กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-07-2022, 19:23
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,581
ได้ให้อนุโมทนา: 216,249
ได้รับอนุโมทนา 739,383 ครั้ง ใน 36,033 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-07-2022, 00:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพได้ไปบรรยายให้บรรดาพระวิปัสสนาจารย์ที่เข้ากรรมฐานตามโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดดอน ยานนาวา

วัดนี้ชื่ออย่างเป็นทางการคือ วัดบรมสถล บรม ก็คือ ปรมะ คือ ยิ่งกว่า สถล ก็คือพื้นดิน คราวนี้ทำไมถึงยิ่งกว่าพื้นดินแล้วเป็นดอน ? สมัยก่อนกรุงเทพฯ เป็นที่ลุ่ม หาที่ดอนยากมาก ดอนเมืองเขาเอาไว้สร้างสนามบิน เพื่อป้องกันน้ำท่วม คราวนี้พอมาดอนที่ยานนาวานี่ เขาเอาไว้สร้างวัด

การบรรยายให้กับพระวิปัสสนาจารย์มีทั้งดีและไม่ดี คำว่าดีก็คือกำลังใจของทุกคนไปในด้านเดียวกัน กระผม/อาตมภาพก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นการเทศน์ การกล่าวสัมโมทนียกถา หรือว่าการบรรยายธรรม มีอยู่ส่วนหนึ่งก็คือ ต้องดึงกำลังใจคนฟังให้มาอยู่กับเราให้ได้ แล้วถ้าหากว่าคนส่วนใหญ่ไม่สนใจฟัง คนพูดจะเหนื่อยมากเป็นพิเศษ คราวนี้ในเมื่อคณะพระวิปัสสนาจารย์ท่านเคยชินกับการปฏิบัติธรรม ก็ทำให้สะดวก ก็คือใช้กำลังน้อย สามารถบรรยายแบบสบาย ๆ ได้

แต่ว่าไม่ดีตรงจุดที่ว่า ทุกคนเป็นนักปฏิบัติธรรม หลายรูปพรรษามากกว่า
กระผม/อาตมภาพอีก รู้สึกจะมีอยู่ ๒ หรือ ๓ รูปที่พรรษามากกว่าผม ครั้งแรกที่เลขานุการรุ่นขอให้ทุกคนกราบผู้บรรยายธรรม ปรากฏว่า ๒ แถวแรกนั่งหัวโด่กันหมด ก็ประมาณว่า "มึงมีดีอะไรจะให้กูกราบ ? ต่อให้กูพรรษาน้อยกว่ากูก็ไม่สน..!" เมื่อว่าไปจนจบ ๔๕ นาที รับไทยธรรมแล้ว ปรากฏว่าคราวนี้ทั้งหมดกราบด้วยกัน ยกเว้นอยู่ ๒ รูปที่พรรษาท่านมากกว่าจริง ๆ เท่านั้น

ก็แปลว่า ถ้าเราไม่มีดีจริง ที่จะเอาไปให้ท่านได้รู้ได้เห็น ท่านก็จะแบกกิเลสเอาไว้ ก็คือแบกสักกายทิฏฐิ ตัวกูของกู ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนที่แบกกิเลสอยู่ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองแบกกิเลสอยู่ โดยเฉพาะความยึดมั่นถือมั่นว่ากูดีกว่า

ของพระเราไม่เท่าไร เพราะว่าอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคล ชาวบ้านเขาให้ความเคารพนับถือ ต่อให้เป็นนักปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าดีกว่าก็ยังพอทน เพราะว่าชาวบ้านเขาก็ยกให้ แต่ฆราวาสด้วยกันจะลำบาก เพราะว่าทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองดีกว่า จะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะฟังใครแล้ว ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือจริง ๆ แล้วมักจะเอาไม่อยู่ คนอื่นเตือนไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-07-2022, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น เราจะไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเลย เพราะคิดว่าที่ตัวเองทำอยู่นั้นดีแล้ว ถูกแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเหมือนกับการขึ้นบันได ก้าวขึ้นไปเป็นขั้น ๆ พอกำลังของเราสะสมเพียงพอ ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงตัว มีการทะลุทะลวงผ่านระดับที่เราอยู่ขึ้นไป เมื่อมองย้อนกลับมาก็จะเห็นว่า อ้าว...ที่ผ่านมายังไม่ดีจริงนี่หว่า..!? ยังมีที่ดีกว่านั้น ที่ถูกกว่านั้น แต่ก็จะมายึดไอ้จุดที่ตัวเองเพิ่งจะก้าวไปถึง ว่าตรงนี้ดีแล้วถูกแล้วอีก

ดังนั้น...ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน คนเราอดไม่ได้ที่จะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ต่อให้ปฏิบัติถูกต้องก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าแบกสังโยชน์ใหญ่เอาไว้ ก็คือสักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู แล้วก็มานะ ความถือตัวถือตน

ส่วนใหญ่ก็ถือว่าดีกว่า พอไปเจอคนเก่งเข้า รายนี้เก่งเท่ากับเรา ก็ถือตัวว่าเสมอกัน พอไปเจอบุคคลที่ปฏิบัติได้น้อยกว่า ก็..ไอ้นั่นสู้กูไม่ได้ สรุปแล้วเป็นมานะทั้งหมดเลย ดีกว่าก็ไม่ได้ เสมอกันก็ไม่ได้ ต่ำกว่าก็ไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับนักปฏิบัติธรรม แต่ว่าก็ไม่เกินความสามารถ

เพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ ด้วยความอดทนอดกลั้น เดี๋ยวบรรดานาคทั้งหลายก็จะรู้ว่านรกมีจริง เพราะว่าพวกท่านทั้งหลาย ถึงเวลาอยากจะทำอะไรก็ทำได้ เพราะชีวิตฆราวาสข้อห้ามมีน้อย แค่เราไม่ละเมิดศีล ๕ ก็พอแล้ว แต่พอเป็นพระขึ้นมา ในส่วนที่เราอยากทำ ส่วนใหญ่แล้วจะทำไม่ได้ เพราะว่าโดนตีกรอบ

กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ชีวิตฆราวาสเหมือนเอาเราไปปล่อยไว้ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางทีเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก แต่ในชีวิตของความเป็นพระเป็นเณร เขาเอาเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงกับเรา กรงนั่นก็คือศีล ๒๒๗ ของพระ ศีล ๑๐ ของเณร

อะไรที่เคยทำได้ ทำไม่ได้ทั้งหมด จะอกแตกตาย เพราะกิเลสฟัดเราอยู่ทุกวัน ถึงตอนนั้น สติ สมาธิ ปัญญามีเท่าไร ต้องทุ่มเทเพื่อต่อต้านอำนาจกิเลส เพื่อที่เราจะต้องอยู่ให้ได้ครบพรรษาตามที่ต้องการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-07-2022, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเคยเรียนถวายพระภิกษุสามเณรไปแล้ว แต่ก็ขอบอกกับนาคทั้งหลายให้ฟังอีกรอบว่า พรรษาแรก ๆ นี่ กระผม/อาตมภาพอยากสึกวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ ครั้ง..! ไอ้ที่ไม่สึก ทนอยู่มาได้ ก็เพราะอยากเอาชนะ เพราะว่าหลวงพ่อวิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) ปัจจุบันก็คือเจ้าอาวาสวัดธรรมยาน ท่านเป็นหมอดูชั้นยอดเลย โดยเฉพาะเป็นกึ่งนักวิชาการ ก็คือดูหมอใครก็เก็บสถิติเอาไว้ด้วย ท่านมีลายมือของลูกค้าเป็นพัน ๆ คน ทำนายอะไรไว้บ้างท่านจดเอาไว้หมด

ท่านดูลายมือของกระผม/อาตมภาพ แล้วบอกว่าวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น จะต้องสึกแน่นอน กระผม/อาตมภาพถามว่า "ถ้าผมไม่สึกล่ะ ?" ท่านบอกว่า ท่านยอมเผาตำราทิ้ง..! เพราะฉะนั้น..ไอ้ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ อยู่เพราะอยากจะเอาชนะพี่เขาเท่านั้น แล้วพอพ้นจากตรงนั้นมา ก็ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะสึกอีก

หลังจากที่พี่เขาออกจากวัดตามหลังมาก็ไปสร้างวัดธรรมยาน มาขออนุญาตว่า "ขอกลับคำพูด ขอเอาตำรามาใช้ใหม่ เพราะว่าจำเป็นต้องหาเงินเพื่อสร้างวัด" ถ้าใครเคยไปวัดธรรมยาน จะเห็นว่าที่พี่เขาสร้างไป ถ้าตีเป็นมูลค่านี่เป็นพันล้านไปแล้ว นั่นเกิดจากการดูหมอล้วน ๆ

แต่กระผม/อาตมภาพเองจำเป็นที่จะต้องเลิกดูหมอ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วหมอดูจะโดนรบกวนไม่เป็นเวล่ำเวลา คนที่มามักจะเอาแต่เรื่องตัวเอง ขนาดฉันเพลอยู่ ยังบอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอเวลา ๕ นาทีเท่านั้น" ต้องด่าเตลิดเปิดเปิงไปเลย "ไม่เป็นไรของมึง แต่กูกำลังแด..อยู่..!" ท้ายสุดจึงต้องเลิกไป

ดังนั้น...เราจะเห็นว่าในส่วนของการเป็นพระเป็นเณร เป็นเรื่องที่เป็นกันยากมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถึงสิ่งที่ยากที่สุดก็คือ กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากหนักหนา ท่านเปรียบเหมือนกับว่าเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไว้ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วก็มีแอกเล็ก ๆ ที่พอสวมคอเต่านั้นได้ไว้ด้วย ๑๐๐ ปีให้เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำครั้งหนึ่ง ๑๐๐ ปีโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าหัวสวมแอกได้พอดีเมื่อไร คน ๆ นั้นถึงจะมีสิทธิ์เกิดครั้งหนึ่ง ยากขนาดนั้นเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-07-2022, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การดำรงชีวิตให้อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง พวกเรามีโอกาสตายได้ทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก..ไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว

คราวนี้ก็เหลืออยู่ที่สามัญสำนึกของเราว่า ก่อนจะตาย จะสร้างความดีให้โลกลือ หรือว่าจะสร้างความชั่วให้โลกลือ..!? จะให้เขาสรรเสริญเจริญพรตามหลังไป ห่วงหาอาลัยคิดถึงเราตลอดเวลา หรือจะให้เขาด่าไป ๗ ชั่วโคตร..! ก็เชิญเลือกเอาได้เลย

กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ ของที่ยากยิ่งประการที่ ๓ คือการได้ฟังธรรม เพราะว่าพระพุทธเจ้ากว่าที่จะตรัสรู้ได้ ใช้ระยะเวลาเนิ่นนานเหลือเกิน พวกเราส่วนใหญ่เกิดกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ชาติที่ได้ฟังธรรมนั้นยากแค่ไหน เพราะว่าส่วนใหญ่ไปเกิดในช่วงที่ว่างจากศาสนาเสียมาก

ท้ายที่สุด กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท พระพุทธเจ้านั้นเกิดยากที่สุด ต่ำสุดชนิดที่เป็นปัญญาธิกะ เลิศด้วยปัญญา ยังใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

ถ้าถามว่านานแค่ไหน ? ก็ลองไปดูที่อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า ๑ รอบอันตรกัป เริ่มแต่ตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วต่อด้วยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว นับเป็นปีได้ไหม ?

ท่านเปรียบง่าย ๆ ว่า เหมือนกับมีภูเขาที่เป็นเนื้อหินล้วน ๑ ลูก กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑ โยชน์ คือด้านละ ๑๖ กิโลเมตร ระยะเวลา ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ๑๐๐ ปีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่าภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นแล้ว ระยะเวลา ๑ กัปยังนานกว่า คราวนี้ ๑ กัปที่ว่านี่ไม่ใช่มหากัป เป็นอันตรกัป เช็ดภูเขาสูง ๑๖ กิโลเมตรสึกเสมอพื้นไปลูกหนึ่ง ยังไม่ใช่มหากัป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 03:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 04-07-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านบอกว่า ๖๔ รอบอันตรกัปเป็น ๑ อสงไขยกัป ภูเขาสึกไป ๖๔ ลูก เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัปเท่ากับ ๑ มหากัป แปลว่า ๑ มหากัป คุณต้องเช็ดภูเขา ๒๕๖ ลูกให้สึกเสมอพื้น..! แล้วพระพุทธเจ้าท่านต้องสร้างบารมีต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป นานจนไม่ต้องนับกันเลย

แต่คราวนี้ต้องบอกว่าพวกเราทั้งหลายอยู่ในช่วงจังหวะที่ดีมาก เพราะว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ อยู่ในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถึงเวลาแล้วก็สนใจ ใฝ่รู้ ใฝ่ธรรม เข้าวัดเข้าวา จนกระทั่งเตรียมบรรพชาอุปสมบท

เราทำสิ่งที่แสนจะยากทั้งหมดได้แล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า บวชเข้าไปแล้วเราจะทำตัวอย่างไร ? เพราะว่าอานิสงส์ได้เต็มทันทีที่คู่สวดประกาศว่า "อุปะสัมปันโน สังเฆนะ" บัดนี้ได้ยกท่านทั้งหลายขึ้นสู่หมู่สงฆ์แล้ว จะสึกตอนนั้นก็ไม่ว่า บุญเต็มแล้ว คราวนี้อยู่ต่อก็สำคัญตรงที่ว่า ถ้าทำดีก็บวกเข้าไป แต่ถ้าทำชั่วก็ลบออก

แต่คราวนี้ต้นทุนของพระมาก ถึงเวลาจึงขาดทุนมาก ถ้าหากว่าชาวบ้านศีล ๕ ข้อ สมมติว่าลงทุนไป ๕ ล้าน ถ้าได้กำไรก็ประมาณว่า ๕ ล้านลงทุนเท่าไรก็ได้แค่นั้น แต่พระลงทุนไป ๒๒๗ ล้าน ถ้าได้กำไรนี่มากกว่าชาวบ้านกี่เท่า ? แต่ถ้าขาดทุนก็สาหัสกว่าชาวบ้านหลายเท่า..!

ดังนั้น..จะกำไรหรือขาดทุนอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของพวกเรา โดยเฉพาะต่อให้มีความรู้มากเท่าไร มีความสามารถมากเท่าไร ท่านบวชเข้ามาก็คือพระใหม่ ในสังคมพระ เขาปกครองกันตามลำดับอาวุโส ต่อให้บวชชุดเดียวกัน คนที่คู่สวดออกชื่อก่อนก็เป็นพี่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-07-2022, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,723 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงต้องพยายามที่จะประคับประคอง รักษาต้นทุนของตนเองเอาไว้ แล้วก็ทำให้พอกพูนยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าให้ขาดทุน เพราะว่ามีบุคคลเขาคอยมาฉกฉวยกำไรของเราไป ก็คือญาติโยมทั้งหลายที่ให้การอุปถัมภ์ค้ำจุน ใส่บาตรให้กิน สนับสนุนด้วยปัจจัย ๔ อานิสงส์ที่เราทำได้ ต้องถ่ายเทแบ่งปันให้ญาติโยมเขาไป ถ้าทำน้อยก็อาจจะขาดทุนอีก..!

ดังนั้น...เรื่องของการเป็นพระจึงอยู่ยาก โดยเฉพาะถ้าอยู่เป็นพระวิปัสสนาจารย์ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าต้องฝึกฝนจนกระทั่งเป็นครูคนอื่นเขา คราวนี้การเป็นครูนั้นจะผิดแบบไม่ได้ ผิดเมื่อไร ลูกศิษย์ผิดตามทันที

วันนี้ที่บรรยายให้ท่านทั้งหลายฟัง จึงได้เตือนนักเตือนหนาว่า ถ้าคุณความดีของเรายังไม่เพียงพอ ไม่มั่นใจว่าปฏิบัติถูกแน่นอน ให้ยึดคำสอนครูบาอาจารย์ ให้ยึดวิสุทธิมรรค ให้ยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก สอนตามนั้น อย่าเอาความรู้ตัวเองแทรกเข้าไป เพราะว่าจะพาชาวบ้านหลงทางได้ง่าย

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2022 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว