กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-10-2022, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,581
ได้ให้อนุโมทนา: 216,253
ได้รับอนุโมทนา 739,394 ครั้ง ใน 36,033 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-10-2022, 23:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เพื่อความสบายใจของญาติโยมและพวกเราทั้งหลาย กระผม/อาตมภาพก็ไปให้อาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ท่านด่ามา "สั่งแล้วว่าอย่าไปหาหมอ ไม่มีอะไรดันไปหา เป็นอย่างไรล่ะ ? แค่พักเดียวหมดไปเกือบ ๒๐,๐๐๐ บาท..!" กระผม/อาตมภาพต้องบอกกับท่านว่า "ไปซื้อความสบายใจให้ลูกศิษย์" ท่านบอกว่า "เออ..ถ้าตอบอย่างนี้พอรับได้" แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้ตอบว่า "ไปใช้สิทธิ์ประกัน..!" ทำประกันมา จ่ายปีหนึ่งตั้งหลายหมื่นบาท จ่ายมาหลายสิบปีแล้ว เพิ่งจะได้ใช้แค่ครั้งเดียว..!

สรุปว่ามีอย่างเดียวคือรอให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเอง เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องของสมอง แต่ว่าเป็นเรื่องของเส้นประสาทเท่านั้น แล้วอีกอย่างไอ้การปากเบี้ยวก็ดูเป็นเอกลักษณ์ดี ต่อไปเวลาด่าใครจะได้รู้ตัวว่า "ด่าเขามาก ปากเลยเป็นอย่างนี้..!"

ช่วงที่เดินทางกลับ
กระผม/อาตมภาพก็ได้ร่วมการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ไปด้วย ส่วนที่พระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านย้ำนักย้ำหนาก็คือว่า "งานของคณะสงฆ์ต้องการผู้เสียสละ" ท่านใช้คำว่า "ทำงานให้สนุก" กระผม/อาตมภาพไม่รู้ว่าพวกคุณสนุกกันหรือเปล่า ? แต่สำหรับกระผม/อาตมภาพแล้ว ถ้างานง่าย ๆ ก็มักจะไม่สนุก ถ้างานอะไรยาก ๆ คนอื่นทำไม่ได้ แล้วกระผม/อาตมภาพทำได้สำเร็จ นั่นแหละ..ถึงจะสนุก..!

โดยเฉพาะคำสั่งที่เพิ่งลงมา ต้องไปคุมการอบรมก่อนสอบของนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก อีก ๗ วัน ไม่ได้คุมเฉย ๆ ต้องไปประจำกองตรวจปัญหาด้วย กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิคิดอย่างไร ? เพราะว่ามีทั้งเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอ ไปเป็นกองตรวจ..!

ที่อื่นอย่างเก่งก็มีเจ้าคณะตำบล ส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือว่าเลขานุการ ก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่ง แต่ไม่เหมือนกับอำเภออื่นเขา จะบอกว่าเราเห็นความสำคัญมาก ก็เลยขนบุคลากรระดับหัวแถวไปทั้งหมดก็ใช่ ถ้าจะพูดอีกอย่างว่า "โง่ไม่เหมือนเขา" ก็ใช่อีก..!

แต่ก็ต้องไปนึกถึงที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านบอกว่า "การทำงานต้องการผู้เสียสละ ถ้าหากว่าไม่มีคนเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของส่วนรวม โอกาสที่การงานจะสำเร็จก็ยาก โดยเฉพาะพวกที่เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่คณะสงฆ์ เห็นอะไรที่จะทำให้คณะสงฆ์เสียหาย ก็ไม่มีการป้องกัน ไม่มีการตักเตือน ไม่มีการว่ากล่าว กลัวคนอื่นเขาไม่ชอบขี้หน้า กลัวอันตรายจะเกิดแก่ตัวเอง ถ้าแบบนี้เรียกว่า "เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่พระพุทธศาสนา..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2022 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-10-2022, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธศาสนาจะเจริญได้ต้องมีศาสนบุคคล คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พร้อมใจกันเสียสละ โดยเฉพาะทำตัวเองให้เข้าถึงธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ถึงเวลาคนไหนตำหนิว่าร้ายใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะได้ช่วยแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่ถึงเวลาเขาว่ามา เราก็จนด้วยปัญญา ไม่รู้จะบอกจะกล่าวอย่างไร เพราะว่าตัวเองก็ไม่เคยปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ การเรียนปริยัติก็แค่เรียนให้จบ ไม่ได้เรียนให้รู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องโทษใครเลย

จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพสงสารพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าน้อยคนที่ตั้งใจบวชมาเพื่อละกิเลส ส่วนใหญ่แล้วบวชมาด้วยสารพัดจุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกัน อย่างที่บางคนเขาบอกว่า "บวชเพราะอกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน..!"

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า การบวชนั้นก็คืออุปชีวิกา บวชเพื่อเลี้ยงชีวิต คนทั้งหลายเหล่านี้รู้สึกว่าการบวชเป็นพระแล้วอยู่สบาย กินสบาย น่าจะให้มาบวชที่วัดท่าขนุนดู..!

อย่างที่เดือนก่อน มีการสัมมนาคณะสงฆ์ แล้วพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพปฏิภาณกวี (บุญมา อาคมปุญโญ ป.ธ.๘) ท่านบอกว่า ในเขตดูแลของท่าน ในกรุงเทพฯ แท้ ๆ มีพระไม่ยอมเรียนอยู่มากมาย บอกว่า "เสียเวลาบิณฑบาต เอาอาหารไปขายให้แม่ค้า ได้เงินเร็วกว่าตั้งเยอะ จะเรียนไปทำไม ?" นี่คือลักษณะของอุปชีวิกา บวชเพื่ออาศัยศาสนาเลี้ยงชีวิต

ข้อที่สองก็คืออุปกิฬิกา บวชเพื่อความสนุก เห็นคนอื่นเขาบวช มีแห่ตึงตังโครมคราม ก็อยากมีบ้าง อย่างสมัยนี้บางบ้านบวชเพื่อ "เก็บซอง" จากเพื่อนบ้าน ถึงเวลาบ้านอื่นจัดงาน เราไปช่วยงานเขา ควักเงินใส่ซองไปให้เขาบ่อย ๆ ของเราไม่มีอะไรก็จัดงานบวชลูกชาย

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ทางหมู่บ้านมีการบวชเหมือนกัน บวชวันแรกไปฉลองที่บ้าน มีการเลี้ยงเพล เลี้ยงทั้งพระ เลี้ยงทั้งโยม กว่าจะกลับเข้าวัดได้ก็เย็น รุ่งขึ้นบิณฑบาต ทำวัตรวันหนึ่ง มะรืนสึกแต่เช้า กลับไปบ้าน เขายังเก็บสถานที่ไม่เสร็จเลย..! โดนเขาด่ากันทั้งอำเภอ เพราะว่าตั้งใจบวชเพื่อที่จะ "เก็บซอง" จากคนอื่นเท่านั้น

ประการสุดท้ายคืออุปนิสฺสรณิกา บวชเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งมีน้อยมาก ที่เขาบอกว่า "บวชหนีสงสาร" ก็คือบวชหนีวัฏสงสาร พวกบวชผลาญข้าวสุกคืออุปชีวิกา บวชสนุกตามเพื่อนคืออุปกิฬิกา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2022 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-10-2022, 00:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ของพวกเราที่นี่ส่วนใหญ่แล้ว เราบวชตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจมากมายอะไรนัก ของเราก็ยังมีการเรียนปริยัติธรรม ไม่ว่าจะบาลี จะนักธรรม หรือว่าเรียนปริยัติสามัญ อย่างน้อยสึกหาลาเพศไปก็ยังได้เพิ่มเกรด เพิ่มความรู้ให้แก่ตัวเอง เอาไปใช้ในการทำมาหากิน สร้างครอบครัวได้

แต่ที่กระผม/อาตมภาพกล่าวว่า "สงสารพระพุทธศาสนา" ก็เพราะว่าญาติโยมทั้งหลายตั้งความหวังไว้กับพระเณรของเราอย่างสูงมาก เหมือนอย่างกับอยากได้สินค้าเกรด AAA แต่ปรากฏว่าวัตถุดิบมาจากเกรด C บ้าง เกรด D บ้าง..!

ส่วนใหญ่ก็เป็น "ไอ้พวกเหลือเลือก" มาจากบ้าน ทางบ้านเอาไม่อยู่แล้วถึงจะให้มาบวช เสร็จแล้วก็บวช ๕ วัน ๗ วัน ๓ วัน สึกออกไปหวังจะให้ลูกเป็นคนดี..! พระไม่ใช่ผู้วิเศษจะได้เสกให้ลูกคุณเป็นคนดีได้ภายในไม่กี่วัน กว่าจะบวชพระได้อย่างน้อยอายุ ๒๐ ปี พ่อแม่เลี้ยงมา ๒๐ ปียังเอาดีไม่ได้ แล้วให้เวลาพระแค่ ๓ วัน แบบนี้จะไม่ให้สงสารพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?

แต่ก็เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก เพราะว่าไอ้วัตถุดิบเกรด C เกรด D ที่ว่านี่แหละ สามารถผลิตสินค้าระดับ AAA เกรดพรีเมี่ยมออกมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว เพียงแต่ว่ามีน้อยชิ้นมาก

ไม่ต้องดูไกล คุณดูแค่ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนนี้ที่ออกไปเป็นหลักให้แก่ญาติโยมมีสักกี่รูป ? สมัยที่
กระผม/อาตมภาพบวชอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น มีพระอยู่ด้วยกันประมาณ ๔๐ กว่ารูป ก็แปลว่าแม้แต่บุคคลที่จัดอยู่ในระดับดี ๑ ประเภท ๑ จะหวังให้ประสบความสำเร็จ เป็นที่พึ่งของญาติโยม ก็ยังเป็นเรื่องยาก หลายต่อหลายท่านมีความรู้ความสามารถ อายุกาลพรรษามีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่กล้าย่างเท้าออกจากวัด เพราะกลัวเอาตัวไม่รอด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าขาดความเด็ดขาด..!

นักปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีความเด็ดขาดชนิดตายเป็นตาย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นยากมาก เพราะว่ามักจะลังเล ขาดความมั่นใจ ถึงขนาดกลัวไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น..มีรุ่นพี่บางท่านออกไปแล้วก็ต้อง "กลับมาตายรัง" จึงเหลืออยู่แค่ ๔ - ๕ รูปอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็น ว่าสามารถออกไปแล้วยืนหยัดเป็นกำลังให้แก่ญาติโยม เป็นหลักให้แก่ญาติโยมได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2022 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-10-2022, 00:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับพวกท่านทั้งหลาย กระผม/อาตมภาพไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ถึงระดับนั้น แค่อย่าทำตัวให้เป็นภาระแก่กระผม/อาตมภาพมากนักก็พอแล้ว ระหว่างที่ภาระหน้าที่ของเรายังน้อยอยู่ ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากที่สุด

ถึงเวลาต้องไปเจอกับงานที่มีแรงเสียดทานมาก ๆ จะได้รับมือได้ ไม่ใช่ "กระทบนิดก็ถอย กระทบหน่อยก็สึก..!" ถ้าบุคคลประเภทนั้น กระผม/อาตมภาพไม่เคยมีความเสียดายเลย แต่ถ้าใครที่โดนแล้วโดนอีก ร่วงแล้วร่วงอีก แอบร้องไห้ "น้ำตาเป็นเผาเต่า" แต่กัดฟันอยู่ต่อได้ นั่นถึงจะเรียกว่าใช้ได้..!

ท่านต้องไม่ลืมพระพุทธวัจนะที่กล่าวเอาไว้ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ ตถาคตจะไม่ปฏิบัติต่อเธอทั้งหลายอย่างทะนุถนอม เหมือนกับช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่ แต่เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก บุคคลที่มีมรรคผลเป็นแก่นสารจึงจักทนอยู่ได้"

พวกเราก็นึกถึงก็แล้วกันว่าชาวเหมือง ถึงเวลาทำเหมืองเพชรเหมืองพลอย ร่อนแร่กันเข้าไป ไอ้ที่เป็นหิน เป็นกรวด เป็นทราย ไปกับน้ำกี่สิบกี่ร้อยตันก็ไม่รู้ ? กว่าที่จะได้เพชรได้พลอยมาสักเม็ดหนึ่ง แล้วที่ได้มาก็ยังไม่รู้ว่าจะดีมีราคาหรือไม่ ? ดังนั้น..พวกเราจะอยู่ในระดับไหน อยากจะเป็นเพชรพลอยชนิดไหน ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเราเอง ครูบาอาจารย์ก็ให้ได้แต่การแนะนำ ให้แต่คำสั่งสอน

แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น จะเอาดีได้ หรือเอาดีไม่ได้ อยู่ที่การกระทำของท่านทั้งหลายเอง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2022 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว