กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-12-2021, 20:24
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,581
ได้ให้อนุโมทนา: 216,253
ได้รับอนุโมทนา 739,388 ครั้ง ใน 36,033 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-12-2021, 23:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เนื่องเพราะว่าเป็นวันพระใหญ่ สภาพร่างกายของกระผม/อาตมภาพก็เลยไม่ค่อยจะดี ยิ่งต้องเข้าระบบซูมรับการอบรมเช้ายันเย็น รู้สึกว่าไม่ค่อยจะไหว ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คราวนี้เรื่องปกติแบบนี้ บางทีคนเราก็ไม่รู้เรื่อง

ในวันพระ หรือว่าภาษาบาลีสันสกฤตเขาเรียก วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม แต่เดิมตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลมาก็มีวันพวกนี้อยู่แล้ว เพราะว่าบรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ กำหนดให้สาวกของตนต้องฟังธรรมในวันขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำและขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑๔ หรือ แรม ๑๕ ค่ำเป็นประจำ ตอนหลังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงอนุโลมให้พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา และอุบาสกอุบาสิกามีวันฟังธรรมเช่นกัน

คราวนี้ด้วยความที่สมัยก่อนมีการทำเครื่องหมายเอาไว้ในปฏิทินเป็นรูปพระ ชาวบ้านก็เลยเรียกกันง่าย ๆ ว่า "วันพระ" แต่เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ทำไมถึงต้องเป็นวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ ? ทำไมต้องเป็นวันขึ้นแรม ๑๕ ค่ำหรือว่าแรม ๑๔ ค่ำ ?

เรื่องพวกนี้เราต้องเข้าใจว่า การมีชีวิตอยู่ของเราก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง คราวนี้เราเป็นส่วนเล็กนิดเดียวของธรรมชาติ เนื่องเพราะว่าแค่เปรียบกับโลกนี้ เราเองก็แค่เป็นเศษวัสดุชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วถ้าเปรียบกับสุริยจักรวาล หรือเปรียบกับดาราจักรทางช้างเผือก แล้วยิ่งถ้าไปถึงระดับเอกภพด้วย เราก็เป็นเศษฝุ่นเท่านั้น

ในเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลง เราก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย อย่างเช่นว่ามีข้างขึ้น ข้างแรม มีตะวันขึ้น มีตะวันตก มีน้ำขึ้น น้ำลง โดยเฉพาะผู้หญิงจะเห็นชัดที่สุด ก็คือมีรอบเดือน ซึ่งก็เป็นไปตามจันทรคติ เพราะว่าดวงจันทร์อยู่ใกล้กับโลกมากที่สุด ส่งผลกระทบให้มากที่สุด ก็คือทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2021 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-12-2021, 23:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้น้ำขึ้นสูงสุดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และลงต่ำสุดในวันแรม ๑๕ ค่ำ หรือถ้าเดือนขาดก็คือแรม ๑๔ ค่ำ ส่วนขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำนั้น จะว่าไปแล้ว ผลกระทบก็มีถึง แต่ว่าการแสดงออกของธรรมชาติก็คือน้ำทะเลไม่ชัดเจน โดยเป็นช่วงที่ของเหลวในร่างกายของเรา โดนดึงให้เหวี่ยงไปข้างซ้ายหรือขวามากที่สุด

ช่วงในสภาพภาวะร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติเช่นนี้ ถ้าเราปล่อยตามบุญตามกรรม ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด กลัดกลุ้มโดยไม่รู้ตัว บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติค่อนข้างมาก จึงกำหนดให้สาวกของตนฟังธรรม ในวันที่ร่างกายเกิดผลกระทบจากธรรมชาติสูงสุด

คำว่าฟังธรรมในที่นี้ ก็คือถือศีลปฏิบัติธรรมด้วย เพื่อที่ให้กำลังใจมั่นคง จะได้ไม่ส่งส่ายวุ่นวาย หรือหงุดหงิด กลัดกลุ้มไปกับสภาพความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินั้น ๆ

ดังนั้น...ถ้าหากว่าอยู่ ๆ มีใครถามว่า ทำไมวันพระถึงต้องเป็นขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ ? ทำไมถึงต้องเป็นแรม ๑๕ ค่ำหรือว่าแรม ๑๔ ค่ำ ถ้าเดือนขาด ? ก็เพื่อป้องกันผลการกระทบจากธรรมชาติ เราทั้งหลายที่มีการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา จนมั่นคงแล้ว ผลกระทบจะมีน้อยมาก แต่ว่าท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา กำลังใจไม่มั่นคง ก็จะมีผลกระทบมาก หงุดหงิด กลัดกลุ้ม ขี้โกรธโดยไม่รู้ตัว เหล่านี้เป็นต้น

โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นคนแก่หรือว่าคนป่วย จะมีผลกระทบมากเป็นพิเศษ คนป่วยบางคน พอเริ่มตกค่ำก็เริ่มไม่นอนแล้ว บางทีก็ฟุ้งซ่านพล่านอยู่ทั้งคืน บ่นลูกบ่นหลาน ด่าคนโน้นบ่นคนนี้ รอจนกระทั่งสว่างถึงจะนอนได้ ก็เพราะมีผลกระทบจากกลางคืนกลางวันที่สภาพต่างกัน

ถ้าหากว่าเป็นจีนก็จะบอกว่า "ช่วงกลางคืนธาตุหยินรุนแรง เกิดผลกระทบกับธาตุหยางในร่างกายของคน" บุคคลที่มีความไวต่อสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดความรู้สึก หรือว่าเกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2021 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 19-12-2021, 23:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเคยเฝ้าไข้คนป่วยหลายคน อาการมักจะกำเริบตอนกลางคืน ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติตรงจุดนี้ ถึงเวลาก็อาจจะกลุ้ม อาจจะโกรธ อาจจะขัดใจไปเลยว่าทำไมป่วยแล้วก็ไม่รู้จักนอน ? ทำให้เราต้องถ่างตาคอยดูแลไปทั้งคืน ? ก็เพราะผลกระทบจากธรรมชาติตรงจุดนี้ที่เราเองไม่ค่อยจะเข้าใจ

ส่วนในด้านไสยศาสตร์นั้น ข้างขึ้นข้างแรมก็ดี หรือว่า วันเสาร์ วันอังคารก็ตาม มีผลมาก บรรดาหมอไสยศาสตร์ต่าง ๆ ก็มักจะอาศัยวาระทั้งหลายเหล่านี้ เสกของบ้าง ปล่อยของบ้าง เราต้องเข้าใจว่าหมอไสยศาสตร์นั้นศึกษาเรื่องไสยศาสตร์มา เป็นของร้อน ถึงเวลาต้องมีการปล่อยออกไปเป็นระยะ ไม่เช่นนั้นบางทีก็ "กินตัวเอง" คำว่า "กินตัวเอง" ในที่นี้ก็คือเกิดโทษกับตนเอง แต่คราวนี้พอปล่อยออกไปแล้วก็ไปเดือดร้อนคนอื่นแทน..!

โบราณถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่ากลางค่ำกลางคืน ถ้าได้ยินเสียงแปลก ๆ อย่าไปขานรับ หรือว่าอย่าไปทัก
บางทีก็เหมือนกับเสียงคนขว้างข้างฝา ดังปึงปังขึ้นมา บางทีก็มีเสียงกราว เหมือนใครโปรยกรวดโปรยทรายลงหลังคา เป็นต้น กระผม/อาตมภาพเองได้รับคำสอนไม่ให้ทักเวลาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ

อีกส่วนหนึ่งก็คือ สมัยก่อนผู้ใหญ่จะบอกอยู่เสมอว่าวันโกนวันพระ ต้องระวังให้ดี โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหลังตะวันตกดินไปแล้ว เพราะว่าพระยายมจะปล่อยผี ซึ่งตรงจุดนี้ต้องบอกว่าโบราณรู้จริง แต่ความจริงแล้วพระยายมท่านไม่ได้ปล่อยผี เป็นเรื่องปกติของผีอยู่แล้วที่พอถึงเวลาวันศีล วันทาน ก็คือวันโกน วันพระ ก็หวังว่าญาติพี่น้องของตนจะทำบุญทำทานให้

เมื่อได้รับอนุญาตจากพระยายมราชก็กลับไปหาญาติพี่น้องตัวเอง เพื่อที่จะรอบุญ ถ้าหากว่าญาติพี่น้องทำบุญให้ โมทนาบุญได้ บางทีก็พ้นจากสภาพซึ่งรอการตัดสินจากพระยายมราชไปเลย ก็ไม่ต้องทำให้ท่านเหนื่อยยาก

แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็คือไปแล้วเสียเวลาเปล่า..! ญาติพี่น้องตนเองนอกจากไม่ทำบุญสุนทานแล้ว บางทีก็ยังละเมิดศีลกันเป็นปกติ ก็ต้องซมซานกลับไปหาพระยายมราชท่านอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2021 เมื่อ 19:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 19-12-2021, 23:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนเราพอตายแล้วฉลาดทุกคน รู้ว่าตรงจุดนั้นสามารถช่วยตนเองได้ เพราะว่าพระยายมราชไม่ได้มีหน้าที่เอาใครลงนรก แต่ท่านพยายามช่วยอย่างที่สุดที่จะไม่ให้คนลงนรก สอบสวนอย่างละเอียดลออมาก ถามแม้กระทั่งบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง ถ้านึกถึงความดีได้แม้แต่นิดเดียว ท่านจะให้ไปรับผลบุญนั้นก่อน หมดบุญเมื่อไรค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้านึกไม่ออกจริง ๆ ท่านก็ต้องทำใจอุเบกขา ปล่อยให้รับโทษไปตามโทษานุโทษที่ตนเองได้กระทำมา

ดังนั้น...การปฏิบัติธรรมตามสายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หรือว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า ถึงเวลาทำบุญแล้ว ให้อ้างถึงพระยายมราชให้เป็นสักขีพยานในงานบุญนั้นด้วย ถ้าหากว่าไม่ได้ขอให้ท่านเป็นสักขีพยาน ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกกล่าว แต่ถ้าเคยขอให้เป็นสักขีพยาน เมื่อท่านสอบสวนจนถึงที่สุดแล้ว เรานึกถึงความดีไม่ได้ ท่านก็จะประกาศในที่ประชุมตรงนั้นว่า บุคคลผู้นี้ วันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น เคยทำความดีอะไรไว้ และขอให้ท่านเป็นพยาน ท่านจึงขอนำมาบอกกล่าวไว้ตรงนี้ แล้วก็ให้ผู้นั้นไปรับผลบุญของตนเองก่อน ถ้าไม่รู้จักต่อบุญตนเอง หมดบุญเมื่อไรแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง

ตรงจุดนี้ทำให้พวกเราต้องทำความเข้าใจใหม่อยู่ ๒ ส่วน ส่วนแรกก็คือที่บอกว่า "วันพระ พระยายมปล่อยผี"อยืนยันว่าท่านไม่ได้ปล่อยผี แต่ท่านอนุญาตให้บรรดาบุคคลที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ผ่านการตัดสิน ให้ไปโมทนาบุญที่ญาติพี่น้องตนเองทำเอาไว้

หรือถ้าหลงเปะปะมาถึงวัดท่าขนุนก็สบายไป เพราะว่าคนส่วนใหญ่ พออุทิศส่วนกุศลก็จะให้แต่ญาติตนเอง แต่ว่าทางวัดท่าขนุนของเราก็สืบเอาความรู้มาจากหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ ก็คืออุทิศบุญกุศลให้ทั้งผู้ที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติ ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีโอกาสในการอนุโมทนาผลบุญ ในเมื่อได้รับบุญแล้วไปสู่สุคติ พระยายมราชเองก็ไม่ต้องเหนื่อย

อีกส่วนหนึ่งก็คือ "พระยายมราชไม่ได้มีหน้าที่นำคนลงนรก แต่คอยป้องกันไม่ให้คนลงนรก" บุคคลใดก็ตาม ถ้าหากว่าทำความดีความชั่วมาก้ำกึ่งกันอยู่ ไม่สามารถที่จะขึ้นบนโดยตรงหรือลงล่างโดยตรงได้ ก็จะต้องผ่านการตัดสินของพระยายมราช ถ้าหากว่าโดนนำตัวไปตำหนักพระยายมราช ขอให้รู้ว่าโอกาสรอดมีเกินครึ่งหนึ่ง ยิ่งถ้าหากว่าเคยอ้างให้ท่านเป็นสักขีพยานในการบุญ โอกาสรอดมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

ตรงส่วนนี้จึงขอทำความเข้าใจกับทุกท่านว่า ถึงเวลาที่เราสร้างบุญสร้างกุศลอะไรก็ตาม อุทิศให้แก่พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ตลอดจนทั้งพระยายมราชด้วย แล้วขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นสักขีพยานให้ ว่าเราได้ทำบุญกุศลประการนี้ ถือว่าเป็นการทำประกันความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา จะได้มีผู้ที่คอยช่วยเหลืออ้างถึงให้แก่พวกเราได้

วันนี้ก็ขอโอกาสเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2021 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว