|
ปลดหนี้ที่เนปาล ปลดหนี้ที่เนปาล โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร. (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ปลดหนี้ที่เนปาล ตอนที่ ๒
หลวงปู่ท่านไม่เคยไปเนปาล งานนี้จึงขอไปด้วย..! วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ กราบขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ขอให้การเดินทางของลูกและคณะทั้งหมด สะดวกสบาย และปลอดภัยทุกประการ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาพร้อมกับหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน บอกว่า "งานนี้หลวงปู่สายท่านจะช่วยดูแลการเดินทางให้ หลวงปู่ท่านยังไม่เคยไปเนปาล จึงให้ท่านได้ไปเที่ยวบ้าง" ฮ่า..หลวงพ่อพูดอย่างกับหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นแหละ ท่านแค่นึกก็ไปถึงแล้ว ไม่เห็นจะต้องลำบากเดินทางไปกับคณะของเราเลย... เนื่องจากทาง เอ็น.ซี.ทัวร์นัดแนะเจอกันที่เคาน์เตอร์ D ของการบินไทย เวลา ๐๗.๓๐ น. เมื่อฉันเช้าแล้วจึงต้องรีบเดินทาง ทั้งอาตมา พี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) น้องเล็ก จึงยัดกันเข้าไปในรถแท็กซี่ วิ่งตรงไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ช่วงนี้รถรากำลังติดอย่างหนัก เมื่อเลี้ยวซ้ายมาทางสีลมก็แทบนิ่งสนิท พลขับหนุ่มบอกว่าต้องขึ้นโทลเวย์ อาตมางงไปพักใหญ่ เพราะจะไปสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ได้ไปสนามบินดอนเมือง แล้วจะขึ้นโทลเวย์ไปทำไม ? เลยได้ฟังเล็กเชอร์จากพลขับเรื่อง Tollway ว่าต่างจาก Motorway และ Highway อย่างไร ? ซ้ำยังถามว่า "ท่านเข้าใจไหมครับ ?" เออ..เข้าใจ แต่ตูเข้าใจผิดโว้ย..! เวรจริง ๆ เลย... พ่อหนุ่มยิ้มย่องผ่องใสกล่าวต่อไปว่า "ผมอธิษฐานเอาไว้ว่าขอให้เที่ยวแรกได้ไปสุวรรณภูมิ พอไปส่งแฟนที่พระรามสองแล้ว ปกติเวลานี้จะต้องมีผู้โดยสารเรียกแน่นอน แต่ผมถูกเขาแซงรับก่อนทุกที วิ่งมาถึงที่นี่เห็นพระอาจารย์เรียก ผมยังไม่แน่ใจว่าจะไปไหน พอได้ยินว่าสนามบินสุวรรณภูมิผมนี้ขนลุกเลย" อาตมาได้แต่หวังว่าคุณคงจะไม่หมด "โควตา" แล้วต่อไปขออะไรไม่ได้อีกนานนะจ๊ะ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2015 เมื่อ 10:24 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ขนาดไปต่างประเทศกระเป๋ายังเบาแค่นี้เอง เลี้ยวซ้ายมายัง Tollway (ทางเก็บเงิน) จ่ายไป ๕๐ บาท วิ่งยาวแบบไม่ติดขัดมาจ่ายอีกด่าน ๒๕ บาท ขณะแล่นฉิวไปก็เห็นรถขาเข้าที่สวนมาติดกันเป็นแพ ยิ่งแสงแดดส่องใส่หน้าพวกเราเต็ม ๆ ยิ่งเห็นแล้วตาลาย พลขับจอมอธิษฐานมาส่งพวกเราที่ประตูสามสนามบินสุวรรณภูมิ น้องเล็กควักกระเป๋าจ่ายค่าแท็กซี่ไป ๓๗๕ บาท "ขอให้ทำมาหากินคล่อง ๆ นะ" อาตมาอวยพรส่งท้าย... เจ้าหน้าที่รีบมากั้นรถให้ "ผู้ยิ่งใหญ่" เดินเข้าประตูซึ่งตรงกับเคาน์เตอร์ E พอเลี้ยวซ้ายไปก็เห็นพวกเราทั้งยืนทั้งนั่งอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ D แน่นไปหมด มหาโรจน์ที่ห่มจีวรสีเหลืองส้มดูเด่นที่สุด รีบมารับกระเป๋าไปแล้วก็ร้องว่า "ทำไมเบาอย่างนี้ครับ ?" อาตมาจึงเอานิ้วชี้ยกกระเป๋าให้ดู เอ๋ (สุรชาติ บุญเจริญ) ซึ่งเป็นตากล้องประจำเว็บวัดท่าขนุนรีบถ่ายรูปเอาไว้ พี่มุกดาร้องถามหาห้องน้ำ อาตมาที่ปวดฉี่อยู่จึงเดินตามไปบ้าง... "หลวงพ่อคะ..หลวงพ่อคะ..พวกเราอยู่ทางนี้ค่ะ" คุณนวลจันทร์ในชุดสีน้ำทะเลทั้งชุด คงคิดว่าอาตมาไม่เห็นพรรคพวกที่รออยู่ จึงวิ่งตามมาเรียก อาตมาบอกว่าจะไปห้องน้ำ ท่านเจ้าของบริษัทจึงถึงสุวรรณภูมิ เอ๊ย..ถึงบางอ้อ หันกลับไปดูแลพวกเราต่อพร้อมกับคุณหนึ่งและคุณโอเล่ ต้องขอบคุณด้วยความเกรงใจมากจริง ๆ ที่ทำให้ท่านผู้เกษียณอายุแล้วต้องมาเหนื่อยกับคณะของเราอีก... |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
คณะของเรากำลังตรวจตั๋วและฝากกระเป๋า ออกจากห้องน้ำมาเจอทิดเต้ยถวายปัจจัยมา ๒ ดอลลาร์ ทิดจิตร (จิตติพัฒน์ เอี่ยมโอด) กับทิพย์ (พรทิพย์ อัมพาโรจน์) สองตายายถวายมา ๑๐๐ ดอลลาร์ ยายจี๋ (วินิตา มณฑลโสภณ) แจ้งว่าเพื่อนชื่อคุณเนตรทราย ทัพพยุทธพิจารณ์ ร่วมบุญมา ๑๕,๙๐๐ บาท คุณ Burunshana ร่วมบุญ ๕๐๐ บาท ป้านุชรวบรวมจากคณะอีก ๓,๕๐๐ บาท รวมกันแลกเป็นดอลลาร์ถวายมา ๕๕๖ ดอลาร์ อาตมารับแล้วแยกเอาไว้ต่างหาก เพื่อรวบรวมเข้ากองกฐินทีหลัง คุณหนึ่งเอาสูจิบัตรที่ทางบริษัททำเป็นเล่มมาถวายและแจกให้กับทุกคน สรุปว่าคณะที่ร่วมเดินทางไปทอดกฐินปลดหนี้ในครั้งนี้ประกอบด้วย... ...............................................................๑. อาตมา (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.) ...............................................................๒. น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ...............................................................๓. พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ...............................................................๔. คุณชวง (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) ...............................................................๕. ยายจี๋ (นางสาววินิตา มณฑลโสภณ) ...............................................................๖. ทิดโจ้ (นายพัชสัณฑ์ สมตน) ...............................................................๗. สาวมด (นางสาวจิราพร กาญจนมนตรี) ...............................................................๘. สาวโอ (นางสาวปาริฉัตร อายุวัฒนะ) ...............................................................๙. ทิดแจ๊ค (นายกรชัย บันดาลศิริกุล) ...............................................................๑๐. ทิพย์ (นางสาวพรทิพย์ อัมพาโรจน์) ...............................................................๑๑. ทิดจิตร (นายจิตติพัฒน์ เอี่ยมโอด) ...............................................................๑๒. มหาโรจน์ (พระมหานัทกฤต ทีปงฺกโร) ...............................................................๑๓. คุณเตชินท์ (นายเตชินท์ เชาวน์ฐายี) ...............................................................๑๔. ตากล้องเอ๋ (นายสุรชาติ บุญเจริญ) ...............................................................๑๕. คุณศรัณย์ (นายศรัณย์ ศรีพิมลพันธุ์) ...............................................................๑๖. คุณปราโมทย์ (นายปราโมทย์ นนทารักษ์) ...............................................................๑๗. คุณมาลีรัตน์ (นางสาวมาลีรัตน์ นาคทอง) ...............................................................๑๘. คุณยาย (นางภัทริณ จันทรนิภาพงศ์) ...............................................................๑๙. คุณศริณยา (นางสาวศริณยา จันทรนิภาพงศ์) ...............................................................๒๐. คุณศริณธร (นางศริณธร เซ็นภักดี) ...............................................................๒๑. คุณบัญชา (นายบัญชา เซ็นภักดี) ...............................................................๒๒. กัปตันวิทย์ (นายว่องวิทย์ ไวยนิกรณ์) ...............................................................๒๓. คุณนายแขก (นางศศิพรรณ ไวยนิกรณ์) ...............................................................๒๔. คุณโอเล่ (นางสาวนุสรา เด่นซอ) คุณหนึ่งเอาหนังสือเดินทางกับตั๋วเครื่องบิน และใบผ่านแดนที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้วมาส่งให้อีกรอบ บอกว่าให้ทุกคนไปโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ 16D มหาโรจน์ยกกระเป๋าของอาตมาที่ติดหมายเลข ๐๑ พร้อมโบว์สีเขียวจะตามไป อาตมาบอกว่าใบนี้จะหิ้วขึ้นเครื่อง ให้ท่านเอาของท่านไปโหลดเองเถอะ แล้วสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) เดินไปเพื่อถ่ายรูปพวกเราที่กำลังโหลดกระเป๋า คุณนวลจันทร์รีบเข้ามาบอกว่า "หลวงพ่อไม่ต้องเข้ามาค่ะ เดี๋ยว 'จันทร์จัดการให้เอง"... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2015 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ท่านอาจารย์วิปัสสีมากับสามเณรสุนิล น้องเล็กบอกว่าท่านวิปัสสียังไม่มา พวกเราต้องโหลดกระเป๋ากันเดี๋ยวนี้แล้ว ถ้าท่านมาไม่ทันก็จะไม่ได้เฉลี่ยน้ำหนักด้วย อาตมาให้น้องเล็กรีบโทรถามว่าท่านมาถึงไหนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะติดต่อไปท่านก็มายืนยิ้มฟันขาวอยู่พร้อมกับสามเณรที่ถามชื่อแล้วบอกว่าชื่อ "สุนิล" มีรถเข็นบรรทุกของมาเพียบ ๒ คัน คุณนวลจันทร์ขอหนังสือเดินทางกับบัตรขึ้นเครื่องของอาตมาไป บอกว่ากระเป๋าของคนอื่นโหลดกันไปหมดแล้ว ต้องใช้น้ำหนักของอาตมากับน้องเล็กมาเฉลี่ยให้ท่านวิปัสสี ที่เหลือท่านต้องใช้น้ำหนักของตนเอง ส่วนสามเณรสุนิลช่วยขนของมาส่งเฉย ๆ ไม่ได้เดินทางไปด้วย จึงช่วยเฉลี่ยน้ำหนักให้ไม่ได้... ท่านเจ้าของบริษัท หัวหน้าคณะ มัคคุเทศก์ กับลูกน้องในบริษัท ช่วยกันมะรุมมะตุ้มอยู่พักหนึ่งก็เรียบร้อย คุณหนึ่งเอาหนังสือเดินทางกับตั๋วเครื่องบินมาคืน บอกว่าให้ไปรอที่ประตู F5 ได้เลย อาตมาจึงเดินนำทุกคนไป ปล่อยให้ญาติโยมเข้าทางประตู ๒ ตัวเองกับมหาโรจน์เดินไปช่อง Premium แต่ทางนี้คนเยอะมาก ยืนรอกันอยู่ตั้งนาน แล้วอยู่ ๆ เจ้าหน้าที่หนุ่มก็มาปิดช่องที่อาตมายืนรอ บอกว่า "คอมพิวเตอร์เสียครับ กรุณาเข้าช่องด้านข้างแทน" เออเว้ย..ฤกษ์ดีแต่เช้าเลย... คุณดวงพร บุญพันธ์ เจ้าหน้าที่หญิงประจำช่องรับหนังสือเดินทาง รับตั๋วเครื่องบินและบัตรผ่านแดนของอาตมาไป พร้อมกับออกตัวว่า "คอมพิวเตอร์ทำงานทั้งวันทั้งคืน รับภาระไม่ไหวจึงเสียค่ะ" อาตมาหัวเราะพลางบอกว่า "ถ้าเป็นหน่วยงานแถววัดท่าขนุนพูดแบบนี้ แปลว่าต้องการให้อาตมาบริจาคของใหม่ให้" เธอจึงหัวเราะไปด้วย เมื่อได้เอกสารคืนมาแล้ว อาตมาเดินเข้าไปก็เจอครอบครัวอบอุ่นของคุณบัญชา คุณศรินธร คุณศรินยา ยืนรอกันอยู่ บอกว่าคุณยายภัทริณผู้เป็นแม่ ลายนิ้วมือไม่ผ่าน ยังติดอยู่ตรงช่องตรวจด้านนอก... |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
โถชักโครกที่น่ารักสุด ๆ พอมหาโรจน์มาถึงอาตมาก็เดินต่อมาถึงหน้ารูปปั้นกวนเกษียรสมุทร ตากล้องเอ๋เพิ่งตามมาถ่ายรูปได้ ๒ รูปน้องเล็กที่เข้ามาตั้งนานก็เดินมาตาม เพราะสงสัยว่าทำไมถึงช้านัก พาเดินไปทางประตู F5 พร้อมกับโทรขอโทษคุณนวลจันทร์ ที่พวกเราเข้ามาโดยไม่ได้บอกลา คุณชวงอยากให้อาตมาได้พักก่อน จึงพาไปที่ "เล้า" ของการบินไทย จัดการแลกแต้มให้อาตมา มหาโรจน์ กับน้องเล็กเข้าไปพักด้านใน หลายคนที่เหลือจึงต้องเดินกลับกันหมด เมื่อนั่งเรียบร้อยคุณชวงก็ไปเอาชาร้อนมาถวาย อาตมาเปิดโน้ตบุ๊ก (๒) ที่ทำท่ารวนแบบ "อายุมากแล้ว" พิมพ์เรื่องราวช่วงนี้เอาไว้ก่อน... มหาโรจน์ส่งเงินมาให้พร้อมกับแจ้งว่าแม่ทิพย์ (ดร.ทิพย์ อมาตยกุล) ขอร่วมทำบุญกฐินด้วย ๕,๐๐๐ บาท อาตมารับมาแล้วแยกใส่กระเป๋าเงินสำหรับทำบุญ แล้วพิมพ์บันทึกการเดินทางไปเรื่อย จนกระทั่งเวลา ๐๙.๔๐ น. จึงปิดโน้ตบุ๊ก (๒) เดินไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าโถชักโครกที่นี่น่ารักมาก กลมเป็นกลองจีนเลย จึงเดินกลับมาเอากล้องถ่ายรูปที่ชาร์ตแบตเตอรี่ไว้เพื่อไปถ่ายรูป สาวที่ยืนเฝ้าหน้าห้อง เปิดห้องน้ำคนพิการให้ พลางบอกว่า "ห้องนี้ดีกว่าค่ะ" อาตมาที่ "ใจพิการ" จึงมุดเข้าไปถ่ายรูปไว้ แล้วกดน้ำให้เสียงดัง กันคุณเธอสงสัยว่าไม่ใช้ห้องน้ำแล้วเข้าไปทำอะไร..? กลับมาบอกกับทุกคนว่าให้ไปที่ประตูขึ้นเครื่องได้แล้ว คุณชวงบอกว่ารอจนได้เวลาแล้วค่อยไปก็ทัน เพราะคนมากไปถึงก็ต้องรอกันอยู่ดี แต่อาตมาที่ถือคติว่า "ไปรอเขา ดีกว่าให้เขารอ" จึงเดินนำออกไปก่อน พอถึงประตู F5 เจ้าหน้าที่ชายตรวจบัตรขึ้นเครื่องแล้วถามว่า ใครเป็นคนแก้ไขเลขที่นั่งจาก 57B เป็น 56H เพราะติดข้างทางเดินไม่สะดวกในการทำงานของเจ้าหน้าที่ อาตมาซึ่งเบื่อพวกที่ชอบมายุ่งกับชีวิตจึงบอกไปว่าพวกเรามากันเป็นคณะ เดี๋ยวขึ้นเครื่องไปแล้วจะไปขอเปลี่ยนที่นั่งกันเอง... |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
นั่งรอเวลาเขาเรียกขึ้นเครื่อง "สวัสดีค่ะ..หลวงพ่อ" คุณโอเล่ที่วันนี้ใส่เสื้อยืดคอปกสีเหลืองสดยกมือไหว้ เมื่อเห็นอาตมาทำหน้างง ๆ ก็บอกว่า "เพิ่งมีโอกาสทักทายอย่างเป็นทางการค่ะ" อาตมาและมหาโรจน์ตรงไปนั่งกับท่านวิปัสสี บอกกับท่านว่าอาศัยสิทธิพิเศษไปพักมา แล้วคุยกันไปสารพัดเรื่อง จนได้เวลาขึ้นเครื่องเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งว่า ให้อาตมาทั้งสามรูปขึ้นทีหลังสุด ผู้โชคดีทั้งสามจึงรอจนกระทั่งผู้โดยสารอื่นขึ้นไปหมดแล้ว ค่อยเดินตามกันขึ้นเครื่อง นางฟ้าในชุดไทยที่ยืนอยู่หน้าประตูถามหมายเลขที่นั่ง พอแจ้งว่าจะมาขอเปลี่ยน เธอก็ให้พวกเราเดินหลบไปยืนข้างประตูฉุกเฉินก่อน ยังไม่ทันไรก็มีเพื่อนนางฟ้าเดินรี่เข้ามา บอกว่า "กัปตันวิทย์" สั่งให้พาไปนั่งที่ชั้นธุรกิจเลย... มีที่ว่างแถวหน้าสุดทั้งแถว อาตมาจึงนั่งเลขที่ 11k ริมหน้าต่างด้านขวา มหาโรจน์นั่งตามแต่คุณนางฟ้าบอกว่าติดข้างทางเดิน ให้ไปนั่งทางเลขที่ 11E ดีกว่า ท่านวิปัสสีเดินเข้าไปนั่งขณะที่เธอทำท่างง ๆ รำพึงว่า "เอ๊ะ..กัปตันบอกว่ามีแค่สององค์ ?" อาตมารีบบอกว่ามาด้วยกัน เธอจึงให้มหาโรจน์นั่งกับท่านวิปัสสี ซึ่งหัวเราะอาตมาที่ต้องนั่งคนเดียวเป็น Home alone อาตมาไม่สนใจเพราะนั่งคนเดียวก็สบายดี หยิบเอาสมุดมาบันทึกเหตุการณ์เอาไว้... เจ้าหน้าที่ชายเอาผ้าร้อนฉ่ามาถวาย อีกสักครู่ก็ตามมาด้วยน้ำแอปเปิลกับน้ำเปล่าอย่างละ ๑ แก้ว อาตมาฉันแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ กลับออกมามหาโรจน์แนะนำหนุ่มหล่อกับสาวสวยที่หน้าเหมือนสาวแขกว่า "กัปตันวิทย์ (ว่องวิทย์ ไวยนิกรณ์) กับคุณศศิพรรณ (ศศิพรรณ ไวยนิกรณ์) ครับ เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคณะของเรา และขอติดตามหลวงพ่อไปทอดกฐินด้วยครับ" อ๋อ..เจ้าของรายชื่อที่เพิ่มมานั่นเอง อาตมาบอกว่ายินดีต้อนรับ แล้วกลับไปนั่งที่เดิม มหาโรจน์ตามมานั่งด้วย "I'm not home alone now. Ha..Ha.." ท่านวิปัสสีที่กลายเป็น Home alone แทน หัวเราะไปโทรศัพท์หาโยมทางเนปาลไปด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2015 เมื่อ 16:07 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
การบินไทยให้มาแต่ส้อมครับ..! เจ้าหน้าที่หนุ่มมาบอกกับอาตมาว่า จะเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้กับตัวไม่ได้ แล้วแถวนี้ก็เป็นแถวหน้าสุด ไม่มีใต้ที่นั่งให้วางได้ อาตมาจึงหยิบกล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึกออกมา แล้วส่งกระเป๋าให้เอาไปเก็บบนช่องเก็บของ นางฟ้าอีกรายมาถึงก็นั่งลงเกือบจะพับเพียบกับพื้น พนมมือถามว่าจะฉันเพลกี่โมง ? มหาโรจน์บอกว่าไม่เกิน ๑๑.๓๐ น. เธอจึงแจ้งว่า พอเครื่องขึ้นและตั้งลำได้แล้ว จะนำอาหารมาถวายเลย จากนั้นเป็นการสาธิตเครื่องช่วยชีวิตจากหน้าจอทีวีขนาดเล็ก... ๑๐.๓๐ น. กัปตันชุมพลนำเครื่องพิจิตรเคลื่อนออกไปยังทางวิ่ง ซึ่งมีเครื่องลำอื่นนำหน้าและทะยานขึ้นฟ้าไปตามลำดับ จนถึงลำของเราที่เหินฟ้าเมื่อเวลา ๑๐.๓๗ นาฬิกา พอถึงระดับ ๓๖,๐๐๐ ฟุต เสียงสัญญาณปลดเข็มขัดนิรภัยได้ก็ดังขึ้น พนักงานหนุ่มเอาผ้าขาวมาสองผืน อาตมาดึงที่ตรงกลางท้าวแขนเพื่อเอาโต๊ะพับออกมา ดันกลายเป็นจอทีวีไปเสียนี่ กัปตันวิทย์มาช่วยดึงอันที่ด้านข้าง จึงได้ตามต้องการ พอปูผ้าขาวเสร็จ พนักงานหนุ่มก็เอาน้ำแอปเปิลกับน้ำเปล่ามาถวายรูปละ ๒ แก้ว สักครู่นางฟ้าการบินไทยก็เอาอาหารใส่ถาดมายืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก อาตมาจับผ้าขาวแล้วบอกให้วางได้เลย... มื้อนี้เรียกชื่ออาหารไม่ถูก เป็นข้าวผัดโปะหน้าด้วยไก่นึ่งซอสกับพริกหวาน อีกถ้วยเป็นปลาทูน่าฝอยกับแป้งที่หน้าตาเหมือนครองแครง น่าจะเป็นพวกพาสต้า มีขนมปังกะโหลกอันจิ๋วกับเนย ๑ ชิ้น ถ้วยสุดท้ายหน้าตาเหมือนแกงถั่ว (Dal) ของอินเดีย แต่กลับรสหวานและมีกลิ่นนม อาตมาถ่ายรูปอาหารแล้ว มหาโรจน์ถามว่า "จะฉันอย่างไรครับ ? มีแต่ส้อมทั้งสองอัน" อาตมาดูของตัวเองก็เป็นส้อมทั้งคู่ ของท่านวิปัสสีก็เช่นกัน กัปตันวิทย์รีบไปบอกให้บรรดาเทวดานางฟ้าประจำเครื่องเนรมิตช้อนมาโดยด่วน... |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
รายงานอากาศที่ผิดแน่ ๆ..! อาตมาฉันข้าวผัดหน้าไก่ ตามด้วย "ครองแครง" ปลาทูน่า แล้วฉีกขนมปังกะโหลกกวาด "ขนมถั่ว" ใส่ปากจนเกลี้ยง จิบน้ำตามไปนิดหน่อย แล้วหันไปสนใจจอรายงานผลตรงหน้า แต่สงสัยว่าจะทำงานหนักจนเพี้ยน เพราะรายงานอากาศนอกเครื่องขณะนี้ -39F แต่ดันไปบอกว่า -40C ส่วนแผนที่ดาวเทียมพอที่จะอาศัยได้ ขีดเส้นทางการบินเฉียดเมืองมะละแหม่งของพม่า ผ่านอ่าวเบงกอลตรงไปยังกาฐมาณฑุ มองออกนอกหน้าต่างเครื่องบินเห็นแต่ "เมฆเกล็ด" เกลื่อนฟ้า แสดงว่าเข้าหน้าหนาวแล้วจริง ๆ... "รับน้ำชาหรือกาแฟดีคะ ?" นางฟ้าคนสวยถาม อาตมาที่ติดนิสัยก่อนและหลังอาหาร ๑ ชั่วโมงจะไม่ฉันน้ำ จึงปฏิเสธความหวังดีของเธอไปก่อน มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง เห็นพื้นที่ประเทศพม่าด้านล่างเขียวขจี มีพื้นที่น้ำที่แสดงว่าเป็นเขื่อนอยู่ ๔ แห่ง ที่ดูจากบนฟ้านี้แล้วไม่ไกลกันมากนัก นภิสราเทวีนางฟ้าตัวจริงคงเห็นว่าครั้งนี้มีจอแสดงภาพถ่ายทางดาวเทียม จึงไม่อยู่ช่วยอธิบายอะไรเลย อาตมาถ่ายรูปเขื่อนแล้วเปิดให้มหาโรจน์ดู อีกฝ่ายยังมองไม่ออก จึงต้องชี้ว่าแนวสันเขื่อนแต่ละแห่งอยู่ตรงไหน ท่านถามว่า "หลวงพ่อดูออกได้อย่างไรครับ ?" สมัยก่อนตูสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้คะแนนเต็มร้อยเว้ย..! นั่นเป็นระวางแผนที่ทหารที่ไม่มีอะไรเลย นอกจาก "เส้นกริด" และ "เส้นชั้นความสูง" กับ "สีแสดงพื้นที่" เท่านั้น ที่เห็นอยู่นี่แทบจะบอกได้เลยว่าบ้านคุณอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำไป... "ทางซ้ายบนของพม่าเป็นเทือกเขาอาระกันโยมาที่กั้นเขตกับอินเดีย ที่อ้อมมาทิศตะวันออกแล้วโค้งลงใต้คือเทือกเขาคาคาบอราชีในรัฐกะฉิ่น เป็นแนวเดียวกับเทือกเขาหิมาลัย แถวนี้มียอดเขาหิมะทั้งปี แนวขวาสุดนี่เป็นเทือกเขาชานโยมา ที่กั้นมณฑลมัณฑะเลย์กับรัฐฉาน แนวยาวที่กั้นเขตไทยกับพม่าด้านบนเป็นเทือกเขาถนนธงชัย ด้านล่างเป็นเทือกเขาตะนาวศรี สีน้ำเงินเข้มตรงนี้คือเขื่อนวชิราลงกรณข้างวัดท่าขนุน ถัดมาอีกหน่อยก็คือเขื่อนศรีนครินทร์" |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี มหาโรจน์ถามด้วยความสงสัยว่า "ทำไมดูเล็กจังเลยครับ" ฮ่วย..นี่เราอยู่บนเครื่องบินที่สูงตั้ง ๑๑ กิโลเมตร แล้วดาวเทียมที่แสดงแผนที่สูงขึ้นไปอีกกี่ร้อยกิโลเมตร ? จะเอาใหญ่สักแค่ไหนวะ ? คุณเห็นหรือยังว่าเมื่อเปรียบกับแผนที่นี้แล้ว ประเทศไทยเราเล็กแค่ปลายนิ้วปิดมิด แล้วดูหลายร้อยประเทศบนพื้นดินทั่วโลก ๑ ส่วนเปรียบกับพื้นน้ำ ๓ ส่วนได้ไหม ? พอเอาโลกเราไปเปรียบกับจักรวาลก็ฝุ่นดี ๆ นี่เอง ตัวตนของคุณอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลย แล้วจะไปแบกมานะว่ากูยิ่งใหญ่อีกไหวไหม ?" วิชาแผนที่เข็มทิศกลายเป็นการปฏิบัติธรรมไปเสียแล้ว... นอกหน้าต่างเป็นพื้นที่แห้งแล้งหลายล้านไร่ น่าจะเป็นช่วงมณฑลมัณฑะเลย์ต่อกับมณฑลสะกาย แม่น้ำใหญ่ขุ่นคลั่ก มีสันดอนทรายขนาดใหญ่หลายแห่งนั่นคือช่วงบนของแม่น้ำอิระวดี เส้นเลือดใหญ่ของประเทศพม่า บินไปอีกไม่กี่นาทีต่อมาก็แตกแขนงเป็นใยแมงมุมไหลออกทะเล นั่นคือมณฑลอิระวดีซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งฟื้นตัวจากมหาพายุนาร์กีสแล้ว ครู่ต่อมาแนวการบินก็ออกสู่ทะเลบริเวณอ่าวเบงกอลของมหาสมุทรอินเดีย เห็นเกาะน้อยเกาะใหญ่หลายร้อยเกาะ ดูจากบนฟ้าแล้วเหมือนตัวหนอนสั้นบ้างยาวบ้าง อ้วนบ้างผอมบ้าง มีเกาะยาวหลายกิโลเมตรที่ดูเหมือนปลาไหลกำลังสะบัดหางด้วย ถัดไปเป็นอ่าวที่มีภูมิประเทศสุดยอดมาก เพราะมีแนวเขายื่นยาวไปหลายกิโลเมตร ลักษณะเหมือนง่ามหนังสะติ๊ก หันง่ามข้างหนึ่งบังทะเลเปิดไว้ ตามเกาะมีหมู่เมฆเป็นหย่อม ๆ เฉพาะบริเวณที่มีต้นไม้มากเป็นป่าเท่านั้น... รู้สึกปวดปัสสาวะจึงไปเข้าห้องน้ำ ภายในจัดเอาไว้น่ารักมาก มีดอกกล้วยไม้ประเภทหวายสีม่วงสัญลักษณ์ของการบินไทยจัดวางประดับไว้มุมหนึ่งด้วย น่าเสียดายสายการบินที่เคยเป็นที่หนึ่งของโลก ปัจจุบันส่วนใหญ่กลายเป็นแหล่งเด็กฝากเด็กเส้นและลูกท่านหลานเธอ แทบจะไม่มีใครทำงานเพื่อหน่วยงานอย่างจริงจัง นอกจากคอย "สูบเลือด" ไปวัน ๆ ถึงได้เจ๊งรูดทะราดจนต้องปิดเส้นทางการบินหลัก ๆ ไปมากมาย เมื่อกลับมายังที่นั่งพนักงานหนุ่มบนเครื่องก็นำผ้าร้อนมาถวายอีก อาตมาเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วก็หลับตาพักผ่อน ภาวนาส่งใจไปกราบพระบนพระนิพพาน... |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
|
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เด็กวังวน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ตั้งใจดูดี ๆ ครับ ว่าท่านนำเสนออะไร ?
|
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พวกเรานั่ง "ใน" เครื่อง หลวงปู่นั่ง "บน" เครื่อง..! เห็นหลวงปู่สายปาง "ขี่เครื่องบิน" ซึ่งท่านคงจะอึดอัดที่แคบ ๆ จึงมานั่งอยู่ข้างบนเลย (น่าสร้างวัตถุมงคลปางนี้) อาตมาน้อมกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตาดูแลใกล้ชิด แล้วเลยไปกราบพระ "ข้างบน" ลืมตาขึ้นมาเหลืออีก ๔๕ นาทีจะถึงกาฐมาณฑุ เจอใบผ่านแดนที่กัปตันวิทย์กรอกข้อความไว้รออาตมาลงลายมือชื่อ แต่ปากกาที่ใช้หายไปไหนก็ไม่รู้ ? ในซองที่ใส่ไว้ก็ไม่มี ลุกขึ้นดูบนที่นั่งก็ไม่มี ของใหม่ที่ทางเอ็น.ซี.ทัวร์ถวายมาก็เขียนไม่ติด มหาโรจน์เอาของตัวเองมาให้ใช้ก่อน อาตมาเซ็นไปทั้งที่ไม่ได้ใช้ใบผ่านแดน พอส่งปากกาคืนให้กับเจ้าของ แล้วเอาของเอ็น.ซี.ทัวร์มาขีดอยู่พักหนึ่งก็เขียนติดขึ้นมาดื้อ ๆ มิหนำซ้ำยังเห็นปากกาของตัวเองอยู่ในซองอีกด้วย นี่ขนาดมี "เจ้าแม่เนปาล" กับบริวารตามคุมอยู่เป็น "กระตั้ก" อาตมายังโดน "สหายเก่า" ลองกำลังใจเล่นแบบนี้เลย... สิบนาทีต่อมากัปตันชุมพลประกาศนำเครื่องลดระดับลง แจ้งว่าอากาศที่สนามบินตรีภูวันอยู่ที่ ๒๑ องศาเซลเซียส อาตมามองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นเทือกเขาหิมาลัยยาวเหยียดอย่างถนัดชัดเจน งานนี้นภิสราเทวีไม่กล้า "กั๊ก" เพื่อแกล้งกันอีกแล้ว ขืน "กั๊ก" อีกอาตมาจะแกล้งลืมอุทิศส่วนกุศลจากงานกฐินซะให้เข็ด ล้วงกล้องมาถ่ายรูปแบบเพลิดเพลินเจริญใจ เสียดายว่าเป็นช่วงที่เรามุ่งขึ้นเหนือ จึงไม่เห็นจุดเด่นคือ North Face ได้ชัดเจนนักเพราะอยู่ในมุมตะแคง แต่ก็สมชื่อหิมาลัย (ที่อยู่ของหิมะ) จริง ๆ เพราะขาวโพลนจนคนที่ไม่เคยชินอาจจะเห็นเป็นแนวเมฆไปเลยก็ได้... บอกกัปตันวิทย์ให้ช่วยขอน้ำชาให้สักแก้ว พลขับเครื่องบินที่ไม่ได้ขับเที่ยวนี้มุดหายไปหลังม่านเสียนาน แล้วพนักงานหนุ่มก็นำเอาน้ำชาร้อนกับน้ำเย็นมาถวายทุกรูปอย่างละแก้ว เป็นชาจีนหอมกรุ่นเพิ่งชงเสร็จ ไม่ใช่ชาฝรั่งแบบที่นิยมเสิร์ฟบนเครื่องบิน ดีจริง ๆ พ่อคุณเอ๋ย.... อาตมายกซดฮวบเดียวหมด มหาโรจน์จิบแล้วจิบอีก ในที่สุดก็ยอมแพ้วางแก้วลง บอกให้พนักงานเก็บไปได้ เฮ้ย..เสียของเปล่า อาตมาคว้ามาเทใส่แก้วของตัวเอง แล้วซดฮวบเดียวหมด อีกฝ่ายนั่งหัวเราะ "ผมทำไม่ได้อย่างหลวงพ่อซักที"... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2015 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ตรงนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ นภิสราเทวียืนตระหง่านค้ำฟ้า ด้านหลังมีบริวารหลายพันยืนเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดหลายสิบแถว ยกมือวันทาหลวงปู่สายก่อน แล้วค่อยหันมาไหว้อาตมา "ยินดีต้อนรับหลวงปู่ หลวงพ่อ และคณะทุกท่านเจ้าค่ะ" หลวงปู่สายหันมาพูดเบา ๆ ตามแบบฉบับของท่านว่า "มีเจ้าแม่ท่านคอยดูแลอยู่แบบนี้ หลวงปู่ไม่ต้องมาด้วยก็ได้..ใช่ไหม ?" ไม่ใช่ครับ...มีหลวงปู่มาด้วยย่อมดีกว่าไม่มีเป็นล้านเท่าครับผม... แนวเขาเขียวขจีปรากฏให้เห็น แล้วบ้านเรือนก็โผล่มาประปราย มีนาข้าวแบบขั้นบันไดสีเขียวอมเหลืองแทรกอยู่เป็นระยะ ดูอุดมสมบูรณ์กว่าปีที่แล้วมาก คงเป็นเพราะเพิ่งจะหมดฝนใหม่ ๆ เจ้าแม่หลักเมืองเนปาลบงการบริวาร "อุ้ม" เครื่องบินทั้งลำลงสนามบินโดยสวัสดิภาพ เมื่อนำเครื่องเข้าสู่ที่จอดแล้ว สัญญาณรัดเข็มขัดดับลง กัปตันวิทย์ช่วยหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) ให้ ส่วนกระเป๋าอีกใบมหาโรจน์ช่วยถือให้เอง อาตมาเดินไปรอที่หน้าประตูทางออก พอนางฟ้าประจำเครื่องเปิดประตู อากาศเย็นสดชื่นก็พัดกรูเข้ามาทันที... ท่านวิปัสสีเบี่ยงตัวให้อาตมาลงไปก่อน เพิ่งเดินผ่านท่านไปก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังว่า "นั่นหลวงพ่อเล็กนี่..!" ไม่ทันแล้วแม่คุณเอ๋ย... ถ้าอยากพบก็รอโอกาสหน้านะจ๊ะ อาตมาเดินอ้อมรถบัสบรรทุกผู้โดยสารของเที่ยวบินอื่น ตรงไปยังพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ด้านข้างอาคาร ซึ่งมีภาษาอังกฤษว่า Welcome to the birthplace of Lord Buddha, Nepal ซึ่งจัดสร้างขึ้นใหม่ ๆ ด้วยฝีมือของ CG chaudhary group จัดการถ่ายรูปเอาไว้ก่อน แล้วไหลตามผู้โดยสารจำนวนมากเข้าไปในอาคาร เป็นผู้โดยสารที่มาจากเครื่องลำอื่นแล้วนั่งรถบัสมาลง แสดงว่าการบินไทยของเราเส้นใหญ่ที่สุด เนื่องจากที่จอดอยู่เกือบติดทางเดินเข้าอาคารเลย... |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ท่านวิปัสสีกับรถเข็น ๓ คัน..! เลี้ยวซ้ายมาก็เจอป้ายคุ้นตา อ้อมซ้ายอีกนิดเป็นห้องโถงที่มีรูปวาดพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ผู้โดยสารอื่น ๆ กรูกันไปหยิบใบผ่านแดนมากรอกเหมือนกับพวกเราเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้มากับเอ็น.ซี.ทัวร์ที่บริการกรอกมาให้เรียบร้อย แถมบนเครื่องการบินไทยยังมีให้มาอีกชุด อาตมาจึงเดินไปยังช่อง Non Visa ส่งหนังสือเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็น "ตี๋หล่อ" อีกฝ่ายรับไปแล้วทำหน้างง ๆ แบบไม่เคยเห็นมาก่อน หันไปถามเพื่อนด้วยภาษาเนปาลีประมาณว่า "ไม่เคยเจอ...จะให้ทำอย่างไรวะ ?" เพื่อนบอกมาประมาณว่า "ก็ประทับตราให้ท่านไปซีโว้ย..!" "ตี๋หล่อ" ยังหันมาถามอาตมาอีกว่า "ท่านมาเนปาลครั้งแรกใช่ไหม ?" อาตมาตอบว่า "ครั้งที่สองแล้ว มีตราประทับของเก่าอยู่ในเล่ม" แกเปิดหาแล้วทำหน้าแบบเพิ่งถึงบางอ้อ จัดการประทับตราลงลายเซ็นแล้วส่งคืนมาให้ เอกสารเงินทองอะไรก็ไม่ต้องจ่ายอีกตามเคย ไม่อย่างนั้นจะปลดทับทรวงราคา "แพงโคตร" ของ "ยายกระรอก" ที่ตามติด ๆ มาจ่ายเป็นค่าเข้าเมืองแทน..! เดินผ่านช่องทางด้านหลังเจ้าหน้าที่ไปพร้อมกับหลวงปู่สาย ซึ่งไม่เห็นว่าหลวงปู่ท่านต้องแสดงเอกสารอะไรเลย ยังไม่ทันจะลงบันไดคุณโอเล่ก็เดินแซงไป บอกว่าจะไป "เคลียร์" เรื่องรถโดยสารและมัคคุเทศก์ให้ก่อน อาตมาเดินตามไปจนถึงเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ส่งกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) ให้เจ้าหน้าที่เอาเข้าเครื่อง แล้วเดินเลยไปรับที่อีกด้านหนึ่ง จากนั้นมองหาคุณโอเล่แต่ไม่เห็น จึงไปรออยู่ที่สายพานหมายเลข ๑ ทั้งที่ไม่มีกระเป๋าให้รอรับ ครู่ต่อมาคุณชวง น้องเล็ก และคนอื่น ๆ ก็เข็นรถเข็นมารอกันเป็นแถว โดยเฉพาะท่านวิปัสสีเข็นมาทีเดียวสามคัน..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2015 เมื่อ 14:23 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
กัปตันวิทย์และคุณนายแขกตรวจสอบเงินที่แลกมา คุณนวลจันทร์บริการดีเกินไปเสียแล้ว กระเป๋าของพวกเราประเภทขึ้นก่อนมาทีหลังแน่ ๆ รออยู่ประมาณ ๒๐ นาทียังไม่มีของใครมาสักใบ อาตมาจึงเดินออกไปข้างนอกก่อน เห็นมีกระเป๋าเดินทางจากเที่ยวบินอื่นตกค้างอยู่นับร้อยใบ วางเรียงรายอยู่ข้างทางเดินรอเจ้าของมาติดต่อรับคืน เมื่อมาถึงร้าน “Yeti Money Exchange" วันนี้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่บาทละ ๒.๘๗ รูปี เออว่ะ...ขนาดรัฐบาลทหารของเราบริหารประเทศไม่เอาไหน เงินยังอุตส่าห์แพงขึ้นเฉพาะที่นี่ได้เหมือนกัน อาตมาควักใบละพันบาทยื่นให้พนักงานประจำร้าน อีกฝ่ายบอกว่า "Passport, Sir"... ปีนี้ไม่ได้ใช้พาสปอร์ตอย่างเดียว ยังมีเอกสารระบุอัตราแลกเปลี่ยนและจำนวนเงินมาให้เซ็นอีกด้วย รับเงิน ๒,๘๗๐ รูปีมาแล้ว อาตมาดึงใบละหนึ่งพันรูปีทั้งสองใบส่งคืนไป "One hundred only." อีกฝ่ายพยักหน้าหงึก ๆ บอกว่าไม่มีให้ จึงต้องถอยทัพกลับมา พอดีกัปตันวิทย์กับคุณนายเข็นเอาสมเด็จองค์ปฐมขนาด ๙.๙ นิ้วประธานกองกฐินมาด้วย อาตมาจึงบอกให้ไปแลกเงินบ้าง แต่พอถามคุณนายศศิพรรณว่า มีเชื้อสายแถวนี้หรือเปล่า ? สาวไทยนัยน์ตาแขกก็หัวเราะชอบใจ "ใคร ๆ ก็ถามแบบนี้กันทั้งนั้น หนูเป็นคนไทยแท้ค่ะ" นี่ถ้าไปตากแดดอีกหน่อยแล้วมาเดินแถวนี้รับรองว่ากลมกลืนมาก... หันมาเจอคุณเตชินท์ที่แบกเป้มาใบเดียว คงขี้เกียจรอพรรคพวกเหมือนกัน จึงเดินออกมาก่อน เมื่ออาตมาถามว่าจะแลกเงินหรือไม่ ? พ่อเจ้าประคุณควักใบละ ๑๐๐ ดอลลาร์ออกมาเป็นปึก "เฮ้ย..แลกแค่ห้าร้อยหรือหนึ่งพันบาทก็พอ ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย เก็บดอลลาร์ไว้ซื้อของดีกว่า ได้ราคาดีกว่าเงินไทยอีก" แต่สงสัยว่าแกจะพกมาแต่เงินอเมริกัน ไปแลกแล้วรับใบละพันรูปีมาหอบใหญ่ ส่งให้อาตมา ๑๒ ใบบอกว่าขอร่วมทำบุญกฐินด้วย พอเก็บเงินเรียบร้อยอาตมายังไม่เห็นใครออกมา จะกลับเข้าไปดูเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่หลายคนเหลือเกิน ทำอย่างไรดีวะ ? |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
คณะญาติโยมที่มารับท่านวิปัสสี "นิมนต์พระคุณเจ้าตามมาเลยเจ้าค่ะ" นภิสราเทวีบริการสุดใจขาดดิ้น พาอาตมาเดินสวนคนเข้าไป ผ่านเจ้าหน้าที่กี่รายก็เหมือนกับมองไม่เห็น มาเจอท่านวิปัสสีโดนเจ้าหน้าที่ขอผ่ากล่องทุกใบเพื่อดูของข้างใน เลยมาหน่อยหนึ่งพวกน้องเล็กก็เดินสวนมา พอบอกว่าออกไปแลกเงินแล้วกลับเข้ามาดูพวกเราใหม่ คุณชวงก็ทำตาโต "แล้วเขายอมปล่อยหลวงพ่อเข้ามาหรือคะ ?" เขาคงไม่ยอมหรอก แต่ "เธอ" ยอมว่ะ..! เมื่อเห็นว่าส่วนใหญ่เดินตามกันมาแล้ว อาตมาจึงกลับออกมาแนะนำให้ทุกคนแลกเงินก่อน สักพักหนึ่งรู้สึกปวดปัสสาวะ จึงอาศัยบารมี "เธอ" กลับเข้าไปฉี่ด้านในอีกรอบ แล้วเดินโบกมือบ๊ายบายให้เจ้าหน้าที่กลับออกมาอีกครั้ง คราวนี้เดินเลยพวกเราที่จับกลุ่มแลกเงินกันอยู่ ตามท่านวิปัสสีที่เดินเข็นรถเลยออกมาเกือบถึงด้านนอกแล้ว "ทางนี้ค่ะ..หลวงพ่อ" คุณโอเล่ตะโกนเรียก แต่ท่านวิปัสสีดึงมืออาตมาเอาไว้ บอกว่า "มีคณะญาติโยมจากวัดมุนิวิหารมารับผม พวกเขาอยากพบกับท่านอาจารย์ด้วยครับ" อาตมาจึงเดินตามท่านออกมายังด้านนอก มีผู้ชายวัยกลางคนแต่งสูทใส่หมวกแขกแบบหล่อมากนายหนึ่ง ชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบปลาย ๆ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเป็นมิตรมาก ใส่เสื้อเชิร์ตขาวลายดำอีกนายหนึ่ง กับสุภาพสตรีชราหน้าตา "ทิเบต" ขนานแท้นางหนึ่ง และสุภาพสตรีกลางคนหน้าตาแบบเนปาลีอีกคนหนึ่ง เข้ามายกมือไหว้ "นมัสเต" ทักทายกันแล้ว ทุกคนก็หันไปรุมล้อมช่วยยกข้าวของจากรถเข็น อาตมาจึงเดินไปหาคุณโอเล่แทน... |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
คณะญาติโยมของวัดมุนิวิหารที่มาต้อนรับ หัวหน้าคณะชี้มือข้ามถนนหน้าอาคารสนามบิน ไปยังหนุ่มแน่นสามพันตึงหน้าตาคล้ายฝรั่ง ที่ใส่เสื้อกั๊กสีฟ้าเทอร์คอยซ์ ยืนถือป้าย NC Tour KRATHIN Group เด่นเป็นสง่ารออยู่ พออาตมาเดินเข้าไปถึงเขาก็ยกมือไหว้ทั้งป้าย "นมัสเต, สวัสดีครับ" เล่นทั้งสองภาษา อาตมาถามว่าชื่ออะไร "Jeevan" ตรงกันทั้งภาษาไทยและเนปาลเลย นายชีวันหันไปทักทายคนอื่น ๆ ที่ตามมา กำลังจะพาเดินไปที่รถ ท่านวิปัสสีก็พาญาติโยมคณะเดิม ยกผ้าขะตะที่ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมาทั้งถาด คุณลุงหล่อมากหยิบมาพาดแขนอาตมาที่ยื่นรับ ๑ ผืน ให้อาตมาหยิบไปคล้องคอตนเอง กับมหาโรจน์ก็ปฎิบัติอย่างเดียวกัน... ส่วนคนอื่น ๆ คุณลุง คุณป้า คุณยาย คุณพี่รูปหล่อ ช่วยกันคล้องผ้าให้ ไหว้ทักทาย "นมัสเต" กันแบบอบอุ่นเป็นกันเอง ตากล้องเอ๋ถ่ายรูปไม่เคยทันจังหวะดี ๆ สักรูป โดยเฉพาะตอนรับเองก็ไม่มีใครถ่ายให้อีกด้วย เมื่อได้รับกันเรียบร้อยแล้ว นายชีวันก็ยกมือโบกเรียกความสนใจจากทุกคน "Follow me." ว่าแล้วก็เดินจ้ำไปยังรถที่มารับ ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคันไหน เพราะทั้งลานมีรถบัส ๓๐ ที่นั่งจอดอยู่คันเดียว... อาตมาขึ้นไปก็ยึดที่นั่งขวามือแถวหน้าสุดไว้ก่อน ท่านอื่นเลือกที่นั่งกันตามอัธยาศัย อาตมาถามคุณโอเล่ว่ามีน้ำให้หรือไม่ ? มัคคุเทศก์สาวหันไปบอกกับนายชีวัน พ่อบึ้กจึงเปิดประตูกระจกที่กั้นช่วงคนขับกับผู้โดยสาร ขนเอาน้ำดื่มออกมาแจกให้คนละขวด จากนั้นเป็นหน้ากากอนามัยเพื่อกันฝุ่นอีกคนละอัน อาตมาใช้ไมโครโฟนในรถบอกกับทุกคนว่า เนปาลอยู่ในหุบเขา ไม่มีลมพัดฝุ่นไปที่อื่น ฝุ่นจากการทำงานและควันรถจะตลบอบอวลอยู่ในอากาศ ถ้าใครแพ้ฝุ่นให้ใช้หน้ากากนี้ ถ้าคิดว่าไม่แพ้ก็ไม่ต้องใช้... |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
นายชีวันคล้องผ้าขะตะต้อนรับทุกคน ท่านวิปัสสีอุตส่าห์ตามมาที่รถ ขอไมโครโฟนจากอาตมาไป กล่าวต้อนรับทุกคนสู่เนปาล ขอให้เที่ยวกันให้สนุก แล้ววันที่ ๗ ไปพบกันที่วัดมุนิวิหาร “พูดไทยไม่เก่งครับ พูดแค่นี้เหนื่อยมากเลย” ท่านปิดท้ายทำเอาทุกคนฮากลิ้ง...จากนั้นนายชีวันก็หยิบเอาผ้าขะตะมาถุงใหญ่ จัดการคล้องให้อาตมาและทุกคน พร้อมกับกล่าว "Welcome" ทำเอาพวกเราหลายคนทำตาปริบ ๆ ที่พ่อเจ้าประคุณคล้องให้พระเลย แต่อาตมาไม่ได้ถือสา เห็นเป็นเรื่องสนุกไปเสียอีก พลขับที่ชื่อเรียงเสียงไรก็ไม่รู้ นำรถออกจากสนามบินเข้าสู่การจราจรบนท้องถนน คุณโอเล่ขอไมโครโฟนจากอาตมาไป บอกกับทุกคนว่าขอทำหน้าที่มัคคุเทศก์สำรอง เพราะตัวจริงคืออาตมาทำหน้าที่ไปแล้ว เมื่อภาษาของทุกคนไม่มีปัญหา ก็ให้พ่อบึ้กแนะนำตัวเองแล้ว... นายชีวันพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแขกน้ำไหลไฟดับ แนะนำตัวว่าชื่อชีวัน หมายถึง "Life" วันนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวเมืองปาทานก่อน เมืองนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ลลิตปุระ" หมายถึง "City of beautiful" อยู่ห่างจากกาฐมาณฑุไป ๑๒ กิโลเมตร เป็นเมืองมรดกโลก ๑ ใน ๓ เมืองในหุบเขากาฐมาณฑุ ที่เป็นหน้าเป็นตาของชาวเนปาล ได้แก่ กาฐมาณฑุ ปาทาน และภักตรปุระ อาตมาฟังแล้วเห็นว่าภาษาอังกฤษสำเนียงแขกไม่เป็นอุปสรรคกับพวกเราจริง ๆ เพราะทุกคนทำหน้าว่าไม่รู้เรื่องกันทั้งนั้น..! รถบัสฝ่าการจราจรที่ไม่หนาแน่นนัก จนมาถึงสะพานที่สร้างข้ามแม่น้ำบัคมาตี ซึ่งเป็นเขตแดนของกาฐมาณฑุกับปาทาน คราวนี้กลายเป็นหนังคนละม้วน เพราะข้างหน้ามีรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงเป็นตับยาวเหยียดหลายร้อยคัน รถที่วิ่งสวนมาทั้งรถเล็กรถใหญ่บีบแตรกันสนั่น มีชาวบ้านออกันอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่งแน่นไปหมด คุณโอเล่บอกว่าน่าจะเป็นการประท้วงอะไรกันสักอย่าง เพราะอินเดียไม่ยอมส่งเครื่องอุปโภคบริโภคมาให้ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อหาที่เนปาลไปคบค้าใกล้ชิดกับจีนจนเกินไป..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2015 เมื่อ 17:27 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
นายบึ้กแกจ้ำตามควายอย่างเดียว ไม่สนใจลูกทัวร์เลย ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง พลขับของเรานำรถเคลื่อนตัวไปช้า ๆ จนมาตีวงเลี้ยวที่ถนนแคบ ๆ สายหนึ่ง อาตมาคิดว่าเขาจะตรงไป ที่ไหนได้..กลับเลี้ยวเข้าไปในลานที่มีป้ายเขียนบอกว่า "Tourist Bus Parking" คุณโอเล่บอกกับทุกคนว่า "รถไปต่อไม่ได้แล้วค่ะ ต้องลงเดินกันแล้วนะคะ จากที่นี่ไปยังปาทานดูบาร์สแควร์เดินสัก ๒๐ นาทีเองค่ะ" อาตมากรอกน้ำลงท้องไปครึ่งขวด หยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) มาสะพาย หนักเหมือนกันเว้ย..เดินยี่สิบนาทีนี่น่าจะประมาณสองกิโลเมตร เจ้าแม่หลักเมืองยื่นหน้ามายิ้มหวานให้ "ไม่ต้องเอาไปก็ได้เจ้าค่ะ ดิฉันจะช่วยดูแลให้" ... แน่ใจได้เลยว่าตราบใดที่ยังไม่ทอดกฐิน คุณเธอไม่ยอมให้เงินทำบุญหายแน่ เพราะบุญของเธอก็จะหายไปด้วย อาตมาจึงหยิบมาเฉพาะกล้องถ่ายรูปกับสมุดบันทึก ทิ้งเงินสี่ล้านกว่าบาททั้งเงินสดและดราฟท์เอาไว้พร้อมกับโน้ตบุ๊ก (๒) เดินลงรถไปแบบสบายใจเฉิบ "เฮ้ย..นายชีวันลืมลูกทัวร์หรือเปล่าวะ ?" คุณโอเล่โวยขึ้นมาเมื่อเห็นเสื้อกั๊กสีฟ้าข้ามถนนหน้าลานจอดรถไปแล้ว ขณะที่พวกเรายังลงจากรถมาไม่ถึงครึ่ง อาตมารีบจ้ำตามไปโดยมีตากล้องเอ๋กับยายจี๋พยายามก้าวยาว ๆ นำหน้าเพื่อถ่ายรูปให้ทัน... ถนนแคบ ๆ มีมอเตอร์ไซค์ขาดน้ำมันจอดทิ้งเรียงราย ถ้าไม่ถึงหนึ่งพันคันก็ต้อง ๙๙๙ คัน ที่วิ่งสวนมายังมากจนแน่นไปหมด ผู้คนก็เดินทั้งสวนมาและตามกันไปมากมาย เสียงแตรรถ เสียงผู้คนดังสับสนชวนเวียนหัว อาตมาหยุดถ่ายภาพเป็นระยะ พวกเราหลายคนเห็นร้านจำหน่ายสินค้าที่น่าสนใจ แต่ไม่มีโอกาสหยุดดู เพราะนายชีวันจ้ำตามควายพรวด ๆ ไปข้างหน้าอย่างเดียว จนกระทั่งมาเจอภาพคุ้นตาก็คือมุมหนึ่งของพระราชวังปาทาน ที่ยังมีนั่งร้านที่ติดตั้งเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากแผ่นดินไหวตั้งอยู่ น้องเล็กร้องว่า "ถึงแล้ว" เมื่อเดินมาถึงนายชีวันกลับพาเดินเลี้ยวไปในซอยขวามือ "จะพาไปไหนวะ ?" |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
มุมที่ยังไม่เคยถ่ายรูปมาก่อน นายบึ้กชี้ไปที่ประตูแคบ ๆ เล็ก ๆ อาตมาคิดว่าให้มาซื้อตั๋วที่นี่จึงเดินเข้าไป กลับเจอบันไดแคบ ๆ พาขึ้นไปไม่กี่ขั้นก็เลี้ยวขวา ขึ้นไปอีกสี่ห้าขั้นก็มาโผล่บน "ระเบียง" ที่มองเห็นจตุรัสดูบาร์ เทวาลัย และพระราชวังปาทานในมุมที่อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อน "เฮ้ย..สุดยอด เขารู้จริงว่ะ ครั้งก่อนพวกเราไม่รู้จึงไม่เคยขึ้นมาเลย" อาตมาเดินไปนั่งที่ "ขอบระเบียง" เรียกให้ทุกคนเข้ามานั่งถ่ายรูปด้วยกัน พรึ่บเดียวก็เฮละโลมาจนแทบไม่มีที่นั่ง ตากล้องเอ๋ทั้งถ่ายรูปเองทั้งรับฝากจากคนอื่นด้วย... ทั้งลูกสาวและลูกเขยพาคุณยายภัทริณมาถึงตอนพวกเราถ่ายรูปเสร็จแล้ว อาตมาจึงขอให้ทุกคนนั่งลงถ่ายรูปใหม่ พี่มุกดาพยายามยืดคอข้ามไหล่ยายจี๋ เพื่อให้หน้าปรากฏอยู่ในกล้อง อาตมาเห็นแล้วก็หัวเราะ "อยู่หลังยายจี๋ก็ปลอดภัยดีแล้ว เกิดอะไรขึ้นรับรองว่ายายแกบังมิด..!" ทำเอาฮากันทั้งคณะ เสร็จแล้วอาตมาก็เดินลงมา ถ่ายรูปนายชีวันที่กำลังซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ให้กับคณะของเรา ซึ่งตอนนี้แดดกำลังดีเป็นพิเศษ ส่องเข้าหาตัววิหารพอดี พวกเราหลายคนจึงฉวยโอกาสถ่ายรูปกันก่อน... มองหาความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหว เห็นว่าบนยอดพระราชวังยังมีนั่งร้านสำหรับซ่อมแซมระเกะระกะไปหมด อาคารหลายหลังมีไม้หลักทั้งค้ำทั้งยัน เสาที่ประดิษฐานรูปหล่อมัลลกษัตริย์หักเป็นท่อน ๆ กองอยู่กับพื้น รูปหล่อของพระองค์ท่านไม่ทราบว่าเขาเอาไปเก็บไว้ที่ไหน คุณโอเล่ชี้ที่วิหารใหญ่หลังแรกทางขวามือ พลางบรรยายว่า "นี่เป็นวิหารเจ้าแม่ตาเลจู ที่ปีหนึ่งจะเปิดเพียงครั้งเดียวในพิธีบูชายัญ เจ้าแม่ตาเลจูเป็นเทพพิทักษ์แผ่นดินเนปาลมาแต่โบราณ มีร่างอวตารคือกุมารีที่พวกเราจะได้ไปชมบารมีกันในวันพรุ่งนี้ ที่เห็นเป็นขด ๆ ใส ๆ อยู่บนซุ้มประตู นั่นคือลำไส้ของสัตว์ที่เขาเอามาบูชายัญค่ะ..!" |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|