การเจริญวิปัสสนา
การเจริญวิปัสสนา
การเจริญวิปัสสนาต้องมีสมาธิเป็นบาท คือต้องทำสมาธิให้จิตสงบ อย่างต่ำต้องได้ขณิกสมาธิ แต่ขั้นขณิกสมาธิยังมีพลังอ่อน ยังเศร้าหมอง จึงนำไปใช้เจริญวิปัสสนาไม่ได้ดี ควรทำจนถึงขั้นฌาน ๔ ชั้นใดชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นต้น
ในจูฬหัตถิปโทปมสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงคุณภาพของจิตในขณะได้ฌานและวิธีดับอาสวะไว้ดังต่อไปนี้ "ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ จุตูปปาตญาณ รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายว่าดีเลวต่างกันเพราะด้วยอำนาจกรรม ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้ทุกข์เกิด นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดแห่งอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับอาสวะ เมื่อภิกษุเห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณเกิดขึ้นว่าพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"
คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 02-07-2009 เมื่อ 19:40
|