กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-06-2021, 20:30
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,937 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-06-2021, 22:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ มีเรื่องที่อยากจะเรียนถวายพระภิกษุสามเณร และบอกกล่าวให้กับญาติโยม ทั้งที่นี่และที่ติดตามฟังอยู่ทางบ้าน ก็คือเรื่องในช่วงที่ผ่านมา มีการถกเถียงกันว่าทุกเพศควรที่จะมีสิทธิ์บวชได้ โดยมีการอ้างสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าถกเถียงกันเพื่อปัญญาในแบบของนักวิชาการ ก็สามารถที่จะยกเหตุยกผลขึ้นมาคุยกันได้ แต่ถ้าหากว่าถกเถียงกันเพื่อเอาชนะคะคาน ก็แปลว่าท่านทั้งหลายยังห่างไกลจากการเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่มาก

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า เราทั้งหลายไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน วาจาที่เป็นเหตุให้ต้องเถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ

แล้วการที่ท่านทั้งหลายไปถกเถียงกันนั้น ส่วนใหญ่มักจะลืมไปว่า ในแต่ละหน่วยงาน ในแต่ละองค์กร จะมีวัฒนธรรมองค์กรของตนเองอยู่ ดังนั้น...บรรดาท่านที่เป็นเพศทางเลือก ถ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก็ลองไปสมัครเป็นทหารหรือตำรวจดู ว่าเขาจะรับท่านหรือไม่ ? คือคิดแค่นี้ก็พอ..ไม่ต้องมาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องแรกนั้น แม้แต่ภิกษุณีก็ไม่ปรารถนาที่จะให้บวช ในสมัยนั้นบุคคลที่มีสายตาแคบสั้น ก็อาจจะตำหนิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปมาก แม้กระทั่งปัจจุบัน นักวิชาการส่วนหนึ่งก็กล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราริดรอนสิทธิสตรี..!

แต่พระองค์ท่านตรัสกับพระอานนท์ไว้ชัดเจนว่า ถ้าให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ศาสนาของพระองค์จะอยู่ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อสตรีเข้ามาก็เหมือนอย่างกับเพลี้ยลงไร่อ้อย ไร่อ้อยมีแต่จะฉิบหายไปในเวลาไม่นาน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2021 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-06-2021, 22:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนหน้านั้นก็คงมีคนจำนวนมากที่มองภาพนี้ไม่เห็น แต่ในปัจจุบันนี้ท่านทั้งหลายคงจะเห็นแล้วว่า การที่บวชเข้ามาของผู้หญิงแล้วอยู่ในอารามเดียวกันกับพระภิกษุสามเณร ถ้าไม่มีความเข้มงวดกวดขันจะเกิดอะไรขึ้น ?

เพราะว่าทุกวันนี้แม้แต่บุคคลที่อยู่นอกวัด เขายังลากเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำกันในวัด อย่างที่เป็นข่าวเป็นคราวกันอยู่ไม่ขาด เนื่องจากว่าการบวชของผู้หญิงนั้นดูแลยากมาก เพราะว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ บุคคลที่เป็นมิจฉาชีพหรือว่าเป็นอาชญากรไม่ให้ความเกรงใจ มักจะทำการเบียดเบียนจนต้องเดือดร้อนหรือถึงแก่ชีวิตอยู่เสมอ

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบัญญัติว่า ภิกษุณีอยู่ร่วมกับภิกษุไม่ได้ แต่ห้ามอยู่ต่างอารามกัน เพราะว่าถ้าอยู่ในวัดเดียวกัน อย่างน้อยมีพระภิกษุที่เป็นผู้ชายอยู่ พวกโจร พวกมิจฉาชีพก็ยังเกรงใจ แต่ถ้าแยกไปเป็นสำนักของตนเองต่างหาก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเรื่องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

แล้วท่านทั้งหลายที่เป็นเพศทางเลือก มั่นใจหรือไม่ว่าท่านบวชเข้ามาแล้ว จะสามารถปฏิบัติตามระเบียบวินัยของพระภิกษุสงฆ์ได้ ? อย่าบอกว่าทำได้เพราะอยากเอาชนะ แต่ให้ดูจากความเป็นจริง เพราะว่าทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่บอกว่าบวชพระแล้วสบาย แต่ไอ้คนพูดไม่ยอมบวช..! อาตมาอยากจะถามเหมือนกันว่า "ถ้าสบาย..ทำไมมึงไม่เข้ามาบวช..?!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2021 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-06-2021, 22:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเราปฏิบัติตามระเบียบตามวินัยจริง ๆ เท่ากับโดนบีบบังคับด้วยศีลจำนวนมหาศาล ไม่ใช่แค่ ๒๒๗ ข้อ ยังมีอภิสมาจาร คือศีลที่มานอกพระปาฏิโมกข์อีกเป็นจำนวนมาก สิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำได้ในสมัยฆราวาสก็ไม่สามารถที่จะทำได้

ถ้าเราดูหลวงพ่อพรหมวังโสซึ่งไปเทศน์สงเคราะห์นักโทษในคุกที่ออสเตรเลีย พอเล่ากิจวัตรประจำวัน และแนวทางการปฏิบัติของพระให้กับบรรดานักโทษได้ฟัง นักโทษเหล่านั้นกล่าวว่า "หลวงพ่อ..มาอยู่กับพวกผมเถอะ อย่าบวชเลย..ที่นี่สบายกว่าตั้งเยอะ..!"

สรุปว่าบรรดาคนที่อยู่ในคุกเห็นว่าการบวชพระลำบากกว่ามาก แล้วลองคิดดูว่า ถ้าหากว่าหน่วยงานไหนที่ตั้งหน้าตั้งตารับเอาเพศทางเลือกเข้ามา ยังสร้างความวุ่นวาย จนกระทั่งหลายหน่วยงานต้องกันออกไป อย่างเช่นว่าการคัดเลือกทหาร ก็เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในองค์กรของตน

ศาสนาพุทธของเราเป็นผู้นำทางจิตใจของชาวบ้าน พระภิกษุเป็นปูชนียบุคคลที่เขาเคารพบูชา ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่าบวชเข้ามาแล้ววี้ดว้ายกระตู้วู้อยู่ จะทำให้คนเขาเลื่อมใสหรือไม่ ? ถ้าหากว่าบุคคลไม่เลื่อมใส ศาสนาพุทธจะอยู่ได้หรือไม่ ? ให้ใช้สติและปัญญาตรองดูอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่เถียงกันเพื่อเอาชนะ แต่ว่าต้องพูดกันด้วยเหตุและผล ต้องดูกาละเทศะและภาวะว่าสังคมยอมรับได้หรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-06-2021 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-06-2021, 22:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในเรื่องของการบวชพระภิกษุณี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งใจจะไม่ให้มีอยู่แล้ว มีบางท่านเป็นนักวิชาการอ้างว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้บวช แต่ได้สังเกตดูหรือไม่ว่าการบวชนั้นลำบากแค่ไหน ?

ภิกษุณีต้องบวชในคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ก็คือบวชญัตติในฝ่ายภิกษุณี แล้วมาทำการญัตติในฝ่ายภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากว่าพระภิกษุสงฆ์พรรษา ๑๐ รู้พระธรรมวินัยครบถ้วน อาจเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทกุลบุตรได้ แต่ปวัตตินีคือพระอุปัชฌาย์ของภิกษุณี พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ที่ ๒๐ พรรษาขึ้นไป และให้บวชได้แค่ปีละ ๑ รูป แล้วต้องเว้นไป ๑ ปี ถึงจะบวชได้อีก ๑ รูป ก็แปลว่า ๓ ปี บวชได้แค่ ๒ รูป เห็นชัด ๆ อยู่ว่าเป็นวิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้มีภิกษุณีให้น้อยที่สุด และท้ายที่สุดก็คือไม่มี..!

โดยเฉพาะในประเทศของเราที่ภิกษุณีขาดสายลงไปแล้ว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่ถกเถียงว่าไม่ขาดสาย อาตมภาพเชื่อว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ องค์สังฆบิดรในสมัยนั้น ที่ทรงให้การวินิจฉัยไว้ ต้องพิจารณาอย่างดีแล้วว่า ภิกษุณีสงฆ์ในประเทศของเราขาดช่วงลงไป จนไม่มีปวัตตินีอีกแล้ว ถึงได้ห้ามการบวชภิกษุณีสงฆ์ขึ้นมา

ส่วนท่านทั้งหลายที่อ้างว่า ทางต่างประเทศยังไม่ขาดช่วงลง แล้วพยายามไปบวชเข้ามา หาทางกดดันให้รัฐบาลไทยยอมรับความเป็นภิกษุณีสงฆ์ของท่าน อาตมภาพอยากจะถามว่า "ตามกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าภิกษุณีของเขาไม่ขาดช่วงลง ?" แล้วถ้าหากว่าท่านมั่นใจ ก็ยังเป็นในส่วนที่สังคมของเรายังไม่ยอมรับ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายคิดจะเอาชนะคะคานกันทางโลก อาตมาจะไม่คุยด้วย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของทางธรรม การปฏิบัติธรรม จะเป็นพระสงฆ์ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา สามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้ทุกคน แล้วท่านจะตะเกียกตะกายบวชเข้ามาทำอะไร ? ถนนที่มีหลุมอยู่ ๕ หลุม หลบซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว สามารถเดินทางได้สะดวกง่ายดาย ทำไมท่านต้องไปเดินถนนที่มี ๓๑๑ หลุม เพื่อที่จะให้ตกลงไปด้วย เป็นความโง่หรือความฉลาด ? ขอให้ท่านตรองดู
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2021 เมื่อ 03:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 12-06-2021, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่ท่านกล่าวเอาไว้ว่า การบรรลุมรรคผลไม่ได้จำกัดที่เพศเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่าวัฒนธรรมองค์กร ขนบธรรมเนียบประเพณีของเราจำกัดไว้ ในเมื่อการบรรลุมรรคผลไม่ได้จำกัดที่เพศ ทำไมถึงต้องถือเพศภาวะภิกษุหรือภิกษุณีเท่านั้น ?

อาตมาถึงได้กล่าวว่า ถ้าหากว่าต้องการเอาชนะกันทางโลกจะไม่คุยด้วย แต่ถ้าคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ทุกท่านตรองดูก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่ว่าทิฐิมานะอาจจะท่วมหัว ยอมรับไม่ได้ ก็พยายามที่จะเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปเรื่อย

ทางวัดท่าขนุนของเราก็ไม่ได้ห้ามเพศที่ ๓ ว่าจะเข้ามาบวชไม่ได้ แต่มีข้อแม้ชัดเจนว่า บวชเข้ามาแล้วต้องเก็บอาการให้อยู่ เก็บอาการไม่อยู่วันไหน ถ้าไม่ยอมสึกก็ไล่ออก กฎเกณฑ์กติกานี้ เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะพอเข้าใจ เพราะว่าถ้าอยู่ไปแล้ว ท่านทำให้ส่วนรวมเสียหาย โดยเฉพาะทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย คนเห็นแล้วเสื่อมศรัทธา อย่างที่ทุกวันนี้มีเรื่องราวต่าง ๆ ลงอยู่ในสื่อโซเชียลจำนวนมากมายมหาศาล ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณรที่เป็นเพศที่ ๓ ไปก่อเรื่องและกระทำเอาไว้เสียส่วนใหญ่

ในเมื่ออยู่แล้ว ไม่สามารถทำให้บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใส เข้ามาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่สามารถทำให้บุคคลที่เลื่อมใสแล้ว เลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไป ท่านอยู่ต่อไปก็มีแต่จะกลายเป็นตัวถ่วง หรือสร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2021 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 12-06-2021, 22:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในฐานะที่บวชมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน อาตมภาพขอยืนยันว่า ไอ้คนไหนที่พูดว่าบวชแล้วสบาย ให้มาลองบวชดู โดยเฉพาะบวชที่วัดท่าขนุนนี้ แม้แต่คนท่าขนุนจะบวชลูก ยังแทบไม่มีใครเอาเข้ามาบวชเลย เพราะว่าทนไม่ได้กับการที่ต้องตื่นตี ๓ ครึ่ง ทนไม่ได้กับการที่ต้องสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ เวลา ทนไม่ได้กับการที่ต้องเจริญกรรมฐานและบิณฑบาตทุกวัน

และโดยเฉพาะทนงานวัดไม่ได้ มีบางท่านประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ "ผมต้องบวชที่วัดท่าขนุนเท่านั้น โดยเฉพาะต้องบวชกับพระอาจารย์เล็ก และจะบวชตลอดชีวิต" มาเป็นนาคอยู่ได้วันครึ่ง เผ่นกลับบ้านไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้เห็นหัวอีกเลย..!

ในเรื่องของการบรรพชาอุปสมบทเป็นของหนัก ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ เป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมี ตั้งใจทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลก จึงสามารถที่จะดำรงอยู่ในบวรพุทธศาสนาได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องที่ท่านทั้งหลายไปถกเถียงกัน ถ้าเอาความรู้ทางวิชาการ เพื่อให้เกิดแนวคิดในด้านใหม่ ๆ อาตมภาพเห็นด้วย แต่ถ้าเพื่อเรียกร้องสิทธิที่จะให้เข้ามาบวช ให้มาบวชที่วัดท่าขนุนนี่ แล้วก็รักษากฎเกณฑ์กติกาให้ได้ อาตมาอยากจะรู้ว่าท่านจะอยู่ได้กี่วัน ? ขอเจริญพร


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2021 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว