนปลูกมะม่วงไว้ ครั้นมะม่วงออกผลก็เก็บมารับประทาน
เสร็จแล้วก็เอาเมล็ดนั้นเพาะปลูกใหม่ ถึงคราวเกิดผล ก็นำมารับประทานแล้วปลูกใหม่ต่อ ๆ ไปอีก
สังสารวัฏก็มีอาการหมุนเวียนเช่นนั้น คือนับแต่เราเกิดมาเป็นนามรูป เราก็ตั้งต้นเพาะความดีความชั่ว
เป็นตัวบุญ ตัวบาปขึ้นเป็นเหตุ แล้วเราก็ต้องรับผลของความดีความชั่วนั้น
ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นกับอำนาจบาปบุญ ทั้งนี้ ผลที่เราได้รับอาจจูงใจให้เราเพาะเหตุต่อไปอีก
เหมือนคนรับประทานผลมะม่วงแล้วก็นำเมล็ดไปเพาะเป็นต้นหมุนเวียนต่อไปไม่รู้จบสิ้น (สังสารวัฏปัญหา)


ม. อะไรเป็นเหตุให้นามรูปต้องเกิดต่อไปอีกนาน
น. เหตุที่ทำให้นามรูปต้องเกิดต่อไปอีกนานก็คือ ความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ กล่าวคือ
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความดับทุกข์ อะไรเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์
แม้จะรู้สิ่งเหล่านี้โดยพิจารณาเห็นในชั่วขณะหนึ่ง ๆ ก็ยังเรียกว่าไม่รู้จริง เพราะความรู้นั้นมิได้ประจำจิตอยู่ตลอดเวลา
เมื่อไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ คนและสัตว์ทั้งหลายจึงทำบุญและบาป เป็นเหตุให้กิดปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งเปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้
ทำให้เกิดนามรูปซึ่งแตกกิ่งก้านเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำหน้าที่เป็นประตูรับอารมณ์ ๖

นอกจากนี้ เมื่อไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ก็ให้ยึดสิ่งต่าง ๆ เอาว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา
เมื่อประสบสิ่งชอบใจ รู้สึกยินดีก็เกิดความติดใจ เมื่อประสบสิ่งแสลงใจ รู้สึกทุกข์ ก็เกิดความปรารถนาจะหลีกหนีไปให้พ้น
จึงเป็นเหตุให้เกิดการดิ้นรนแสวงหารวมทั้งยึดถือในอุบายที่จะช่วยให้ตนสมประสงค์ในการได้มาหรือหลีกหนีไป ก่อเป็นกุศลและอกุศลหนุนเนื่องให้เกิดเป็นนามรูปต่อไปอีก
ขอถวายพระพร ตราบเท่าที่ยังไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ตราบนั้นนามรูปก็ยังคงปรากฏมีอยู่เช่นนี้
โดยการเกิดดับ ๆ ของนามรูปที่ล่วง ๆ มาแล้วนั้น นานจนเบื้องต้นไม่ปรากฏ (อัทธานปัญหาและปุริมโกฏิปัญหา)


ม. ความยาวนานของการเวียนเกิดเวียนตายเท่ากันหมดในหมู่คนและสัตว์ทั้งหลายหรือ
น. บางพวกก็นาน บางพวกก็ไม่นาน

ม. พวกไหนนาน พวกไหนไม่นาน
น. ผู้มีกิเลสคือเครื่องทำใจให้หมองอยู่ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกนาน ส่วนท่านที่บั่นทอนกิเลสซึ่งเป็นเหตุทำให้ยืดยาวนั้นลงได้บ้าง
ก็ย่นเวลาเกิดเวลาตายข้างหน้าให้สั้นเข้าได้ (ทีฆมัทธานปัญหา)


ม.ช่างล้ำลึกจริง
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #26  
เก่า 15-04-2009, 23:16
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน นามรูปเดิมนี้หรือ จักกลับมาเกิดอีก
พระนาคเสนทูลตอบว่า มิใช่นามรูปนี้ หากเป็นนามรูปอีกอันหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะบุญบาป กุศล อกุศลที่นามรูปนี้ได้กระทำไว้

ม. ถ้ามิใช่นามรูปนี้ไปเกิดแล้ว ก็เป็นอันว่าหนีบาปกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้พ้นสิพระคุณเจ้า
น. ถ้าไม่บังเกิดต่อไปอีก ก็เป็นอันหนีพ้น แต่ถ้ายังต้องมาเกิดอีก ก็หนีไม่พ้น

ม. พระคุณเจ้าจงเปรียบให้ฟัง
น. เหมือนคนก่อไฟผิงในฤดูหนาว แล้วลืมดับไฟ ไฟนั้นก็ลุกลามไปไหม้ไร่นาของผู้อื่น
เมื่อคดีถึงโรงศาล จำเลยแก้ตัวว่า ไฟที่เขาก่อขึ้นเป็นคนละกองกับที่ลามไปไปไหม้ไร่นาของโจทก์
ขอถวายพระพร เมื่อจำเลยแก้ตัวต่อศาลเช่นนี้ ศาลจะระงับไม่ลงโทษจำเลยหรือไม่


ม. จะให้งดได้อย่างไรเล่า เพราะไฟที่จำเลยก่อไว้นั้นเป็นต้นไฟ ตนเลินเล่อปล่อยไว้ จึงลุกลามต่อไป ศาลจึงควรตัดสินลงโทษจำเลยได้
น. ฉันใดก็ฉันนั้น แม้นามรูปนี้จะแปรไปเป็นนามรูปอื่น บาปกรรมก็ตามลงโทษนามรูปหน้าเช่นกัน
ทั้งนี้ เพราะนามรูปนี้กระทำบาปบุญซึ่งเป็นเหตุให้มีนามรูปอื่นขึ้นแทน นามรูปอื่นจึงหนีบาปกรรมไม่พ้น (นามรูปปฏิสนธิคหณปัญหา)


ม. นามรูปนี้และนามรูปอื่นเชื่อมโยงกันได้อย่างไร พระคุณเจ้าจงหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ
น. เหมือนเมล็ดต้นไม้ แรกปลูกไม่มีดอก ต่อมามีลำต้น เกิดมีใบมีดอก ในที่สุดใบดอกก็ร่วงหล่นไป เกิดใบดอกใหม่ขึ้นแทน
นามรูปก็เช่นเดียวกับใบไม้ดอกไม้ เดิมไม่ปรากฏ แต่เพราะมีบุญบาปซึ่งตนได้กระทำไว้ก่อนเป็นเหตุอยู่ จึงทำให้เกิดลำต้นซึ่งแตกใบผลิดอกออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ฉันใดก็ฉันนั้น นามรูปนี้และนามรูปอื่นก็เชื่อมต่อกันได้ผ่านลำต้นคือบุญบาป ฉะนี้ (ปุริมโกฏิปัญหา)


พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ที่ตายไปแล้วกลับไปเกิดอีก เขาจะยังคงเป็นผู้นั้น หรือว่าจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง
น. จะว่าเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นอีกคนก็ไม่ใช่

ม. ขอพระคุณเจ้าจงเปรียบให้ฟัง
น. โคมไฟที่จุดแต่หัวค่ำแล้วตามไว้จนถึงรุ่งเช้า เปลวไฟในยามที่ ๑ กับในยามที่ ๒ เป็นอันเดียวกันหรือมิใช่

ม. ไม่ใช่
น. หรือเปลวไฟในยามทั้งสองเป็นเปลวไฟคนละชนิด

ม. หามิได้
น. ความสืบเนื่องแห่งรูปธรรมนามธรรมก็ฉันนั้น อันหนึ่งเกิดดับ อีกอันหนึ่งก็เกิดขึ้นแทน สืบเนื่องกันเรื่อย ๆ ไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่ตายแล้วกลับไปเกิดอีก จะว่าเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นอีกคนหนึ่งก็ไม่ใช่ (ธัมมสันตติปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าเปรียบได้น่าฟัง
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 15-04-2009 เมื่อ 23:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #27  
เก่า 15-04-2009, 23:35
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๒. การเกิด-การตาย
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สัตว์ทุกจำพวกต่อเมื่อถึงวาระจึงตาย หรือว่าไม่ถึงวาระก็ตายเหมือนกัน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ย่อมมีทั้งสองประการ อุปมาดังผลไม้ซึ่งหล่นจากต้นย่อมมีทั้งสุกและดิบ
ผลที่สุกแล้วไม่มีปัญหา แต่ผลที่ยังดิบอยู่เป็นเพราะเหตุใดจึงหล่น


ม. เป็นเพราะถูกหนอนไชบ้าง นกจิกกินเล่นบ้าง ถูกลมแรงพัดหล่นบ้าง
น. ขอถวายพระพร ผลไม้สุกที่หล่นก็เหมือนคนที่ตายโดยถึงอายุขัย ส่วนผลไม้ดิบที่หล่นเปรียบเหมือนคนที่ตายโดยยังไม่ถึงวาระ

ม. แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า จะตายเมื่อใดหรือเพราะประการใด ก็เรียกว่าตายโดยวาระทั้งนั้น
น. หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราเหตุแห่งความตายอาจจำแนกได้เป็น ๘ ประการ คือ
๑. โรคมีที่มาจากลม
๒. โรคมีที่มาจากช่องท้อง
๓. โรคมีที่มาจากเสมหะ
๔. โรคมีที่มาจากประสาท
๕. ความเปลี่ยนแปลงของฤดู
๖. บริหารอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ
๗. ความเพียรของผู้อื่น และ
๘. ผลของบุพกรรม เว้นแต่ผลของบุพกรรม ความตายด้วยเหตุอื่น ๆ ถือเป็นการตายที่ยังไม่ถึงวาระ


ม. แต่ความตายจากเหตุอื่นทั้ง ๗ ก็อาจถือเป็นผลจากบุพกรรมได้มิใช่หรือ ดังนั้น จะตายอย่างไรก็ถือเป็นการตายตามวาระทั้งนั้น
น. อาตมภาพขอยกตัวอย่างมาเปรียบถวาย ไฟที่ดับเพราะสิ้นเชื้อถือเป็นการดับไปตามวาระใช่หรือไม่

ม. ใช่
น. ถ้าไฟยังลุกโชนอยู่ แต่เผอิญมีฝนตกลงมาจนไฟดับ จะถือว่าไฟดับตามวาระได้หรือไม่

ม.ไม่ได้ เพราะไฟยังมีเชื้ออยู่ จึงควรลุกต่อไปได้ตามปกติ แต่เหตุที่ดับเพราะมีฝนตกรดลงมา
น. ขอถวายพระพร ผู้ที่ตายด้วยเหตุ ๗ ประการเบื้องต้น ก็เช่นเดียวกับไฟที่ดับลงทั้ง ๆ ที่ยังมีเชื้ออยู่
เพราะหากไม่มีเหตุมาตัดรอน ชีวิตก็ย่อมยืนยาวต่อไปจนถึงอายุขัย ด้วยเหตุนี้ จึงถือว่าผู้ที่ตายด้วยเหตุหนึ่งใน ๗ อย่างข้างต้น มิได้ตายตามวาระ
ส่วนผู้ที่ตายเพราะเหตุแห่งอายุขัยดังไฟสิ้นเชื้อ ถือเป็นการตายตามวาระ (กาลากาลมรณปัญหา)
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 15-04-2009 เมื่อ 23:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #28  
เก่า 15-04-2009, 23:38
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สัตว์เมื่อจะเข้าถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา เข้าทางไหน
พระนาคเสน ทูลตอบว่า ขอถวายพระพร หาเป็นเช่นที่พระองค์ตรัสถามไม่

ม. ถ้าเช่นนั้น พระคุณเจ้าจงยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ
น. ขอพระองค์ทรงส่งพระหฤทัยเข้าไปนึกถึงแก้วแหวนเงินทองในหีบนั่น

ม. ส่งเข้าไปแล้ว
น. ขอถวายพระพร พระองค์ทรงส่งพระหฤทัยเข้าไปทางไหน

ม. หามีช่องทางให้จิตส่งเข้าไปไม่ แต่ที่ส่งจิตเข้าไปจนเห็นแก้วแหวนเงินทองในหีบนั้นได้ก็เพราะจิตหมายรู้ตามที่ได้ประจักษ์มาก่อนแล้ว
น. ฉันใดก็ฉันนั้น สัตว์และบุคคลเมื่อจะเกิดในท้องมารดาก็มีแต่จิตที่เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต” หรือ “ปฏิสนธิวิญญาณ” ที่พร้อมจะเข้าไปปฏิสนธิ
ในขณะที่เข้าไปในครรภ์มารดานั้น ก็เข้าไปในอาการที่พระองค์ทรงส่งพระหฤทัยเข้าไปในหีบนั่น หาได้มีช่องทางหนึ่งใดสำหรับให้จิตเข้าไปถือปฏิสนธิไม่ (มาตุกุจฉิปัญหา)


ม. เข้าใจละ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #29  
เก่า 15-04-2009, 23:42
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๓. บุญกับบาป

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน บุญกับบาปสิ่งไหนจะดูดดื่มกว่ากัน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร บุญดูดดื่มกว่ากัน
ม. ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
น. ขอถวายพระพร บาปย่อมมีผลเป็นทุกข์ ผู้กระทำบาปจึงถูกความทุกข์เผาผลาญให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ ใจย่อมระอาต่อการกระทำบาปนั้นต่อไป
ส่วนบุญย่อมมีผลเป็นความสุขกายเย็นใจ จึงเป็นเหตุชวนให้ผู้ที่ได้รับผลพยายามสั่งสมต่อไป เพราะบุญมีผลเป็นที่จับใจของผู้กระทำเช่นนี้ จึงดูดดื่มกว่า (บาปปุญญพหุการปัญหา)


ม. บุญกับบาป สิ่งไหนจะมีกำลังมากกว่า
น. บุญมีกำลังมากกว่า

ม. เกรงจะมิใช่เช่นนั้นสิพระคุณเจ้า เพราะตามที่ได้ยินมา คนทำบาปย่อมได้รับผลเผ็ดร้อนต่าง ๆ
และโดยมากได้รับผลในปัจจุบัน ไม่ค่อยได้ยินว่าคนทำบุญได้รับผลทันตา

น. ตัวอย่างผู้ทำบุญที่ได้รับผลทันทีมีอยู่ แต่จะขอทูลชี้แจงว่าเหตุที่บุญมีผลมากกว่า จึงให้ผลช้า
ส่วนบาปมีผลน้อยกว่าเบากว่าจึงให้ผลเร็ว อุปมาดังข้าวหนักปลูกแล้วให้ผลช้าแต่ให้ผลมาก ส่วนข้าวเบาให้ผลเร็วแต่ให้ผลน้อย


ม. ข้าพเจ้ายังคงเห็นแย้ง ด้วยตัวอย่างทางโลกมีอยู่มากมายที่คนทำผิดกฎหมายย่อมถูกลงโทษโดยเร็ว
น. แม้โทษนั้นจะเป็นผลของบาปก็จริงอยู่ แต่ตัวอย่างที่ยกมาไม่สามารถจะแสดงได้ว่าบาปมีกำลังมากกว่าบุญ
เพราะกฎหมายส่วนมากมิได้ระบุผลที่คนทำบุญจะพึงได้รับ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #30  
เก่า 16-04-2009, 22:49
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

นิพพาน พระอริยบุคคล และพระพุทธเจ้า

๑.นิพพาน

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สิ่งที่เกิดแต่กรรม แต่เหตุ แต่ฤดู มีให้เห็นให้คิดเข้าใจได้
แต่สิ่งที่ไม่เกิดแต่กรรม แต่เหตุ แต่ฤดู อย่างหนึ่งอย่างใดมีบ้างหรือไม่

พระนาคเสนตอบว่า ขอถวายพระพร มี ได้แก่ อากาศ ๑ พระนิพพาน ๑

ม. กล่าวถึงอากาศ ข้าพเจ้าเห็นด้วย แต่พระนิพพานนั้น ไม่น่าเป็นอย่างพระคุณเจ้าว่า เพราะพุทธพจน์มีอยู่ชัดเจนว่า
พระนิพพานย่อมมีมรรคเป็นเหตุให้เกิด หรือมรรคเป็นเหตุกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หรือ พระคุณเจ้ากำลังกล่าวตู่พระพุทธพจน์ เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้


น. ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์มีอยู่เช่นนั้นจริง แต่หาได้หมายความว่า พระนิพพานเกิดแต่เหตุคือมรรคไม่
มรรคนั้นทำพระนิพพานให้แจ้ง แต่ไม่อาจแสดงเหตุที่อาศัยให้เกิดพระนิพพานได้ เพราะพระนิพพานเป็นอสังขตธรรม
ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง รู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย จะพึงรู้พึงเห็นได้ก็เฉพาะแต่พระอรหันต์ผู้มีจิตบริสุทธิ์สงบและละเอียดเท่านั้น (นิพพานอัตถิภาวปัญหา)


ม. ธรรมดาสิ่งต่าง ๆ ย่อมมีที่ตั้ง เช่น นาเป็นที่ตั้งแห่งข้าวเปลือก ดอกไม้เป็นที่ตั้งแห่งกลิ่น
หากพระนิพพานไม่มีที่ตั้ง พระนิพพานก็เป็นอันไม่มี ผู้ที่พยายามกระทำพระนิพพานให้แจ้งก็ไร้ประโยชน์เปล่า

น. ขอถวายพระพร พระนิพพานมีอยู่จริง แต่ที่ตั้งแห่งพระนิพพานไม่มี อุปมาดังไฟที่ปกติไม่ปรากกฎที่ตั้ง
แต่เมื่อบุคคลเอาไม้มาสีกัน ไฟก็เกิดขึ้นได้ พระนิพพานก็เช่นเดียวกันคือไม่ปรากฏที่ตั้ง แต่เมื่อบุคคลพยายามบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ให้แก่กล้าแล้ว พระนิพพานก็เกิดมีขึ้นได้เช่นไฟนั้น (นิพพานปัฏฐานปัญหา)


ม .พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #31  
เก่า 16-04-2009, 22:55
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระนิพพานมีความสุขอย่างเดียวหรือมีความทุกข์ปนอยู่ด้วย
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระนิพพานมีแต่ความสุขล้วน ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย


ม. คิดว่ามิใช่เช่นนั้น เพราะสังเกตดูคนที่มุ่งหวังพระนิพพานต้องลำบากกาย ต้องสำรวมอิริยาบถ
ต้องระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใส เหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาการแห่งความทุกข์ ลำบากทั้งนั้น

น. ขอถวายพระพร อาตมาภาพขอทูลถามพระองค์บ้างว่า การเสวยราชสมบัติได้รับแต่ความสุขอย่างเดียวหรืออย่างไร

ม. ก็เป็นสุขดี ไม่เห็นทุกข์ยากลำบากอะไร
น. เมื่อชนบทกำเริบ มีการสงคราม พระองค์ต้องกรีฑาทัพไปประทับแรมตามป่าดง ถูกเหลือบยุงและลมแดดเบียดเบียน เป็นต้น นั้นเป็นทุกข์มิใช่หรือ

ม. ก็เป็นความทุกข์สิพระคุณเจ้า แต่จะเอามาปะปนกับความสุขในราชสมบัติไม่ได้
เพราะการกระทำนั้น ๆ ทำเพื่อความมั่นคงในการหาความสุขในราชสมบัติต่างหาก

น.ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ต้องสำรวมอิริยาบถ ต้องระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสนั้น ก็เพื่อความมั่นคงในการแสวงหาความสุขคือพระนิพพาน
เมื่อผู้มุ่งหวังพระนิพพานชำระสันดานของตนให้ปราศจากอกุศลอันทำให้จิตหม่นหมอง เมื่อนั้นเป็นอันได้ประสบสุขคือพระนิพพาน
เนื่องด้วยพระนิพพานเป็นธรรมชาติหมดจดจากบาปธรรมอันเป็นเหตุแห่งตัวทุกข์และความเศร้าหมอง
จึงมีแต่ความสุขล้วนไม่มีความทุกข์เจือปนเลย (นิพพานอทุกขมิสสภาวปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 20-04-2009 เมื่อ 11:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #32  
เก่า 23-04-2009, 23:47
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ความดับกองทุกข์ได้ทั้งหมดคือพระนิพพาน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ถูกแล้ว

ม. ดับอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าพระนิพพาน
น. ดับจนหาเชื้อที่จะก่อให้ลุกลามอีกไม่ได้ จึงจะชื่อว่าพระนิพพาน
ขอถวายพระพร อันผู้ที่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่ผ่านมาย่อมถูกความทุกข์เผาผลาญให้หม่นไหม้
ส่วนบุคคลที่มีใจหนักแน่น แม้จะมีอารมณ์ที่ร้อนรนมากระทบ ก็ไม่ปล่อยใจให้หมกไหม้อยู่ในกองทุกข์เช่นนั้น
ย่อมดับเสียได้ด้วยคิดเห็นว่า คติของธรรมดามีอยู่อย่างนั้น จนอารมณ์ร้อนมอดลงไปเอง (นิโรธนิพพานปัญหา)


ม. ถ้าเช่นนั้น บุคคลที่มีใจหนักแน่นย่อมได้พระนิพพานด้วยกันทุกคนหรือ
น.ได้เฉพาะผู้ที่เดินถูกทางเท่านั้น

ม. การเดินถูกทางนั้นกระทำอย่างไร
น. การเดินถูกทางนั้น เบื้องต้นต้องทำความเห็นให้ตรงเสียก่อน คือให้เห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางเดินไปดับทุกข์ ว่า มีอยู่อย่างไร
จากนั้น จึงใช้ความเห็นชอบนี้นำความคิด คำพูดและการกระทำให้เดินตรงไป ขณะเดินก็ต้องพยายามนึกมุ่งต่อที่ ๆ หมายไว้ให้แน่วแน่อยู่ที่เดียว
ขอถวายพระพรผู้ที่เดินถูกทางเช่นนี้ ย่อมได้พระนิพพาน (นิพพานนลภนปัญหา)


ม. ฐานะที่บุคคลซึ่งประสงค์จะเดินถูกทางต้องตั้งอยู่นั้น มีหรือไม่ และถ้ามีเป็นอย่างไร
น. มี ฐานะนั้นได้แก่ ศีล เมื่อบุคคลตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว กระทำใจโดยอุบายอันแยบคาย แม้ว่าจะอยู่ในที่ใด ๆ
ก็ย่อมจะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ (นิพพานปัฏฐานปัญหา)


ม.จะกระทำพระนิพพานให้แจ้งนั้น กระทำด้วยอาการอย่างไร
น. ขอถวายพระพร พระนิพพานเป็นธรรมสงบระงับ มีความสุขอย่างประณีต ผู้ปฏิบัติชอบพึงพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ด้วยปัญญา

การที่จะกระทำพระนิพพานให้แจ้งนั้น ต้องพิจารณาความเป็นไปของสังขารทั้งหลาย คือความเกิดและความดับ จนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ในสังขารเหล่านั้น
ครั้นแล้วย่อมบังเกิดความหน่ายในภพทั้ง ๓ (คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ)
เมื่อบุคคลกระทำการพิจารณาเช่นนี้อยู่เนือง ๆ จิตย่อมหมดความยินดีที่จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไป รวมทั้งย่อมเลื่อมใสในความระงับดับสังขารตลอดจนความระงับในเหตุคือ กิเลสตัณหาทั้งหลาย เมื่อประคองจิตเช่นนี้ให้มั่นด้วยสติและวิริยะจนพระอริยมรรคบังเกิด เมื่อนั้นย่อมเรียกได้ว่า บุคคลกรทำพระนิพพานให้แจ้ง (นิพพานสัจฉิกรณปัญหา)


ม.เข้าใจละ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 23-04-2009 เมื่อ 23:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #33  
เก่า 24-04-2009, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,986 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตัวแสบจำเป็น อ่านข้อความ
ซื้อมา ๑ เล่ม จากวัดท่าซุงเมื่อนานมาแล้ว
ยังไม่สามารถอ่านจนจบได้เลย
เรานี่ช่างด้อยปัญญานักหนอ อ่านแล้วไม่เข้าใจเลย
ค่อย ๆ อ่านจ้ะพี่หยก แล้วจะสนุกและได้อรรถรสมาก
ฉบับของวัดท่าซุงนั้น เขารวบรวมมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ อ่านได้ง่ายกว่าของที่อื่นแล้ว เพราะมีการอธิบายความต่อท้ายในแต่ละปัญหาด้วย นอกจากนี้ยังมีประวัติของบุคคลต่าง ๆ เพิ่มเติมมา โดยที่เราไม่ต้องไปควานหาเองเลยค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-04-2009 เมื่อ 05:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #34  
เก่า 26-04-2009, 22:40
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ก็ผู้ที่ยังไม่ได้พระนิพพาน จะรู้หรือไม่ว่าพระนิพพานเป็นสุข
พระนาคเสนทูลตอบว่า รู้

ม. รู้ได้อย่างไร
น. อาตมภาพขอทูลถามบ้างว่า คนที่มีร่างกายบริบูรณ์ จะรู้หรือไม่ว่าการตัดมือตัดเท้าเป็นความเจ็บปวด

ม. รู้สิพระคุณเจ้า
น. รู้ได้ด้วยอะไร

ม. รู้ได้ด้วยฟังเสียงครวญครางหรือเห็นอาการดิ้นรนของคนที่ถูกตัดมือตัดเท้า
น. ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่ยังมิได้พระนิพพานเมื่อได้เห็นกิริยามารยาท หรือได้ยินได้ฟังถ้อยคำของท่านที่ได้พระนิพพานแล้ว ก็หยั่งรู้ได้ว่าพระนิพพานเป็นสุข (นิพพานสุขภาวชานนปัญหา)

ม. ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 26-04-2009, 22:48
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๒.พระอริยบุคลและพระอรหันต์

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน อันผู้ที่ตายไปแล้วมีบ้างหรือไม่ที่จักไม่กลับมาเกิดอีก
พระนาคเสนทูลตอบว่า มี ผู้ที่จักกลับมาเกิดอีกก็มี ผู้ที่จักไม่กลับมาอีกก็มี

ม. ใครที่จักกลับมาเกิดอีก ใครจักไม่กลับมาเกิดอีก
น. ผู้ที่มีกิเลสจักกลับมาเกิดอีก ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วจักไม่กลับมาเกิดอีก

ม. ตัวท่านเล่า จักกลับมาเกิดอีกหรือไม่
น. หากอาตมภาพยังมีอุปาทาน (ความถือมั่นด้วยกิเลส)อยู่ ก็จักกลับมาเกิดอีก หากไม่มีอุปาทาน ก็จักไม่กลับมา (ปฏิสนธิคหณปัญหา)

ม. ผู้ที่ไม่ต้องมาเกิดอีกนั้น เขาจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเขาจักไม่มาเกิดอีก
น. รู้ เพราะรู้ตัวอยู่ว่า ตนได้ทำให้สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดหมดสิ้นแล้ว อุปมาเหมือนชาวนาที่เก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งเพื่อบริโภคโดยไม่ทำนาเพิ่มอีก
ยุ้งฉางของเขาจักไม่เต็มขึ้นเพราะตัวเขาหยุดทำนาแล้ว (นัปปฏิสนธิคหณชานนปัญหา)


ม. ผู้ที่จักต้องบังเกิดต่อไป เขารู้ตัวหรือไม่ว่าจักต้องไปเกิดอีก
น. รู้ อุปมาเหมือนชาวนาเมื่อหว่านข้าวลงในพื้นนาแล้ว ฝนโปรยปรายมา ก็ย่อมรู้ว่าข้าวปลูกจักงอกงาม ผู้ที่บังเกิดต่อไป ก็รู้ตัวเช่นนั้นเหมือนกัน
เพราะว่าบุญบาปซึ่งเป็นเหตุให้เกิด ตนยังเพาะยังทำอยู่ (อุปปัชชนชานนปัญหา)


ม. ผู้ที่จักไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ระหว่างมีชีวิตอยู่ จะรู้สึกต่อความลำบากหรือไม่
น. บางส่วนก็รู้สึก บางส่วนก็ไม่รู้สึก

ม. ส่วนไหนรู้สึก ส่วนไหนไม่รู้สึก
น. ร่างกายของท่านรู้สึกต่อความลำบาก แต่ใจของท่านไม่รับรู้ความลำบาก กล่าวคือ ความลำบากกาย เช่น เมื่อยขบ หิว กระหาย
หรือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ยังคงเกิดแก่ท่าน เสียดแทงร่างกายท่านอยู่ตามธรรมดา แต่ท่านไม่มีความลำบากใจ ทุกข์ใจ
เนื่องจากท่านได้ทำเหตุแห่งความลำบากใจให้สิ้นเชื้อแล้ว ดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ใจความว่า
ผู้ที่สิ้นกิเลสคือเหตุให้ใจเศร้า ยังคงมีแต่กายิกทุกข์ คือทุกข์ประจำร่างกายเท่านั้น ส่วนเจตสิกทุกข์หรือความทุกข์ใจเป็นอันไม่มีแล้ว


ม. เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนท่านจึงไม่รีบนิพพานหนีความลำบากเสียเล่า
น. เพราะเหตุว่า ใจของท่านเหล่านั้น มิได้เกาะเกี่ยวอยู่ที่ความลำบาก
โดยพิจารณาเห็นว่า ความลำบากเหล่านั้นเป็นอาการประจำของร่างกาย
เมื่อมีเกิดมีแก่แล้ว ก็ต้องมีความไข้ ความเจ็บ เมื่อยขบ หิว กระหาย เป็นธรรมดา

อนึ่ง ท่านเหล่านั้นไม่เร่งกาลเวลา ด้วยทำใจอยู่เสมอว่า จะทำประโยชน์สุขให้แก่ตนและผู้อื่นทุก ๆ ขณะไป
ดังพระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า จะยังมีชีวิตอยู่ก็ดี จะตายเสียก็ดี ไม่เป็นเหตุให้ดีใจหรือเสียใจ แต่ว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จะทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อไป (ปรินิพพานปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้จับใจ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 27-04-2009 เมื่อ 16:08 เหตุผล: แก้ไข ยังคงมีแต่"กายิก"ทุกข์ ครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 27-04-2009, 21:36
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน หากเป็นดังที่พระคุณเจ้าว่าไว้คือพระอรหันต์ไม่มีความทุกข์ใจ
มีแต่ความทุกข์ประจำร่างกายเท่านั้น ก็หมายความว่าท่านบังคับร่างกายไม่ได้สิ

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ก็เป็นอย่างนั้น
กล่าวคือ ความรู้สึกหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ หาวนอน แก่ เจ็บ ตาย
อาการเหล่านี้ ท่านบังคับไม่ได้เพราะว่าเป็นอาการประจำของร่างกาย เมื่อร่างกายยังมีอยู่
อาการเหล่านี้ก็ยังต้องมีอยู่ด้วย


ม. ถ้าอย่างนั้น ไฉนท่านจึงสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้เล่า
น. ขอถวายพระพร แม้ความเป็นไปแห่งร่างกายตามธรรมดา จะมิได้ตกอยู่ในอำนาจของอะไรทั้งหมด
แต่อาการเคลื่อนไหวทุก ๆ ส่วนของร่างกายย่อมอยู่ในความรับผิดชอบแห่งใจชอบของท่าน
ท่านจึงกระทำให้อยู่ในอาการปกติเรียบร้อยได้


ม. เข้าใจละ แต่สงสัยว่าเหตุใดความทุกข์ใจจึงมีแก่ปุถุชน
น. เพราะปุถุชนปล่อยใจไปรับรู้สึกต่ออาการผันแปรของร่างกาย
เมื่อเป็นเช่นนั้น อาการหนาว ร้อน หิว กระหาย ฯลฯ ก็ตามบีบหัวใจมากน้อยสุดแต่ความไหวรับรู้สึก
และนอกจากอาการประจำร่างกายเหล่านี้แล้ว
จิตของปุถุชนยังปรุงแต่งอารมณ์ต่าง ๆ ที่คอยกระทบใจให้รู้สึกบอบช้ำลงไปอีก


ขอถวายพระพร เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะปุถุชนมิได้ฝึกหัดใจ
มิได้หัดพิจารณาให้เห็นแจ้งในความผันแปร ซึ่งเป็นธรรมดาแห่งร่างกายและสังขารอื่น ๆ
ปุถุชนจึงคุมใจไว้ไม่อยู่ ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ใจนอกเหนือจากทุกข์กาย (อรหโตกายิกเจตสิกเวทนาปัญหา)


ม. เป็นเพราะเหตุใด พระอรหันต์จึงไม่มีความทุกข์ใจเช่นปุถุชน
น. เป็นเพราะท่านมีสติสัมปชัญญะกำกับใจอยู่เสมอ สามารถกำหนดรู้อารมณ์ที่ผ่านมายังใจว่ามีเหตุมีผลเป็นอย่างไร
ถ้าเป็นอารมณ์ที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ท่านก็ไม่ปล่อยใจให้นอนอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ อารมณ์ที่เป็นแดนเกิดแห่งความทุกข์ก็ไม่อาจบีบใจท่านได้
ขอถวายพระพร เหตุดังนี้ที่ทำให้พระอรหันต์ไม่มีความทุกข์ใจ(กายิกเจตสิกเวทนายนานากรณปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 29-04-2009 เมื่อ 11:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 27-04-2009, 21:41
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระอรหันต์ท่านเผลอสติบ้างหรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระอรหันต์ท่านไม่เผลอสติ เพราะท่านมีสติกำกับใจอยู่เสมอ(อรหันตสัมโมหปัญหา)

ม. ถ้าเช่นนั้นพระอริยบุคคลต่าง ๆ (พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน) ซึ่งทรงญาณและปัญญา (ความหยั่งรู้ ) นั้น จะหลงหรือไม่
น. หลงในบางที่ ไม่หลงในบางที่

ม. ที่ใดหลง ที่ใดไม่หลง
น. ขอถวายพระพร หลงในวิชาที่ยังไม่เคยเรียน ในทิศที่ยังไม่เคยไป ในชื่อหรือบัญญัติที่ไม่เคยรู้ และในภาษาที่ไม่เคยฟัง

ม. ก็ในที่เช่นใดเล่า ที่ท่านไม่หลง
น. ที่ใดมีอาการไม่เที่ยง แปรผัน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ในที่เช่นนั้น ท่านไม่หลง

ม. ความหลงของท่านผู้นั้นไปอยู่เสียที่ไหน
น. ขอถวายพระพร เมื่อญาณหรือปัญญาเกิดขึ้น ความหลง (โมหะ) ก็หายไป อุ
ปมาดังคนส่องไฟไปในที่มืด ทันใดนั้นความมืดก็หาย ปรากฏเป็นความสว่างขึ้นแทน
ญาณก็เช่นเดียวกับแสงไฟ เกิดขึ้นเมื่อใด ความหลงความไม่รู้ก็หายไปเมื่อนั้น


ม. ส่วนปัญญาเล่าไปอยู่เสียแห่งใด
น. ขอถวายพระพร ปัญญาเมื่อกระทำกิจของตนแล้วก็หายไปในที่นั้น
คงยังปรากฏอยู่แต่วิชชา คือความรู้ชัดในความแปรปรวน ความเป็นทุกข์ และความมิใช่ตัวตน
อุปมาดังคนเขียนหนังสือในเวลากลางคืน ครั้นเขียนเสร็จก็ดับไฟนอน ไฟเป็นอันดับหายไป
แต่ตัวอักษรที่ได้เขียนไว้ยังปรากฏอยู่ ปัญญาก็ฉันนั้น เมื่อทำกิจของตนเสร็จก็หายไป
เหลือไว้แต่วิชชา คือความรู้แจ้งประจักษ์ในอาการที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเท่านั้น (ปัญญา ณิรุชณปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 29-04-2009, 01:05
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

ทำให้นึกถึงที่พระนาคเสน ตอบกลับพระเจ้ามิลินท์ว่า

ม. ถ้าเช่นนั้นพระอริยบุคคลต่าง ๆ (พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน) ซึ่งทรงญาณและปัญญา (ความหยั่งรู้ ) นั้น จะหลงหรือไม่
น. หลงในบางที่ ไม่หลงในบางที่

ม. ที่ใดหลง ที่ใดไม่หลง
น. ขอถวายพระพร หลงในวิชาที่ยังไม่เคยเรียน ในทิศที่ยังไม่เคยไป ในชื่อหรือบัญญัติที่ไม่เคยรู้ และในภาษาที่ไม่เคยฟัง

ม. ก็ในที่เช่นใดเล่า ที่ท่านไม่หลง
น. ที่ใดมีอาการไม่เที่ยง แปรผัน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ในที่เช่นนั้น ท่านไม่หลง
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทิดตู่ : 29-04-2009 เมื่อ 03:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #39  
เก่า 29-04-2009, 12:13
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน มีคำกล่าวว่า เมื่อฆราวาสได้เป็นพระอรหันต์
ย่อมมีทางเลือกให้เพียงสอง คือหากไม่บวชในวันนั้น ก็จะนิพพานในวันนั้น
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว หากฆราวาสนั้นหาอุปัชฌาย์หรือเครื่องบริขารไม่ทัน ก็มิต้องนิพพานเสียหรือ

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ก็นิพพาน

ม. ถ้าเป็นเช่นนั้น จะมิใช่ว่า พระอรหัตตผลได้บั่นทอนชีวิตของท่านเหล่านั้นหรอกหรือ
น. การที่เป็นดังนั้น หาใช่พระอรหัตตผลบั่นทอนไม่ แต่เป็นเพราะเพศฆราวาสไม่มีกำลังจะทรงคุณธรรมอันสูงสุดนั้นได้
อุปมาดังผู้บริโภคอาหารบริสุทธิ์ แต่บริโภคมากเกินส่วน ไฟธาตุย่อยไม่ไหว
การบริโภคนั้นก็ย่อมให้โทษแก่ร่างกาย ขอถวายพระพร นี่จะจัดว่าเป็นโทษของอาหารจะได้หรือไม่


ม. จัดเป็นโทษของอาหารไม่ได้เพราะอาหารนั้นบริสุทธิ์ แต่ต้องจัดว่าเป็นโทษของการบริโภค เพราะมากเกินไปจนไฟธาตุย่อยไม่ไหว
น. ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ฆราวาสต้องนิพพาน ก็เพราะเพศฆราวาสไม่มีกำลังจะสามารถทรงพระอรหัตตผล ซึ่งเป็นคุณธรรมอันบริสุทธิ์ไว้ได้
ดังนั้น จะว่าพระอรหัตตผลบั่นทอนชีวิตฆราวาสผู้บรรลุแล้วหาได้ไม่ (คิหิอรหัตตปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 29-04-2009, 12:18
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,674 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

๓.พระพุทธเจ้า

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระคุณเจ้าเคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เคยเห็น

ม. อาจารย์ของพระคุณเจ้าเล่า ได้เห็นพระองค์หรือไม่
น. อาจารย์ของอาตมภาพก็ไม่ได้เห็น

ม. ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่มี
น. ขอถวายพระพร พระองค์เคยเสด็จไปทอดพระเนตรสะดือทะเลที่กลางทะเลหรือไม่

ม. ข้าพเจ้าไม่เคยไปดู
น. พระชนกของพระองค์เล่า ได้เสด็จไปทอดพระเนตรบ้างหรือไม่

ม. พระชนกของข้าพเจ้าก็ไม่เคยเสด็จไปทอดพระเนตร
น. ถ้าอย่างนั้น สะดือทะเลก็ไม่มีมิใช่หรือ

ม. มีสิพระคุณเจ้า เป็นแต่พระชนกและข้าพเจ้าไม่เคยไปดูไปเห็นมา
น. ฉันใดก็ฉันนั้น อาจารย์และอาตมภาพไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า เพราะเกิดไม่ทัน แต่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
เหตุที่พึงจะนำมาพิสูจน์ในข้อนี้ คือโลกุตรธรรมที่พระองค์สั่งสอน ซึ่งพ้นวิสัยที่คนสามัญจะพึงคิดเห็นได้เอง
ต้องเฉพาะแต่ผู้ที่ได้อบรมความดีจนสติปัญญาแก่กล้าเท่านั้น จึงจะเป็นผู้รู้เห็นซึ่งธรรมอันประณีตเหล่านี้
ขอถวายพระพร เหตุว่ามีโลกุตรธรรมเป็นพยาน จึงได้รู้ว่าผู้ตรัสรู้ซึ่งได้พระนามว่าพระพุทธเจ้านั้นมีจริง (พุทธอัตถินัตถิภาวปัญหา)


ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว