กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 05-01-2022, 20:03
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,594
ได้ให้อนุโมทนา: 216,253
ได้รับอนุโมทนา 739,439 ครั้ง ใน 36,046 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-01-2022, 21:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เกือบทั้งวันก็หมดไปกับการทำรายงานส่ง เนื่องเพราะว่าสิ้นเดือนแต่ละครั้ง สารพัดรายงานจะต้องส่งให้ทางคณะสงฆ์ ยิ่งสิ้นปียิ่งมากเข้าไปใหญ่ ช่วงที่วิ่งไปวิ่งมาไม่มีเวลาที่จะทำ อาศัยวันนี้ที่มีงานช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็ยังได้ทำงานตรงนี้ แล้วที่โชคดีก็คือพรุ่งนี้งานยกเลิก เพราะว่ากลัวเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด ทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ วัน

ในเรื่องของการทำงาน ถ้าหากว่าเราทิ้งค้างคาเอาไว้ ที่โบราณเขาเรียกว่า ดินพอกหางหมู ก็จะทำให้ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นทีหลัง เพราะว่าเวลาเจองานมาก ๆ หลายคนก็ท้อไปเลย พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเอาไว้ว่า อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำงานต้องไม่คั่งค้าง จึงจะเป็นอุดมมงคล

คราวนี้ในเรื่องของการทำงานนั้น ต้องถือว่าเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น หลักสำคัญ ๆ เลยสำหรับพวกเราทั้งหลายก็คือ ทำอย่างไรจะรักษาใจตัวเองเอาไว้ให้ผ่องใสให้มากที่สุดได้ในแต่ละวัน ?

ในส่วนนี้ต้องบอกว่า พวกเราต้องหาเทคนิคเฉพาะของตนเอง เราจะทำวิธีไหนก็ได้ให้ใจยอมสงบ อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า ต่อให้หมดท่าขึ้นมา ต้องดำน้ำกลั้นลมหายใจก็เอา คือสภาพจิตของเราเหมือนอย่างกับลิง ถึงเวลาก็กระโดดโลดเต้นพล่านไปหมด แต่พอใกล้ตายจิตจะต้องรวมตัว เพราะว่าเป็นห่วงร่างกาย ดังนั้น...เวลาที่จิตรวมตัว กำลังก็จะมีมาก

โบราณให้เราใช้คาถา ก็มักจะมีอยู่จำนวนมากด้วยกันที่ให้พวกเรากลั้นใจภาวนา กลั้นใจว่าคาถา ๓ คาบ ๕ คาบ ๗ คาบ ๙ คาบ แล้วแต่ความ "โหด" มากน้อยของครูบาอาจารย์ ที่กระผม/อาตมภาพเจอ มากที่สุดคือ ๑๐๘ คาบในชั่วอึดลมหายใจหนึ่ง..! พวกท่านถ้าหากว่าสมาธิน้อยน่าจะทำไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าสมาธิสูงหน่อย เราสามารถที่จะทำได้ ด้วยเหตุ ๒ ประการ

ประการแรกก็คือ ลมหายใจละเอียด ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ ทำให้ช่วงลมหายใจของเรายาวมาก ถ้าถามว่ายาวขนาดไหน ? ก็ยาวขนาด
กระผม/อาตมภาพไปแช่พุน้ำร้อน ภาวนาพระคาถาเงินล้านได้ ๘ จบแล้วถึงโผล่ขึ้นมา หลวงพ่อสมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม) โวยเลย คิดว่าผมตายไปแล้ว บอกว่าถ้าไม่เห็นว่ายังขยับอยู่ มั่นใจได้เลยว่าจมน้ำตายไปแล้ว..!

จะลองดูก็ได้ เอาสักจบหนึ่งก่อน ปัจจุบันนี้ที่
กระผม/อาตมภาพเอาแค่ ๘ จบ เพราะว่าไม่มั่นใจในสภาพร่างกายตัวเอง เนื่องจากว่าความชราปรากฏมากแล้ว ถ้าหากว่าอยู่นานไป ร่างกายรับไม่ไหว อาจจะเป็นลมจมน้ำตายไปจริง ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2022 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-01-2022, 21:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้การที่โบราณาจารย์ให้เรากลั้นหายใจว่าคาถา อันดับแรกเลยก็คือ พอเรากลั้นหายใจก็คือใกล้ตาย สภาพจิตจะรวมตัวทำให้เกิดสมาธิสูงขึ้น คาถาก็จะมีผลมากขึ้น แต่ว่ามีข้อเสียก็คือ ถ้าหากว่าเราทำจนชิน แล้วจะมาภาวนาปกติทั่วไป เผลอเมื่อไรก็จะไปกลั้นหายใจอีก

ดังนั้น...ให้ใช้วิธีภาวนาตามปกติของเราจะดีที่สุด เพราะว่าเรื่องของการกลั้นหายใจภาวนานั้น ส่วนใหญ่ใช้ในเหตุฉุกเฉิน ประเภทอยู่ ๆ โดน "จิ๊กโก๋" รุมตีอะไรประมาณนั้น ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปก็เข้าสมาธิของเราไป ว่าคาถาไป เรื่องของคาถา ชอบใจบทไหนก็ทำไปเลย เอาให้เกิดผลจริง ๆ แล้วเราค่อยขยับไปใช้คาถาอื่น

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอน
กระผม/อาตมภาพมาก็ลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพโดนท่านหลอกอย่างชนิดที่ไม่รู้ตัวว่าโดน เพราะว่าท่านจะปรารภว่าคาถาบทนี้ดีอย่างนี้ ดีอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพก็รับมา ตั้งใจจะไปทำ ท่านก็จะสำทับไปว่า "ภาวนาอย่างน้อยให้ต่อเนื่องครึ่งชั่วโมงนะ ถ้ารักษาศีล ๕ ได้บริสุทธิ์ คาถาจะยิ่งเกิดผลเร็ว"

เมื่อทำได้แล้ววิ่งไปรายงาน ท่านก็ "เออ...ดี ๆ ลูก..เอาบทนี้ไป..บทนี้เป็นอย่างนี้ ๆ มีผลแบบนี้" กว่าจะรู้ตัว โดนท่านหลอกภาวนาและรักษาศีลจนชินแล้ว เมื่อดึงกลับมาปฏิบัติกรรมฐานตามหลักวิสุทธิมรรค ก็เลยกลายเป็นของง่าย เพราะว่ามีสมาธิเป็นปกติแล้ว

ในชีวิตมีคาถาบทเดียวที่ท่านไม่ให้ คือคาถาหัวใจปลาไหลเผือก ท่านเล่าว่าสมัยวัยรุ่นท่านเคยลองให้เด็กภาวนาคาถาหัวใจปลาไหลเผือก ผู้ใหญ่ ๗-๘ คน จับไม่อยู่ ท่านบอกว่ามันดิ้นแผล็บ ๆ ๆ หลุดไปได้เรื่อย ก็เลยกราบเรียนว่า "ผมขออนุญาตเรียนคาถานี้ครับ" ท่านบอกว่า "ไม่เอา..ลูกข้าถ้าต้องหนีเขามันขายหน้า เอาหัวใจหนุมานไปดีกว่า" สรุปก็คือของท่านนี่ห้ามหนี..บอกให้สู้อย่างเดียว..!

คราวนี้ถ้าพวกเราภาวนา สิ่งที่ปรากฏอยู่เสมอก็คือว่า ระหว่างภาวนาก็ยังฟุ้งซ่านได้ ถ้าใครมีอาการอย่างนี้ จงดีใจเถอะว่า พื้นฐานในอดีตชาติของเราในเรื่องการปฏิบัติธรรมมีมามาก เพราะว่าถ้าบุคคลที่ฟุ้งซ่านระหว่างภาวนาไปด้วย แปลว่าสามารถแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ แบบเดียวกับที่
กระผม/อาตมภาพทำให้ดูอยู่ทุกวัน ทำวัตรไปอ่านหนังสือไป ส่วนที่ยากที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่จะไม่ยินดี รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามเนื้อหาในหนังสือ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-01-2022 เมื่อ 15:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-01-2022, 21:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีแก้ไขง่ายที่สุดเลยก็คือ กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็คือสลัดเรื่องอื่นออกไปให้หมด ตอนนี้ขออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าเท่านั้น หลุดไปเมื่อไรก็ดึงกลับมาใหม่ หลุดไปเมื่อไรก็ดึงกลับมาใหม่ พอสภาพจิตเริ่มเคยชินก็จะยอมอยู่นิ่ง ไม่เผลอไปคิดเรื่องอื่นในระหว่างที่ภาวนาอีก

ครูบาอาจารย์หลายท่านบอกว่า ถ้าทรงฌานระดับสูง ๆ แล้วคิดไม่ได้ ต้องคลายออกมาที่อุปจารสมาธิ ถึงจะคิดพิจารณาได้ ตรงนี้
กระผม/อาตมภาพขอคัดค้านครับ ถ้ามีความคล่องตัวในการทรงฌานแล้ว จะระดับไหนก็คิดได้ ยิ่งการคิดในขณะที่ทรงฌานระดับสูงเท่าไร ความชัดเจน ความผ่องใสของจิตมีมาก ก็สามารถที่จะรู้แจ้งแทงตลอดได้ง่ายกว่า การลดลงมาที่อุปจารสมาธิ ถ้ากำลังฌานคุมไม่อยู่ก็จะฟุ้งซ่านได้ง่าย ยิ่งถ้าหากว่าเราเผลอคิด หลุดออกจากหลักธรรมเมื่อไร ก็จะกลายเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ทันที

แต่ว่าใหม่ ๆ ก็ต้องเอาแบบนี้ไปก่อน เพราะว่าหลายท่านทรงได้แค่ปฐมฌานหยาบ เผลอเมื่อไรก็หลับ จึงต้องคลายสมาธิออกมาเป็นอุปจารสมาธิ คืออารมณ์ปกติแล้วค่อยคิด แต่พวกเราก็มักจะมีจุดบอด ก็คือพิจารณาวิปัสสนาไม่ค่อยเป็นกัน มักจะถนัดแต่ในเรื่องของสมถะ เข้าสมาธินั่งเงียบ ๆ ดีกว่า

ตรงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ เพราะว่าสภาพจิตของเรา ถ้าต้องการความสงบ เราก็ปล่อยให้จิตสงบไป แค่ตามดูตามรู้เฉย ๆ แต่ถ้าต้องการจะคิดเมื่อไร ต้องระวังให้มาก รีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะฟุ้งซ่านทันที

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเราเข้าสมาธิอย่างเดียว จะมีโอกาสตัดกิเลสได้ไหม ? ตัดได้..เพราะว่าช่วงที่จิตทรงสมาธิอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ ถ้าสามารถทรงตัวได้นานพอ กิเลสก็ตายได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอันตราย เพราะถ้าเผลอหลุดจากสมาธิเมื่อไร ก็โดนกิเลสงัดหงายท้อง ในเรื่องของวิปัสสนาญาณก็เหมือนกัน ถ้าเราเอาแต่พิจารณาอย่างเดียวโดยที่กำลังสมาธิไม่พอ ก็ตัดอะไรไม่ได้สักที

เพราะว่าในเรื่องของสมถะ คือการภาวนา เหมือนอย่างกับคนเพาะกาย มีกำลังมาก วิปัสสนาภาวนาเหมือนอย่างกับอาวุธที่มีความคมมาก คนที่แข็งแรง มีอาวุธที่แหลมคม จะตัดจะฟันอะไรก็ง่าย ดังนั้น...ทั้งสองอย่างควรที่จะทำควบคู่กันไป ไม่เช่นนั้นแล้วในการภาวนาอย่างเดียว โอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนั้นยาก เพราะเราไม่รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลายาวนานเท่าไรจึงจะกดกิเลสให้ตายคามือไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2022 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-01-2022, 21:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนของวิปัสสนานั้น เราพิจารณาได้ แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่พอ ก็ตัดกิเลสไม่ได้ เหมือนกับคนมองเห็นเงาในน้ำ เอื้อมมือลงไปเมื่อไร เงานั้นก็แตกกระจายหมด ไม่สามารถที่จะหยิบจะจับขึ้นมาได้

การปฏิบัติในบ้านเราบางสาย เน้นเรื่องวิปัสสนาภาวนาอย่างเดียว ทำให้ตัวเองต้องไปทุกข์ยากลำบาก เพราะว่าถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง กินขึ้นมา วิปัสสนาก็รับมือไม่ไหว ดังนั้น...ถ้ามีโอกาส เราก็แอบเข้าสมถะของเรา อย่าทำตัวเป็นคนโง่ ให้ถอดเครื่องป้องกันทั้งหมดแล้วขึ้นไปต่อยกับแชมเปี้ยนโลกเฮฟวี่เวท ก็มีสิทธิ์ตายคาเวทีได้..! ต้องพกเครื่องป้องกันขึ้นไปให้เต็มที่ อาวุธมีเท่าไรขนไปให้หมด ถ้าลักษณะอย่างนั้น ถึงจะมีโอกาสชนะได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติมาตลอด แล้วหนักใจว่าเราไม่ได้พิจารณาวิปัสสนาญาณ เราจะมีโอกาสบรรลุมรรคผลไหม ? ขอยืนยันว่ามี แต่ถ้าเผลอเมื่อไร โดนกิเลสตีก็หงายท้องเอาง่าย ๆ

ฝ่ายที่พิจารณาวิปัสสนาญาณอย่างเดียว จะหวังให้กำลังเพียงพอในการตัดกิเลสก็ยาก ควรที่จะเข้าสมาธิภาวนาอย่างเป็นทางการบ้าง จะเป็นเช้า ๑ รอบ กลางวัน ๑ รอบ เย็น ๑ รอบ ในระหว่างวัน แล้วเราค่อยพิจารณาของเราก็ตามใจ

วันนี้ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-01-2022 เมื่อ 15:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว