กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-07-2022, 17:00
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,086 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-07-2022, 22:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพต้องขอออกจากวัดโดยสัตตาหากรณียะ ซึ่งสัตตาหากรณียะนี้ มีไว้ให้สำหรับพระภิกษุที่มีความจำเป็น จะต้องออกจากวัดในช่วงเข้าพรรษา สามารถที่จะไปได้ แต่ไปได้นานที่สุดไม่เกิน ๗ วัน

โดยที่สิ่งที่ให้ไปได้นั้นก็ประกอบไปด้วย
๑) พ่อป่วย
๒) แม่ป่วย
๓) พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย
ไปเพื่อช่วยดูแลรักษาพยาบาลได้
๔) เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก สามารถที่จะไปเพื่อห้ามปรามได้
๕) วัดพัง ไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมสร้างวัด สามารถที่จะไปได้
๖) ได้รับกิจนิมนต์ ไปเจริญศรัทธา สามารถที่จะไปได้

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เมื่อมาถึงยุคนี้สมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าเป็นในเรื่องของวัดพัง แค่เรายกหูโทรศัพท์หน่อยเดียว ก็สามารถโทรสั่งวัสดุอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้างได้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องลาไปโดยสัตตาหากรณียะ

ในส่วนของเพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านวินิจฉัยไว้ว่า "ถ้าอยากจะสึกก็ปล่อยให้เขาสึกไป"

เหตุที่ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ไปเพื่อห้ามปรามพระรูปนั้นไม่ให้สึก ก็เพราะว่าถ้าท่านอยู่ต่อไปแล้วจะสำเร็จอรหัตผล เมื่อเพื่อนสหธรรมิกไปห้ามปรามแล้วท่านไม่สึก สามารถปฏิบัติธรรมต่อแล้วก็บรรลุมรรคผลได้จริง ๆ แต่สำหรับยุคนี้สมัยนี้ จะหวังในเรื่องของการบรรลุมรรคผลก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้น...จึงไม่สมควรที่จะใช้สิทธิ์ในการลาเพื่อไปห้ามเพื่อนสหธรรมิกต่างวัดไม่ให้สึก

อีกประการหนึ่งก็คือ การไปเพื่อเจริญศรัทธานั้น ต้องได้รับกิจนิมนต์จากทางเจ้าภาพจริง ๆ ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังบวชอยู่ที่วัดท่าซุง มีรุ่นน้องใช้วิธีเขียนจดหมายไปบอกทางบ้านให้นิมนต์ เพื่อที่จะได้ขออนุญาตลาไปโดยสัตตาหกรณียะ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านทราบเข้า ก็ทำการตำหนิในท่ามกลางสงฆ์เลย ว่าลักษณะอย่างนั้นไม่ใช่นิมนต์ด้วยศรัทธา ถ้าหากว่าไปถือว่าขาดพรรษา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-07-2022, 22:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนอื่น ๆ นั้น ต้องพิจารณาดูโดยหลักมหาปเทส ๔ อย่างเช่นว่า พระภิกษุสามเณรป่วยไข้ อาการหนัก ต้องอยู่โรงพยาบาลข้ามวันข้ามคืน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถลาไปโดยสัตตาหกรณียะ การพิจารณาก็คือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าเมื่อพิจารณาแล้วว่าสมควร เนื่องจากว่าถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงแก่มรณภาพ เสียชีวิตได้ ดังนั้น..จึงอนุญาตให้ไปเพื่อรักษาตัวได้

หรืออย่างที่วัดท่าขนุน มีพระภิกษุสามเณรศึกษาในส่วนของประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ตรงนี้ถ้าหากว่าพิจารณาแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าการศึกษานั้นก็เพื่อให้เราได้มีความรู้ที่ชัดเจน เป็นระบบ ช่วยส่งเสริมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น..จึงควรที่จะอนุญาตให้ไปได้ เป็นต้น

เมื่อกระผม/อาตมภาพออกจากวัดมา สถานที่แรกที่ไปก็คือวัดหัวรัง ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ไปร่วมถวายมุทิตาในงานฉลองตราตั้งเจ้าอาวาส และฉลองตราตั้งตราตั้งฐานานุกรมที่พระครูปลัด ของพระครูปลัดสุพรรณ สุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดหัวรัง ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ เรียนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์

เมื่อร่วมงาน ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางต่อมายังวัดห้วยเจริญ ตำบลวังน้ำซับ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเข้าร่วมงานปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโน เจ้าอาวาสวัดห้วยเจริญ เลขานุการเจ้าคณะตำบลวังน้ำซับ ซึ่งท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งรุ่นเดียวกัน คือแต่งตั้งให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะท่านพระครูสมุห์สุทัศน์นั้น มีความเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมาก ถึงขนาดสร้างหุ่นขึ้ผึ้งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเอาไว้ในโบสถ์ เพื่อกราบไหว้บูชา

เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้าที่ภาวนา ก็เห็นหลวงปู่เนียม วัดน้อย ครูบาอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา และหลวงปู่สังวาลย์ วัดเขาสารพัดดี ตลอดจนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แห่กันมาให้การสงเคราะห์ จึงได้มั่นใจว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ ท่านเจ้าอาวาสน่าจะกระทำได้ถูกต้องตามแบบของสายกรรมฐานวัดท่าซุง โดยเฉพาะก่อนที่
กระผม/อาตมภาพจะเดินเข้าโบสถ์ เห็นมีการตั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่เต็มชุดอยู่แล้ว และท่านแจ้งว่า ได้บวงสรวงไปตั้งแต่ตอนช่วงเช้า ๙ โมง ๙ นาทีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-07-2022, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกระผม/อาตมภาพทำการปลุกเสกจนครบตามที่พระท่านสั่ง ก็คือ ให้ภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐ จบ พระคาถาชินบัญชร ๓ จบ และพระคาถาเงินล้านสูตรพิเศษ ๓ จบ เมื่อลืมตาขึ้นมา ทำน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อย ท่านพระครูสมุห์สุทัศน์บอกว่า "เมื่อหลวงพ่อหลับตาเริ่มทำพิธี ก็มีฝนปรอยลงมาตลอดเวลา พอหลวงพ่อลืมตาขึ้นทำน้ำมนต์ ฝนก็หยุดตกและแดดออกทันที เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากครับ"

กระผม/อาตมภาพก็บอกไปว่า "เรื่องเหล่านี้แล้วแต่ครูบาอาจารย์ท่านจะสงเคราะห์ แสดงว่าคุณนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมควรแก่การสงเคราะห์ได้ ขอให้ตั้งใจรักษาการปฏิบัติของเราในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อที่ครูบาอาจารย์ท่านจะได้สงเคราะห์ต่อไปในกาลข้างหน้า"

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่ากลัว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การที่พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี พรหม เทวดา นางฟ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านให้การสงเคราะห์ต่าง ๆ นั้น ถ้าหากว่าเราเผลอสติเมื่อไร เราก็จะไปคิดว่าตัวเราเก่ง ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ครั้งต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้การสงเคราะห์ เราไม่สามารถที่จะทำได้เหมือนเดิม บางท่านก็จะออกอาการในลักษณะเริ่มหลอกลวงชาวบ้านเขา ซึ่งที่กระผม/อาตมภาพเจอมาบางท่านนั้น ต้องบอกว่าเป็นการหลอกลวงของมารที่น่ากลัวมาก ๆ

เพราะว่าพระเดชพระคุณท่านผู้ที่โดนหลอกลวงนี้ เป็นพระภิกษุอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านพระครูปลัดสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโตให้ความเคารพนับถือมาตั้งแต่ก่อนจะบวช ซึ่งท่านพระครูปลัดสมปอง หรือมาภายหลังก็คือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ฐานานุกรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิทธิเวที หรือหลวงพ่อถมยา ที่กระผม/อาตมภาพเรียกด้วยความเคารพนั้น

เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว ก็ปรากฏว่าได้รับคำแนะนำบางอย่างที่ท่านนำมาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ ผมว่าหลวงพ่อของผมน่าจะเพี้ยนแล้ว" เมื่อกระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าออกนอกลู่นอกทางจริง ๆ

แต่ด้วยความที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้น ในตอนแรกท่านได้ปวารณาเอาไว้กับกระผม/อาตมภาพ โดยบอกว่า "พระน้อง..ถ้าหากว่าพี่มีอะไรที่ควรจะได้รับการบอกกล่าวตักเตือน เพื่อให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างแท้จริง พี่ขอปวารณาไว้ ให้พระน้องตักเตือนได้ทุกเวลา" กระผม/อาตมภาพจึงใช้สิทธิ์ในการตักเตือนท่านไป โดยบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นของจริงควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ที่ท่านทำอย่างนี้นั้น จุดที่ผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหน

นี่คือสิ่งที่กิเลสให้เรามา โดยเฉพาะในส่วนของอภิญญาสมาบัติ ท่านไม่ได้ฝึกฝนมาด้วยตัวเอง แต่ว่าผลทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากกิเลสมารมอบให้ ถ้าเขาถอนกำลังกลับไปเมื่อไร กำลังส่วนนี้ของท่านจะหายไปทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-07-2022, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านอาจารย์รูปนั้นได้ฟังแล้ว ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมาในแนวทางวิสุทธิมรรค ปรากฏว่าอภิญญาสมาบัติต่าง ๆ ที่ท่านได้รับนั้นสูญหายไปหมด เนื่องจากว่าเมื่อมารเห็นว่าท่านตั้งใจเดินในทางที่ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะหลอกลวงได้อีก จึงถอนกำลังที่ท่านเคยทำโน่นทำนี่เป็นที่อัศจรรย์กลับไปจนหมด

กระผม/อาตมภาพคิดว่าหมดปัญหาไปแล้ว..แต่ก็ไม่ใช่ เพราะว่าหลังจากนั้นไม่นาน พระเดชพระคุณท่านอาจารย์รูปนี้ก็กลับไปเหมือนเดิม แต่คราวนี้ท่านไม่อนุญาตให้
กระผม/อาตมภาพตักเตือนท่านอีกแล้ว

กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูว่า ท่านเองรับไม่ได้ที่ความสามารถพิเศษต่าง ๆ หายไปหมด ต้องการจะใช้ความสามารถพิเศษเหล่านั้นต่อไป จึงยอมกลับไปปฏิบัติผิด ปฏิบัติพลาดเหมือนเดิม จนกระทั่งท้ายสุดก็อาการหนัก ถึงขนาดเข้าทรงพระพุทธเจ้า แล้วท้ายที่สุดก็เข้าทรงสมเด็จองค์ปฐม..!

ครั้งล่าสุดที่ได้ยินก็คือ ถึงขนาดบวชลูกศิษย์ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา นับว่าเป็นเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางจนน่ากลัวมาก แต่ว่าต้องขาดการติดต่อไป เพราะว่าท่านไม่อนุญาตให้ตักเตือน และถึงตักเตือนไป ท่านก็คงจะไม่ฟังอีกแล้ว เป็นต้น

ดังนั้น...ในส่วนของพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโนนั้น ตอนนี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครูบาอาจารย์มาให้การสงเคราะห์ แต่ด้วยความที่ท่านอายุน้อยมาก ตอนนี้เพิ่งจะอายุ ๓๔ พรรษา ๑๔ แล้วหน้าที่การงานของท่านก็มากขึ้น

โดยเฉพาะตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบลนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่แบกงานทั้งตำบลเอาไว้แทนตัวเจ้าคณะตำบล อาจจะทำให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติรักษากำลังใจน้อยลง ถ้าหากว่าท่านพลาด อาจจะออกนอกลู่นอกทางได้ จึงได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แต่ว่ายังดีใจที่ว่า ท่านขออนุญาตแอดฯ ไลน์เอาไว้ โดยบอกว่า "ถ้ามีอะไร กระผมจะเรียนสอบถามจากหลวงพ่อเป็นระยะไป" เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยังอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

ดังนั้น...เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ อย่าคิดว่าตัวเราดีเป็นอันขาด โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้ตักเตือนเอาไว้ว่า "ตราบใดที่ยังไม่ตายเข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นเรื่องดีที่แท้จริงสำหรับเรายังไม่มี" ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านได้ตักเตือนเอาไว้อย่างนี้ กระผม/อาตมภาพก็เทิดคำเตือนนี้ไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า และพยายามที่จะปฏิบัติตามตลอดมา

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว