กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-02-2022, 20:16
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,269
ได้รับอนุโมทนา 739,759 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-02-2022, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานขาดเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนไป ๑ วัน เพราะว่าติดการประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ วันนี้ไปเยี่ยมสนามอบรมบาลีก่อนสอบ มีพระเณรทวงด้วย บอกว่า "เมื่อวานพระอาจารย์ขาดเสียงธรรมไปวันหนึ่งครับ" ผมมั่นใจว่าคนทวงอาจจะสอบตก..! เพราะว่าแทนที่จะสนใจกับเรื่องที่อบรม กลับไปสนใจกับเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนแทน

ในส่วนที่เป็นงานของคณะสงฆ์เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราลำดับความสำคัญก่อนหลังของงานได้ ก็จะทำให้เราเลือกถูกว่าจะทำงานอะไรก่อน ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของงานคณะสงฆ์ก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะถ้าเป็นงานในรั้วในวัง ต่อให้ติดงานอื่นที่สำคัญแค่ไหนก็ต้องทิ้งทั้งหมด..!

อันดับที่สองเลยก็คือเรื่องของการเรียนการสอน เพราะว่านิสิตหลายรายเดินทางไกลมาก แต่ถึงจะไกลมากในสมัยนี้ ก็ไม่ไกลเท่ากับสมัยที่กระผม/อาตมภาพไปเรียนอยู่ที่วัดไร่ขิง วัดศรีสุดาราม หรือว่าที่ มจร.วังน้อย นั่นถือว่าเป็นนิสิตที่ไปเรียนไกลที่สุด ใช้เวลาวิ่งรถ ๓ ชั่วโมงครึ่งถึง ๔ ชั่วโมง

คราวนี้ถ้าเราไปด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ก็คือต้องการความรู้มาเสริมเพิ่มเติมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของเราให้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากว่ากำลังใจมุ่งมั่นเพียงพอก็จะไม่ท้อถอย แบบเดียวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า "ตลอดในวัฏสงสารที่ยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายซึ่งปรารถนาพระโพธิญาณมา คำว่าท้อแม้แต่น้อยหนึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นในใจของตถาคตเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-02-2022 เมื่อ 23:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-02-2022, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้พวกเราต้องดูเป็นตัวอย่างเอาไว้ เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องทนทุกข์ทรมานมานับกัปไม่ถ้วน ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ช่วงท้ายเท่านั้น

ถ้าเป็นบาลีเขาบอกเอาไว้ชัดว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี่หมดไปแล้ว ๗ อสงไขย นวะ สังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า อีก ๙ อสงไขย แล้วถึงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป แค่กัปเดียวก็เกิดกันนับชาติไม่ถ้วนแล้ว

แล้วลองนึกดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ คือผู้เลิศด้วยปัญญา ถือว่าเกิดน้อยที่สุดแล้ว ยังเกิดนานขนาดนั้น ก็คือ ๗ บวก ๙ เป็น ๑๖ บวกอีก ๔ เป็น ๒๐ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบสัทธาธิกะก็ ๔๐ อสงไขยกัปบวกหนึ่งแสนมหากัป ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะก็ ๘๐ อสงไขยบวกอีกหนึ่งแสนมหากัป แล้วพระองค์ท่านไม่เคยท้อเลยแม้แต่น้อย..!

อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าของเราไม่ได้เกิดเป็นกษัตริย์ตลอดเวลา ไม่ได้เกิดเป็นเศรษฐีตลอดเวลา แต่เป็นคนจน เป็นคนรวย เป็นสัตว์บ้าง เสวยสุขเป็นเทวดา เป็นพรหม สลับหมุนเวียนกันไป ลงไปสู่ขุมนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง พูดง่าย ๆ ว่าเป็นจนครบทุกอย่าง

ถ้าหากว่าเราศึกษากฎเกณฑ์กติกาในพุทธวงศ์ จะเห็นชัดเจนว่าบุคคลที่ปรารถนาความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในระหว่างที่บำเพ็ญบารมีอยู่เรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นั้นจำกัดเอาไว้ว่า ต้องมีอัตภาพใหญ่ไม่เกินช้าง เล็กไม่เกินนกกระจาบ แปลว่า มด แมลงวัน ยุงต่าง ๆ เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ขณะเดียวกันไดโนเสาร์ก็เป็นไม่ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-02-2022 เมื่อ 07:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-02-2022, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การเกิดของพระองค์ท่านแต่ละชาติก็ต้องทุกข์ทนแบบเดียวกับพวกเรา หลายชาติก็อายุสั้นพลันตาย เพราะว่ากรรมเก่าตามมาทัน แม้กระทั่งปัจจุบันชาตินี้ที่พระองค์ท่านตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กรรมเก่าที่เคยสังหารรากษสเพื่อช่วยคนหมู่มากก็ยังตามมา ทำให้มีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น

พระพุทธเจ้าของเราเกิดมายาวนานและทุกข์ทนมานับกัปไม่ถ้วน ไม่เคยมีความท้อใจในการทำความดีเลย แล้วพวกเราทั้งหลาย เพิ่งจะทำดีได้กี่วัน ? ถึงได้เกิดความท้อใจกันขึ้นมา หมดกำลังใจกันขึ้นมา

ถ้าเราดูแค่ในชาดกก็คือ พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรที่มองฝั่งไม่เห็น ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาเหาะผ่านมาเจอเข้าก็ถามว่า "ท่านยังอยู่ห่างฝั่งไกลจนขนาดมองไม่เห็น แล้วจะว่ายไปทำอะไร ?" พระมหาชนกตอบนางมณีเมขลาว่า "ถ้าได้เพียรพยายามจนสิ้นกำลังของบุรุษแล้ว ก็ตอบตนเองได้ว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ถ้าฝั่งอยู่ในระยะใกล้ ในกำลังที่จะว่ายไปถึง แล้วไม่เพียรพยามยามก็จมน้ำตายเปล่า เสียทีที่เกิดเป็นบุรุษ แต่ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง ว่ายไปไม่ถึง ก็ยังตอบตนเองได้ว่า เราทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว" นางมณีเมขลาฟังแล้วชอบใจจึงอุ้มไปส่ง

คราวนี้การที่กระผม/อาตมภาพเป็นนักเรียนก็เรียนไกลที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็สอนไกลที่สุด และขณะเดียวกัน ถ้านับการทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ทำจนคนรอบข้างว่าบ้าทั้งนั้น แม้แต่ญาติพี่น้องของตนเองก็ว่าบ้า เพื่อนฝูงทุกคนก็ว่าบ้า ครูบาอาจารย์ทุกคนก็ว่าบ้า แต่ด้วยความที่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี จึงไม่ท้อถอย และต้องเพียรพยายามทำให้สำเร็จ

เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง บอกเอาไว้ชัดเจนว่า สิ่งใดที่คนอื่นมีสิบนิ้วเท่ากับเราแล้วทำได้ สิ่งนั้นเราต้องทำได้ และถ้าเราทำสิ่งนั้นได้ เราต้องทำให้ดีกว่าคนอื่นด้วย จากอายุ ๑๖ ปีที่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมมา จนถึงปีนี้ ๖๓ ปี เป็นระยะเวลานานเท่าไร ? ยังไม่เคยมีคำว่าท้อใจเลยเหมือนกัน มีแต่ต้องทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-02-2022, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็คือเวลาของการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะพึงทำได้ ถ้าวันไหนพลาดพลั้งไป เมื่อทบทวนดูแล้ว วันรุ่งขึ้นเราต้องทำตรงนี้ให้ดี และวันต่อไปต้องทำให้ดีกว่าวันรุ่งขึ้น

นี่คือลักษณะของการที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติมา โดยเฉพาะให้มีสมุดกับปากกาใกล้มือไว้เสมอ ได้ยินได้ฟังอะไรที่กระทบใจ ถูกใจ รีบจดเอาไว้ สิ่งนั้นตรงกับกำลังใจของเราในปัจจุบัน แล้วพากเพียรทำสิ่งนั้นให้ได้ เสียดายที่ท่านทั้งหลายขาดปัญญาไปนิดหนึ่ง

กระผม/อาตมภาพเองตอนบวช ถือว่าเป็นการอุปสมบทหมู่รุ่นแรกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบวชให้ในช่วงที่ท่านเป็นเจ้าคุณ ทั้ง ๓๖ รูปนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า "ตั้งฉายาให้ตรงกับตัวทุกคน" ท่านบอกว่าพระเมตตาสงเคราะห์ให้ แล้วก็แปลฉายาแต่ละรูปให้ฟัง ของกระผม/อาตมภาพเอง ท่านตั้งฉายาว่า สุธมฺมปญฺโญ แล้วแปลเสร็จสรรพว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก

ตอนช่วงนั้นก็สงสัยว่า "เรามีปัญญาตรงไหนวะ ?" เพราะว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม รู้สึกว่าขยายความโง่ของตัวเองต่อหน้าหลวงพ่อท่านตลอดมา แต่พอปฏิบัตินานไป ๆ ถึงได้เข้าใจ เพราะว่าในส่วนที่คนอื่นไม่คิด กระผม/อาตมภาพนำไปคิด ในส่วนที่คนอื่นไม่ทำ กระผม/อาตมภาพทำ

โดยเฉพาะส่วนที่ "ขโมยกำลังใจคนอื่น" เหตุที่ใช้คำว่าขโมยกำลังใจคนอื่น ก็เพราะว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติธรรมแล้วดีกว่า เขาทำอะไรได้แล้วขยายมา กระผม/อาตมภาพจะปรับกำลังใจตามเดี๋ยวนั้นเลย เขาพูดจบเราก็ได้ไปด้วย ซึ่งลักษณะตรงนี้ ถ้าหากว่าพวกท่านฝึกฝนมาไม่พอ ปัญญาไม่พอ ฟังไปก็จะเสียของเปล่า ทั้ง ๆ ที่ของดีอยู่ตรงหน้า แต่ไม่รู้จะไขว่คว้ามาเป็นของตนเองได้อย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 23-02-2022, 01:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าจะท้อ ให้ลองดูตัวกระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่าง ไม่ต้องไปดูสุดยอดครูที่เลิศที่สุดในโลกอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ว่าตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๓ ปีมา กระผม/อาตมภาพปฏิบัติธรรมชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกฝนรักษากำลังใจไปพร้อมกับการทำงาน ยังไม่มีการเบื่อไม่มีการท้อเลย มีแต่คิดอยู่เสมอว่าเราต้องทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน

ถ้าหากว่าจะท้อ ตัวกระผม/อาตมภาพเองต้องท้อก่อน เพราะว่าทำมามาก ท่านทั้งหลายค่อยท้อตามทีหลัง โดยเฉพาะการก้าวเดินอยู่ข้างหน้า แล้วมีคนตามหลังเป็นจำนวนมาก เป็นอะไรที่เหนื่อยสุด ๆ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำถึงตรงที่กระผม/อาตมภาพอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วจะเข้าใจ เพราะว่าลำบากเมื่อไร เดือดร้อนเมื่อไร ก็มีแต่คนร้องขอให้ช่วย ไม่ได้มีการเพียรพยามยามให้สุดกำลังของตนเองเลย

ไปนึกถึงตอนที่บวชใหม่ ๆ แล้วอยู่ที่กุฏิมุมวัด ด้านหลังร้านอาหารป้ากิมกี เจอผีมาทดสอบอยู่ทุกวัน ต่อยตีกันอยู่ทุกวัน ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ไม่เคยสู้ได้...แต่ก็สู้ สู้ชนิดที่ไม่นึกถึงความดีด้วย นึกอยู่อย่างเดียวว่า "มึงมา..กูสู้..!"

โดยปกติแล้วคนอื่นถ้าหากว่าโดนผีหลอก หรือว่าโดนผีทำร้าย บีบคอ..จะฆ่าให้ตาย ก็มักจะนึกถึงพระ หรือว่านึกถึงพระนิพพาน ถ้านึกได้ ผีเขาก็เลิกแกล้ง เพราะว่าส่วนใหญ่เป็น "ผีปลอม" แต่ระยะเวลา ๓ เดือน กระผม/อาตมภาพไม่เคยนึกถึงความดีได้เลย เตะเป็นเตะ ต่อยเป็นต่อย ตีกันเข้าไป เสียท่าโดนเขาล็อคอยู่ได้ เออ...ก็เรื่องของมึง กูก็พัก ดิ้นหลุดได้เมื่อไรค่อยว่ากันใหม่..!

กระผม/อาตมภาพได้เห็นความดื้อของตัวเองว่า ถ้าเรื่องฉุกเฉินขนาดนี้ยังไม่เรียกใครช่วย แต่พยายามใช้ความสามารถตัวเองล้วน ๆ ก็แสดงให้เห็นชัดในเรื่องของกำลังใจว่าเรื่องอื่นนั้นไม่ท้อแน่ เสียดายที่ว่าการทดสอบมีอยู่แค่ ๓ ปีเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วก็กลายเป็นประเภท "ผีระอา เทวดาเบื่อหน่าย" ทำอะไรไปก็ไม่เคยเรียกให้ใครช่วย ไม่เคยนึกถึงความดี มีแต่สู้อย่างเดียว เขาเบื่อ..ก็เลยเลิกไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 23-02-2022, 01:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,090 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายได้ฟังแล้ว สามารถนำเอาตรงไหนปรับใช้กับตัวเองได้ ก็ให้นำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ต้องรอเวลาให้กระผม/อาตมภาพมาแนะนำสั่งสอน เพราะว่าที่บอกไปนั่นคือความรู้ทั้งหมดที่ศึกษามาแล้ว โดยเฉพาะตอนปฏิบัติธรรมในช่วงบวชเนกขัมมะแต่ละรุ่น ถ้าหากว่าใครทำได้ ท่านจะต้องการวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ดูว่าง่ายเกินไปจนเหลือเชื่อ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ชอบทำของยากให้ง่าย ไม่ค่อยชอบทำอะไรให้ยาก ถ้าภาษาบาลีท่านใช้คำว่า อุตตานีกะโรติ ทำของลึกให้ตื้น ก็คือให้ง่ายต่อความเข้าใจ จนกระทั่งหลายคนมองข้ามไปว่า "มาปฏิบัติธรรมกี่ครั้ง จัดการปฏิบัติธรรมกี่รุ่น ก็เห็นแต่สอนซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นั่นแหละ"

อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมคือการทำซ้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ จนกว่าเราจะก้าวข้ามไปได้อย่างแท้จริง

วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่รับฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว