กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-01-2023, 17:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ - ๒ มกราคม ๒๕๖๖

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕

สำหรับวันนี้ก็ถือว่าเป็นการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมครั้งแรกของปี ๒๕๖๖ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างส่งท้ายปี ๒๕๖๕ ต่อกับต้นปี ๒๕๖๖ กิจกรรมคร่าว ๆ ของเราวันนี้คือ เริ่มการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมตามปกติ ตอนเย็นทำวัตรค่ำเสร็จแล้ว ก็ไปเปิดตลาดริมแควเมืองท่าขนุนกันตอน ๑๙.๓๐ น. ที่นัดไว้ตอน ๑๙.๓๐ น. ก็เพราะว่าจะให้พระทำวัตรเย็นเสร็จก่อน

ส่วนใหญ่แล้วงานที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุนสำเร็จลงได้ก็ด้วยฝีมือพระ พระไปช่วยควบคุมทั้งในเรื่องของน้ำ ของไฟ ตลอดจนเรื่องของ WIFI ใครไปตลาดริมแควเห็น WIFI ก็จิ้มได้เลยนะจ๊ะ..ของฟรี ตลาดสร้างไม่ทันจะเสร็จ เขาก็ไปนั่งจิบกาแฟชมวิวกัน แล้วก็บ่นว่าไม่มี WIFI น่าตบสักฉาด..! ของ่าย ๆ แต่วัดจ่ายเท่าไรก็ไม่รู้..?!

จากตรงนี้กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางไปวัดวังหิน ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องไปเปิดงานผูกพัทธสีมาซึ่งเลื่อนมา ๒ ปีแล้ว เพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ระบาด ห้ามจัดงานที่มีการรวมคนมาก ๆ อาตมาจองมีดตัดหวายไว้ ๒ เล่ม ป่านนี้น่าจะสนิมขึ้นหมดแล้ว..!

เลื่อนงานมาปีนี้ ๒ วัด วัดวังหินเปิดวันนี้ตอนสิบโมงเช้า พรุ่งนี้วัดอู่ล่องเปิดงานตอนบ่ายโมง เป็นงานผูกพัทธสีมาเหมือนกัน อาตมาจองมีดตัดหวายของทางวัดอู่ล่องไว้ ๑ เล่ม ก็คงจะสนิมกินไปแล้วเหมือนกัน..!

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 11:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-01-2023, 17:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นจากวัดวังหินก็ต้องวิ่งกลับมา มอบข้าวสารอาหารแห้งให้กับทางโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) ซึ่งทางวัดท่าขนุนจะมอบข้าวสารอาหารแห้งให้พวกเขาทุกเดือน พร้อมกับเงินสนับสนุนมากน้อยตามแต่กระเป๋าตอนนั้นจะมี

ในช่วงบ่ายพวกเราปฏิบัติธรรมกันแล้ว ตอนสี่โมงเย็นอนุญาตให้ไปเดินตลาดได้ แต่ว่าให้รีบกลับมาให้ทันทำวัตรตอนหกโมงเย็น ห้ามหลงระเริง การที่เราจะไม่หลงระเริงต้องเป็นผู้มีสติ แล้วการเป็นผู้มีสติก็ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องประกอบ กำลังสมาธิต้องเข้มแข็งมากกว่า สามารถลากตัวเราออกจากที่ชอบที่ชอบ มาที่ไม่ชอบ..ก็คือปฏิบัติธรรม..!

การปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก พวกเราเองถ้าเข้มแข็งไม่พอ ก็ไปไม่รอด กลายเป็นปลาตายลอยตามน้ำ แต่ถ้าหากว่าเข้มแข็งเพียงพอ ต่อสู้ไปจนผ่านสามโตรกแยงซีเกียงได้ เขาว่าปลาหลีฮื้อจะกลายเป็นมังกร..! ลองดูว่าพวกเราจะมีใครกระโดดข้ามประตูมังกรได้บ้าง

สิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เราหวัง ต้องไปกันได้ ไม่ใช่ภาวนาพระคาถาเงินล้านวันละจบเดียว แล้วอยากถูกรางวัลที่ ๑ หรือปฏิบัติธรรมเช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง แล้วบอกว่าจะไปพระนิพพาน รอจนชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ยังไม่ได้เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2023 เมื่อ 18:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-01-2023, 17:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕

สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง โยมสง่า สาโรจน์ เป็นมัคคนายก ด้วยความที่มัคคนายกสง่าเป็นอดีตเจ้าอาวาส บวชมา ๒๒ พรรษา ก็เลยทำให้บรรดาพระเบื่อมาก เพราะว่าแกรู้มาก พระใหม่ทำอะไรติด ๆ ขัด ๆ แกสาธุส่งเลย ถึงเวลาก็ "หันทะ มะยัง สาธุการัง สัทธามะ เส...สาธุ สาธุ" แล้วพระใหม่จะทำอะไรได้ล่ะ ? หัวหูร้อนหมด จะลุกไปเตะก็เกรงใจคนแก่ ไม่ใช่คนแก่อย่างเดียว ตาบอดอีกต่างหาก..!

คำว่า สาธุ แปลว่า ดีแล้ว ชอบแล้ว สมควรแล้ว เป็นการแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่น เป็นบุญที่ว่าจะได้ง่ายก็ง่าย จะได้ยากก็ยาก เหตุที่ว่าเป็นบุญที่ได้ง่ายก็เพราะว่าถ้าวางกำลังใจถูก ยินดีกับเขาด้วย ตนเองก็มีส่วนในบุญนั้น เรียกว่าปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาตามความดีที่คนอื่นเขาทำ

แต่ว่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันของเรา ไปวางกำลังใจผิด โดยเฉพาะหลายต่อหลายคนพอรู้ว่าเป็นบุญที่ได้ง่าย ก็วางกำลังใจผิด แทนที่จะพลอยยินดีในบุญของเขา สาธุของเรากลายเป็นแปลว่า "กูจะเอาบุญของมึงด้วย" ในเมื่อวางกำลังใจผิดชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย..!

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2023 เมื่อ 18:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-01-2023, 18:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยนี้เขาบอกว่าพูดผิดชีวิตเปลี่ยน พิมพ์ผิดชีวิตเปลี่ยน ผู้หญิงไปทำอะไรให้ก็ไม่รู้ ผู้ชายตั้งใจจะพิมพ์ตอบไปว่า "ขอบคุณมากครับ" แต่จิ้มผิด จิ้ม แทน เลยกลายเป็น "ชอบคุณมากครับ" เท่านั้นเองชีวิตเปลี่ยนเลย ผู้หญิงก็หลงยิ้มตาลอยอยู่ตั้งนาน..เขาชอบเรานี่หว่า..!

ต้องบอกว่าจินตนาการล้ำเลิศไปหน่อย ฟุ้งซ่านมาก มีอยู่คราวหนึ่งอาตมภาพเจอหน้าหมา ก็ทักทายว่า "เป็นอย่างไรที่รัก กินข้าวหรือยัง ?" มีแม่ชีอยู่รูปหนึ่งบังเอิญเดินมาบริเวณนั้นได้ยินเข้า ฟุ้งซ่านไป ๗ - ๘ วัน คิดว่าหลวงพ่อทักเขา ทั้ง ๆ ที่ทักหมาแท้ ๆ..!

หมาที่วัดนี้มีที่มาต่าง ๆ กัน มีอยู่ตัวหนึ่งเป็นนางฟ้าตกสวรรค์เอาเปรียบชาวบ้านเขา ก็เลยเรียกว่า "อรรัมภา" ลงมาเกิดเพื่อใช้ชาติ เกิดเป็นหมามีอายุไม่กี่ปี แถมอยู่วัด ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ช่วยดูแลของสงฆ์ บุญล้วน ๆ อย่างไรก็ไม่พลาดที่เดิม เดี๋ยวก็กลับขึ้นสวรรค์ไปใหม่แล้ว..ผ่านไปหนึ่งชาติ ขณะที่เราเองชาติเดียวอยู่เสียแก่หงำเหงือก ส่วนหมาลงมาได้อีกสามรอบ..!

อาตมาเรียกหมาตามกำลังใจ แม่ชีได้ยินแล้วดันฟุ้งซ่าน อาตมาเรียกหมาว่า "ที่รัก" แต่แม่ชีนึกว่าเรียกตัวเอง เช่นนั้นก็ปล่อยให้ฟุ้งต่อไปก็แล้วกัน พูดผิดชีวิตเปลี่ยนยังไม่พอ ฟังแล้วเข้าใจผิดชีวิตก็เปลี่ยนด้วย
ไปฟุ้งซ่านเสียยกใหญ่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-01-2023, 18:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมชัย ศรีนอก เวลาเขียนหนังสือ เขียนกลอน หรือแต่งเพลง ใช้นามปากกาว่า ช. ศรีนอก ตอนช่วงเรียนปริญญาเอก ทางมหาวิทยาลัยเขามีข้อบังคับว่าต้องเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน ถ้าหากว่าปริญญาโทต้องเข้ากรรมฐาน ๓๐ วัน ปริญญาตรีเข้ากรรมฐานปีละ ๑๐ วัน ๔ ปีติดกัน

เข้ากรรมฐานไปได้ ๒ - ๓ วัน ที่แคมป์สน จังหวัดเพชรบูรณ์ เขาแยกห้องพัก ห้องใครห้องมัน ปรากฏว่าตอนที่จะเดินไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น มีนิสิตผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาดีมากเลย เดินผ่านอาจารย์ ช. ถามว่า "อาจารย์รู้ไหมว่าชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?" อาจารย์ ช. ภาวนาไม่ได้ไป ๗ - ๘ วัน..! ท่านบอกว่า "ท่านเอ๊ย ผมนี่ฟุ้งไปหมด ! เขาเป็นอะไรกับเราวะ ?" แล้วก็คิดแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้นเลยนะ..! เห็นหรือยังว่าไม่ใช่แค่พูดผิดชีวิตเปลี่ยน ฟังผิดก็ชีวิตเปลี่ยน..!

ถ้าถามว่า "จะแก้อย่างไร ?" ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่เต็มหัว ทุกรูปทุกนามนั่นแหละ เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ปรุงแต่งต่อ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดไม่ได้ ก็ทำอันตรายเราไม่ได้

กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบว่า ถ้าเราลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยน้ำเปล่า ส่งไปให้จะใครจะกินบ้าง ? ถ้าไม่หิวไส้ขาดจริง ๆ ใครจะซดเข้าไป ? ก๋วยเตี๋ยวกับน้ำร้อนเปล่า ๆ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 15-01-2023, 18:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้เราไปทำอะไร ? เปลี่ยนจากน้ำร้อนเปล่าเป็นน้ำต้มกระดูกหมู ใส่ตั้งฉ่าย ใส่กระเทียมเจียว ใส่พริกไทย ใส่ผักชี ใส่ถั่วงอก ใส่หมูสับ แถมลูกชิ้นอีกหนึ่งกำมือ น้ำตาล พริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย..ใช่ไหม ? แล้วคราวนี้ก็กินกระจายเลย บางทีแม้แต่น้ำก็ซดจนเกลี้ยงชาม..! อร่อยเพราะอะไร ? เพราะเราปรุง ถ้าเราไม่ใส่อะไรเลยจะกินไหม ? ไม่อดจริง ๆ ไม่มีใครเขากินหรอก

เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่กับเราทุกคน แต่ถ้าเราไม่ไปปรุง ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนกับเชื้อไฟพร้อมที่จะติด แต่ถ้าเราไม่เอาไฟไปแหย่ จะติดได้ไหม ? เชื้อไฟก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการละกิเลสนี่ ถ้าใครบอกว่า ตัดกิเลส ละกิเลส ความจริงไม่ตรงนะ ที่ตรงจริง ๆ ก็คืออย่าไปสร้างกิเลส คืออย่าไปสะกิดสะเกาให้กิเลสฟื้น ปล่อยให้นอนอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ ไม่ไปยุ่งด้วยก็หมดเรื่องแล้ว

ฟังดูก็ไม่ยาก..ทำมาตั้งนมนานกาเล ทำไมไม่ได้เรื่องสักที ? ก็เพราะว่าเราทำไม่ต่อเนื่อง เมื่อเช้าเดินจงกรม ๒ บัลลังก์ นั่งภาวนา ๒ บัลลังก์ รวมเวลาแล้ว ๒ ชั่วโมง แล้วตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. จนถึงตอนนี้ ๑๒.๓๐ น. สองชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรกันบ้างจ๊ะ ? ถามจริง..มีใครภาวนาต่อบ้าง ? ไม่มีเลย..ใช่ไหม ? คราวนี้ไม่ใช่แค่ "น้ำตาจิไหล" แต่ว่าไหลเลยแหละ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 15-01-2023, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เห็นหรือยังว่าเราทำไป ๒ ชั่วโมง แล้วก็ทิ้งไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง..! ถ้าเราว่ายทวนน้ำมา ๒ ชั่วโมง แล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง นี่แปลว่าที่ทำมานั้นขาดทุนแล้ว ที่เราขาดทุนเพราะเราทำไม่ต่อเนื่อง แล้วพอถึงเวลาทำวัตรเย็น เราก็โกยมาอีกหน่อย แล้วก็ปล่อยไหลต่อไปทั้งคืน ตายแล้วคราวนี้..! กว่าจะตื่นก็โน่น ถึงปากอ่าวแม่กลองโน่น ดีไม่ดีก็ไปถึงแถว ๆ ที่เรือหลวงสุโขทัยล่ม..!

ทำอย่างไรที่เราจะรักษาสติสมาธิให้อยู่กับการภาวนาของเราได้ เอาให้ต่อเนื่องตามกันไม่ขาดสาย จะได้ไม่แพ้กิเลสมากนัก ? อันดับแรกเลย ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้ทรงปฐมฌานละเอียดให้ได้ ปฐมฌานหยาบไม่ได้นะ ที่ปฐมฌานหยาบไม่ได้เพราะว่าส่วนใหญ่จะตัดหลับ

ปฐมฌานละเอียดถ้าเกิดขึ้น กำลังสมาธิสูงพอที่จะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงไปชั่วคราว แล้วความแหลมคมชัดเจนของสติจะมีมาก เราก็ระมัดระวังอาศัยสติเข้าไปประคับประคอง ตอนนั้นเราจะรู้ลมหายใจและคำภาวนาอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง แค่เอาสติไปจดจ่อเอาไว้อย่าให้หลุดเท่านั้น

ถ้าถามว่าตอนนอนทำอย่างไร ? ถ้าทำได้จริง ๆ จะมีสติแม้ตอนเรานอนหลับ หลับอยู่ก็รู้ว่าเราหลับ กรนยังได้ยินเสียงตัวเองกรนเลย มีหลายคนเป็นมาแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคืออาการของปฐมฌานละเอียด ตกใจอีกต่างหาก "นี่เรากรนหรือ !" น่าทุบนัก..!

ถึงเวลาอยากจะตื่น ก็ค่อย ๆ ขยายความรู้สึกออกไป จากที่รวบเข้ามาอยู่เฉพาะจุดเดียว ก็กระจายออกไปจนกระทั่งถึงปลายมือปลายเท้า พอประสาททั้งหมดเริ่มสมบูรณ์พร้อม อยากจะลุก..ลุก อยากจะยืน..ยืน อยากจะไปห้องน้ำ..เดินไปห้องน้ำ

ในความรู้สึกของเราขั้นตอนเหล่านี้ช้ามาก แต่ในสายตาคนอื่นเขาจะเห็นว่าเราพลิกตัวได้ ก็ลุกปั๊บ..เดินเข้าห้องน้ำเลย ถามว่าด้วยความเร็วขนาดนั้น ทำไมเรารู้สึกว่าช้ามาก ? ก็เพราะว่าสภาพจิตแหลมคมว่องไวมาก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้น

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 18-01-2023, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในมืออาตมานี่คืออะไร ? สมาร์ทโฟน บางคนเรียก "โมบายโฟน" บ้านเราเรียก "มือถือ" หลวงพ่อว่าก็ใช้มือถือทุกคนแหละ เคยลองใช้ตีนถือแล้วไม่ถนัด..!

แค่เห็นว่าเป็นโทรศัพท์นี่ก็แย่แล้วนะ เพราะแสดงว่าจิตของเราปรุงไปแล้ว ทำอย่างไรเราจะสักแต่ว่าเห็นเป็นเพียงรูป เป็นเพียงธาตุเท่านั้น อันนั้นต้องใช้ปัญญาที่มากกว่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วพอเราเห็นรู้สึกว่าสวยดีอยากได้ อยาก..โลภะเกิดแล้ว สาวคนนั้นหน้าตาดีเดี๋ยวถ่ายรูปไว้หน่อย..ราคะใช่ไหม ? ไอ้ห่..นั่นวันนั้นคอมเมนต์ใส่เราไม่ดี เดี๋ยวคอมเมนต์กลับไปด่าบ้าง..โทสะหรือเปล่า ?

เห็นหรือยังว่าแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว กิเลสมาครบเลย เมื่อมีโลภะและโทสะ โมหะก็ไม่ไปไหนหรอก มาด้วยกัน ราคะ โลภะ โทสะ มีครบ โมหะก็สมบูรณ์ ๑๐๐ % ทำอย่างไรที่เราจะหยุดอยู่ได้แค่สักแต่ว่าเห็น..!

เรื่องของเสียงก็เหมือนกัน ทำอย่างไรเราจะสักแต่ว่าได้ยิน แต่ถ้าหากว่าพ่อแม่หรือว่าแฟนบ่น ต้องพยายามได้ยินบ้างนะ ไม่ได้ยินเดี๋ยวโกรธ..! โกรธขึ้นมาเดี๋ยวไม่มีบ้านจะอยู่..!

ทำอย่างไรที่ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น
ทำอย่างไรที่ชิมรสสักแต่ว่าชิมรส
ทำอย่างไรที่สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 18-01-2023, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำตอบคืออย่าคิด ถ้าหากว่าเราห้ามความคิดไม่ทันก็เจ๊งเลย กิเลสงอกงามเจริญเติบโตไปยกใหญ่ แค่เห็นว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายก็อันตรายมากแล้ว แต่เรามักจะไปคิดต่อ หน้าตาดีหรือไม่ดี ? สวยหรือไม่สวย ? หล่อหรือไม่หล่อ ? ตามแบบที่เราชอบล้วน ๆ หรือเปล่า ? แบบนั้นราคะก็เจริญงอกงาม

วิธีเดียวที่เราจะหยุดได้ก็คือ หยุดอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า เอาสติประคองเอาไว้กับลมหายใจที่ว่า ก็คือปฐมฌานละเอียด ถ้าหากว่าสามารถทำตรงจุดนี้ได้ ไม่ไปแหย่กิเลสให้กำเริบ ประคองไปได้นานพอ กิเลสก็จะเฉาตายไปเอง

กิเลสเกิดไม่ได้นาน ๆ จะลืม ลืมอย่างชนิดที่พอคนมาทำให้โกรธ นึกไม่ออกว่าต้องทำหน้าอย่างไร "เดี๋ยวขออนุญาต "บิวท์" ก่อน จะโกรธไหวไหมวะ ?" คนที่ปฏิบัติถึงนี่จะอนาถมากเลย อนาถตรงที่จะโกรธก็ปั้นหน้าไม่ถูก รู้แต่ว่ากูโกรธมึงนะ แต่กูปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว กูไม่ได้โกรธมานาน กิเลสเลยหมดกำลัง

ราคะก็เหมือนกัน โทสะก็เหมือนกัน โมหะก็เหมือนกัน ถ้าหมดกำลังกิเลสทุกตัวก็หมดกำลังพร้อม ๆ กัน เพราะว่าอยู่ด้วยกัน เพียงแต่ว่าโมหะจะหมดช้าที่สุด เพราะว่าฝังรากลึกที่สุด ต้องอาศัยตัวปัญญาถอนอวิชชาที่เป็นกิเลสตัวสุดท้ายในใจของเราออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะดับได้โดยสิ้นเชิง

วันนี้คุยอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อย ตามกันไหวไหมนี่ ? น่าจะไหวนะ ปฏิบัติมาตั้งเนิ่นตั้งนาน ฟังรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้สักที สมาทานกรรมฐานกันเถอะ..จากที่แค่ฟังจะได้ทำให้เป็นจริงเสียที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 18-01-2023, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕

พวกเราไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นฆราวาส เหมือนกันหมด อะไรที่ไม่ตอกย้ำหัวตะปูสั่งเอาไว้ ก็ทำตามแค่ที่ตัวเองนึกได้ แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรม ก็รู้อยู่ว่า ทุกแปดโมงเช้าหลวงพ่อจะมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่พอไม่ได้สั่งก็ปล่อยเลยเวลา อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ..!

พวกเราเหมือนกับนักโทษที่มีแต่จะโดนปรับโทษหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่คิดที่จะขนขวายหนีไปให้พ้น แล้วอีกกี่ชาติถึงจะรอดจากวัฏสงสารได้ ? บางทีเราก็บอกว่าขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่สิ่งที่เราทำกับคำที่เราพูด ไปกันไม่ได้ เหมือนกับตั้งใจจะซื้อรถเบนซ์ แล้วก็ทำงานแค่วันละ ๑ ชั่วโมง กินยังไม่พอเลยแล้วจะไปซื้อรถ..!
ใครไปกินอาหารในตลาดมาบ้าง ? สารภาพมาเสียดี ๆ..! ในที่สุดกิเลสก็ชนะ อาหารที่วัดห่วย เราทนไม่ได้ เราเจออะไรที่เราชอบก็ต้องกินไว้ก่อน นั่นคือการตามใจกิเลส เราตามใจมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่กิเลสไม่เคยตามใจเราเลย ถ้าหากว่าเป็นเพื่อนแบบนี้ คิดว่าจะคบกันต่อไปไหม ?


ตาอยากเห็นรูปอะไร เราก็หาให้ดู
หูอยากได้ยินเสียงอะไร เราก็หาให้ฟัง
จมูกอยากได้กลิ่นแบบไหน เราหาให้ดม
ลิ้นอยากได้รสแบบไหน เราก็ไปนั่งตลาดหาให้กิน
กายต้องการสัมผัสแบบไหน เราก็อุตส่าห์ตะกายไปหามา
สรุปแล้วกิเลสไม่เคยพอ ได้แล้วก็อยากได้อีก ได้มากก็อยากได้มากยิ่งขึ้น

แต่พวกเราก็มักจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านกับกิเลส เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือเราชอบด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 18-01-2023, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เราเกลียดจัดเป็นรากเหง้าของกิเลสใหญ่พอกัน สิ่งที่เราชอบนั้นมีรากเหง้ามาจากราคะ สิ่งที่เราเกลียดนั้นมีรากเหง้ามาจากโทสะ

แต่สิ่งที่เราเกลียดเราไม่ยินดี เราจะผลักไสโดยอัตโนมัติ ดังนั้น..จึงทำอันตรายเราได้น้อยกว่า

ส่วนสิ่งที่เราชอบนั้นเรามักจะตะเกียกตะกายไปหา ไปยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง แล้วคิดว่าจะรอดไหม ?


ในเมื่อเป็นเช่นนั้นไม่ว่าจะ รัก ชอบ เกลียด ชัง ทำอย่างไรที่เราจะเฉย ๆ ได้ ? ไม่ต้องมาก ไม่ต้องถึงขนาดตัดขาด เอาแค่เฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย ไหวไหม ?

ไม่ไหวมั้ง ? หมูปิ้งเชียวนะ กาแฟที่เราชอบด้วย ไปกันใหญ่เลย แค่คนโพสต์ว่ากินสตาร์บัคแก้วละ ๑๘๐ บาท ก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์ว่า "ทำไมไม่ซื้อข้าวกิน ?" มึงโง่หรือเปล่า ? ก็เขาอยากกินกาแฟ ไม่ได้อยากกินข้าว เขามีตังค์จ่ายก็เรื่องของเขา อยากกินก็กินไป

ส่วนเราเองก็ทรีอินวันซองเดียวก็อยู่..จบ ถ้าไม่เอาอะไรเลยอย่างหลวงพ่อก็ยิ่งสบาย ทุกวันนี้พระที่อยู่ด้วยไม่ได้ฉันอิ่มสักมื้อหรอก พอหลวงพ่ออิ่มแปลว่าทุกรูปต้องอิ่มด้วย..!

อย่าให้กิเลสมีอำนาจเหนือใจเรามาก พาความเดือดร้อนมาให้เรานับชาติไม่ถ้วนแล้ว หัดขัดใจกิเลสบ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 18-01-2023, 01:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนที่ลดน้ำหนักไม่ได้เป็นเพราะห้ามปากตัวเองไม่ได้ เหตุที่ห้ามปากตัวเองไม่ได้ก็เพราะว่าระบบร่างกายประท้วง พอไม่กินให้ก็ อูย..ปวดหัวเกือบตาย..! เห็นไหมว่าร่างกายบีบคั้นเราขนาดไหน ? จนกว่าเราจะกินให้ถึงจะหายปวดหัว เหมือนอย่างกับเราเลี้ยงเสือ ถึงเวลาเสือหิวก็กัดเราเอง..!

แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจห้ามปากตัวเองสัก ๓ วันเท่านั้น พอร่างกายรู้ว่าถึงเวลานี้แล้วไม่ได้อาหาร ก็จะเลิกทวงไปเอง แต่ส่วนใหญ่พวกเรา ๓ วันนี่ก็ไม่ผ่าน ตายสนิท..อดไม่ได้ ปากคอจืดไปหมด ต้องหาอะไรที่ชอบมาใส่ปากก่อน

ให้มาเข้ากรรมฐาน ๓ วันแข่งกับหลวงพ่อสิวะ..ดูว่าจะกินอะไร..?! เป็นโรคอ้วนไปปรึกษาหมอ ท้ายสุดหมอเลิกจ่ายยา เปลี่ยนเป็นพลาสเตอร์แผ่นใหญ่แทน ปิดปากไปเลย..!

ถ้าหากว่าเราห้ามปากตัวเองได้ เราจะรักษาศีลทุกข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะว่ากำลังใจในการหักห้ามปากของเราไม่ให้กินของที่ชอบ เป็นกำลังใจเท่ากับที่เราบังคับหักห้ามใจของเราไม่ให้ละเมิดศีล ในเมื่อกำลังเท่ากัน เราก็แค่เอากำลังในการรักษาศีลมาห้ามปากตัวเองเท่านั้น ไม่น่าจะยากนะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 18-01-2023, 01:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราไม่ได้อยู่ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นด้วยกันทุกวัน หลังทำวัตรเย็นเขาจะมีปานะมาถวาย มีเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปเดียวที่ไม่รับ ต่อหน้าก็ไม่เอา ลับหลังก็ไม่เอา ทำไมถึงทำได้ ? ก็เพราะว่าการห้ามปากห้ามใจตัวเองก็เป็นการรักษาศีลนั่นแหละ ในเมื่อเรารักษาศีลได้ ก็แค่เพิ่มเข้าไปอีกข้อหนึ่ง ศีลข้อหลังเพลแล้วห้ามตัวเองไม่ให้กิน

ถ้าเราทำได้ ท้ายที่สุดก็จะเหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศลในโทณปากสูตร พระองค์ท่านอ้วนเสียจนจะเดินไม่ไหว พระพุทธเจ้าต้องสอนคาถาให้สุทัสสนมาณพ ที่เป็นทหารคนสนิทหรือมหาดเล็กคนสนิท เมื่อถึงเวลาเห็นพระเจ้าปเสนทิโกศลฉันภัตตาหารไปถึงคำสุดท้าย ก็ให้ท่องคาถาขึ้นมาว่า "บุคคลผู้มีสติ รู้ประมาณในการบริโภค ย่อมเป็นผู้มีโรคน้อย อายุขัยก็ยืนยาว" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สติก็หยุด หยุดฉันคำสุดท้ายหนึ่งคำ วันรุ่งขึ้นก็เอาอีก ลดอาหารลงไปอีกหนึ่งคำ ลดวันละคำเดียว

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยัดทะนาน..! ไม่ใช่เสวย เขาบอกว่าเฉพาะข้าวสารที่เสวยในแต่ละมื้อ หุงจากข้าวสาร ๑ นาฬี ซึ่งก็น่าจะเท่ากับประมาณ ๑ ลิตรในปัจจุบัน พวกเราไหวกันไหม ? ข้าวสาร ๑ ลิตร ใครยัดทะนานลงไปหมดบ้าง เฉพาะข้าวอย่างเดียว ?

พระพุทธเจ้าให้ลดวันละคำ พอถึงคำสุดท้ายสุทัสสนมาณพท่องคาถา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ชะงัก..ตัดใจ รุ่งขึ้นก็ลดลงอีกหนึ่งคำ ผ่านไปสองเดือนก็ "ทรงพระสเลนเดอร์" พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่า "พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สอนให้แต่ประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ยังสอนให้เกิดประโยชน์ทันตาในชาตินี้ด้วย" ก็คือ "ทรงพระสเลนเดอร์" และสุขภาพก็ดีขึ้นด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 19-01-2023, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕

เมื่อวานนี้ทางคุณธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ ท่านมาเพิ่มความสนุกสนานให้กับการเปิดตลาดริมแคว เมืองท่าขนุน กระผม/อาตมภาพเป็นคนจองที่พักอะไรทุกอย่างให้ แต่ปรากฏว่าท่านนายกฯ ประเทศ บุญยงค์ ตัดหน้าไปเรียบร้อยแล้ว บอกว่า "ผมขอดูแลเองครับ" เป็นอันว่างานนี้วัดไม่ต้องจ่าย

เรื่องของแขกไปใครมา ต้องดูตัวอย่างชาวม้ง อาตมาภาพไปสนับสนุนให้ชาวม้งจัดงานปีใหม่ ๔ ปีติดต่อกัน เห็นศักยภาพบางส่วนที่สามารถหาเงินได้ง่าย ๆ เลย อย่างเช่น เครื่องแต่งตัวของชาวม้งมาวางจำหน่ายก็ดี เอามาให้เช่าถ่ายรูปก็ดี หรือว่าบรรดาพืชผักผลไม้ของเขา สามารถที่จะวางจำหน่ายได้เลย

ปรากฏว่าเขาขนพืชผักมาเยอะมาก หลาย ๆ ถุง ถุงใหญ่ ๆ ถุงหนึ่งก็น่าจะ ๑๐ กิโลกรัม แต่สรุปว่าเขาแจกฟรี เขาบอกว่า "ผู้ที่มาเป็นแขกบ้านแขกเมือง เอา
เขาเงินไม่ได้ เรามีหน้าที่ต้อนรับขับสู้เท่านั้น" ดังนั้น..ข้าวของที่คิดว่าเขาเอามาขาย กลายเป็นว่าเขาเอามาแจก..!

บ้านม้ง ทุ่งนางครวญ วิ่งจากตรงนี้ไปเกือบ ๒ ชั่วโมง ไม่ไกลหรอก แต่ถนนไม่ดี ทางด้านทองผาภูมิของเราชาติพันธ์ุเยอะมาก มีอีก้อ ที่เขาเรียกตัวเองว่าอาข่า, มูเซอ ที่เรียกตัวเองว่าลาหู่, ลีซอ ที่เรียกตัวเองว่าลีซู, แม้ว ที่ต้องเรียกว่าม้ง ถ้าใครไปเรียกเขาว่าแม้วนี่โกรธกันไปสามชาติเลยนะ พอ ๆ กับที่เรียกคนจีนว่าเจ๊ก หรือไม่ก็ที่เรียกญวนว่าแกว

เรื่องของน้ำใจในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชุมชน ถ้าหากว่าชุมชนมีเสน่ห์ มีความเป็นมิตร นักท่องเที่ยวมาแล้วก็จะอยากมาอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 19-01-2023, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ระยะหลังนี้มี "ดราม่า" ซึ่งเกิดจากทางด้านประเทศเวียดนาม ที่เห็นนักท่องเที่ยวแห่กันมาเมืองไทย จนกระทั่งเกิดการจราจรติดขัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะว่าเครื่องบินแห่ลงไล่ ๆ กัน ๘๐ กว่าเที่ยว กว่าจะตรวจ กว่าจะประทับตราพาสปอร์ต กว่าจะประทับวีซ่า บางคนติดอยู่ ๓ - ๔ ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวเขายืนยันว่าเขาจะมาเมืองไทย เขาจะไม่ไปเวียดนาม ทำเอาเวียดนามของขึ้น ด่ากระจาย "เมืองไทยมีอะไรดีกว่าวะ..?!"

ท้ายสุดพวกฝรั่งเขาออกมาทำคลิปชี้แจงเองว่า ของเวียดนามอันดับแรกเลยคือ สถานที่เที่ยวไม่ประทับใจ ไปครั้งหนึ่งแล้วไม่คิดจะไปซ้ำอีก อันดับที่สองก็คือ ผู้คนไม่มีความเป็นมิตร ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนประเทศไทย อันดับที่สาม ประเทศไทยมี WIFI ฟรีทุกหัวระแหง แต่ว่าเวียดนามไม่มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 19-01-2023, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕

แม้ว่าระยะนี้เชื้อไวรัสโควิด-๑๙ จะรักษาง่ายขึ้น แต่คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงหรือคนแก่รับเชื้อไปก็ยังคงตายได้อยู่ เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าได้ประมาท เขายังเก็บคนไม่ครบตามจำนวน ถ้าหากตามที่คุยกันเอาไว้ก็โน่น สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ จำได้ไหม ? ถึงตอนนั้นแล้ว ถึงติดเชื้อไปก็ไม่ค่อยตายกันแล้ว

ตอนที่อาตมาบอกว่าให้ระวังต่อไปจนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี ๒๕๖๖ มีแต่คนบอก "เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนบ้า..!" รัฐบาลประกาศไม่ต้องใส่หน้ากาก ให้ใส่ตามความสมัครใจแล้ว พอโดนเข้าไปตูมเดียว..เรียบร้อย วัดท่าขนุนไม่ได้บ้า พวกมึงนั่นแหละบ้า..! อะไรที่บอกล่วงหน้าบางทีเขาก็ไม่เชื่อกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 19-01-2023, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(โยมมาขอรับพระที่ลืมไว้ในห้องน้ำ)

เหรียญหลวงพ่อโสธร เหรียญแสตมป์ อาตมาจำได้เพราะรุ่นนี้พระอาจารย์เล็กเสกเอง..! ต้องบอกว่าการออกแบบพระเครื่องของเราก็เป็นไปตามยุคตามสมัย แต่ละยุคแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

สมัยที่กระผม/อาตมภาพเล่นวัตถุมงคลใหม่ ๆ สมัยนั้นสุดยอดช่างแกะแบบพิมพ์ก็คือช่างเกษม มงคลเจริญ ส่วนที่เหลือก็เป็นพิมพ์โรงงาน ที่เป็นฝีมือช่างคนเดียวกันหมด บางทีด้านหน้าที่เป็นรูปหลวงปู่หลวงพ่อของแต่ละวัด มีหน้าตาเหมือนกันหมด ต่างกันตรงด้านหลังเท่านั้นเองที่บอกว่าวัดไหน ก็คือเขาขี้เกียจทำพิมพ์ใหม่ เขาก็เลยเปลี่ยนแต่ชื่อข้างหลัง กว่าจะรู้ว่าหลวงพ่อเป็นใครก็ต้องพลิกดูข้างหลังที่ใส่ชื่อไว้ ปัจจุบันนี้เป็นการแกะบล็อกด้วยคอมพิวเตอร์

วันนี้ทางโรงงานส่งรูปพระแก้วประจำพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน มาให้ดู ปรากฏว่าองค์แดงแปร๊ดเลย ขึ้นแท่นรอแกะอยู่ ถามโรงงานว่า "แก้วใสทำไมกลายเป็นแดง ?" เขาบอกว่า "ถ้าไม่เคลือบสีแดงแล้วหุ่นยนต์แกะมองไม่เห็น" เขาแกะด้วยหุ่นยนต์ที่สั่งด้วยคอมพิวเตอร์ เขาก็เลยต้องทาสีแดงเคลือบไว้

แสดงว่าหุ่นยนต์ก็ไม่ได้ฉลาดทุกเรื่องนะ หุ่นยนต์แกะตามแบบได้เป๊ะ ๆ เลย ถ้าออกแบบมาสวยก็แกะมาสวยตามนั้นเลย เสียอยู่อย่างเดียวว่าฉลาดไม่พอ ไปเจอใส ๆ เข้าหุ่นยนต์ก็หาไม่เจอ จึงต้องทาสีแดงทึบเอาไว้ชั้นหนึ่ง หลังจากแกะเสร็จค่อยมาขัดใหม่ทั้งองค์

วัสดุที่ใช้เรียกว่าอะคริลิค เป็นแก้วยุคใหม่ เป็นแก้วพลาสติก ก็คือตกแตกได้ มาเป็นแผ่น ๆ เอามาทากาวประกบเข้าหากันให้ได้ความหนาพอที่เราต้องการ ยิ่งแผ่นใหญ่ ยิ่งหนามาก ก็ยิ่งแพงมาก แล้วเขาก็ต้องหากาวชนิดที่ไม่เปลี่ยนสีตามกาลเวลา ถึงเวลาแกะเสร็จแล้วใสแจ๋วทั้งองค์เลย ดูไม่ออกว่าเกิดจากการประกบเข้าไปเป็นแผ่น ๆ

แต่ว่าตอนที่ทากาวประกบนี่ อย่างน้อยต้องเข้าเครื่องหนีบทิ้งไว้ ๓ เดือน เพื่อให้กาวแห้งจริง ๆ แล้วขณะเดียวกันก็ให้ติดแน่นจริง ๆ ดังนั้น..เขาก็เลยขอเวลาทำเป็นปี องค์หนึ่งก็ไม่กี่ล้านบาทหรอก พวกเราก็ทำบุญกันไปก็แล้วกัน จะกี่ล้านเราก็ร่วมด้วย ๒๐ บาท คือมีส่วนของเราด้วย ไม่อย่างนั้นเนื้อแหว่ง จะมากจะน้อยก็ต้องแหว่งไป ๒๐ บาท..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 21-01-2023, 17:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนภาวนาพระคาถาเงินล้าน เช้าวันจันทร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๖

เมื่อวาน
กระผม/อาตมภาพไปนั่งปรกในงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่อง ที่วัดใหม่รางวาลย์ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏว่าคนน้อยมากในงาน ถามหลวงพ่อแหลม (พระครูปัญญาวชิรกาญจน์) เจ้าอาวาสว่า "ทำไมคนน้อยแค่นี้ ?" ท่านบอกว่า "คนเลยไปที่หลวงพ่อกันหมด" เป็นความผิดของกูอีก..!

ก็คือท่ามะกาใกล้กรุงเทพฯ เกินไป วิ่งจากกรุงเทพฯ ผ่านนครปฐม บ้านโป่ง ก็ถึงท่ามะกาแล้ว คนกรุงเทพฯ วิ่งออกมาเพื่อที่จะมาแค่นั้นเขาก็ไม่มากันหรอก เขามักวิ่งเลยขึ้นไทรโยค ทองผาภูมิ สังขละบุรี แล้วแต่ว่าใครขับรถเก่งหรือไม่เก่ง

เมื่อคืนก็ไปแออัดยัดทะนาน หนาวกันอยู่ที่บ้านปิล็อก ซึ่งอากาศ ๙ องศาเซลเซียส ไปตอนนี้ยังทันนะ..ปิล็อกหน้านี้เที่ยง ๆ กินข้าวกลางแดดกำลังได้ที่เลย ไม่รู้สึกสักนิดเดียวว่าแดดร้อน แต่พอจะลุกขึ้นมาก็ตัวไหม้เป็นแถบไปเลย..!

สมัยก่อนที่ขึ้นมากราบหลวงปู่สายใหม่ ๆ เพื่อที่จะถามเส้นทางธุดงค์ การธุดงค์นี่เราไปส่งเดชไม่ได้ ต้องถามผู้มีประสบการณ์ ว่าถ้าจะไปเส้นทางนั้นควรจะเดินจากไหนถึงไหน ? ควรจะพักที่ไหนบ้าง ? เพราะว่าเส้นทางป่าถ้าหากว่าเราเดินเลยหมู่บ้าน บางทีอีก ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรกว่าจะเจออีกหมู่บ้านหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเดินเลยหมู่บ้านไป ก็ไม่รู้จะบิณฑบาตที่ไหน กว่าจะถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งก็เลยเพลไปแล้ว จึงต้องถามกันให้แน่ชัดก่อน

พอถามทางมาด้านปิล็อก หลวงปู่สายท่านบอกว่า "รีบสรงน้ำตั้งแต่ก่อนบ่ายสาม ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสรงเลยนะ"
กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่าอะไรจะนักหนาขนาดนั้น พอไปเจอเข้า เจ้าประคุณเอ๊ย..เอามือจุ่มลงไปในน้ำ มือหายไปเลย..! มือชาจนไม่รู้สึกอะไร ถ้าแบบนั้นแล้วจะไปอาบอีท่าไหน ? ลมพัดมาทีหนึ่งนี่เซตามลมไปเลย บนยอดเขาตรงกับร่องลมซึ่งพัดแรงมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 21-01-2023, 17:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปิล็อกสูงกว่าที่นี่ ๑,๒๐๐ เมตร เราอาจจะคิดว่านิดเดียว ดอยอินทนนท์สูง ๒๕๖๓ เมตรใช่ไหม ? แต่เราต้องไม่ลืมว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ หกร้อยกว่าเมตรแล้ว แล้วทางด้านปิล็อกยังสูงขึ้นไปอีก ๑,๒๐๐ กว่าเมตร เป็นโดยธรรมชาติเลยว่าพื้นที่สูงขึ้น ๓๐๐ เมตร อุณหภูมิจะลดลง ๑ องศาเซลเซียส ถ้าหากว่าสูงขึ้น ๑,๒๐๐ เมตร อุณหภูมิจะต่ำกว่าข้างล่างถึง ๔ องศาเซลเซียส

เมื่อเช้าที่นี่ ๑๓ องศาเซลเซียส ที่ปิล็อกก็แค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนที่เกาะพระฤๅษี ๑๐ องศาเซลเซียส ใครอยากรู้ว่าอาบน้ำหน้าหนาวฆ่าตัวตายชัด ๆ เป็นอย่างไร ก็ลองไปอาบดู..!

เดี๋ยวพวกเราจะเจริญภาวนาพระคาถาเงินล้านกัน คราวนี้การเริ่มต้นทุกอย่างก็คือเริ่มที่ศีล พวกเราปฏิบัติธรรมมารักษาศีล ๘ มาหลายวัน ถึงเวลารับศีล ๕ ไว้ อย่าเพิ่งรีบใช้ เอาใส่กระเป๋าไว้ก่อน เลิกการปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยลดศีลลงไปเหลือ ๕ ข้อ

อานิสงส์ของศีล ๘ มีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะเป็นศีลที่สนับสนุนการปฏิบัติธรรม เพราะว่าเป็นศีลแห่งพรหมจรรย์

ศีล ๕ เป็นกำลังของพระโสดาบัน
กรรมบถ ๑๐ เป็นกำลังของพระสกทาคามี
ศีล ๘ เป็นกำลังของพระอนาคามี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 04:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 21-01-2023, 17:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,024 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ศีล ๘ จะทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาตั้งใจทำก็เป็นเอง ก่อนหน้านี้อาจจะต้องฝืนใจ แต่ถ้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว ศีล ๘ จะทรงตัวโดยอัตโนมัติเอง

เพราะฉะนั้น..บางคนก็เหลืออาหารมื้อเดียวเท่านั้น สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามกำลังใจที่สูงขึ้น ระบบการสืบพันธุ์โดนตัดขาดไปเลย เมื่อไม่ต้องใช้พลังงานขนาดนั้น ก็ไม่ต้องกินมาก ข้าวปลาอาหารจึงลดน้อยลงไปโดยอัตโนมัติ

พูดไปก็ "เว่อร์" เอาไว้ถึงก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาก็เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ส่วนพระอรหันต์ก็ศีล ๑๐ แต่ขอโทษ..ศีล ๑๐ ของพระอรหันต์เป็นอธิศีลสิกขา เป็นศีลที่ยิ่งกว่าศีล เพราะว่าสติสัมปชัญญะของท่านสมบูรณ์มาก

ถ้าถามว่า "พระเรามีศีล ๒๒๗ ข้อ ทำไมพระอรหันต์มีศีล ๑๐ ข้อก็พอแล้ว ?" ก็เพราะว่าศีลของเณรก็มีแค่ ๑๐ ข้อ แต่สามเณรก็เป็นพระอรหันต์ได้ไม่ใช่หรือ ?

ศีลพระส่วนมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน ชาวบ้านคิดว่าพระควรจะเป็นอย่างนั้น พระควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปตั้งข้อรังเกียจถ้าท่านทำไม่ทำอย่างที่ตัวเองคิด พระพุทธเจ้าจึงต้องบัญญัติศีลส่วนใหญ่ขึ้นมาเพื่อเอาใจชาวบ้าน

การภาวนาพระคาถาเงินล้านของพวกเราส่วนที่สำคัญคือ ต้องทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ ถ้าขาดความจริงจังและสม่ำเสมอก็อย่าเสียเวลามาภาวนา เพราะว่าทำไปแล้วก็ไม่เกิดผล ซ้ำยังไปลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยอีกต่างหาก บุคคลที่ทำแล้วเกิดผล จะต้องทุ่มเทให้กับการประพฤติปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 04:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว