กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-06-2022, 19:36
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,963 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-06-2022, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๗ หรือที่ในตำราเรียกว่า วันเสาร์ ๕ โดยปกติแล้ว วันเสาร์ ๕ ตามสายครูบาอาจารย์ที่ศึกษามา ก็จะใช้เป็นวันไหว้ครู แต่ด้วยความที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังแพร่ระบาดค่อนข้างรุนแรงอยู่ กระผม/อาตมภาพจึงจัดไหว้ครูไปตั้งแต่วันวิสาขบูชาที่ผ่านมาแล้ว ส่วนวันเวลาที่เหมาะสมแต่ไม่ได้ใช้งานอะไร กลายเป็นเสียเปล่าไปเฉย ๆ

หลายท่านอาจจะคิดว่าฤกษ์ยามเป็นสิ่งสำคัญด้วยหรือ ? ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจมากน้อยเท่าไร บุคคลที่กำลังใจสูง ฤกษ์ยามก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าบุคคลที่กำลังใจยังต่ำอยู่ ฤกษ์ยามยังเป็นของจำเป็นอยู่ เปรียบเสมือนกับการข้ามถนน คนเก่ง ๆ สามารถข้ามถนนทั้ง ๆ ที่รถวิ่งให้ขวักไขว่ไปหมดโดยปลอดภัยได้ แต่ก็เป็นการประมาท พลาดเมื่อไรก็สวัสดี..!

ดังนั้น...เพื่อความไม่ประมาท ถ้าไม่ยากลำบากในชีวิตมากเกินไปนัก ก็ดูฤกษ์ดูยามเอาไว้นิดหนึ่ง แต่ถ้าคิดว่ากำลังใจของเราเหลือล้นแล้ว ฤกษ์ยามอะไรไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่การปฏิบัติของพวกเราเอง

แบบเดียวกับวัตถุมงคล เจตนา
ที่ครูบาอาจารย์สร้างขึ้นมาในครั้งแรกเลยนั้น เป็นการสร้างเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อบรรจุกรุ แต่พอภายหลังกรุแตกออกมา มีคนนำไปใช้งานแล้วปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ ก็เลยเกิดค่านิยมในการสร้างขึ้นมา

คราวนี้ก็มีบางท่านที่ให้ข้อคิดความเห็นเอาไว้ โดยที่ไม่ได้มองหลักความจริงว่า "สิ่งนี้เป็นไสยศาสตร์บ้าง ทำให้ยึดติดบ้าง พุทธศาสตร์ที่แท้จริงต้องปล่อยวางทุกอย่าง ไม่ยึดเกาะอะไร" ถ้าเป็นสมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ต้องบอกว่า "พูดอีกก็ถูกอิฐ" ก็คือจะโดนก้อนอิฐขว้างกบาลเอา..! เพราะว่ากำลังใจของคนนั้นไม่เท่ากัน

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังแบ่งบุคคลออกเป็น ๔ เหล่า แบ่งบัวออกเป็น ๓ ประเภท แต่คนเรามักจะจับมายำรวมกัน กลายเป็นบัว ๔ เหล่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-06-2022, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคล ๔ เหล่านั้นก็คือ อุคฆฏิตัญญู เป็นผู้มีปัญญามาก ฟังเพียงข้อหัวธรรมก็บรรลุมรรคผลได้ อย่างที่พระอัสสชิกล่าวว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสถึงเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น" อุปติสสมาณพซึ่งภายหลังคือพระสารีบุตร ก็บรรลุความเป็นพระโสดาบันเลย

ประเภทที่ ๒ คือ วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่มีปัญญาลดลงมานิดหนึ่ง ต้องได้รับการขยายความอธิบายจึงเข้าใจ แล้วเข้าถึงมรรคถึงผลช้ากว่าประเภทแรกอยู่เล็กน้อย

ประเภทที่ ๓ คือ เนยยะ เป็นบุคคลอันพึงสั่งสอนได้ แต่ครูบาอาจารย์ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันอยู่ทุกวัน เพราะถ้าไม่ตอกย้ำหัวตะปูไว้ก็อาจจะลืม

ประเภทสุดท้ายคือ ปทปรมะ เป็นบุคคลที่ฉลาดเกินไปจนไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว ไม่รับอะไรทั้งสิ้น ต่อให้หลักธรรมมีคุณค่าแค่ไหน ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนเหล่านี้

ส่วนดอกบัว ๓ เหล่านั้น ก็คือ บัวพ้นน้ำ ที่กระทบแสงอาทิตย์แล้วก็บานได้เลย บัวปริ่มน้ำ รอเวลาโผล่พ้นขึ้นมาในวันต่อไป และบัวใต้น้ำ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่ามีแต่จักเป็นอาหารของปลาและเต่า..!

เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าบัว ๔ เหล่า พวกเราก็ไม่ต้องไปนั่งเถียงกับเขา แต่ให้รู้ไว้ว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้อย่างนี้

คราวนี้บรรดาท่านทั้งหลายที่ต้องการแต่หลักธรรมบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ได้ดูความเป็นจริงในโลกว่าบุคคลมีหลายประเภท และปัจจุบันนี้ประเภทดี ๑ ประเภท ๑ ก็น้อยมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องยึดเครื่องเกาะให้แก่เขาเหล่านั้น เหมือนอย่างกับเด็กหัดเดินก็ต้องมีเครื่องอาศัยยึดเกาะ ถึงจะเดินแข็งแรงได้ทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-06-2022, 01:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โบราณาจารย์จึงได้สร้างวัตถุมงคลและพระเครื่องขึ้นมา เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้มีกำลังใจยึดเกาะในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ

พุทธานุสติ ก็คือวัตถุมงคลมีรูปพระพุทธอยู่ ธัมมานุสติ คือข้อธรรมคำสอนที่กำกับเอาไว้กับวัตถุมงคลนั้นว่า ให้เว้นอะไรบ้าง และทำอะไรได้บ้าง สังฆานุสติ คือครูบาอาจารย์ผู้สร้างนั้นเป็นพระสงฆ์

ถ้าบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ก็ใช่ แม้แต่กระผม/อาตมภาพเอง ร่ำเรียนศึกษามามากมายมหาศาล พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ยังบอกกล่าวว่า "สิ่งที่ข้าสอนแกไป คนส่วนหนึ่งบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ นั่นเกิดจากความโง่ของคนทั้งหลายเหล่านั้น ที่ไม่รู้ว่าเมื่อเราฝึกฝนกำลังใจเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ครูบาอาจารย์ก็จะปรับให้กลับคืนมาสู่ฝั่งพุทธศาสตร์เอง" ก็แปลว่าคนที่กล่าวประเภทนั้นโง่สองชั้น..! ก็คือชั้นแรกไม่รู้เท่าทัน ชั้นที่สองฝืนความเป็นจริงของทางโลก

เพียงแต่ว่าญาติโยมทั้งหลาย ถ้าหากว่ายึดในวัตถุมงคลอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ขอให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรมให้เป็นปกติ สิ่งนี้จะเป็นคุณงามความดีที่คุ้มตัวเราให้ปลอดภัยด้วย และเสริมอานุภาพของวัตถุมงคลให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย

เราจะเห็นว่าวัตถุมงคลแต่ละอย่างจะมีพระคาถากำกับอยู่ ให้พวกเราท่องบ่นภาวนา หรือว่าอาราธนาเป็นปกติ นั่นคือการบังคับว่าเราต้องมีการภาวนาที่เป็นจิตสิกขา มีข้อห้ามที่เปรียบเสมือนสีลสิกขา ก็เหลือแค่ปัญญาช่วงสุดท้าย ว่าเราทำอย่างไรที่จะยึดเกาะในคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง โดยไม่ได้ยึดอยู่ที่วัตถุ

แบบเดียวกับที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกแล้วว่า สิ่งที่สอนมาคนจำนวนหนึ่งบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่ท้ายสุดท่านสามารถปรับเข้ามาเป็นพุทธศาสตร์ได้ อาศัยพื้นฐานของการที่ภาวนาพระคาถาต่าง ๆ มาใช้ในการปฏิบัติธรรมแทน กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองก็จะไม่ใช่ของยาก เพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-06-2022, 01:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่ามีคนมาบอก มากล่าว มาจาบจ้วงในส่วนของพระรัตนตรัย ถ้าเรามีความสามารถ ก็อธิบายให้เขารู้ว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่ถ้าความสามารถไม่พอ ก็มองเขาด้วยความเมตตาสงสารเถอะ..!

คนประเภทนี้ที่ต้องการธรรมะบริสุทธิ์นั้น นอกจากฝืนความเป็นจริงของโลกแล้ว ยังทำเองไม่ได้หรอก เพราะถ้าคนที่ทำได้จริง ๆ จะเข้าถึงวิมุตติ คือความหลุดพ้น บุคคลที่เข้าถึงวิมุตติอย่างแท้จริง จะรู้ว่าเข้ามาได้เพราะมีสมมติ ก็จะเคารพสมมติทางโลก ไม่ใช่ไปโจมตี

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่ฝืนความเป็นจริง อย่างเช่นว่า ชี้ไปที่พระเจดีย์วัดท่าขนุน แล้วบอกว่าฉัตรยอดเจดีย์นั้นเป็นส่วนที่สูงที่สุด ควรที่จะมีแค่ฉัตรก็พอ ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างองค์เจดีย์ราคาหลายสิบล้าน แล้วฉัตรของคุณจะลอยอยู่ได้ไหม ? หรือถ้าบอกว่าการศึกษาทางโลก ปริญญาเอกสูงที่สุด ส่งลูกคุณเรียนปริญญาเอกไปเลย ไม่ต้องไปเข้าชั้นอนุบาลหรือชั้นประถมหรอก จะเป็นไปได้ไหม ?

เรื่องพวกนี้จำเป็นที่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายต้องศึกษาเรียนรู้ให้จริง เพราะว่ายิ่งนานไป บุคคลที่จาบจ้วงพระพุทธศาสนาจะมีมากขึ้นทุกที ถ้าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้ต่อพระพุทธศาสนาได้ ก็จะกลายเป็นซ้ำเติมให้พระพุทธศาสนาของเราเสื่อมสลายเร็วขึ้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพุทธศาสนิกชนขาดความสามารถที่แท้จริง ไม่สามารถที่จะนำผลการปฏิบัติออกมาอวดอ้างกับบุคคลอื่นได้ ไม่สามารถที่จะชี้แจงความเป็นจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-06-2022, 01:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วยิ่งในปัจจุบันนี้ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากองค์กรพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท ๔ เหมือนกับพี่น้อง ๔ คนที่ต้องดูแลทรัพย์สมบัติที่พ่อให้ไว้ แต่ปรากฏว่าพี่สาวตัดช่องน้อยแต่พอตัว สูญสลายไปแล้ว ไม่มีภิกษุณีเหลืออยู่แล้ว น้องชาย น้องสาว แทนที่จะช่วยสนับสนุนค้ำจุนให้พี่ชาย คือภิกษุ ให้ยืนหยัดอยู่ได้ กลับคอยจ้องดูว่าพี่ชายทำอะไรผิดบ้าง จะได้ช่วยกันกระทืบซ้ำ ถ้าลักษณะอย่างนี้พระพุทธศาสนาของเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าเราทำลายกันเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า "สนิมนั้นเกิดจากเนื้อเหล็กเอง" บุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนาได้ก็คือพุทธศาสนิกชนด้วยกันเอง จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องสังวรเอาไว้ว่า ไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ทำอย่างไรที่เราจะนำมาปฏิบัติให้เกิดผล จนสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นได้ จนสามารถที่จะแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้

วันนี้ก็ขอฝากการบ้านเอาไว้ให้พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้นำเอาไปขบคิด และจะทำตัวอย่างไร ก็เลือกเอาเอง


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว