กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-06-2022, 17:44
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,963 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-06-2022, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตรงกับวันพระใหญ่ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ หรือที่โบราณเขาเรียกกันว่า วันพระเดือนขาด

เนื่องเพราะว่าการนับวันทางจันทรคตินั้น จำกันง่าย ๆ ว่า เดือนที่เป็นเลขคี่ คือ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๗ เดือน ๙ เดือน ๑๑ ข้างแรมจะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำเท่านั้น ยกเว้นว่าปีไหนเป็นอธิกวาร คือปีที่มีวันเกิน ก็จะมีวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เป็นต้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านไม่ได้ศึกษาในด้านของดาราศาสตร์หรือว่าโหราศาสตร์ ก็อาจจะปวดหัวกับวันเวลาที่ไม่ค่อยจะตรงกัน

วันนี้ในเมื่อเป็นวันพระใหญ่ กระผม/อาตมภาพไม่ได้ลงทบทวนพระปาฏิโมกข์ จึงได้มอบฉันทะให้กับพระภิกษุวัดท่าขนุน ลงทบทวนพระปาฏิโมกข์แทน คำว่า มอบฉันทะ ก็คือ ถ้าหากว่าในกิจการงานสงฆ์ครั้งนั้น มีการลงมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราก็ถือตามเสียงข้างมากเป็นประมาณ โดยมอบความไว้วางใจให้กับคณะสงฆ์นั้น ได้ทำหน้าที่เป็นสิทธิ์เป็นเสียงแทนตัวเรา

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงมีความเป็นประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ท่านบัญญัติขึ้นนั้น ทันสมัยมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้

ในเมื่อตัวกระผม/อาตมภาพเองไม่ได้ลงอุโบสถ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลอยลำสบาย แต่หากว่าต้องมาอธิษฐานอุโบสถในที่อยู่ของตนเองคนเดียว ก็คือตั้ง นะโมฯ ๓ จบ แล้วรำลึกว่า อัชชะ เม อุโปสะโถ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ก็ถือว่าเป็นการทบทวนว่า ตัวเราเองนั้นในตลอดวันที่ผ่านมา มีศีลข้อไหนที่บกพร่องบ้าง ถ้าหากว่ามีข้อบกพร่องก็ให้จดจำเอาไว้ แล้วรีบหาเพื่อนพระมาทำการแสดงคืนซึ่งอาบัตินั้น ๆ เสียแต่โดยเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-06-2022, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเป็นคำแนะนำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็คือ อย่าให้อาบัตินั้นได้ข้ามวัน เพราะว่าเราอาจจะตายเสียก่อนในคืนนั้น โดยที่ท่านได้ยกตัวอย่างเอรกปัตตนาคราช ซึ่งเคยบวชเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ว่าไปทำให้ใบของต้นตะไคร้น้ำขาด ซึ่งเป็นโทษพรากของเขียวในศีลของพระ

ขณะนั้นท่านอยู่รูปเดียว หาพระแสดงคืนอาบัติไม่ได้ จิตใจเศร้าหมองว่าตัวเราศีลไม่บริสุทธิ์ เมื่อมรณภาพแล้วจึงไปเกิดเป็นพญานาค คือแทนที่จะได้มรรคได้ผลเหมือนคนอื่นเขาก็ไม่ได้อะไร เพราะว่าศีลของตนไม่บริสุทธิ์

ขณะเดียวกัน จะได้เป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม ตามวาสนาบารมีของตนที่สั่งสมคุณความดีมาถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ก็ไม่ได้เป็น หากแต่ว่าไปเกิดเป็นพญานาค ที่จัดอยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ถึงแม้ว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีฤทธิ์มากก็ตาม ก็ยังอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงมรรคถึงผลอยู่ดี

ดังนั้น...บุคคลใดบุคลลหนึ่งในพระภิกษุสงฆ์ของเรา เมื่อต้องอาบัติแล้วก็อย่าได้ปล่อยให้ข้ามวันข้ามคืน ถ้าอย่างของวัดท่าขนุน ก็มีการแสดงอาบัติก่อนทำวัตรเย็นทุกครั้ง และแสดงอาบัติก่อนลงสังฆกรรมทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเราเป็นผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว

บุคคลใดที่โดนอาบัติหนัก เช่น สังฆาทิเสส ก็จะโดนแยกออกไปอยู่ต่างหาก แล้วให้ไปเข้าปริวาสกรรมเพื่อแก้คืน เมื่อได้รับการลงโทษตามจำนวนวันที่ปกปิดไปแล้วก็เก็บมานัตต์ จากนั้นมาขอให้คณะสงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ จึงจะเป็นพระที่มีศีลเสมอกันอีกครั้งหนึ่ง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ครูบาอาจารย์ท่านเข้มงวดตลอดมา กระผม/อาตมภาพก็ถือปฏิปทา แนะนำท่านทั้งหลายให้กระทำตามแบบอย่างไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-06-2022, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ญาติโยมทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ก็ดี หรือว่าหลายท่านที่ไปวัดท่าขนุนมาก็ดี จะเห็นว่าในช่วง ๔ โมงเย็นของแต่ละวันนั้น วัดท่าขนุนมีการเปิดเสียงตามสาย ซึ่งเป็นเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพระวินัย คือศีลของพระทั้ง ๒๒๗ ข้อ

ตรงนี้ไม่ได้หวังประโยชน์แค่ให้พระภิกษุของเราทบทวนอยู่ทุกวันว่า ศีลของตนเองบกพร่องหรือไม่ ? แต่หวังประโยชน์ตรงที่ว่าอนุปสัมบัน ก็คือแม่ชี หรือว่าญาติโยมต่าง ๆ แม้กระทั่งสามเณรด้วย ได้รู้ว่าพระเราต้องถือศีลข้อใดข้อหนึ่งบ้าง
เมื่อรู้แล้ว ถ้าเห็นพระทำขาดตกบกพร่อง ก็จะได้ช่วยกันตำหนิ ช่วยกันตักเตือน เพื่อให้ท่านกระทำได้ถูกต้อง หรือว่าได้แสดงคืนอาบัติ เพื่อให้มีความบริสุทธิ์กลับคืนมา เป็นการมองเห็นการณ์ไกลอย่างหนึ่ง ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ผู้เป็นครูบาอาจารย์ ก็คือเอาเสียงส่วนใหญ่หรือว่ามวลชนมาควบคุมพระให้อยู่ในกรอบของศีล เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วญาติโยมจะไม่รู้ว่าศีลพระ ๒๒๗ ข้อนั้นมีอะไรบ้าง

แต่ที่วัดท่าซุงก็ดี ที่วัดท่าขนุนก็ดี เปิดเสียงตามสายให้พระภิกษุสงฆ์ของเราได้ทบทวนอยู่ทุกวัน ตลอดจนกระทั่งสามเณรและฆราวาสที่ไปสมัครเป็นนาคเตรียมบวช ก็จะได้ศึกษาศีลพระล่วงหน้าไปเลยว่า ถ้าท่านทั้งหลายบวชเข้ามาแล้ว จะต้องพบต้องเจออะไรบ้าง

ในเรื่องของการบวชพระนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการที่ลงทุนซื้อนรก..! เหตุที่กระผม/อาตมภาพพูดเช่นนี้ ก็เพราะว่าศีลพระมีจำนวนมากด้วยกัน ถ้าหากว่าให้เปรียบเทียบก็คือ ชีวิตฆราวาสเดินอยู่บนถนนที่มีหลุมอยู่แค่ ๕ หลุม ถ้าหากว่าเราหลบซ้ายเลี่ยงขวา ก็สามารถที่จะลัดเลาะพ้นไปได้ แต่ว่าชีวิตของพระภิกษุนั้น เราเดินอยู่บนถนนที่มีหลุมถี่ยิบถึง ๒๒๗ หลุม พลาดพลั้งตกลงไปได้ง่ายที่สุด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-06-2022, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การตกลงไปในฐานะของปูชนียบุคคล ก็คือบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านนั้น ถ้าหากว่ายังเป็นอาบัติที่แก้คืนได้ก็ต้องรีบแก้คืน รีบสารภาพบาป แล้วขณะเดียวกัน ก็ต้องตั้งใจทำตามคำสารภาพของตน ที่เป็นภาษาบาลีว่า

นะ ปุเนวัง กะริสสามิ กระผมจะไม่ทำเช่นนี้อีก

นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ กระผมจะไม่พูดเช่นนี้อีก

นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ กระผมจะไม่คิดเช่นนี้อีก


ก็คือเราไม่เพียงแต่ไม่ทำ ไม่พูดเท่านั้น แม้แต่คิด เรายังจะต้องไม่คิดด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก นอกจากว่าท่านทั้งหลายมีสติที่สมบูรณ์ ทรงฌานทรงสมาบัติเป็นปกติ ขยับตัวเมื่อไร เราก็รู้ว่าศีลจะขาดจะพร่องหรือไม่ ถ้าอย่างนี้เราถึงจะสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบของศีลอย่างแท้จริงได้

ในเมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจระมัดระวังรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ท่านทุ่มเทสติ สมาธิ ไประมัดระวังรักษาศีล ก็จะทำให้สมาธิของท่านทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อสมาธิของท่านทรงตัวตั้งมั่น ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น ถึงมีปัญหาทางโลกก็แก้ไขให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย ถ้ามีปัญหาทางธรรม ก็สามารถที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ สามารถก้าวล่วงเข้าสู่คุณความดีระดับสูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

โดยที่ท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า เราจะเป็นผู้ที่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เราจะไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

หลังจากนั้น ท่านต้องทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะไม่พูดแม้กระทั่งว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้เลี้ยงเรามา หากแต่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเรามา" เป็นต้น

ประการสุดท้าย ท่านทั้งหลายจะต้องมีปัญญา รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย กำหนดใจไปให้มั่นคงเลยว่า บุญกุศลทั้งหมดที่เราสร้างสมมานั้น เราปรารถนาที่เดียวก็คือพระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 29-06-2022, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในอันดับแรก ท่านทั้งหลายต้องเกาะเอาไว้เช่นนี้ก่อน ถ้าหากว่ามีที่เกาะในด้านดี ก็เป็นการประกันความเสี่ยงว่า ท่านทั้งหลายจะไม่ตกลงสู่อบายภูมิ เมื่อความดีของท่านสมบูรณ์พร้อมแล้ว ท่านก็จะปล่อยเองโดยอัตโนมัติ

ท่านทั้งหลายที่กล่าวว่าไม่ยึดไม่เกาะนั้น ถ้าหากว่าท่านไม่มีอะไรยึด ไม่มีอะไรเกาะ แล้วท่านจะเอาอะไรมาปล่อย ? เหมือนกับว่าเราเดินขึ้นที่สูงหรือว่าเดินขึ้นบันได เราก็ควรที่จะเกาะราวบันไดเพื่อความปลอดภัยอย่างแท้จริง แต่เมื่อท่านถึงด้านบน เข้าไปสู่ที่พักของตนเองแล้ว บางทีตัวท่านปล่อยราวบันไดตอนไหน ท่านก็ยังไม่รู้ตัวเลย

ดังนั้น...หลายท่านที่เป็นนักปฏิบัติธรรมมาหลาย ๆ ปี แล้วบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสุญญตา เราไม่ยึดเกาะอะไร กระผม/อาตมภาพขอบอกว่า ท่านทั้งหลายกำลังเกาะในสิ่งที่ท่านยึดมั่นอยู่ ก็คือเกาะอยู่ในความเป็นสุญญตา เกาะในความเป็นอนัตตา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่เกาะ ปล่อยวางเมื่อไร การเข้าถึงที่แท้จริงจะปรากฏขึ้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าบอกล่วงหน้าไปไกล ท่านที่ทำไม่ถึงก็ฟังไม่เข้าใจ หรือว่าไม่รู้เรื่อง แต่ว่าท่านที่ทำถึง พอบอกแค่นี้ก็จะเข้าใจทันที ว่าการที่เรายึดเราเกาะในความดีนั้นยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ แต่เมื่อดีถึงที่สุดแล้ว เราก็จะปล่อยวางการยึดเกาะนั้นไปเองโดยอัตโนมัติ อยู่ในลักษณะที่ว่า ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะผ่ากลาง หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้ดังที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว