กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-06-2022, 19:36
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,275
ได้รับอนุโมทนา 739,967 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-06-2022, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๗ หรือที่ในตำราเรียกว่า วันเสาร์ ๕ โดยปกติแล้ว วันเสาร์ ๕ ตามสายครูบาอาจารย์ที่ศึกษามา ก็จะใช้เป็นวันไหว้ครู แต่ด้วยความที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังแพร่ระบาดค่อนข้างรุนแรงอยู่ กระผม/อาตมภาพจึงจัดไหว้ครูไปตั้งแต่วันวิสาขบูชาที่ผ่านมาแล้ว ส่วนวันเวลาที่เหมาะสมแต่ไม่ได้ใช้งานอะไร กลายเป็นเสียเปล่าไปเฉย ๆ

หลายท่านอาจจะคิดว่าฤกษ์ยามเป็นสิ่งสำคัญด้วยหรือ ? ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจมากน้อยเท่าไร บุคคลที่กำลังใจสูง ฤกษ์ยามก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าบุคคลที่กำลังใจยังต่ำอยู่ ฤกษ์ยามยังเป็นของจำเป็นอยู่ เปรียบเสมือนกับการข้ามถนน คนเก่ง ๆ สามารถข้ามถนนทั้ง ๆ ที่รถวิ่งให้ขวักไขว่ไปหมดโดยปลอดภัยได้ แต่ก็เป็นการประมาท พลาดเมื่อไรก็สวัสดี..!

ดังนั้น...เพื่อความไม่ประมาท ถ้าไม่ยากลำบากในชีวิตมากเกินไปนัก ก็ดูฤกษ์ดูยามเอาไว้นิดหนึ่ง แต่ถ้าคิดว่ากำลังใจของเราเหลือล้นแล้ว ฤกษ์ยามอะไรไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่การปฏิบัติของพวกเราเอง

แบบเดียวกับวัตถุมงคล เจตนา
ที่ครูบาอาจารย์สร้างขึ้นมาในครั้งแรกเลยนั้น เป็นการสร้างเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อบรรจุกรุ แต่พอภายหลังกรุแตกออกมา มีคนนำไปใช้งานแล้วปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ ก็เลยเกิดค่านิยมในการสร้างขึ้นมา

คราวนี้ก็มีบางท่านที่ให้ข้อคิดความเห็นเอาไว้ โดยที่ไม่ได้มองหลักความจริงว่า "สิ่งนี้เป็นไสยศาสตร์บ้าง ทำให้ยึดติดบ้าง พุทธศาสตร์ที่แท้จริงต้องปล่อยวางทุกอย่าง ไม่ยึดเกาะอะไร" ถ้าเป็นสมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ต้องบอกว่า "พูดอีกก็ถูกอิฐ" ก็คือจะโดนก้อนอิฐขว้างกบาลเอา..! เพราะว่ากำลังใจของคนนั้นไม่เท่ากัน

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังแบ่งบุคคลออกเป็น ๔ เหล่า แบ่งบัวออกเป็น ๓ ประเภท แต่คนเรามักจะจับมายำรวมกัน กลายเป็นบัว ๔ เหล่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-06-2022, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคล ๔ เหล่านั้นก็คือ อุคฆฏิตัญญู เป็นผู้มีปัญญามาก ฟังเพียงข้อหัวธรรมก็บรรลุมรรคผลได้ อย่างที่พระอัสสชิกล่าวว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสถึงเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น" อุปติสสมาณพซึ่งภายหลังคือพระสารีบุตร ก็บรรลุความเป็นพระโสดาบันเลย

ประเภทที่ ๒ คือ วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่มีปัญญาลดลงมานิดหนึ่ง ต้องได้รับการขยายความอธิบายจึงเข้าใจ แล้วเข้าถึงมรรคถึงผลช้ากว่าประเภทแรกอยู่เล็กน้อย

ประเภทที่ ๓ คือ เนยยะ เป็นบุคคลอันพึงสั่งสอนได้ แต่ครูบาอาจารย์ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันอยู่ทุกวัน เพราะถ้าไม่ตอกย้ำหัวตะปูไว้ก็อาจจะลืม

ประเภทสุดท้ายคือ ปทปรมะ เป็นบุคคลที่ฉลาดเกินไปจนไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว ไม่รับอะไรทั้งสิ้น ต่อให้หลักธรรมมีคุณค่าแค่ไหน ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนเหล่านี้

ส่วนดอกบัว ๓ เหล่านั้น ก็คือ บัวพ้นน้ำ ที่กระทบแสงอาทิตย์แล้วก็บานได้เลย บัวปริ่มน้ำ รอเวลาโผล่พ้นขึ้นมาในวันต่อไป และบัวใต้น้ำ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่ามีแต่จักเป็นอาหารของปลาและเต่า..!

เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าบัว ๔ เหล่า พวกเราก็ไม่ต้องไปนั่งเถียงกับเขา แต่ให้รู้ไว้ว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้อย่างนี้

คราวนี้บรรดาท่านทั้งหลายที่ต้องการแต่หลักธรรมบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ได้ดูความเป็นจริงในโลกว่าบุคคลมีหลายประเภท และปัจจุบันนี้ประเภทดี ๑ ประเภท ๑ ก็น้อยมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องยึดเครื่องเกาะให้แก่เขาเหล่านั้น เหมือนอย่างกับเด็กหัดเดินก็ต้องมีเครื่องอาศัยยึดเกาะ ถึงจะเดินแข็งแรงได้ทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-06-2022, 01:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โบราณาจารย์จึงได้สร้างวัตถุมงคลและพระเครื่องขึ้นมา เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้มีกำลังใจยึดเกาะในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ

พุทธานุสติ ก็คือวัตถุมงคลมีรูปพระพุทธอยู่ ธัมมานุสติ คือข้อธรรมคำสอนที่กำกับเอาไว้กับวัตถุมงคลนั้นว่า ให้เว้นอะไรบ้าง และทำอะไรได้บ้าง สังฆานุสติ คือครูบาอาจารย์ผู้สร้างนั้นเป็นพระสงฆ์

ถ้าบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ก็ใช่ แม้แต่กระผม/อาตมภาพเอง ร่ำเรียนศึกษามามากมายมหาศาล พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ยังบอกกล่าวว่า "สิ่งที่ข้าสอนแกไป คนส่วนหนึ่งบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ นั่นเกิดจากความโง่ของคนทั้งหลายเหล่านั้น ที่ไม่รู้ว่าเมื่อเราฝึกฝนกำลังใจเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ครูบาอาจารย์ก็จะปรับให้กลับคืนมาสู่ฝั่งพุทธศาสตร์เอง" ก็แปลว่าคนที่กล่าวประเภทนั้นโง่สองชั้น..! ก็คือชั้นแรกไม่รู้เท่าทัน ชั้นที่สองฝืนความเป็นจริงของทางโลก

เพียงแต่ว่าญาติโยมทั้งหลาย ถ้าหากว่ายึดในวัตถุมงคลอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ขอให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรมให้เป็นปกติ สิ่งนี้จะเป็นคุณงามความดีที่คุ้มตัวเราให้ปลอดภัยด้วย และเสริมอานุภาพของวัตถุมงคลให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย

เราจะเห็นว่าวัตถุมงคลแต่ละอย่างจะมีพระคาถากำกับอยู่ ให้พวกเราท่องบ่นภาวนา หรือว่าอาราธนาเป็นปกติ นั่นคือการบังคับว่าเราต้องมีการภาวนาที่เป็นจิตสิกขา มีข้อห้ามที่เปรียบเสมือนสีลสิกขา ก็เหลือแค่ปัญญาช่วงสุดท้าย ว่าเราทำอย่างไรที่จะยึดเกาะในคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง โดยไม่ได้ยึดอยู่ที่วัตถุ

แบบเดียวกับที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกแล้วว่า สิ่งที่สอนมาคนจำนวนหนึ่งบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่ท้ายสุดท่านสามารถปรับเข้ามาเป็นพุทธศาสตร์ได้ อาศัยพื้นฐานของการที่ภาวนาพระคาถาต่าง ๆ มาใช้ในการปฏิบัติธรรมแทน กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองก็จะไม่ใช่ของยาก เพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-06-2022, 01:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่ามีคนมาบอก มากล่าว มาจาบจ้วงในส่วนของพระรัตนตรัย ถ้าเรามีความสามารถ ก็อธิบายให้เขารู้ว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่ถ้าความสามารถไม่พอ ก็มองเขาด้วยความเมตตาสงสารเถอะ..!

คนประเภทนี้ที่ต้องการธรรมะบริสุทธิ์นั้น นอกจากฝืนความเป็นจริงของโลกแล้ว ยังทำเองไม่ได้หรอก เพราะถ้าคนที่ทำได้จริง ๆ จะเข้าถึงวิมุตติ คือความหลุดพ้น บุคคลที่เข้าถึงวิมุตติอย่างแท้จริง จะรู้ว่าเข้ามาได้เพราะมีสมมติ ก็จะเคารพสมมติทางโลก ไม่ใช่ไปโจมตี

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่ฝืนความเป็นจริง อย่างเช่นว่า ชี้ไปที่พระเจดีย์วัดท่าขนุน แล้วบอกว่าฉัตรยอดเจดีย์นั้นเป็นส่วนที่สูงที่สุด ควรที่จะมีแค่ฉัตรก็พอ ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างองค์เจดีย์ราคาหลายสิบล้าน แล้วฉัตรของคุณจะลอยอยู่ได้ไหม ? หรือถ้าบอกว่าการศึกษาทางโลก ปริญญาเอกสูงที่สุด ส่งลูกคุณเรียนปริญญาเอกไปเลย ไม่ต้องไปเข้าชั้นอนุบาลหรือชั้นประถมหรอก จะเป็นไปได้ไหม ?

เรื่องพวกนี้จำเป็นที่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายต้องศึกษาเรียนรู้ให้จริง เพราะว่ายิ่งนานไป บุคคลที่จาบจ้วงพระพุทธศาสนาจะมีมากขึ้นทุกที ถ้าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้ต่อพระพุทธศาสนาได้ ก็จะกลายเป็นซ้ำเติมให้พระพุทธศาสนาของเราเสื่อมสลายเร็วขึ้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพุทธศาสนิกชนขาดความสามารถที่แท้จริง ไม่สามารถที่จะนำผลการปฏิบัติออกมาอวดอ้างกับบุคคลอื่นได้ ไม่สามารถที่จะชี้แจงความเป็นจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-06-2022, 01:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วยิ่งในปัจจุบันนี้ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากองค์กรพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท ๔ เหมือนกับพี่น้อง ๔ คนที่ต้องดูแลทรัพย์สมบัติที่พ่อให้ไว้ แต่ปรากฏว่าพี่สาวตัดช่องน้อยแต่พอตัว สูญสลายไปแล้ว ไม่มีภิกษุณีเหลืออยู่แล้ว น้องชาย น้องสาว แทนที่จะช่วยสนับสนุนค้ำจุนให้พี่ชาย คือภิกษุ ให้ยืนหยัดอยู่ได้ กลับคอยจ้องดูว่าพี่ชายทำอะไรผิดบ้าง จะได้ช่วยกันกระทืบซ้ำ ถ้าลักษณะอย่างนี้พระพุทธศาสนาของเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าเราทำลายกันเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า "สนิมนั้นเกิดจากเนื้อเหล็กเอง" บุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนาได้ก็คือพุทธศาสนิกชนด้วยกันเอง จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องสังวรเอาไว้ว่า ไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ทำอย่างไรที่เราจะนำมาปฏิบัติให้เกิดผล จนสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นได้ จนสามารถที่จะแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้

วันนี้ก็ขอฝากการบ้านเอาไว้ให้พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้นำเอาไปขบคิด และจะทำตัวอย่างไร ก็เลือกเอาเอง


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว