กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-05-2021, 20:26
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,275
ได้รับอนุโมทนา 739,967 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-05-2021, 22:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อตอนฉันเช้าปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) มีคำถามว่า คนฮินดูกินมังสวิรัติเป็นปกติ ไม่ฆ่าสัตว์ ด้วยความที่เขาไม่มีศีล ๕ ตรงนี้ทำให้เขาได้อานิสงส์หรือไม่ ?

เรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจเป็น ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็คือ ศีลจะมีอานิสงส์ต่อเมื่อเรางดเว้นได้ หมายความว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่มาล่อใจให้เราละเมิดศีล แล้วศีลของเราไม่ขาด ตรงนี้ไม่ถือว่าได้อานิสงส์ แต่ถ้ามีสิ่งมาล่อใจ แล้วเราสามารถหักห้ามใจได้ ไม่ทำให้ศีลขาด อานิสงส์ของศีลจึงจะเกิดขึ้น

ตรงจุดนี้ฟังแล้วอาจจะงง ๆ อย่างเช่นว่า ถ้าเรานอนหลับอยู่ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดปดมดเท็จ ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย ไม่ถือว่าได้อานิสงส์ของศีล เพราะโอกาสที่จะล่วงละเมิดไม่มี เนื่องจากนอนหลับอยู่

ประการที่ ๒ ก็คือ ศาสนาพราหมณ์
ฮินดูมีศีล ๕ นะครับ มีมาก่อนศาสนาพุทธด้วย เกิดจากการบัญญัติของศาสดามหาวีระ หรือที่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า นิครนถนาฏบุตร บุคคลนี้ต้องบอกว่าเป็นอัจฉริยบุคคลท่านหนึ่ง ประวัติคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้ามาก เพราะว่าเกิดในวรรณะกษัตริย์ เห็นทุกข์แล้วก็ออกบวช เป็นนักบวชเหมือนกัน และที่แน่ ๆ มีมหาปุริสลักษณะด้วย..!

ดังนั้น...ในปัจจุบันนี้ถ้าเราไปประเทศอินเดียเห็นรูปเคารพเหมือนพระพุทธรูป ถ้าไม่สังเกตให้ดี ไปกราบไปไหว้ อาจจะได้ไหว้ศาสดามหาวีระแทน..! แล้วถ้าถามว่าต่างกันตรงไหนกับพระพุทธรูป ? รูปปั้นของศาสดามหาวีระจะมีอวัยวะเพศให้เห็นครับ เพราะว่าเป็นเจ้าของศาสนาเชน ที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า นักบวชแก้ผ้า ซึ่งปัจจุบันศาสนาเชนก็แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ก็คือฝ่ายที่ยังแก้ผ้าอยู่เหมือนเดิม เรียกว่า ทิฆัมพร ก็คือนุ่งลมห่มฟ้า ฝ่ายที่มีผ้านุ่งเรียกว่า เศวตัมพร คือ ผู้นุ่งผ้าขาว

เรื่องนี้จะกล่าวไปแล้วเหมือนกับการ "ลดเครดิต" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านที่ไม่กระจ่างตรงนี้อาจจะไม่พอใจ คิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ก็คือหลายสิ่งหลายอย่างในศาสนาพุทธของเรานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำจากศาสนาอื่นมาปรับให้เข้ากับพุทธศาสนา

อย่างเช่นว่าศีล ๕ ของศาสนาเชนนั้นเข้มงวดเคร่งครัดมาก นักบวชจะเดินทางต้องมีคนกวาดทางนำหน้าไป เพราะเกรงว่าจะมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยโดนเหยียบตาย แล้วล่วงละเมิดศีล ต้องมีผ้าปิดจมูก เหมือนอย่างกับเราใส่หน้ากากกันในปัจจุบันนี้ เพื่อป้องกันการหายใจเอาจุลชีวะเข้าไป แล้วทำให้จุลชีวะหลายประเภทต้องตายลง ก็คือคิดถึงแม้กระทั่งเชื้อโรค เป็นห่วงแม้กระทั่งเชื้อโรค..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-05-2021, 22:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศีล ๕ ของศาสนาเชนจึงเข้มงวดเกินไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาปรับปรุงกลายเป็นศีล ๕ ในพระพุทธศาสนา ก็คือของเราแค่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์โดยเจตนาก็เพียงพอแล้ว แม้กระทั่งวันพระและการจำพรรษาของพระภิกษุ พระพุทธเจ้าก็นำมาจากศาสนาเชน เพราะว่าศาสดามหาวีระมีการแสดงธรรมทุกวันขึ้น - แรม ๘ ค่ำ หรือว่าวันขึ้น - แรม ๑๕ ค่ำ และแรม ๑๔ ค่ำ..ถ้าเดือนขาด

ส่วนการจำพรรษานั้น เรามักจะได้รับคำสอนมาว่า เกิดจากพระสงฆ์เดินทางไปเหยียบย่ำข้าวกล้าในฤดูฝน ทำให้โดนชาวบ้านตำหนิติเตียน พระพุทธเจ้าจึงต้องให้พระจำพรรษา ซึ่งอาตมาเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า พระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ควาย..! จะได้ไปลุยทุ่งนาเหยียบข้าวกล้าของชาวบ้านเขา คนพูดไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด..!

เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ให้พระเดินทางในเวลาหน้าฝน นอกจากความยากลำบากในการเดินทางแล้ว ยังทำให้การทำมาหากินของชาวบ้านต้องลำบาก เนื่องจากว่าต้องทำไร่ไถนา แต่พอพระภิกษุสงฆ์ไปเยือนถึงเรือนชานบ้านช่อง ก็ต้องเสียเวลามาต้อนรับ ปูอาสนะ หาน้ำใช้น้ำฉันมาให้ หาภัตตาหารมาถวาย ถ้าหากว่าพูดในภาพรวมใหญ่จนเกินไป ก็คือทำให้เศรษฐกิจชะงักลง..! พระพุทธเจ้าจึงได้เลียนแบบศาสนาเชน ที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้สาวกเดินทางในช่วง ๓ เดือนในฤดูฝน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-11-2022 เมื่อ 01:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-05-2021, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้หลายท่านที่ "บ้าคลั่ง" ในเรื่องพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ ก็จะไปเข้าใจว่าสิ่งที่กระผมหรืออาตมภาพได้พูดนี้ เป็นการ "ลดเครดิต" พระพุทธศาสนา เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า อาตมาอยากจะถามว่ามีใครเกิดมาแล้วไม่มีครูบ้าง ? แม้แต่พระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ยังรำลึกถึงครูทั้งสอง ก็คืออาฬารดาบส กาลามโคตรและอุทกดาบส รามบุตร ว่าเป็นผู้สมควรแก่ธรรมที่จะต้องไปโปรด แต่เผอิญว่าทั้งสองท่านมรณะเสียแล้ว สองท่านนั้นคือบุคคลที่สอนพระพุทธเจ้าจนสำเร็จสมาบัติที่ ๗ และสมาบัติที่ ๘

เราจะเห็นว่าศาสนาพราหมณ์
ฮินดูนั้นไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะว่ามีมาก่อนศาสนาพุทธเป็นพันปี ในเมื่อสั่งสมองค์ความรู้มาขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อศึกษาวิชาการ ไม่ว่าอย่างไรก็หลุดจากเงาของศาสนาพราหมณ์ฮินดูไม่ได้ เพียงแต่ว่า พระองค์ท่านค้นพบเพชรยอดมงกุฎ คืออริยสัจ ๔ ที่ไม่มีใครสามารถรู้เห็นได้ จึงสามารถที่จะดึงเอาความศรัทธาของบรรดานักบวชศาสนาต่าง ๆ ให้เข้ามาหาศาสนาพุทธ จนสามารถตั้งศาสนาพุทธได้สำเร็จ

แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อมาปรับใช้แล้วมีประโยชน์ พระองค์ท่านก็ไม่ได้ทิ้งของเขา แต่มาปรับให้เข้ากับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ เป็นการแสดงธรรมในวันพระ เป็นการจำพรรษาของพระภิกษุ เป็นต้น เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าทรงสัพพัญญุตญาณ รู้ทั่ว รู้รอบ รู้จริงทุกอย่าง รู้ว่าบรรดานักวิชาการคลั่งศาสนาต่อไปจะต้องมีอย่างแน่นอน จึงได้กล่าวถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่างชัดเจนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยที่พระองค์ท่านไม่ได้ค้านว่าของใครดีหรือไม่ดี หลักธรรมของศาสนาใดดีหรือไม่ดี แต่พระองค์ท่านนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่าให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-05-2021, 22:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดานักบวชศาสนาอื่นในยุคนั้น เป็นผู้ที่มากด้วยสมาธิและปัญญาอยู่แล้ว เมื่อฟังดูก็รู้ว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนั้น ประกอบไปด้วยประโยชน์และแก่นสารขนาดไหน จึงได้น้อมใจปฏิบัติตาม และสำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถก่อตั้งพระพุทธศาสนาได้สำเร็จ ท่ามกลางศาสดาต่าง ๆ ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน แม้ในปัจจุบัน..พระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาหลักศาสนาหนึ่งของโลก

ในส่วนนี้ชาวฮินดูทั้งหลายที่ตั้งใจเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการกินเนื้อสัตว์ ตั้งใจรักษาศีลด้วยการกินมังสวิรัติ จึงได้รับอานิสงส์ของศีล ๕ โดยสมบูรณ์ เพราะมีเจตนางดเว้นอย่างแท้จริง และเป็นที่น่าสรรเสริญ เพราะว่างดเว้นอย่างเด็ดขาดมาก ผิดกับชาวพุทธของเราที่มีศีลอยู่ ก็ยังไม่ได้งดเว้นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่างเด็ดขาดแบบนั้น เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึง "ทางสายกลาง" ที่ไม่ตึงจนเกินไป และไม่หย่อนจนเกินไป ทำให้สามารถปฏิบัติได้ง่ายกว่า เข้าถึงมรรคผลได้สะดวกกว่า แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา จนกระทั่งเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างในปัจจุบันนี้

ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงได้เรียนถวายพระภิกษุสามเณร และบอกกล่าวให้ญาติโยม ทั้งที่อยู่ในสถานที่นี้และที่บ้านได้เข้าใจว่า ศาสนาพุทธบริสุทธิ์ไม่มี แต่เรามีสุดยอดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นเพชรยอดมงกุฎอยู่ ทำให้พระพุทธศาสนาของเราต่างจากของศาสนาอื่นทั่วไปตรงที่เรียนแล้วจบ ศาสนาอื่นเรียนแล้วยังเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ก็ขอบอกกล่าวเอาไว้แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว