#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเมื่อกลับถึงวัด กระผม/อาตมภาพก็นำเอาเงินกฐินและเงินตักบาตรเทโวไปฝากธนาคาร โดยเฉพาะเงินกฐินนั้น ทางระเบียบคณะสงฆ์ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเท่าไรต้องนำฝากเข้าไปทั้งก้อน ซึ่งค่าใช้จ่ายในที่นี้อนุญาตให้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น อย่างเช่นว่าค่าอาหาร ค่าน้ำดื่มเลี้ยงคนที่มาร่วมงาน ค่าดอกไม้ประดับสถานที่ ค่าเครื่องเสียงเผื่อว่าต้องเช่าเขามา เงินถวายพระภิกษุสามเณร ส่วนอื่น ๆ ไม่อนุญาต ก็แปลว่าเงินกฐินนั้น เราจะหักค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือถ้าหากว่ามีหนี้ค่าก่อสร้าง ให้ฝากเงินเข้าไปก่อน แล้วทำเบิกออกมาให้เขาทีหลัง เพื่อจะได้มีหลักฐาน
พูดง่าย ๆ ว่าป้องกันการทุจริต เพราะว่ารุ่นเก่า ๆ สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นพระใหม่อยู่ เขาทำบัญชีโดยการหักค่าก่อสร้างจนเงินเหลือ ๐๐.๐๐ บาท แทบทุกบัญชี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นการหักอย่างแท้จริง หรือว่าหักเพื่อไม่ให้มีเงินเหลือ เรื่องนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเจ้าอาวาสเอง ว่ามีความละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตนเองเท่าไร เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นครูบาอาจารย์ นอกจากเน้นย้ำในเรื่องความเป็นพระของเรา ที่จะขาดได้ง่ายที่สุดจากเรื่องของเงิน เพราะว่ามีราคาแค่บาทเดียวเท่านั้น..! ขณะเดียวกัน ท่านยังสอนมโนมยิทธิให้ เพื่อไปพิสูจน์ดูว่าบรรดานักบวชที่ผิดศีลนั้น มีคติคือที่ไปหลังความตายอย่างไรบ้าง ทำเอากระผม/อาตมภาพไม่กล้าบวช..! เนื่องเพราะเห็นว่าบรรดานักบวชที่ทำผิดทำพลาด โดยเฉพาะในเรื่องของเงินสงฆ์ ลงไปอยู่ในนรกแต่ละขุมแน่นขนัด เหมือนเปิดกล่องไม้ขีดแล้วเห็นหัวไม้ขีดอย่างไรอย่างนั้น เมื่ออายุครบบวช โยมแม่ขอให้บวชก็ผลัดแล้วผลัดอีก เพราะเกรงว่าจะต้องลงไปแบบนั้น จนกระทั่งอายุ ๒๗ ปี ถึงได้รับปากบวชถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน แต่ขอบวชแค่ ๗ วันเท่านั้น แล้วก็อยู่มาจนบัดนี้..! คราวนี้ในส่วนของเงินที่นำไปฝากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินกฐิน หรือว่าเงินตักบาตรเทโว เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารนับแล้ว ล้วนแต่มีเงินเกินจากยอดทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของวัดท่าขนุนไปแล้ว..! ก่อนหน้านี้เวลาเจ้าหน้าที่ถามว่า "ใครเป็นคนนับเงิน ?" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพราะเป็นคนนับเองกับมือเสียส่วนใหญ่ แล้วบางทีนับไปก็เกินไปต่อหน้าต่อตานั่นแหละ..! เงินแต่ละปึกแต่ละมัด กระผม/อาตมภาพนับอย่างน้อย ๓ - ๔ เที่ยว ถ้า ๓ หรือว่า ๔ เที่ยวนั้นไม่เท่ากัน ก็ต้องนับต่อไปจนกว่าที่จะได้เท่ากัน เพราะฉะนั้น..โอกาสที่จะพลาดให้เงินเกินนั้นเป็นไปไม่ได้ บางครั้งก็นับไปดึงออกไป นับไปดึงออกไป ทั้ง ๆ ที่ครบร้อยเตรียมที่จะมัดแล้ว พอนับซ้ำก็เกินมาอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:30 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่ทำในพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ หรือว่าพระคาถาเงินล้านก็ตาม ถ้าทำขึ้นแล้วจะมีประสบการณ์อย่างนี้ทั้งสิ้น ครั้งที่เกินมากที่สุดก็คือเกินมา ๑ ล้านบาท เป็นการเกินชนิดที่ไม่มีใครรู้ว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน ?! ไอ้ตัวเล็กที่เป็นคนเอาเงินมาส่งก็ยังงง ๆ เพราะว่าเงินทั้งหมดที่มาส่ง ตรวจสอบแล้วกองอยู่ตรงหน้า แล้วเงิน ๑ ล้านบาทไม่ทราบเหมือนกันว่างอกมาจากตรงไหน แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เกินมาเท่าไรก็ยินดีรับไว้ทั้งสิ้น..!
อีกช่วงหนึ่งก็คือตอนที่หล่อพระทองคำทั้ง ๓ องค์ ส่วนของทองคำแท่งที่นับแล้วนับอีกว่าจำนวนนี้แน่นอนแล้ว ก็ยังมีเกินมามาก ๆ ที่นำมากล่าวเพื่อที่จะยืนยันให้กับพวกเราว่า ถ้าท่านทั้งหลายทำจริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคำว่า "ทำจริง" นี้ต้อง "ทำให้ถูกวิธี" ด้วย ญาติโยมจำนวนมากเร่งท่องให้จบ เพื่อให้ครบจำนวนที่ตั้งใจไว้ ถ้าทำลักษณะนั้นแสดงว่าสภาพจิตไม่มีคุณภาพ เนื่องเพราะว่าเรื่องของการใช้พระคาถาทุกบท สมาธิจิตมั่นคงเท่าไรก็เกิดผลมากเท่านั้น จึงไม่ใช่การเร่งภาวนาให้จบ แล้วปัจจุบันนี้ก็มีผู้ทำคลิปเกี่ยวกับพระคาถาเงินล้านจำนวนมาก ที่ไปพาดหัวคลิปว่า "แค่ฟังก็รวยแล้ว" ไอ้เจ้าพวกนั้นน่าจะโดน สคบ.ลงโทษเสียให้เข็ด โทษฐานโฆษณาเกินจริง..! ถ้าสมมติว่าเราไปฟัง คนอื่นบอกว่าทำมาหากินวิธีนี้แล้วจะรวยอย่างเดียว แล้วรวยได้ได้ตามนั้นก็น่าจะดี คุณไม่คิดที่จะลงทุนทำอะไรด้วยตัวเองเลยแล้วจะให้รวย เป็นไปได้อย่างไรวะ ? เนื่องเพราะว่าในส่วนของพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ ที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ได้มาจากท่านปู่ครูผึ้งที่นครศรีธรรมราชก็ดี มาภายหลังพัฒนาขึ้นเป็นพระคาถาเงินล้าน โดยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตาม พื้นฐานใหญ่ที่สุดก็คือ "ต้องมีทานเป็นปกติ" แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเองสมัยที่เป็นฆราวาส ซึ่งสมัยนั้นเงิน ๕ บาท ๑๐ บาท ยังมีราคาแพง ได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะทำบุญครั้งละ ๑๐๐ บาท เลียนแบบท่านปู่ครูผึ้งที่ใครไปขอความช่วยเหลือจากท่าน สมัยนั้นข้าวเปลือกเกวียนละ ๑ บาท ท่านมอบเงินให้คนที่ไปขอคนละ ๑๐๐ บาท..! ยุคของท่านกับยุคของกระผม/อาตมภาพห่างกันเนิ่นนานมาก เงิน ๑๐๐ บาทสมัยของท่าน น่าจะราคาเป็นล้านในสมัยนี้ ส่วนเงิน ๑๐๐ บาทของสมัยกระผม/อาตมภาพ ค่าเงินปัจจุบันก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ ๑๒๐ - ๑๓๐ บาทเท่านั้น แต่ก็ตั้งใจเอาไว้ว่า จะทำแบบนั้นเพื่อสร้างทานบารมี ซึ่งตัวทานบารมีนี้จะเป็นตัวเสริมโภคสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นชาติปัจจุบันหรือในอนาคต ถ้าเราไปเกิดใหม่ก็ตาม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:34 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ข้อที่สองก็คือกำลังสมาธิ ดังนั้น..ในเรื่องของพระคาถาจึงเป็นเรื่องที่เราต้องภาวนา ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้จบ ก็คือใช้ตัวคาถาเป็นคำภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก ว่าช้า ๆ แล้วตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย
สมัยที่กระผม/อาตมภาพตั้งหน้าตั้งตาทำนั้น เริ่มตั้งแต่ตี ๓ ไปเลิกตอน ๑ ทุ่มทุกวัน โดยที่หยุดฉันเพลประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วตอนนั้นก็ฉันมื้อเดียว ระยะเวลาขนาดนั้นได้เต็มที่ ก็คือภาวนาอย่างมีคุณภาพได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย มาตอนหลังจึงลดลงมาให้อยู่ในระดับที่ทำงานอื่นได้ด้วย ก็อยู่ที่ ๓๐๐ จบต่อวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ ปีต่อเนื่องกัน นับจนลูกประคำขาดไปนับครั้งไม่ถ้วน..! ประการต่อไปก็คือ "ความจริงจัง สม่ำเสมอ" นอกจากมีทานเป็นปกติ ทรงสมาธิเป็นปกติแล้ว คาถาทุกประเภทต้องการคนที่จริงจังและสม่ำเสมอ พูดง่าย ๆ ก็คือเคยทำเท่าไร ต้องทำอย่างน้อยเท่านั้นทุกวัน ไม่ใช่วันนี้ขี้เกียจก็ว่า ๓ จบ พรุ่งนี้ขยันก็ว่า ๙ จบ ขึ้น ๆ ลง ๆ หาความแน่นอนไม่ได้ โดยเฉพาะที่กระผม/อาตมภาพกำหนดไว้ว่าให้พวกเราภาวนาอย่างน้อยวันละ ๑๐๘ จบ อันดับแรกก็คือ ถ้าภาวนานาน โอกาสที่จิตจะทรงสมาธิสูงขึ้นมีมากกว่า ประการที่สองก็คือ เวลาในการภาวนามาก โอกาสที่เราจะไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่นก็มีน้อย และที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้ามีกำลังใจทำแบบนั้นทุกวัน ความจริงจังสม่ำเสมอต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้น..ในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำแล้วได้รับผลดีเป็นปกติ โดยเฉพาะช่วงไหนต้องการใช้เงินมากก็มามาก ช่วงไหนต้องการใช้เงินน้อยก็มาน้อย จนกระทั่งหลายท่านที่เหนื่อยแทน หรือว่าเกร็งแทนกระผม/อาตมภาพ ที่ว่าเฉพาะของพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนนั้น ยังค้างเขาอยู่ ๔๓ ล้านบาท..! แล้วตอนนี้มีรองรังอยู่ ๓ ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวล เนื่องเพราะว่าเรามีหน้าที่ทำ ทำแล้วผลจะเกิดหรือไม่เป็นเรื่องของมัน นี่คือเคล็ดลับข้อสุดท้าย ก็คือ "พระคาถาทุกบทต้องมีอุเบกขา" เรามีหน้าที่ทำ ทำแล้วก็แล้วกัน ผลดีจะเกิดหรือไม่เกิด จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง เราทำของเราไปเรื่อย ไม่ต้องไปตั้งความหวัง ไม่ต้องไปกังวล ถ้าหากว่าทำได้ครบทุกข้อแบบนี้ ขอยืนยันว่า "แค่ทำต่อเนื่องให้ได้ ๒ เดือน ผลจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน" สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:37 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|