กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-08-2022, 21:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๕

เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เนื่องจากว่าวันนี้ตรงกับวันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ แล้ว ยังตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจกรรมจึงค่อนข้างจะมีมาก พวกเราก็ว่ากันไปตามลำดับ

กิจกรรมในวันนี้ของเรา ซึ่งมีการบวชเนกขัมมะเฉลิมพระเกียรติด้วย น่าจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ยกเว้นท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติเป็น คำว่า ปฏิบัติเป็น ในที่นี้ก็คือ รักษาอารมณ์ใจเอาไว้ได้ทุกเวลา ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนี้ เราอยู่ที่ไหนก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้ารอให้ต้องมานั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบเรียบร้อย แล้วค่อยปฏิบัติธรรมได้ ประเภทนั้นยังห่างไกลความจริงอีกมาก

อีกสักครู่หนึ่งพระภิกษุสามเณรจะขึ้นสู่อาสน์สงฆ์ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา พระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนก็ไม่ได้อยู่ครบถ้วนทุกรูป เพราะว่าหลายรูปก็มีกิจการงานที่ข้างนอก อย่างเช่นว่าต้องไปสอนกรรมฐาน เป็นต้น ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็มีเวลาน้อย

ดังนั้น...ญาติโยมที่มาเมื่อเช้าจะแปลกใจว่า ปกติวันแรกจะไม่ลงนำเจริญพระกรรมฐาน แต่งานนี้ขอให้ทราบว่าที่จำเป็นต้องลง ก็เพราะว่าพรุ่งนี้เช้ากระผม/อาตมภาพมีภารกิจข้างนอกสองวันติดกัน ได้ขอสัตตาหะกรณียะ คือ การที่มีเหตุจำเป็นต้องไปในระหว่างเข้าพรรษา ต่อคณะสงฆ์แล้ว

พรุ่งนี้ช่วงเช้าต้องไปร่วมงานประชุมอบรมพระนวกะ ของคณะสงฆ์อำเภอท่ามะกา บ่ายโมงมีการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี บ่ายสองโมงประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔

วันที่ ๓๐ เช้า มีงานพุทธาภิเษกที่วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ตอนบ่ายมีงานพุทธาภิเษกที่วัดสกุณาราม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท


วันที่ ๓๑ ต้องตะเกียกตะกายกลับมานำโยมภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบให้ทัน ถ้าลองมีชีวิตแก่ ๆ อายุ ๖๐ กว่าอย่างอาตมภาพแล้ว ใครทำแบบนี้ได้ก็บอกด้วย จะได้ขอให้ช่วยแบ่งเบาภาระกันบ้าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 00:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-08-2022, 21:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในช่วงบ่ายวันนี้ ประมาณเที่ยงครึ่ง เรามาพบกันในศาลาแห่งนี้ เริ่มการปฏิบัติธรรม บ่ายโมงครึ่งพระสงฆ์ลงอุโบสถ ทบทวนพระปาฏิโมกข์ ก็คือทบทวนศีลตัวเอง ว่ามีข้อไหนขาดตกบกพร่องบ้าง จะได้แสดงคืนในท่ามกลางสงฆ์ พร้อมกับตั้งใจว่า จะไม่ให้ผิดอย่างนั้นอีก

บ่ายสามโมงมีการเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเดี๋ยวต้องมีการจัดโต๊ะหมู่บูชาด้วย ภาคค่ำของเรา ทำวัตรค่ำรอบแรกตอนหกโมงสิบห้านาที ทำวัตรค่ำรอบสอง ประมาณหนึ่งทุ่มสิบห้านาที หลังจากนั้นก็ฟังพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาวันพระรอบค่ำ ถึงจะหมดกิจกรรมของวัน

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งอารมณ์การปฏิบัติไปเลย การปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ทิ้งไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาอารมณ์ใจของเราเอาไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วถ้ากิเลส รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราได้ ก็จะเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ว่าพวกเราตั้งใจมาปฏิบัติธรรม แต่รักษาความดีเอาไว้ไม่ได้อย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้

สำหรับในช่วงเข้าพรรษาทุกวันพระ วัดท่าขนุนจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา ทั้งรอบเช้าและรอบค่ำ ฟังกันให้บรรลุไปเลย...! ต่อให้ไม่บรรลุ อย่างน้อย ๆ กำลังใจที่ส่งไปในธรรม ก็เป็นธัมมานุสติ เห็นพระสงฆ์องค์เทศน์ ก็เป็นสังฆานุสติ ด้านหลังพระเทศน์คือหลวงพ่อทองคำ เป็นพุทธานุสติ เราได้สร้างความดีใหญ่ในพระพุทธศาสนาหลายข้อ หลายประการด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2022 เมื่อ 00:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-08-2022, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของบุญกุศลนั้น ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นบุญกุศลก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าบุญกุศลนั้นจะส่งผลต่อชีวิตเราในด้านดีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าเราท่านทั้งหลายส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน มักจะมีการทำดีทำชั่วบ้าง สลับผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันไป จึงทำให้ถึงเวลาก็มีกรรมชั่วเข้ามาแทรก ให้เราต้องลำบากเดือดร้อน

ขอให้ทุกท่านทำใจแบบอนาถปิณฑิกเศรษฐี ที่ถึงเวลากรรมเข้ามาแทรก ทำให้โดนน้ำซัดเอาคลังสินค้าริมแม่น้ำพังถล่มลงน้ำไปหมด กองเรือที่ส่งไปค้าขายต่างเมือง ก็โดนพายุพัดหลงทาง หากันไม่เจอ ทรัพย์สมบัติที่มีมากมาย ก็ลดน้อยถอยลง แต่กำลังใจของท่าน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในกองบุญการกุศล ยังคงทำบุญเลี้ยงพระทุกวัน เพียงแต่ว่าจากที่เคยเลี้ยงข้าวมธุปายาส ก็เหลือเพียงข้าวต้มกับน้ำผักดอง แต่ท่านก็ไม่คลายศรัทธาเลย

จนกระทั่งเทวดาที่รักษาฉัตรในบ้านท่าน มาดุท่านว่า "ฐานะตกต่ำถึงปานนี้แล้ว ยังจะทำบุญให้ทรัพย์สินหมดลงไปอีก" อนาถปิณฑิกเศรษฐีก็เลยไล่เทวดาว่า "อัปเปหิ..เธอจงไป เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่รู้จักคุณงามความดีแบบนี้ เราไม่ต้องการ"
อนาถปิณฑิกเศรษฐีเศรษฐีท่านเป็นพระโสดาบัน กำลังความดีสูงกว่าเทวดามาก ในเมื่อออกปากไล่ เทวดาก็อยู่ไม่ได้

เทวดาร้องไห้ร้องห่มไปบอกท้าวสักกเทวราช ซึ่งคือพระอินทร์ว่า "นายสั่งให้กระผมไปรักษาฉัตรที่บ้านเศรษฐี แต่โดนเศรษฐีขับไล่ออกมา กระผมควรจะทำอย่างไรดี จึงจะอยู่รักษาหน้าที่ต่อไปได้ ?" พระอินทร์จึงแนะนำว่า "เอาอย่างนี้ คลังสินค้าของเศรษฐีโดนน้ำเซาะถล่มลงน้ำหายไป เธอจงไปงมสินค้านั้นคืนมาทั้งหมด กองเรือของเศรษฐีโดนพายุซัด จนกระทั่งหาทางกลับไม่เจอ เธอจงไปนำทางกลับมา เมื่อทำความดีอย่างนี้แล้ว ค่อยไปขอขมาต่อเศรษฐี เชื่อว่าเขาคงจะยอมให้อภัย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-08-2022, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อนาถปิณฑิกเศรษฐีที่สั่งให้ลูกน้องสร้างคลังสินค้าใหม่ ก็แปลกใจว่าคืนนี้มีอะไร คลังสินค้าทำไมสว่างไสวผิดปกติ จึงเข้าไปดู ปรากฏว่าเจอเทวดาเป็นกรรมกร กำลังแบกสินค้ามาคืน ด้วยความที่ร่างกายของเทวดามีรัศมีสว่างรุ่งเรือง จึงทำให้เหมือนกับในคลังสินค้ามีไฟดวงใหญ่ ๆ ติดอยู่

เมื่อเศรษฐีเข้าไปเห็นเข้า ก็ถามว่า "ท่านมาทำอะไร ?" เทวดาก็เล่าให้ฟังว่า ไปขอพระอินทร์ที่เป็นเจ้านาย ช่วยบอกวิธีว่าทำอย่างไร จะให้เศรษฐียอมอภัยให้ เมื่อเศรษฐีทราบดังนั้นก็บอกว่า "ถ้าหากว่าเธอเปลี่ยนใจ ไม่ขัดขวางการบุญของเรา เราก็ยินดีให้เธอดูแลรักษาฉัตรต่อไป"

คาดว่าน่าจะเป็นเทวดาประเภทรุกขเทวดา ต้องให้เจ้าของอนุญาต จึงเอาวิมานไปแปะเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับคนอนาถา ไม่มีบ้านจะอยู่ คราวนี้การที่จะมีวิมานแปะอยู่บนยอดฉัตรของเศรษฐีได้ เป็นเรื่องเท่สุด ๆ ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เพราะว่าเศรษฐีแต่ละคนหายากยังไม่พอ ยังต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ มอบฉัตรสามชั้นให้ เป็นเครื่องหมายว่าร่ำรวยจริง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อนาถปิณฑิกเศรษฐีซึ่งตั้งใจทำความดี จนกระทั่งกระแสบุญย้อนมาสนอง ก็ได้กองเรือสินค้าคืนมา ได้ทรัพย์สมบัติที่พังลงน้ำไปคืนมา ร่ำรวยเป็นเศรษฐีใหญ่เหมือนเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-08-2022, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น…ในเรื่องของเราก็เหมือนกัน บางคนเดี๋ยวลำบาก เดี๋ยวสบาย ตอนที่เราสบาย ก็ยกเป็นความดีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือ ว่าบันดาลความเจริญรุ่งเรืองแก่พวกเรา แต่ตอนลำบาก มักจะขาดสติ ไปโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าไม่ช่วยบ้าง บางทีก็สงสัยว่า เอ๊ะ..เราตั้งหิ้งพระถูกหรือเปล่า..? พระภูมิเจ้าที่หันหน้าถูกทางไหม..? ยุ่งไปหมด..! ก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่ ตอนนี้ดันมาสงสัย แสดงว่าศรัทธาไม่แน่นแฟ้นเท่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี

ขอให้พวกเราเข้าใจเสียใหม่ว่า เรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านไม่ได้ให้โทษต่อใคร มีแต่ให้คุณโดยส่วนเดียว แต่การที่จะให้คุณได้ เราต้องมีบุญเป็นเรื่องหนุนเสริม พอบุญของเราขาดช่วงลง ท่านไม่สามารถสงเคราะห์ให้ดีเท่าเดิมได้ ท่านก็ต้องปล่อยวาง รอเวลาบุญใหม่ของเราที่ทำไว้เข้ามาถึง ในช่วงนั้นเราอาจจะตกระกำลำบากบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง การค้าการขาย การงานต่าง ๆ ติดขัดไปหมดบ้าง

ขอให้ตั้งใจทำความดีต่อไป โดยเฉพาะความดีในทาน ในศีล ในภาวนา เป็นความดีที่ใหญ่มาก ถ้าหากว่าตั้งใจทำสักระยะหนึ่ง จะเป็นการตัดเคราะห์ เสริมดวง ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการรักษาศีลและเจริญภาวนา อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า

การให้ทาน ถ้าเราทำหนึ่งจะมีผลเป็นร้อย
การรักษาศีล เราทำหนึ่งจะมีผลเป็นหมื่น
การเจริญภาวนา เราทำหนึ่งจะมีผลเป็นล้าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-08-2022, 08:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..คุณงามความดีของเรา เมื่อบกพร่องลง ก็ต้องรีบเร่งสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาให้พอเพียง ไม่ใช่ไปหาหมอ ไปสะเดาะเคราะห์ ไปรดน้ำมนต์ ไปเปลี่ยนชื่อ เรื่องพวกนั้นได้แค่กำลังใจ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้นั้น ต้องเป็นกำลังบุญ

ก็แปลว่าเราควรที่จะสร้างบุญในทาน ในศีล ในภาวนา ให้สม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ช่วยให้ชีวิตของเรามีความเจริญรุ่งเรือง สืบเนื่องยาวนานไป อย่าไปทำบ้าง เว้นบ้าง อาตมภาพเห็นบางท่านทำบุญปีละครั้งเดียวตอนวันเกิด ก็ยังนึกว่าถ้าเป็นคน เรากินปีละครั้งเดียว ที่เหลือน่าจะหิวมาก ขอให้เปลี่ยนใจใหม่ได้แล้ว ทำทุกวันได้ยิ่งดี

การทำก็ไม่ได้หมายความว่าต้องสิ้นเปลืองอะไรมากมาย อย่างเช่นว่า วัดท่าขนุนพรรษานี้ มีพระจำพรรษาอยู่ ๕๑ รูป เกินความต้องการไปมาก เพราะว่าแค่ ๔ รูปก็เป็นสังฆทานแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า แม้ทำบุญกับพระองค์ท่านเป็นร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสังฆทานนั้นได้แก่หมู่สงฆ์ทั้งหมดที่ประชุมรวมกัน ณ ที่นั้น ไม่ใช่ของรูปใดรูปหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะเลือกทำบุญกับพระดี ๆ เท่านั้น ในความรู้สึกของเราว่าหลวงปู่ หลวงพ่อองค์ไหนดี เราก็จะทำแต่องค์นั้น ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะทำบุญกับหลวงปู่สาย จะทำบุญกับหลวงพ่ออุตตมะ พระหนุ่มเณรน้อยที่เหลือจะอดตายกันหมด..!

แต่ถ้าหากว่าเป็นสังฆทาน พระหนุ่มเณรน้อยทั้งหมดมีสิทธิ์มีส่วนด้วย ได้กินได้ใช้ สามารถดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ยากลำบาก ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย แล้วนำมาเผยแผ่ สั่งสอนญาติโยมทั้งหลายให้กระทำความดีสืบไป เท่ากับเป็นการต่ออายุพระพุทธศาสนา ดังนั้น..สังฆทานจึงเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา ถึงได้มีอานิสงส์มากขนาดนั้น

ไม่ว่าเราจะมีข้าวสักถุงหนึ่ง กับข้าวสักถุงหนึ่ง วางลงไปท่ามกลางสงฆ์ ๔ รูปขึ้นไป จัดเป็นสังฆทานทั้งสิ้น ต่อให้บอกว่าเป็นสังฆทานหรือไม่บอก..ก็เป็น มีขนมสักหนึ่งชิ้น มีผลไม้สักหนึ่งผล ไข่ต้มสักหนึ่งฟอง วางลงไปท่ามกลางสงฆ์ ๔ รูป ก็นับเป็นสังฆทานทั้งหมด และมีอานิสงส์มากมายมหาศาล ยิ่งกว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้าเป็นร้อยครั้ง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2022 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 27-08-2022, 09:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า วัดท่าขนุนถึงเวลาจะมีการอปโลกน์สังฆทาน นั่นก็คือเป็นการประกาศบอกให้พระทุกรูปรู้ไว้ว่า สิ่งของที่ญาติโยมถวายมาในครั้งนี้ ทุกท่านมีสิทธิ์มีส่วนเท่า ๆ กัน ถ้าหากว่าเหลือแล้วก็มอบให้แก่ญาติโยม ตลอดจนกระทั่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะได้นำไปบริโภคใช้สอยโดยไม่มีโทษไม่มีภัย

เรื่องพวกนี้จำเป็นที่จะต้องทำ ไม่อย่างนั้นหลายท่านเข้าวัดมา อาจจะสร้างกรรมมากกว่าสร้างบุญ ด้วยความที่ไม่รู้ เห็นอะไรอยากได้ก็หยิบ เห็นดอกไม้สวยก็เด็ด เห็นผลไม้ใกล้มือก็เด็ด กลายเป็นติดหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว แล้วหนี้สงฆ์นั้นโทษหนักมาก เพราะว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ คือของที่มีไว้เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนา เท่ากับว่าเราไปทำลายพระพุทธศาสนา ถึงได้มีโทษหนักมาก

โบราณมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมาก สมัยที่อาตมภาพยังเด็กอยู่ เวลาพ่อแม่หรือพี่สาวไปทำบุญที่วัด จะให้หยิบดินก้อนหนึ่งในไร่ใส่หาบไปด้วย พอถึงเวลาก็ไปโยนไว้ในวัด ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ? ผู้ใหญ่เขาบอกว่า การที่เราเดินเข้าไปในวัด บางทีเศษดินเศษทรายติดเท้าออกมา แม้ไม่ได้ตั้งใจ ก็มีโทษว่าเอาของสงฆ์มา ดังนั้นโ€ฆจึงควรที่จะชำระหนี้สงฆ์ ใช้คืนด้วยการเอาดินไปคืนที่วัด เวลาวันพระก็หยิบดินใส่หาบไปก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็เวลาสงกรานต์ ก็งมทรายเอาไปถวายวัด เป็นการชำระหนี้สงฆ์

แต่คนรุ่นใหม่ ๆ มักจะไม่เข้าใจ จึงก่อให้เกิดโทษแก่ตนเอง เพราะว่าการเป็นหนี้สงฆ์ คือการเอาของสงฆ์เป็นของตัวเอง เท่ากับไปยึดถือเอาสิ่งของที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปเป็นของส่วนตน ที่บางคนเขาใช้คำว่า "ของสาธุ" ก็คือคนตั้งใจถวายไว้ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็เลยทำให้พวกเราอาจจะต้องลำบากเดือดร้อน โดยเฉพาะถ้าตายไปแล้วแก้ไขไม่ทัน มีโทษใหญ่เป็นพิเศษ

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราควรที่จะสังวรและระวังไว้ พระก็ช่วยญาติโยมระวังด้วย จึงมีการอปโลกน์สังฆทาน เมื่อถึงเวลาพระฉันและใช้แล้ว ถึงมอบให้เป็นสิทธิ์ของญาติโยมได้ ถ้าหากว่าพระสงฆ์ทั้งหมดมีใครคัดค้าน ก็ไม่สามารถจะมอบให้ได้ เรื่องพวกนี้เราค่อย ๆ ศึกษา ค่อย ๆ แก้ไขกันไป ถึงเวลาแล้วจะได้บอกต่อให้ลูกหลานของเราทำได้ถูกต้องด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2022 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 28-08-2022, 10:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

มาได้แล้ว เวลามีน้อย โปรดใช้สอยอย่างประหยัด เดี๋ยวพวกเราปฏิบัติธรรม พระก็จะต้องลงโบสถ์ทบทวนพระปาฏิโมกข์ ทำไมถึงต้องทวนพระปาฏิโมกข์ ? พระปาฏิโมกข์คือศีลพระ มีถึง ๒๒๗ ข้อ จึงต้องคอยทวนเอาไว้ ว่ามีอะไรผิดอะไรพลาดหรือไม่ ? ถึงเวลาแสดงไปแต่ละอุทเทส หรือแต่ละหมวดแล้ว ผู้แสดงจะถามเป็นภาษาบาลีว่า

ตัตถายัสมันเต ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ศีลทั้งหลายเหล่านี้ ท่านบริสุทธิ์แล้วหรือ ?
ทุติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ขอถามเป็นวาระที่สองว่า ศีลทั้งหลายเหล่านี้ ท่านบริสุทธิ์ดีแล้วหรือ ?
ตะติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา แม้วาระที่สามขอถามว่า ศีลเหล่านี้ ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ดีแล้วหรือ ?

ฟังไม่ออกก็แล้วไป ฟังออกก็นั่งเหงื่อหยดติ๋ง คราวนี้ศีลพระมีทั้งส่วนที่เป็น

อเตกิจฉาบัติ คืออาบัติ (การทำให้ศีลขาด) ที่แก้ไขไม่ได้ ก็คือขาดแล้วขาดเลย ขาดความเป็นพระไปด้วย อย่างเช่น ปาราชิก ๔ ข้อ มีเสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ให้ตาย พูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน

และสเตกิจฉาบัติ อาบัติที่สามารถแก้ไขได้ ก็มีทั้งที่แก้ไขยาก อย่างเช่นอาบัติสังฆาทิเสส และที่แก้ไขไม่ยากมาก อย่างเช่นอาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และทุพภาสิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2022 เมื่อ 20:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 28-08-2022, 10:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ญาติโยมทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ส่วนหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ ต้องทบทวนศีลอยู่ทุกวัน ก่อนนอนทบทวนว่า
วันนี้เราได้ฆ่าสัตว์ไปหรือเปล่า ? จะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ อะไรก็ตาม ได้ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนาหรือเปล่า ? ไม่ฆ่าหรอก แต่ตีแค่น่วม ๆ ก็แย่พอกัน..!

วันนี้เราได้หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้หรือเปล่า ? ในแต่ละวันเรามีโอกาสลักขโมย หยิบฉวย ช่วงชิง สิ่งของของคนอื่น แล้วเราได้ล่วงละเมิดหรือเปล่า ?

เห็นคนที่เขารัก เห็นของที่เขารัก มีความต้องการ เราได้ละเมิดคนที่เขารัก ของที่เขารักหรือเปล่า ?

เรารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง มีเจตนาที่จะกล่าวเพื่อโกหกหลอกลวงคนอื่นให้หลงเชื่อหรือไม่ ?

สุราเมรัย ยาเสพติดต่าง ๆ ที่ย้อมจิตของตนเองให้มึนเมาขาดสติ เราได้เสพบ้างหรือเปล่า?

ถ้าหากว่ามีข้อหนึ่งข้อใดบกพร่อง ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาต่อไป ลักษณะเดียวกับที่พระปลงอาบัติ สารภาพในท่ามกลางสงฆ์ พร้อมกับมีคำกำกับท้ายว่า

นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่กระทำเช่นนี้อีก
นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก
นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่คิดเช่นนี้อีก


คิดเป็นมโนกรรม พูดเป็นวจีกรรม ทำเป็นกายกรรม แปลว่าไม่เพียงแต่ไม่ทำ แม้แต่พูด หรือคิด เราก็ไม่ทำด้วย ทำไมถึงต้องสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ ? ก็เพราะว่าจะได้มีบุคคลเป็นพยาน แล้วก็คอยตักเตือนเวลาที่เราพลาดอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2022 เมื่อ 20:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 28-08-2022, 10:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนอยู่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้พระแสดงอาบัติเป็นภาษาไทย "ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ กระผมละเมิดสิกขาบท ด้วยการเผลอสติยืนปัสสาวะ ข้าพเจ้าทราบถึงอาการอันชั่วหยาบนี้แล้ว ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก จะไม่ทำเช่นนี้อีก จะไม่คิดเช่นนี้อีก ขอท่านผู้เจริญโปรดรับทราบด้วยเถิด" เป็นการเตือนสติตัวเอง

คราวนี้ก็มีรุ่นพี่ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ด้วย ก็คือหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) คนชอบเรียกท่านว่า "เสี่ยโอ" รวยมาก เป็นลูกชายเจ้าของโรงสีที่พิจิตร มาบวชแล้วไม่ยอมสึก ไม่เป็นไร ถึงเวลาพ่อแม่ก็จ่ายเงินปันผล โอนเข้าบัญชีให้

หลวงพี่โอของอาตมา หรือหลวงพ่อโอของญาติโยมทั้งหลาย ท่านก็มีนิสัยว่า ออกกิจนิมนต์ได้เงินเท่าไรจะเอาเข้าบัญชีหมด ฝากสามเดือน ทุกบาท ทุกสตางค์ เข้าบัญชีหมด..! แล้วก็จะมีรุ่นน้องนักเลงดี "พี่โอ..ยืมตังค์หน่อยสิ" ท่านก็ "ฮื้อ..ไม่มีหรอก..!"

พอเข้าโบสถ์หลวงพี่โอก็ "ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ กระผมละเมิดสิกขาบทปาจิตตีย์ ด้วยการพูดโกหกว่าไม่มีเงิน ข้าพเจ้าทราบถึงอาการชั่วหยาบที่ได้กระทำไปนี้แล้ว ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่คิดเช่นนี้อีก จะไม่พูดเช่นนี้อีก จะไม่ทำเช่นนี้อีก ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบด้วยเถิด" แล้วก็จะมีเสียงว่า "อีกแล้ว..!" "บ่อยนะ..!"

ในสายตาคนนอกที่ไม่รู้ ก็ว่า "อื้อหือ..หลวงพี่โอกู..งกชิบหายเลย !" เงินกี่บาทกี่สตางค์ เก็บเข้าบัญชีหมด ไม่ให้หลุดไปให้หมากินเลย..ว่าอย่างนั้น ปรากฏว่าพอออกพรรษาเริ่มเข้าฤดูทอดกฐิน หลวงพี่โอตระเวนหาแล้ว วัดไหนที่สร้างโบสถ์แล้วยังไม่มีพระประธาน หลวงพี่โอขอเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธาน เงินที่เก็บไว้ทุกบาททุกสตางค์นั่นแหละ ถ้าไม่พอก็ "โยมพ่อโยมแม่ โอนเพิ่มมาเท่านี้" ถ้าพอก็แล้วไป

จนกระทั่งพอหลาย ๆ ปีเข้า ก็มีเสียงว่า "เล็ก ๆ โอไม่ ใหญ่ ๆ โอทำ" สร้างพระประธานในโบสถ์อย่างเดียวเลย ไม่ใช่ในโบสถ์ไม่เอาด้วย ที่เล่าให้ฟังนี่ เล่าเฉพาะเรื่องอาบัติ พอถึงเวลาหลวงพี่โอท่านรีบ ๆ น้อง ๆ ก็ "ยืมตังค์หน่อยพี่โอ" ท่านก็ "ฮื้อ..ไม่มีให้หรอก" ด้วยความที่พี่เขาค่อนข้างจิดสะอาดมาก เห็นว่าคำพูดแค่นี้ จัดอยู่ในประเภทโกหก ก็เลยไปสารภาพท่ามกลางสงฆ์ ก็แปลว่าวันพระใหญ่ทีก็ได้เจอกันที

ตอนนี้หลวงพ่อโออายุ ๗๗ ปีนะ ท่านอายุมากกว่าอาตมา ๑๓ ปี เดินไม่ไหวแล้ว เจอหน้ากันก็ต้องหิ้วซ้ายคน หิ้วขวาคน บอกท่านว่า "พี่โอ..ไหนคุยว่าจะอยู่สัก ๑๐๗ - ๑๐๘ ปี ?" ท่านบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว ถ้าต้องให้คนช่วยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ก็ไม่ต้องเลย ไปซะดีกว่า..!" อันนี้ปลงอายุสังขาร เจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยก็บอกว่า "ผมก็เหมือนกัน ไอ้ลูกศิษย์ระยำ มาปวารณา ขออาสาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้หลวงตา บอกว่ามึงไม่ต้องเลย ถ้าลำบากขนาดนั้น กูตายดีกว่า..!" เอาไหม ? มีคนอาสาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ ลำบากขนาดนั้นจะอยู่ไปทำไม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2022 เมื่อ 20:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 30-08-2022, 10:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ย้อนกลับมาใหม่ ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเราคุยกันเรื่องศีล ? ไปซะไกลเชียว ทบทวนศีลทุกวัน การที่เราตั้งสติคอยระมัดระวังไม่ให้ละเมิดศีล โดยเฉพาะพระ ที่ศีลมีเป็นจำนวนมาก สติต้องสมบูรณ์พร้อม แรก ๆ ก็เครียดแทบตายทั้งนั้น อาตมาเองก็เครียด ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มปรับตัวได้ พอสติมากขึ้น ขยับตัวปุ๊บ รู้เลยว่าศีลจะขาดไหม ?

เมื่อมีสติระมัดระวังอยู่ ทำให้สมาธิเกิดได้ง่าย บาลีถึงได้ใช้คำว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส อานิสงส์ใหญ่ของการระมัดระวังศีลนั้น ผลใหญ่ได้แก่ สมาธิจะเจริญ ดังนั้น...พวกเราระมัดระวังศีล เท่ากับทำสมาธิไปในตัว แรก ๆ ก็ระมัดระวังกันเอาไว้

เมื่อสมาธิทรงตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาระดับไว้ พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยรักษา เลิกก็ทิ้งหมดเลย แล้วทำไปทำไมวะ..!? เราต้องพากเพียรพยายามขนาดไหน กว่าที่จิตจะสงบผ่องใสได้ เหนื่อยยากขนาดนั้น ลุกขึ้นปุ๊บ สะบัดพรืด เกลี้ยงเลย..! ไม่ได้คิดที่จะรักษาอะไรเอาไว้แม้แต่นิดเดียว หลวงพ่อชาท่านบอกว่า "ตักน้ำรดหลังหมา" ตักน้ำรดหัวตอ ถึงจะไม่งอก แต่ก็ยังเปียก ตักน้ำรดหลังหมา หมาสะบัดพรืดเดียว หมดเกลี้ยงเลย..!

การปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก การทวนกระแสก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ พอเราว่ายมาถึงระดับที่ตัวเองพอใจ แล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำไปเลย แล้วจะว่ายมาทำอะไร ? ก็แปลว่าเราต้องประคับประคองรักษาระดับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วพอถึงเวลาเราว่ายทวนน้ำมา แล้วก็ปล่อยไหลตามน้ำไป ถึงเวลาก็ว่ายทวนน้ำใหม่ ปล่อยไหลทวนน้ำไปอีก ขยันมาก ทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มีเลย ทำไปกี่ปีก็ไม่มีผล แล้วก็ท้อใจว่า ทำไมเราทำแล้วไม่ได้เรื่องสักที ก็เพราะว่าทำแล้วไม่รักษาระดับเอาไว้ ไม่ต้องไปโทษใคร เราทำตัวเราเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-08-2022 เมื่อ 13:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #12  
เก่า 30-08-2022, 10:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราทำได้แล้ว ต้องเอาสติประคับประคอง รักษาอารมณ์ใจนั้นเอาไว้ให้ได้เหมือนอย่างกับตอนที่นั่งสมาธิอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาปล่อยทิ้งไป ถึงเวลาปล่อยทิ้งไป ก็โดนกิเลสตีตายเหมือนเดิม จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนัก และทำให้ถูก

คนที่จะเหนื่อยน้อยที่สุดก็คือ คนที่ทำถึงปฐมฌานละเอียด สังเกตง่าย ๆ ก็คือ รู้ลมหายใจและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็แค่เอาสติประคับประคองการรู้นั้นเอาไว้ อย่าให้หลุดไป แต่ถ้าทำยังไม่ถึงระดับนี้ ก็เหนื่อยหน่อย เพราะว่าขยับตัวดีไม่ดีสมาธิก็หลุดหายไปหมดแล้ว

ความจริงที่นี่ตั้งใจฝึกพวกเราอยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยรู้ตัวกัน อย่างเช่นเมื่อเช้า เจริญสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ต่อด้วยทำวัตร ใครรักษาอารมณ์ไม่เป็น สวดมนต์หน่อยเดียว หลุดหายหมดแล้ว ขยับตัวกราบพระหน่อยเดียว สมาธิที่ได้หล่นหายหมดแล้ว

พระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้พวกเราเดินจงกรม เป็นการทรงสมาธิขณะที่เคลื่อนไหว อานิสงส์ใหญ่ก็คือ สมาธิที่ทำได้จะเสื่อมยาก เพราะว่าทำในขณะที่เคลื่อนไหวอยู่ ถ้าทำในอิริยาบถ จะเป็นนั่ง เป็นยืน เป็นนอน เวลาเคลื่อนไหวอาจจะหลุดหายไปเลย ก็แปลว่าเราจะต้องพยายามฝึกซ้อมให้มากไว้ จะทำอะไรเอาสติกำกับเข้าไปด้วย รู้ตัวอยู่ตรงนั้น ถ้าสามารถทำแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร ถือเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด เพราะว่าสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า

ในส่วนนี้พวกเราทั้งหลายต้องใช้ความเพียรด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคดก็เป็นได้เพียงผู้บอกเท่านั้น บันดาลให้เราสำเร็จไม่ได้ ช่วยเหลือเราให้สำเร็จไม่ได้ เป็นผู้ชี้ทาง คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง โลกอุดรนี้เป็นภาษาไทย ในบาลีเขาเรียกว่าโลกุตระ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2022 เมื่อ 12:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 30-08-2022, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ว่าเรื่องอะไรจำได้ไหม ? ทบทวนศีลอยู่ทุกวัน ทำสมาธิแล้วรักษาเอาไว้ให้ได้ มีสองเรื่องแค่นี้เองนะ ว่ามาเป็นชั่วโมงเลย พวกเราส่วนใหญ่แล้วต้องบอกว่า ปัญญาน้อย สติน้อย คุยอะไรไป ฟังมาถึงตรงนี้ ที่ผ่านมาอะไรก็ไม่รู้ ลืมหมดแล้ว แล้วยังมีความดีตรงที่ไม่คิดจะจดเลยอีกต่างหาก..!

บาลีบอกไว้ชัดเจนเลยนะ สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตฺโต กถํ โส ปณฺฑิโต ภเว คนเราจะเข้าถึงความเป็นบัณฑิต คือผู้รู้ที่แท้จริงได้ ต้องประกอบไปด้วย สุ จิ ปุ ลิ ที่เรียกว่าหัวใจนักปราชญ์

สุ คือ สุตตะ ตั้งใจฟัง
จิ คือ จิตตะ คิดตามไปด้วย
ปุ คือ ปุจฉา สงสัยให้ถาม
ลิ คือ ลิขิต บันทึกเอาไว้เตือนความจำ


ถ้าหากว่าใครเรียนบาลีใหญ่หรือมูลกัจจายน์ ประโยคแรกเลยเขาบอกว่า อัตโถ อักขระสัญญะโต ประโยชน์ของอักขระ หรือตัวหนังสือนั้น คือการช่วยในการจำ

อาตมาเองเวลาลงโบสถ์ฟังหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็จะถือกระดาษปากกาติดมือไปเสมอ ข้างที่นอนมีกระดาษปากกาอยู่เสมอ เพราะว่าเวลาพระหรือครูบาอาจารย์สั่งอะไร ต้องรีบบันทึก ปล่อยให้นานไป แค่ไม่กี่นาที จะหายไป เหมือนกับโดนลบข้อมูลเลย ไม่ได้ Delete นะ Delete ยังกู้คืนได้ นี่ Format กันเลย..!

อาตมาเองเป็นคนความจำดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งงาน ๓ ข้อ ด้วยความประมาท คิดว่า ๓ ข้อเอง ๓๐ ข้อยังจำได้เลย ปรากฏว่าผ่านไปชั่วโมงเดียว นึกให้ตายก็นึกได้ข้อเดียว อีก ๒ ข้อหายไปไหนไม่รู้ ?

ดังนั้นโ€ฆเรื่องพวกนี้จำเป็นอย่างยิ่ง ใครที่ฟังแล้วรู้สึกสะดุดใจ ให้รีบบันทึกไว้ สิ่งนั้นจะตรงหรือใกล้เคียงกับกำลังใจของเราตอนนั้น แล้วเราจะได้มาทบทวน ทำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ จนกลายเป็นสมบัติของเราเอง ไม่ใช่สักแต่ว่าฟัง แล้วแทนที่จะตั้งใจฟัง คิดตาม ก็ไม่ใช่อีก กูหลับตาเข้าสมาธิเลย ก็เจริญละนะ หลับตาเข้าสมาธิเมื่อไร ถ้าเข้าลึก ก็ตัดประสาทสัมผัสภายนอกหมดเกลี้ยง ดีไม่ดีก็ไม่ได้ยินอะไรอีกด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2022 เมื่อ 03:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #14  
เก่า 30-08-2022, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

วันนี้เป็นการเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ท่านมีรับสั่งว่า "ทำอะไรอย่าลืมแม่" เพราะฉะนั้นโโ‚ฌฆให้เอาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นำหน้าเสมอ

ดังนั้นโโ‚ฌฆจึงกลายเป็นว่า ทุกครั้งที่เจริญพระพุทธมนต์ทุกวันที่ ๒๘ ของเดือน ก็จะเป็นการเจริญพระพุทธมนต์ถวายทั้งสามพระองค์พร้อมกัน เพียงแต่ ๒๘ กรกฎาคมนี้ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงเป็นอะไรที่เรียกว่าตรงวันพอดี

ในแต่ละเดือนคณะสงฆ์แต่ละตำบลจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ เพียงแต่ว่าเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจัดอย่างเป็นทางการ ตำบลอื่นอาจจะยังไม่พร้อม ก็เลยให้ตำบลท่าขนุน เขต ๒ โดยเฉพาะวัดท่าขนุนรับเป็นเจ้าภาพไปก่อน ดังนั้นโโ‚ฌฆในส่วนนี้ของพวกเรา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในฐานะเจ้าภาพ

การสวดมนต์ไม่ได้ยาวนานอะไร แต่..สวดผิดเยอะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่าเป็นบทสวดใหม่ ที่พระเณรเราไม่คุ้นเคย แล้วญาติโยมจะไปคุ้นได้อย่างไร..? เขาเพิ่งจะแต่งขึ้นมาไม่นานนี้เอง แล้วก็เปลี่ยนหลายรอบ

ก่อนหน้านี้คือ ปะระมะราชินีนาถา สิริกิตติ มะหายะสา ตอนนั้นพระองค์ท่านยังเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถอยู่ ตอนนี้ก็เลยจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับพระอิสริยยศใหม่ คือสมเด็จบรมราชชนนีพันปีหลวง เรื่องพวกนี้บอกไปโยมก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะแปลบาลีไม่ออก ฟังไปแล้วเครียดเปล่า ๆ

ปะระมะราชินีนาถา พระบรมราชินีนาถ
ภูมิพะลัสสะ ราชิโน เป็นพระราชินีในกษัตริย์ภูมิพล
ทะสะมินทะภุปาลัสสะ มาตุภูตา ยะสัสสินี เป็นพระราชมารดาผู้ประเสริฐของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐
สัมพุทธะมามกา อัคคา ถือว่าเป็นสุดยอดของพุทธมามกะ
พุทเธธัมเม สะมาหิตา เป็นผู้ที่เข้าถึงถ้วนในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปุญญาธิการะสัมปันนา ถึงพร้อมด้วยบุญญาธิการทั้งปวง

แปลมากเดี๋ยวเข้าใจกันหมด สวดแบบไม่รู้เรื่องนี้แหละขลังดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2022 เมื่อ 03:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #15  
เก่า 30-08-2022, 20:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

(คนที่มาเพิ่มทีหลังเอาอาสนะไปปูนั่ง) ปูยาว ๆ ลงไปทีละแถว นั่งให้เต็มก่อนแล้วค่อยเพิ่มอีกหนึ่งแถว ไม่ใช่ปูขวางไปทีละ ๔ - ๕ แถว เสร็จแล้วก็นั่งเต็มแค่แถวเดียว แค่ดูด้วยสายตา เราก็จะรู้ว่าเรียบร้อยหรือว่าเกะกะ นั่งให้เต็มทีละแถว ไม่ใช่ปูไปเรื่อยเปื่อย เป็นนักปฏิบัติธรรม กำลังใจต้องละเอียด ไม่ใช่ทำมากี่ปี ๆ ก็เหมือนเดิม

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ยิ่งนานไป สัญญาและปัญญาของคนจะทรามลงไปเรื่อย ๆ" สัญญาคือความจำ ปัญญาคือความเฉลียวฉลาด ก็แปลว่าทั้งความจำและความเฉลียวฉลาด จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ก็ไม่นึกว่าแค่พักเดียวเท่านั้น จะถอยลงไปได้ถึงขนาดนี้..!

แค่เห็นคนอื่นทำ เราก็ต้องทำตามได้แล้ว ไม่ใช่บอกแล้วบอกอีก ก็ยังไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราวอยู่แค่นั้น การปูอาสนะหรือว่าจัดวางเก้าอี้ เขามีแนวกระเบื้องอยู่แล้ว ก็แค่ดูว่าข้างหน้าของเขาอยู่แนวไหน ห่างกันเท่าไร เราก็จัดวางตามไปก็จบแล้ว ไม่ใช่ถึงเวลาเห็นเขาวาง กูก็วางส่งเดชไปเรื่อย บางทีสิ่งที่เราคิดว่าใช่ ก็ยังไม่ใช่

ก็ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติธรรมว่า ทำไมคนอื่นทำแล้วได้ผล เราทำแล้วไม่ได้ผล ก็เพราะว่าเราขาดความเข้าใจ ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นต่อให้ปฏิบัติไปนานแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แค่การเป็นนักปฏิบัติธรรมของเรา สภาพจิตถ้าละเอียด ทุกอย่างจะเป็นระเบียบเรียบร้อย บางคนแค่นั่งลง อาสนะก็เบี้ยวออกจากพื้นไปแล้ว..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๕ ณ วัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ - วันอาทิตย์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2022 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว