กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-10-2022, 18:32
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,524
ได้ให้อนุโมทนา: 215,913
ได้รับอนุโมทนา 736,896 ครั้ง ใน 35,896 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-10-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพลงมารอคณะตั้งแต่ตี ๕ เพื่อที่จะเดินทางไปขึ้นบอลลูนกัน แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงตี ๕ ครึ่งตามนัดแล้ว ยังไม่เห็นรถยนต์ที่ทาง "มัคคุเทศก์นุ" บอกว่าจะมารับ ด้วยความที่สังหรณ์ใจ จึงเดินออกมาข้างนอกโรงแรม แล้วก็เห็นว่ารถยนต์นั้นมารออยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นรถสองแถว พลขับจึงไม่กล้าเข้าไปในโรงแรมอมารีวังเวียงที่ค่อนข้างจะหรูหรามาก

เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงต้องออกมาขึ้นรถยนต์ แล้วตรงไปยังสนามปล่อยบอลลูน อากาศค่อนข้างจะเย็น อยู่ที่ ๑๙ องศาเซลเซียส มีบอลลูนอยู่ ๓ ลูก คือขนาดใหญ่ สามารถขึ้นได้ได้ ๑๔ ถึง ๑๖ คน ขนาดกลางสามารถขึ้นได้ ๑๒ คน และขนาดเล็กสามารถขึ้นได้ ๖ คน

เมื่อพวกเราพร้อมแล้วก็ขึ้นบอลลูนขนาดกลางพร้อมกับบุคคลจากคณะอื่นด้วย เนื่องเพราะว่าคณะของเรานั้นมีผู้กล้าหาญอยู่แค่ ๗ คนเท่านั้น บอลลูนลมร้อนนั้นสามารถลอยขึ้นไปได้มั่นคงมาก ๆ โดยเฉพาะกับบุคคลที่ไม่มีอาการเมารถเมาเรือใด ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพแล้ว ก็เหมือนอย่างกับยืนอยู่บนพื้นดินนั่นเอง เขาบังคับให้บอลลูนลอยสูงลอยต่ำ เพื่อที่พวกเราจะได้ชมทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองวังเวียงได้อย่างทั่วถึง

ตอนแรก
อากาศด้านบนก็รู้สึกว่าจะเย็นมาก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่บังคับบอลลูนปล่อยแก๊ส เพื่อที่จะทำลมร้อนพยุงบอลลูนให้สูงขึ้น ก็เล่นเอาบางคนถึงขนาดเหงื่อตก โดยที่มีบอลลูนอีก ๒ ลูกของเจ้าเดียวกันลอยตามกันขึ้นมา ซึ่งเป็นขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พวกเราวนเวียนถ่ายรูปกันจนครบ ๓๐ นาทีก็ลงจอด โดยที่รถสองแถวมารับกลับไปยังโรงแรมอมารีวังเวียง

รับประทานอาหารเช้ากันแล้ว ก็ขึ้นไปเข้าห้องน้ำห้องท่า เสร็จเรียบร้อยค่อยลงมาคืนห้อง แล้วทางด้านมัคคุเทศก์คือ "ท้าวนุ" มารับพวกเราตอน ๘ โมงเศษ พาวิ่งตรงไปในสถานที่ซึ่งนึกไม่ถึง ก็คือมุดทางแคบ ๆ แล้วก็ลาดลงต่ำไปทุกที ตอนแรกก็สงสัยว่ามาทำอะไร ? ปรากฏว่ามาจอดอยู่ริมลำน้ำซอง ซึ่งเป็นแม่น้ำประจำเมืองวังเวียง ตรงจุดนี้มีเรือหางยาวจอดอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นโปรแกรมที่ทางเอ็นซีทัวร์แถมให้ เนื่องจากว่าเรามีเวลาเหลือในช่วงเช้าเยอะมาก

พวกเราทุกคนจึงได้นั่งเรือหางยาวลำละ ๒ คน ท่องลำน้ำซองชมทิวทัศน์ภูเขา ป่าไม้และสายน้ำ ไปเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตรแล้วย้อนกลับมา โดยที่กระผม/อาตมภาพนั้นคอยส่งสัญญาณบอกทางให้ผู้ขับขี่เรือหางยาว เลี่ยงจากสถานที่น้ำตื้นไปยังร่องน้ำลึก ได้ยินว่ามีเรือบางลำที่ดูร่องน้ำไม่เป็น ทำให้ถึงขนาดเกยหินใต้น้ำขึ้นไป ท้องเรือขูดเสียงดังจนกระทั่งอกสั่นขวัญแขวน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2022 เมื่อ 04:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-10-2022, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพวกเราย้อนกลับมาถึงที่เดิม แต่ขึ้นจากเรือคนละฝั่งแม่น้ำกันแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปยังถ้ำปูคำ ซึ่งเป็นปูป่าสีทอง น่าจะประมาณ "ปูทูลกระหม่อม" ของบ้านเรา ถ้ำนี้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นแหล่งศึกษาสัตวศาสตร์ของปูชนิดนี้ด้วย เมื่อข้ามลำห้วยที่มีสีฟ้าอ่อน ซึ่งทางฝรั่งเรียกว่า Blue Lagoon เข้าไป ในลำห้วยนั้นมีปลาอยู่เป็นจำนวนมาก มารอรับอาหารจากนักท่องเที่ยว แต่ว่าเป็นปลามังสวิรัติ..กินแต่ผักเท่านั้น..!

เมื่อพวกเราเดินเข้าไปถึงทางช่วงใน ซึ่งมีบุคคลตั้งร้านให้เช่าไฟฉายใช้ในการเข้าถ้ำอยู่ "มัคคุเทศก์นุ" บอกกับพวกเราว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะว่าพวกเราไปแค่ถ้ำใหญ่เท่านั้น แล้วก็ชี้ทางให้พวกเราเดินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งหนทางประเภทนี้ กระผม/อาตมภาพถนัดมาก จึงได้เดินทิ้งคนอื่นไปลิบ ๆ มานั่งรออยู่ที่บริเวณปากถ้ำ

แต่ส่วนที่อันตรายที่สุดก็คือว่า สองข้างทางนั้นมีแต่ "ต้นมอญทิ้งหาบ" หรือที่ทางนี้เรียกว่า "หานไก่" ซึ่งเป็นตำแยต้นชนิดหนึ่ง ถ้าโดนแล้วเกาก็จะลามไปทั่วตัวเหมือนกับเป็นลมพิษ เมื่อชี้ให้ "ท้าวนุ" ดู มัคคุเทศก์ของเราก็ยังตกใจ บอกว่าทำไมเขาถึงไม่เอาออก ? ปล่อยให้อยู่ในรัศมีที่นักท่องเที่ยวจะเอื้อมมือคว้าก้อนหินพยุงตัวขึ้นไปเสียด้วย กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร เพราะว่ามีขึ้นเป็นดง มากเกินกำลังที่จะถอนทิ้ง

รอจนกระทั่งทุกคนขึ้นมาครบ ยกเว้นคุณยายเล็ก หรือ คุณยายภัทริณ จันทรนิภาพงศ์ ที่อายุเกิน ๘๐ แล้ว รออยู่ข้างล่างคนเดียว พวกเราก็ตรงเข้าไปภายในถ้ำ ซึ่งมีทางให้เข้า ๒ ทาง ทางที่กระผม/อาตมภาพลงนั้นค่อนข้างลื่นและชันมาก ตลอดจนสูงมากอีกด้วย แม้ว่า "ท้าวนุ" จะบอกว่าให้ไปทางอ้อมที่สะดวกกว่านี้ แต่กระผม/อาตมภาพถนัดกับภูมิประเทศแบบนี้อยู่แล้ว จึงลงไปถึงข้างล่างก่อน กราบพระ สวดมนต์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะก็ยังมาไม่ถึง

เมื่อรอคณะมาถึงเรียบร้อย ทุกคนกราบพระ สวดมนต์กันแล้ว จึงได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน ณ ที่นี้ บางคนก็ใช้ Night Mode ก็คือการถ่ายรูปภาพกลางคืน เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่า รูปในถ้ำนี้จะไม่มืด หลังจากนั้นพวกเราก็เดินย้อนออกมาโดยที่ไม่ได้ไปดูปูคำ เพราะ "ท้าวนุ" บอกว่า ตั้งแต่นำนักท่องเที่ยวมายังถ้ำแห่งนี้ เคยเจอปูคำแค่ ๒ ครั้ง ๆ ละตัวเดียวเท่านั้น..!

กระผม/อาตมภาพซึ่งดูจากภาพถ่ายที่นักท่องเที่ยวถ่ายแล้วติดเอาไว้ทางด้านล่าง หน้าตาปูคำก็คล้าย ๆ กับปูทูลกระหม่อมของบ้านเรา จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เมื่อกลับลงมาถึงด้านล่างแล้ว ปรากฏว่าเจอสิ่งที่ถูกใจมากที่สุดในโลก ก็คือ "ห้องน้ำฟรี" ซึ่งโดยปกติแล้ว แหล่งท่องเที่ยวนั้นหาห้องน้ำฟรีได้ยากมาก แต่ว่าสถานที่นี้มี ซ้ำยังสะอาดมาก ๆ อีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2022 เมื่อ 04:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-10-2022, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ท้าวนุ" มาปรึกษาว่า คณะของเราทำอะไรรวดเร็ว จึงมีเวลาเหลืออยู่มาก จะพาไปยังแหล่ง Blue Lagoon อีกแห่งหนึ่ง เพื่อที่หลวงพ่อจะได้ชมสถานที่เพิ่มเติม แต่กระผม/อาตมภาพตัดสินว่า ให้ตรงไปยังร้านอาหารกลางวันเลย พวกเราไม่มีเวลาเหลืออยู่ในที่นี่อีกแล้ว เนื่องจากว่าต้องผ่อนแรงคณะของ "เจ้าลุง" ที่คอยตามดูแลพวกเรา ซึ่งกำลังพยายามยับยั้งสภาพอากาศสุดชีวิต เนื่องจาก "พายุไต้ฝุ่นเนสาท" กำลังเข้ามา..!

พวกเราจึงได้เดินทางไปยังร้านอาหาร ซึ่ง "ท้าวนุ" ได้โทรแจ้งกับทางร้านว่า พวกเราจะเข้าไปก่อนเวลา เมื่อไปนั่งกดดันกันอยู่ รอจน ๑๑ โมงพอดี ข้าวปลาอาหารถึงเสร็จ พวกเรากินกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องน้ำ ที่ทางด้านนอกมีป้ายเขียนบอกเอาไว้ชัดเจนว่า "ห้องน้ำ" แต่ด้านในมีป้ายภาษาลาวเขียนเอาไว้ว่า "ห้องสะบายก้น" ซึ่งก็น่าจะเป็นความจริงตามนั้น

หลังจากนั้นแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางออกจากเมืองวังเวียง มาขึ้นทางด่วนสายวังเวียง - เวียงจันทน์ ซึ่งเป็นทางด่วนจีนลาวสัมพันธ์ ได้สร้างเอาไว้เพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างเมืองจีนและประเทศลาว ถ้าเราวิ่งตามเส้นทางปกติ จากวังเวียงถึงเวียงจันทน์จะใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง แต่วิ่งบนทางด่วนนี้ เหลือแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เมื่อมาถึงปลายทางแล้ว ต้องจ่ายค่าผ่านทางเป็นเงิน ๑๖๖,๐๐๐ กีบ คิดเป็นเงินไทยก็ ๓๕๐ กว่าบาท ถึงแม้ว่าจะแพงแต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะว่าประหยัดเวลาไปได้มาก

พวกเราตรงเข้าไปในตัวเมืองเวียงจันทน์ ไปยังวัดสีเมือง (ศรีเมือง) เป็นวัดที่มีเสาหลักเมืองโบราณของนครหลวงเวียงจันทน์แห่งนี้ ซึ่งตั้งมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และมีการนำเอาผู้ที่มีนามมงคล ก็คือนางศรีเมือง มาใส่หลุมเสาหลักเมือง ทำเป็นอารักษ์ประจำเมืองอีกด้วย..! เรื่องพวกนี้เป็นความเชื่อโบร่ำโบราณ ที่คนสมัยนี้อาจจะเห็นว่าค่อนข้างจะโหดร้าย หลังจากที่พวกเรากราบพระกันเรียบร้อยแล้ว ยังได้ร่วมทำบุญกฐินสามัคคีกับทางวัดศรีเมืองอีกด้วย

เมื่อจะเดินทางต่อ ปรากฏว่านางสาวจันทร์สุดา ซึ่งทุกคนเรียกว่า "FC วัดท่าขนุน" ได้มาดักรออยู่ที่นี่ ความจริงคณะญาติโยมจากประเทศลาว ซึ่งติดตามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนมีอยู่มาก และพยายามที่จะติดต่อเพื่อขอพบ แต่กระผม/อาตมภาพไม่อนุญาต เพราะว่าการเดินทางของเรานั้นกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ต้องเป็นไปตามสภาพตรงหน้า ถ้านัดแนะบุคคลเอาไว้ พวกเราก็ต้องเร่งรัดตัวเอง ทำให้ลำบากเสียเปล่า ๆ ใครที่มีบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กันมา ก็จะมาดักรอจนเจอแบบนางสาวจันทร์สุดานี่เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2022 เมื่อ 04:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 21-10-2022, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นพวกเราก็วิ่งไปยังจุดมุ่งหมายสำคัญของการมาประเทศลาวครั้งนี้ ก็คือพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ หรือที่ชาวลาวเรียกง่าย ๆ ว่า "ธาตุหลวง" หรือ พระธาตุโลกจุฬามณี เมื่อไปถึงที่นั่น ยังไม่ทันที่จะขยับไปไหน ปรากฏว่าบรรดา FC วัดท่าขนุน ที่มีนางน้อยและนางมานิดานำมาที่นี่อีกกลุ่มใหญ่ บอกว่า "มาท่าอาจารย์ตั้งแต่เช้าแล้ว" คำว่า "มาท่า" ก็คือ "มารอ" นั่นเอง

เมื่อได้รับการถวายสังฆทานจากคณะญาติโยมทางเวียงจันทน์นี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้ผาติกรรมปราสาทผึ้ง ตลอดจนกระทั่งบายศรี ซึ่งคิดแล้วเป็นเงิน ๕๐๐ บาทไทย ถวายบูชาพระธาตุหลวงเวียงจันท์ สวดมนต์ ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลเสร็จเรียบร้อย ก็ลงมานำญาติโยมทั้งชาวไทยและชาวลาว เดินประทักษิณบูชาพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งด้านข้างวิหารคดนั้น มีพระพุทธรูปเก่าแก่งดงามอยู่เป็นจำนวนมาก

ต้องขอชมเชยว่าชาวลาวนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรมดีมาก ไม่เช่นนั้นแล้วพระพุทธรูปองค์ไม่ได้ใหญ่เกินกำลังแบบนั้น ถ้าตั้งอยู่ในเมืองไทย น่าจะอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง..! เพราะว่าเป็นของเก่าแก่ ซ้ำยังแท้แน่นอนอีกด้วย..!

แล้วสิ่งหนึ่งที่คิดไม่ถึงก็คือมาเจอพระบรมรูปของ "จอมคนแห่งกัมโพช" ที่อาตมภาพตั้งฉายาให้ หรือว่าสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้ยิ่งใหญ่ทางพระพุทธศาสนาของอาณาจักรขอม ซึ่งรูปสลักหินอันงดงามสมบูรณ์ที่สุดของพระองค์ท่าน กลับมาอยู่ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์นี่เอง

หลังจากที่ได้ถ่ายรูปหมู่กับบรรดาญาติโยมชาวเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กลับออกมาด้านนอก ปรากฏว่ามีญาติโยมมารออยู่ทางด้านนี้อีก เมื่อรับการทำบุญและถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย พวกเราจึงรีบเผ่นขึ้นรถโดยด่วนจี๋ เพราะว่าถ้าขืนอยู่ก็คงจะมีการโทรศัพท์บอกต่อกันและมามากขึ้นไปเรื่อย ๆ โปรแกรมการที่จะไปร้านสินค้าปลอดภาษีหรือร้านขายเครื่องเงินจึงต้องตัดทิ้งไปโดยปริยาย

พวกเราวิ่งมาประทับตราออกจากประเทศลาวที่บริเวณด่านออกจากนครเวียงจันทน์ แล้วก็ไปทำเรื่องเพื่อที่จะเข้าสู่ประเทศไทย "ท้าวนุ" กราบขอขมาพระและลากันแค่นี้ ช่วงนี้กระผม/อาตมภาพยังกังวลอยู่เหมือนกันว่า อาการบาดเจ็บจากการล้มนั้น น่าจะมีการกระทบกระเทือนถึงประสาท หรือมีเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เพราะว่าทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างหนึ่ง อาจจะทำให้ไม่สามารถออกจากประเทศลาวได้ เพราะว่าหน้าตาแปลกไปจากเดิม แต่ปรากฏว่า "น้องหนู" เจ้าหน้าที่ชาวลาว อะลุ้มอล่วยให้ออกมาได้

พวกเราวิ่งออกจากทางด้านนครหลวงเวียงจันทน์เข้ามาสู่ประเทศไทย คณะของ "เจ้าลุง" มาส่งถึงตรงเขตแดนนี้ก็ถอนกำลังกลับ อากาศดูมืดฟ้ามัวฝนไปทันตา ทั้งที่เพิ่งจะสี่โมงเย็น แต่ดูเหมือนจวนจะหกโมงเย็นแล้ว ต้องเจริญพรขอบคุณ "เจ้าลุง" และคณะเป็นอย่างยิ่ง ที่เมตตาต่อพวกเรามากมายแบบนี้ ขอให้ทุกท่านมีภพภูมิที่เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด คณะของเราข้ามเข้ามายังหนองคาย วิ่งตรงไปยังอุดรธานี จนกระทั่งมาเช็คอินที่สนามบินนานาชาติอุดรธานี

ตอนนี้กระผม/อาตมภาพมานั่งอยู่บริเวณที่พักพระสงฆ์ เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง จึงฉวยโอกาสนี้ในการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้พวกเราได้ฟังในวันนี้แต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2022 เมื่อ 04:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว