|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#741
|
||||
|
||||
ความห่วงใยสัตว์ในลักษณะนี้ไม่เว้นแม้ขณะนั่งรถออกไปสงเคราะห์โรงพยาบาล ท่านก็ยังหวนมานึกถึงปากท้องของสัตว์ในวัด ดังนี้
"ตั้งแต่เราวิ่งรถไปมาตามทาง เห็นผลไม้ที่เขาขายอยู่ตามถนนหนทาง เรายังคิดถึงสัตว์ นี่เอาไปให้พวกสัตว์กระรอกกระแตในวัดคงจะดี เช่นอย่างที่เราไปทางหนองคาย ลงไปทางนู้นมันมีอาหารชนิดต่าง ๆ ผลไม้ที่เขานำมาขายข้างทาง ไปเห็นแล้วคิดถึงสัตว์ ก็เราไปด้วยความอิ่มท้อง ไม่ทราบว่าเขาจะอิ่มเมื่อไร ไม่อิ่มเมื่อไร หรือหิวตลอดเวลาก็ไม่ทราบ ?" ขั้นตอนการให้อาหาร พระเณรจะมาเอากล้วยหรือผลไม้อื่น ๆ จากโรงกล้วยซึ่งเป็นจุดกลาง จากนั้นจะนำไปวางตามจุดให้อาหารที่ตนรับผิดชอบบริเวณใกล้กุฏิ พวกไก่ป่าจะมีกระสอบข้าวสารหักวางไว้ที่จุดกลางเสมอ ๆ เพื่อไว้ให้พระเณรฆราวาสตักใส่ถังแล้วเอาไปหว่านในจุดให้อาหารทั่ววัดตามเขตรับผิดชอบของตน และคอยหมั่นสังเกตน้ำกินของสัตว์ด้วย ไม่ปล่อยให้พร่องไป สำหรับพวกกระต่าย กระจง เต่า นกยูง ฯลฯ พระเณรและญาติโยมจะคอยจัดหาผักบุ้ง กะหล่ำ ผักกาดขาว กล้วย ขนมปัง หรืออาหารอื่น ๆ มาให้อยู่เสมอ ๆ มิให้ขาดตามความชอบของสัตว์แต่ละชนิด สิ่งเหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่พระเณรผู้มาศึกษาอยู่กับองค์หลวงตาทุกระยะ นับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดเป็นต้นมา ต่างองค์ต่างรับผิดชอบใส่ใจดูแลสัตว์ในวัดตลอดมาทุกรุ่นไป เมตตาธรรมอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของท่าน ย่อมไม่อาจบรรยายหรือแจกแจงได้หมดสิ้น สิ่งที่พอจะสื่อได้ชัดเจนที่สุดก็คือคำกล่าวขององค์ท่านเองที่ว่า "ธรรมเป็นธรรมชาติที่นิ่มนวลอ่อนโยน เมื่อเข้าสัมผัสสัมพันธ์กับใจผู้ปฏิบัติผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสแล้ว จิตใจนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่นิ่มนวลอ่อนโยนไปด้วยเมตตาจิต ไม่เคยมีก็มี ความไม่เคยเสียสละก็เสียสละได้ เพื่อผู้อื่นเพราะความเมตตา สามารถมองเห็นเขาเห็นเราว่า มีสาระสำคัญเช่นเดียวกันได้ เพราะความเมตตา เมื่อธรรมมีอยู่ในจิตดวงใดมากน้อย จิตดวงนั้นต้องแสดงออกทางกิริยาให้เห็น ปิดไว้ไม่อยู่ ยิ่งจิตที่บริสุทธิ์ด้วยแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะนิ่มนวล ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าจิตดวงนั้น ให้ความเสมอภาค ให้ความเมตตาแก่สัตว์ทั่ว ๆ ไป ไม่พูดพียงมนุษย์เท่านั้น แม้สัตว์เดรัจฉานชนิดใดก็ตาม ไม่กล้าดูถูกเหยียดหยาม ไม่กล้าทำลาย ให้ความเสมอภาคตามความจริง และเมตตาโดยสม่ำเสมอ ไม่มีคำว่าเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ว่าคราวนั้นมีเมตตา คราวนี้ไม่มี เพราะจิตนั้นเป็นจิตเมตตา ดวงเมตตาทั้งดวงก็คือจิตดวงที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2024 เมื่อ 19:46 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#742
|
||||
|
||||
คุ้มครองและไถ่ถอนชีวิตสัตว์
ความรับผิดชอบสัตว์ภายในวัด มิใช่เพียงการดูแลเรื่องอาหารการกินเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองรักษาชีวิตสัตว์ให้แคล้วคลาดปลอดภัย โดยปกติท่านจะเข้มงวดกับพระเณรอย่างมาก ให้ช่วยกันจับพวกงู แมว อีเห็น (เห็นอ้ม) พังพอน (จอนฟอน) ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตสัตว์ในวัด และให้นำไปปล่อยที่อื่น เหตุการณ์ในคราวหนึ่งเป็นตัวอย่างที่ทำให้สัตว์ภายในวัดต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เพราะเหตุ "แมวบ้าน" เพียงตัวเดียว ดังนี้ "แมวตัวนี้เป็นมหาโจร พระทั้งวัดจับแมวไม่ได้ ตัวเดียวก็ไม่ได้ ไล่กันอึกทึกเมื่อคืนนี้ เราขบขันจะตาย พระไล่จับแมวตอนกลางคืน ที่จับออกคือว่ามันอยู่ข้างในนี้มันกัดหนู กินหนูแหลก กระจ้อน กระแต สัตว์ต่าง ๆ นี้กินหมด ถ้าได้เข้า (วัด) แล้วไล่ไม่ออก ตัวไหนก็ตามเข้าแล้วไล่ไม่ออก นี่..เราเข้มงวดกวดขันมาก คิดดูซิ..สังกะสีเราตีเกาะกับต้นเสาซีเมนต์รอบวัดหมดเลยนะนี่ เพราะว่าแมวมันขึ้นมาเอาสัตว์ตายไปเกือบหมดนะ เราถึงทำกันใหม่ จึงต้องได้พยายามจับเพื่อรักษาชีวิตสัตว์ที่อยู่ในนี้ให้แคล้วคลาดปลอดภัย เพราะฉะนั้น..จึงได้ถามพระ "ยังไม่ได้เรื่องหรือ ?" ยังไม่ได้ไปตีระฆังประชุมกันทั้งวัด "เอ้า..แมวตัวนี้เป็นยังไง ? พระทั้งวัดจับแมวตัวเดียวนี้ไม่ได้ ก็ควรติดคุกทั้งหมดเลย พวกนี้สู้แมวไม่ได้ ถือเป็นผู้ต้องหาของแมว เอาเข้าติดคุกทั้งหมด ยกเว้นก็ยกเว้นหลวงตาบัวคนเดียว นอกนั้นเข้าคุกทั้งหมดเลย สู้แมวไม่ได้" อู๊ย..ขบขันดีนะ เอามาคิดทั้งนั้นเรา เรื่องแมวเหล่านี้เอามาคิดหมด ความฉลาดของมันเอาจริงเอาจัง ไล่กันทั้งคืน ทุกคืนระยะนี้ ยังไม่ได้นะ ถามเมื่อเช้านี้ก็ยังไม่ได้ พระ ๓๓ องค์ไล่จับแมวตัวเดียวก็ไม่ได้ แสดงว่าใช้ไม่ได้เลย ไล่แมว..ขบขันดี แมวที่เข้ามาอาศัยกินในวัดตั้งแต่สร้างวัดนี้ เราจับไปปล่อยไม่ต่ำกว่าร้อยตัวนะ ถ้ามันเข้ามาเป็นอย่างนี้แหละ สัตว์ตายพินาศ ไม่มีคำว่าอิ่มว่าหิวนะ พอเจอนี้ด้อมใส่เลย ได้ก็เอา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความหิวโดยถ่ายเดียว จับตัวไหนก็เรียกว่าเนรเทศเลย เอาไปปล่อยหนองคายบ้าง เขามาจังหันพวกหนองคายฝากเขาไป สกลนครบ้าง ศรีสะเกษ อุบลฯ เลย จับไปปล่อยหลายจังหวัด แมวถ้าเข้ามาแล้วแล้วละไม่ออก ก็มันมีสัตว์กินเต็ม เมื่อวานเห็นมันคายสัตว์ตัวหนึ่งออกมา ตัวเท่านกเขา ไก่มันจะขึ้นคอนนอน มันก็ไปด้อมเอามากิน แต่ก่อนวัดนี้งูน้อยเมื่อไร งูมาก แล้วเอาไปหมด พยายามจับจงอางนี้ดูเหมือนจับไปได้ ๗ ตัว งูเห่าเหล่านี้จับ สามเหลี่ยมเขาเรียกทำทานจับไป จงอางได้มากกว่าเพื่อน แต่ก่อนทีเดียวเราไม่สนใจกับงูนะ ยั้ว ๆ เยี้ย ๆ ในวัด มันยังไม่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ครั้นต่อมาก็มีผู้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเด็กเล็กเด็กน้อยอะไรทำให้คิด เลยต้องจับงูไปปล่อย ไม่งั้นจะเป็นอันตรายต่อพวกนี้ละ ปล่อยหมด งูจับไปปล่อยหมด เพราะคนเพ่นพ่าน งูเหลือมกับสัตว์เหล่านี้กินเร็วที่สุด ลักษณะใบ้ ๆ นะ แต่เวลากิน..กินได้กระทั่งแมว แมวนี้สติดี รวดเร็ว แต่งูเหลือมก็กินได้ เรียกว่ามันมีวิชารวดเร็วยิ่งกว่าแมวอีก พวกไก่พวกอะไรเต็มอยู่ต้นไม้หมด มันขึ้นไป ๆ กินหมดเลยไก่ กินตามต้องการของมันละ อิ่มแล้วก็ไป เลยต้องจับงูเหลือมนี้ไปปล่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 18:16 |
#743
|
||||
|
||||
"เราไปดูจริง ๆ ดูสัตว์ โฮ้..สงสาร เดี๋ยวนี้จับตะกวดไปได้ตั้ง ๑๐ ตัวแล้วนะ ตะกวดที่หากิน ลูกไก่ก็กิน ไข่ไก่ก็กิน ลูกกระต่ายก็กิน พวกนี้กินหมดเลย เวลานี้สั่งพระให้จับ เอาไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล จะบอกสมภารก็ได้ไม่บอกก็ได้ เราคือสมภารใหญ่วัดถ้ำกลองเพล บอกงั้นเลย คือวัดถ้ำกลองเพลกว้าง เนื้อที่มันพันกว่าไร่หรือไง อันนี้ร้อยไร่เท่านั้น ทีนี้เวลาไปปล่อยโน้นพวกสัตว์อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยมี ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาดซึ่งเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ ไปปล่อยนั้นเขาก็อยู่ตามเรื่องของเขา อันตรายก็ไม่ค่อยมี เพราะมีกำแพงกั้นเอาไว้ข้างใน ไม่มีใครไปรบกวน เขาก็หากินได้ตามสบาย ถ้าอยู่ที่นี่หากินแต่สัตว์ในวัด"
ความสังเกตขององค์หลวงตายังพิจารณาไปถึงความผูกพันระหว่างแม่ลูกของสัตว์ในวัดอีกด้วย และความเห็นความผูกพันระหว่างกันของสัตว์เช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพิษภัยของสัตว์ร้ายที่ต้องรีบช่วยกันจับออกไปปล่อยให้ได้ ดังนี้ "กระต่าย..เวลาเราไปใกล้เขาเฉยนะ แม่ก็เฉย ลูกก็วิ่งรอบแม่ แม่ไม่พาวิ่งลูกก็ไม่ไป วิ่งอ้อมแม่อยู่ คือลูกนั้นกลัว หาที่พึ่ง ก็วิ่งหาแม่ แม่ไม่ไปไหน..แม่เฉย ลูกก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินไป โอ๊..เป็นอย่างนี้นะสัตว์ คือ แม่มันเชื่องกับคนแล้วไม่สนใจ เราไปเขาก็เฉย เขากินอะไรก็กินเฉย ไอ้ลูกก็วิ่งไปโน้นแล้ววิ่งมาหาแม่ วิ่งแอบแม่ เวลาเราไป แอบแม่อยู่นั้นนะ คือแม่ไม่พาวิ่ง เขาก็พึ่งแม่เขา อ๋อ..มันพึ่งแม่มันนะ เราก็ผ่านไป ๆ มันเป็นแบบเดียวกันหมด ตัวเล็ก ๆ มันวิ่งไปไหนมันก็วิ่ง แต่ไม่พ้นที่วิ่งมาหาแม่นะ วิ่งไปแล้ววิ่งกลับมาหาแม่ มาแอบอยู่กับแม่ ทีนี้เวลาเราเดินผ่านไปแม่เฉย เขาก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินเฉย แม่เขาก็เฉย จากนี้ไปทั่วไปหมดนะ นี่..สัตว์มันก็พึ่งแม่มัน..เห็นไหมล่ะ ? วิ่งไปไหนก็ไม่ยอมไป วิ่งกลับมาหาแม่ อ๋อ..สัตว์ก็พึ่งแม่ ถ้าแม่พาเผ่นลูกนี้ไปหมดเลย ทีนี้แม่ไม่พาวิ่งละซิ ลูกก็แอบอยู่นี่ เพราะฉะนั้น..จึงว่าให้รีบเร่งวันนี้จะหาแมวให้เห็น ให้หาทั่ววัด.." และอีกตัวอย่างหนึ่งที่พอจะสื่อถึงความเมตตาของท่านต่อชีวิตสัตว์ เพราะสัตว์เหล่านี้ได้ถูกตีตราและกำลังจะถูกนำไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ในไม่ช้านี้ องค์ท่านก็มีความเมตตา พยายามเข้าช่วยเหลือตามกำลัง ดังนี้ "นี่เขากำลังเอาวัวมา จะแจกวัวต่อ นี่ไปเอามาจากโรงฆ่าสัตว์ วัวนี่ตามโรงฆ่าสัตว์ ตามไปกว้านเอามา ๆ จะไปแจกคนทุกข์คนจน ช่วยชีวิตสัตว์ อยู่ไหนกว้านเอามาหมด รถใส่พวกสัตว์พวกโคกระบือ ไปแล้วตีตราแดง ๆ นี่แสดงว่าแน่นอนแล้ว จะต้องถูกฆ่า กำลังจะเข้าไปโรงฆ่าสัตว์ก็ดึงออกมา ๆ ดูจะ ๕๐๐ ตัว มีแต่พวกที่จะตายพวกนี้ ไปดึงออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ กำลังจะเข้าไป เอาออกมา ๆ หมด พ้นภัยพวกนี้ ไม่อย่างนั้นตายหมด เวลานี้กำลังปล่อยสัตว์ สัตว์ถูกฆ่ามาเป็นประจำเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว เวลานี้กำลังปล่อย ระยะนี้เป็นระยะปล่อยสัตว์ เรานี้อยากให้ปล่อยเหลือเกิน สัตว์เอาเข้าไปฆ่า ๆ ถอนออกมาพ้นภัย ๆ อย่างพวกวัวนี่น้ำตาไหลนะ เอาลงจากรถเขาไม่อยากลง เขานึกว่าจะเอาเขาไปฆ่า เขาไม่อยากลง..น้ำตาไหล ความจริงจะเอาลงไปปล่อย น่าสารมากนะ ใครจะอยากตาย สัตว์ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเขามากินเรา เช่นยุง เขาก็ไม่อยากตาย แล้วใคร ๆ จะอยากตายล่ะ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 18:21 |
#744
|
||||
|
||||
ไล่ขนาบสัตว์
บางครั้งสัตว์ที่ไม่มีพิษไม่เป็นอันตรายก็กลับสร้างปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน โดยปกติไก่ป่าในวัดจะขันเป็นระยะ ๆ ทั้งวันในช่วงกลางวัน แต่หากมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นอันตราย ก็จะตกใจร้องกะต๊ากดังขึ้นและถี่ขึ้น จากนั้นตัวอื่น ๆ ก็จะร้องตาม ๆ กัน ยิ่งหลายตัวเท่าใดก็ยิ่งทำความรำคาญแก่นักปฏิบัติไม่น้อย องค์หลวงตามีมาตรการ ดังนี้ "ไก่ที่กะต๊ากมันมีเหตุการณ์นะ ธรรมดาเราก็เข้าไปดูมันมีอะไร หรือมีงูมีอะไรอยู่นั่นมันถึง "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นตลอด ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งสายไม่หยุด ไปก็เอาใหญ่เลย คว้าได้ก้อนกรวดตามนั้นกำไว้เต็มมือ เอาหนังสะติ๊กติดมือแล้วก็ไป "มึงร้องอะไร ?" มันก็ร้องอยู่นั่นละใกล้ ๆ ก็มันไม่ได้กลัวใครนี่ มันเคยกับพระแล้ว "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นมึงกลัวอะไร ? เราก็หาดูเหตุการณ์ที่มันกลัว เช่นอย่างมีงู มันทักไว้เพื่อเตือนลูกก็ได้ ลูกมันมี ไปหาดูที่ไหนก็ไม่มี มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" เราเดินเข้าไปนี้มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" อยู่ไม่ยอมหยุด หาดูหมดไม่มีอะไรแล้ว ทีนี้ตั้งท่ากำก้อนกรวดในมือฟาดทางโน้นทางนี้เลย เปิดทั้งแม่ทั้งลูกเลย..หายเงียบ นั่น..มันชอบอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนั้น..ใช่ไหม ? มันหลายแบบนะ หลวงตาไปหาดูอันตรายก็ไม่มี มันร้องอะไรนักหนานี่นะ ลูกก็อยู่ด้วยกันนั่น ไม่เห็นตื่นเต้น แต่แม่เป็นบ้าอะไร ? นั่นละ..เอาแม่มัน สุดท้ายลูกวิ่งตามแม่ ไล่ขนาบไล่หลงทิศไปเลย เข้าป่านู้นอีกนะ เข้าตามไล่เอาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาเงียบเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2024 เมื่อ 19:57 |
#745
|
||||
|
||||
แม้จะวัย ๙๐ ปีชราภาพมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นต้องรักษาชีวิตสัตว์แบบเร่งด่วน ทำให้ท่านต้องจับสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยตนเองก็มีไม่น้อย ดังนี้
"ที่สนใจมากคือสัตว์ ถ้าเห็นสัตว์ตัวไหนจ้องอยู่นั้น เฝ้าดูอยู่นั้น ยิ่งกระแตด้วยแล้วยิ่งรักมาก ไปไหนถามหาแต่กระแต กระแตไปไหน มีแต่กระแตยั้ว ๆ เยี้ย ๆ นี่..ชี้มาหาคน แล้วก็เดินผ่านไป อย่างนั้นแหละ จึงได้บอกว่างูทางมะพร้าว งูสา ใครเจอแล้วให้รีบมาบอกพระ ถ้าเป็นกลางวันให้รีบมาบอกพระ ให้ดูตัวมันไว้ มันเลื้อยไปไหน คนหนึ่งให้เดินตามไป แล้วคนหนึ่งรีบออกมาบอกพระ ให้พระไปจับ นี่ละ..ตัวสำคัญของกระแต ไม่มีเหลือนะ เทียบกับแมวตัวหนึ่ง งูนี้มันหลอกกระแตนี้ของเล่นเมื่อไร พอได้โอกาสปั๊บพันเลย..! เราไปเห็นแล้วอยู่หน้าทางจงกรมเรา กระแตมากินน้ำ งูก็ไปเฝ้าอยู่ในน้ำ หัวจงกรมเราด้วย เราเดินจงกรมก็คอยสังเกตดู เพราะยังไงก็ไม่มีอันตรายถ้าเราอยู่ที่นั่น..ว่างั้นเถอะนะ มันจะทำแบบไหนกัน ก็เราดูอยู่ที่นั่น สักเดี๋ยวมันหลอกกันนะ ทำให้กระแตเผลอ หลอกทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ กระแตก็วิ่งรอบนั้นรอบนี้ พอได้โอกาสปั๊บฉวยมับเลยนะ..พันเลย พอพันเราก็โดดใส่เลย จับได้เลย..งูนี้แหละ กระแตหลุดก็วิ่งชนต้นไม้ต้นอะไรไป แต่ไม่เป็นไรแหละ เราก็จับงูได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ นี่ก็ว่ากลัวงูก็กลัวนะ ธรรมดาแล้วกลัว แต่ทุกวันนี้พูดตามความจริง ไม่ทราบว่ากลัวหรือไม่กลัว เหตุผลเท่านั้น ถ้าเป็นงูไม่เป็นภัยไม่ระวังมากนัก เช่น งูทางมะพร้าว งูเขียว พระฉวยได้ยังไงเราก็ฉวยได้แบบเดียวกัน แน่ะ..คือเหตุผล มันไม่เป็นภัยกลัวหาอะไร ไม่เป็นภัยก็ต้องไม่กลัว ถึงเรียกว่ามีเหตุผล..ใช่ไหม ? มันไม่เป็นภัยยังกลัวอยู่ ก็เรียกว่าบ้ากลัว เข้าใจไหม ? อันนี้ไม่กลัว ฉวยมับเลย จับได้เรื่อยแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2024 เมื่อ 19:59 |
#746
|
||||
|
||||
งูจงอางสัตว์เลี้ยงวัด ปล่อยสัตว์ปลอดภัย
โดยปกติองค์หลวงตาจะไม่เลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ตัวใหญ่ ๆ เพราะเกรงอันตรายจะเกิดกับชาวบ้านที่มาวัด ดังนี้ "สัตว์ตัวใหญ่ ๆ เอามาเลี้ยงไม่ได้นะ เป็นอันตราย ทำลายคน พวกหมูนี้ก็ไม่ได้ อีเก้งตัวผู้ก็ไม่ได้ เวลาคึกคะนองนี้ขวิดคน ต้องระวัง อย่างวัด....เขาเอากวางมาเลี้ยงไว้ เราไปเจอเข้าก็สะดุดเลย โอ๊ย..ทำไมเอากวางตัวใหญ่ ๆ มาเลี้ยงไว้ เดี๋ยวชนคนนะ มันทิ่มคน ไม่ได้นะ พอเราพูดจบคำ ท่านก็ว่ามันเคยชนคนมาหลายคนแล้ว ก็อย่างนั้นแล้ว สัตว์เหล่านี้ไม่ได้นะ ผูกโกรธด้วย พวกงูผูกโกรธเก่งนะ" สำหรับวัดป่าบ้านตาดช่วงหนึ่ง ก่อนปี ๒๕๓๐ ยังไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเหมือนสมัยนี้ ครั้งนั้นงูจงอางซึ่งเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง ไม่มีใครอยากพบเห็นหรืออยู่ใกล้ กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของพระประจำวัดป่าบ้านตาดในช่วงเวลานั้น ดังนี้ "งูทุกชนิดในวัดนี้ เราจับทั้งนั้น แต่ก่อนเขาอยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ อย่างจงอางนี้มันเหมือนสัตว์เลี้ยง ไม่แผลงฤทธิ์ เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงเรา อยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ ไม่แสดงฤทธิ์เดช แต่งูชนิดอื่นเราไม่แน่ แต่สำหรับงูจงอางนี้แน่ว่าไม่แสดงพิษภัยอะไรเลย แต่ก่อนปล่อยให้เขาอยู่กับพระ ก็พระทั้งวัดนี่ งูไปที่ไหนก็เจอพระเรื่อย ๆ องค์ไหนก็แบบเดียวกัน เพราะเราสั่งกับพระไว้เรียบร้อยว่า อย่าไปหยอกไปเล่นเป็นอันขาด ให้เดินผ่านไปเฉย ๆ คือ การหยอกเล่นของเรา เขาจะถือว่าจริงจังกับเขา เพราะสัตว์เหล่านี้ถือมนุษย์นี้เป็นข้าศึก เราไปทำอะไรหยอกเล่นกับเขา เขาจะถือว่าเป็นจริงกับเขา หลังจากนั้นแล้วเขาผูกโกรธผูกแค้น เวลาเห็นเราไปนี้เขาจะเจอเราก่อนไป เราไม่รู้เขาฉกปั๊บ เพราะฉะนั้น..จึงไม่ให้สนใจเลย ใครจะเจอที่ไหนให้เดินผ่านไปธรรมดา แล้วเขาจะชินเอง เขาจะรู้นิสัยของพระเอง และมันก็เป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนวันหนึ่งเจอพระสักกี่องค์ เจอแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครสนใจ เดินผ่านไป บางทีขวางทาง เราไปนี้พอดีเป็นจังหวะเขาออกมาก็ไปเจอเขา เขาก็นิ่ง บางทีเราก็ไปทางหัว เขาก็นิ่ง บางทีก็ไปทางหาง เขานิ่งของเขาอยู่งั้นแหละ ทีนี้พอเราผ่านไปแล้วเขาก็เลื้อยไป เป็นประจำอย่างนั้น ที่ไหนเหมือนกันหมด ทีนี้งูจงอางกับพระเลยเป็นสัตว์เลี้ยงนะ อยู่ในครัวนี่เวลาพระมาฉันน้ำร้อนเขาเลื้อยเข้ามาเฉย พระนั่งอยู่เขาผ่านเข้ามาตรงกลาง "มึงมาอะไรไอ้ขี้ดื้อ ?" พระท่านว่า แต่ท่านไม่หยอกเล่นนะ เขาก็เลื้อยเข้ามาเฉยไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ โอ๊ย..หลายตัว ประมาณสัก ๙ ตัว ๑๐ ตัว เท่าที่เราจำได้นี่ละ จับออกไป ๆ แต่ก่อนไม่จับ ทีนี้เวลาคนมามาก ๆ เข้า คนกับพระมันต่างกัน มาเจอเขาเข้าจะไปหยอกไปเล่นกับเขา ๑ แล้วมาแบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ๑ ซึ่งเป็นภัยทั้งนั้น เลยต้องจับออก ๆ ไปปล่อยในภูเขา ทุกวันนี้ไม่มีแหละ" โดยปกติเวลาที่นำสัตว์ไปปล่อยจะใกล้หรือไกลเพียงใดเป็นไปตามชนิดของสัตว์ และความปลอดภัย ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือไม่ก็ตาม ความปลอดภัยของสัตว์ตัวนั้น ๆ ต้องปลอดภัยที่สุด ส่วนมากองค์หลวงตามักให้พระหรือฝากฆราวาสที่ไว้ใจได้ไปปล่อย แต่ก็มีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านนำไปปล่อยด้วยตัวเอง ดังนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:02 |
#747
|
||||
|
||||
"มีปล่อยใกล้ตัวเดียว เรายังจำได้ นอกนั้นมีแต่ไกล ๆ ทั้งนั้น อันนี้เราไปเองไปปล่อย ท่านสิงห์ทองไปด้วย ส่วนใหญ่มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ไปปล่อยที่ไหน ? สกลฯ นี่ก็เราไปปล่อยเอง ไปปล่อยแถวใกล้บ้านเขานะ ไปปล่อยที่ไหนให้อยู่ใกล้บ้านเขา เพราะแมวเหล่านี้เป็นแมวบ้าน มันอยู่กับบ้าน มันมาหาลำไพ่กินกับวัดกับวา แล้วจับเนรเทศเข้าในบ้านเขา ตัวใหญ่ทั้งนั้น ตัวไหนก็ดี"
แม้แต่การนำสัตว์ไปปล่อยแต่ละครั้ง ๆ องค์ท่านก็ให้ความสำคัญและจริงจังอย่างมาก ถึงกับกำชับผู้รับผิดชอบให้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตสัตว์ทุกขั้นตอนเลยทีเดียว "(พระ)ไปปล่อยหมู หมูหลุดตกรถ หมู ๒ ตัวตกไป มันเป็นอย่างไรไม่รู้ มันสะดุดจิต สั่งแล้วก็ไม่แน่ใจ..ไปยืนสั่งอีก คือสั่งว่าหมูนี้เอาไปปล่อยตรงนั้น ๆ บอกเรียบร้อยแล้ว แล้วไปมันขวางอยู่ในจิตอีก..มันไม่แน่ใจ เดินเข้าไปอีก..ไปบอกซ้ำเข้าอีก "นี่ถ้าหมูปล่อยหายไป แล้วท่านมานี่..ต้องออกจากวัดทันที..!" บอกอย่างนั้นนะ พอไปก็หายจริง ๆ ก็ต้องออกจริง ๆ ไล่ออกจากวัดเลยทันที..ทันกันละ เป็นอย่างนั้นนะเรา ถ้าว่าอะไรลงจิตมันลงขาดปุ๊ดแล้วมาค้านไม่ได้..พุ่งเลย ไปตกหายทั้งสองตัวเลย มาก็ไล่ออกจากวัด เพราะมีสัญญากันในคำพูดที่ไปสั่งเสีย ถ้าหมูนี้หลุดตกจากรถไปแล้ว ท่านต้องออกจากวัด พอดีไปตกจริง ๆ ท่านก็ออกจริง ๆ ไม่ออกไม่ได้..ไล่เลยแหละ..! มันก็แปลกอยู่นะจิตนี่ ไม่มีอะไรบอกมัน..หากเป็นของมันเอง ถ้าอะไรไม่สนิทใจมันจะมาขวางอยู่นี้ สั่งเรียบร้อย..ไปยืนสั่งจริง ๆ เพราะไม่สนิทใจ ท่านก็เลยออกจากวัด เป็นอย่างนั้นนะเรา คือว่าอะไรต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าของเองก็เหมือนกั้น ถ้าสั่งอะไรผิดไปนี้ ต้องยอมรับโทษแห่งความผิดของเราว่าสั่งผิดไป ผู้ทำทำตามก็จะผิดไปอีก วันนี้เตรียมของไปให้พระที่ถูกไล่ออกจากวัด ก็ไม่ได้ไล่ด้วยความเกลียดความโมโหโทโสอะไร ไล่โดยเหตุโดยผลต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:05 |
#748
|
||||
|
||||
พ้นเขตวัด คือแดนประหารสัตว์
องค์ท่านเบาใจเมื่อสัตว์ร้ายในวัดถูกนำไปปล่อย เพราะห่วงใยในชีวิตของสัตว์จำนวนมาก ที่จะต้องตายเพียงเพราะสัตว์ตัวสองตัวเท่านั้น ความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง และเห็นคุณค่าของสัตว์แต่ละตัว ๆ ไม่มียกเว้นแม้ในเวลาไปแจกทานระหว่างทาง หลานชายของท่านซึ่งเป็นผู้ขับรถถวายอยู่เป็นประจำจะทราบดี และขับรถด้วยความระมัดระวัง สอดคล้องกับความเมตตาของท่าน ดังนี้ "นี่ค่อยเงียบ ๆ ทางข้างใน (สัตว์ร้ายที่เพิ่งไปปล่อย) ไม่มีแล้วนะเดี๋ยวนี้ ก็แสดงว่าจะค่อยหมดปัญหาไป สัตว์จะได้งอกเงย อู๊ย..สงสารสัตว์มากนะ มองดูตัวไหน แม้แต่จิ้งเหลนกิ้งก่าวิ่งผ่านถนน พอมองเห็นบอกเลยนะ "นั่นกิ้งก่า..!" รถก็หลีกไป ไม่เคยทับเคยเหยียบมัน นอกจากมันสุดวิสัยก็จำเป็น หลีกทั้งนั้นละเรา จิตมันเมตตาขนาดนั้นละ จึงว่าอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นหัวใจนี้ มาพูดเล่น ๆ หรือ ?" ด้วยความเมตตาอันลึกซึ้งของท่านเช่นนี้ วัดป่าบ้านตาดจึงกลายเป็นแดนผาสุกของสัตว์ เพราะมีเมตตาธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งอันแสนสงบสุขและร่มเย็น ดังนี้ "เราไปสร้างวัด ดงนี้ก็ถูกเขาทำลายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอำเภอหนองแสงนู่นนะ สัตว์เหล่านี้ก็เลยตายหมด กระรอกเรายังจำได้มีอยู่ ๒ - ๓ ตัว เขตของวัดที่เราอยู่นี้ กระรอกอยู่ในเขตนี้ ไก่ป่าก็มี ๒ พวก พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ก่อนมันไปยกพวกตีกันเรื่อยละ เขตนั้นกระรอกก็ตายหมด สัตว์อะไร ๆ ตายหมดทั้งนั้นแหละ..! มีอยู่เฉพาะในเขตวัด สัตว์อะไรมีเท่าไรก็ยังอยู่เป็นปรกติ พวกกระรอก พวกกระจง อีเก้ง ถ้ามันออกไปข้างนอกถูกเขาฆ่าตาย แต่ก่อนมันมีอยู่ทั่วไปในวัด พอออกข้างนอกไปก็ถูกเขาฆ่าหมด เก้งก็หมด หมูก็หมด มีแพร่หลายอยู่แต่กระรอก ทีแรกมีอยู่ ๒ - ๓ ตัว มันแพร่พันธุ์มากเต็มวัด ยังเหลือแต่กระรอกกับไก่ เดี๋ยวนี้ไก่ป่าที่ว่า ๒ พวกที่ยกพวกมาตีกันนั่นละ ครั้นต่อไปมันก็มากขึ้น ๆ ไม่ทราบว่าพวกไหนต่อพวกไหน เลยกลายเป็น "ไก่บ้าน" ไป ไม่ได้กลัวคนเลย จาก "ไก่บ้าน" แล้วเป็น "ไก่บ้า" ไปเลย เข้าใจไหม ? ไปดูในครัวซิ มันกลัวคนเมื่อไร ไก่อยู่ในวัด เวลานี้อยู่ในขั้นบ้าทั้งหมดเลย ไม่รู้จักกลัวคน กระรอกก็เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกัน..ไม่กลัว อย่างนั้นละ "ธรรม" ไปอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนสัตว์ตายใจได้ทั้งนั้นละ ไม่ได้กลัวคน สัตว์ในวัดสนุกสนานรื่นเริง อาหารเราก็ให้กิน แล้วความปลอดภัยพระก็รักษาเองโดยหลักธรรมชาติ ใครจะเข้าไปยุ่งไม่มี เขาก็อยู่สบาย ๆ พวกสัตว์อะไรที่อยู่บริเวณวัดนั้น เขาอยู่ผาสุกสบายทั้งนั้นแหละ ออกจากนั้นไปตายหมด..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2024 เมื่อ 01:58 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (28-09-2024), ชุณหพงศ์ (29-09-2024), ต้นบุญ (28-09-2024), ปราโมทย์ (28-09-2024), พี่เสือ (02-10-2024), พุทธภูมิ (28-09-2024), มารวย๙ (28-09-2024), สุธรรม (28-09-2024), หนุ่มก่อสร้าง (28-09-2024)
|
#749
|
||||
|
||||
ป่าช้าหมารอบกุฏิ
องค์หลวงตาเมตตารับสุนัขมาเลี้ยงไว้ที่วัดหลายตัว ให้พระเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มีการแบ่งอาหารใส่ถาดแยกเป็นกลุ่ม ๆ ให้กินจนอิ่มทุกตัวไป ท่านจะกำชับพระเณรเสมอ ห้ามสุนัขเหล่านี้เข้าไปทำลายสัตว์อื่นในวัด และคอยกันไม่ให้กัดกันทะเลาะกัน หากตัวใดดื้อท่านสั่งให้พระเณรใช้ไม้เรียวตีสั่งสอนทันที นอกจากนี้ความเมตตาเอ็นดูสุนัขในวัดของท่าน ถึงกับให้ฝังตัวที่ตายแล้วไว้ในบริเวณรอบ ๆ กุฎิของท่านเลยทีเดียว นับเป็นความรักความเมตตาของท่านโดยแท้ "กระต่ายมันมีอยู่ทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้มันออกไปหมด กระแตก็เยอะ โอ๋..เราสงสารสัตว์นะ ไปที่ไหนจะจ้องดูแต่สัตว์ พวกกระแตเชื่องมาก ไม่รู้จักกลัวคน แล้วลูกกระต่ายด้วย หมามันเข้าไปมันกัดเอานะ ข้างในหมาเข้าไปหรือเปล่า ? เห็นหมาเข้าไปไหม ? ถ้าตัวไหนไปอย่าคุ้นกับมัน เว้นแต่ไอ้หยองกับไอ้ปุ๊กกี้เท่านั้น ไอ้นี้มันไม่มีบัญชี มันก็ไม่ทำร้ายสัตว์นะ แต่ไอ้หมี (หมาตัวใหญ่) ให้ระวังให้ดี ไอ้หมีไปมันเอาจริง ๆ ก็มีไอ้หมีตัวเดียว นอกจากนั้นไม่เห็นตัวไหนเข้าไป ทุกคนให้เตือนกันนะ แต่นี้ต่อไปไอ้หมีอย่าไปคุ้นกับมัน มันมีลูกกระต่ายแล้วจะเกิดเหตุ เราเป็นห่วงมากนะ ไปดูเรื่อย กลัวจะบกพร่อง เดี๋ยวมันเอาลูกกระต่ายไปกินแล้ว..ไม่ได้นะ เราเข้มงวดกวดขันมาก มันเข้าไปเรื่อยก็ยิงหนังสะติ๊ก ไม่ได้ยิงหมาแหละ ยิงขู่..ใส่เปี๊ยะ มันวิ่งเลย..มันกลัว ในวัดนี้พระมีหนังสะติ๊กทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เคยยิงถูกหมา เพราะไม่ได้ยิงใส่มัน พวกนี้มันกลัวหนังสะติ๊ก พอยิงแค่นี้ก็ไปเลยเผ่นเลย ต้องมีไว้ขู่ ไม่งั้นไม่ได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของสัตว์ พระท่านมีไว้อย่างนั้นแหละ ส่วนไอ้ปุ๊กกี้ (หมาตัวเล็ก) มันดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ถือสีถือสาเลย จะทำอะไรมีแต่หลบ ๆ แล้วเปิดหนีเลย มันรำคาญท่า ก็ดีอย่างหนึ่ง นิสัยมันดี เวลามันผิดพลาดอะไร เจ้าของตี ไม้เรียวหวด..หมอบ หวดเท่าไรก็ยิ่งหมอบ นี่ก็ดี..รู้ผิดนะ นิสัยมันดีอย่างหนึ่ง มันมีแต่ขู่เขาเท่านั้น แต่ไม่เคยกัด พอขู่เขาแล้วก็วิ่งเลย เพราะพอขู่เขาแล้วไม้เรียวลงข้างหลังละซี มันมัวแต่ขู่เขาไม้เรียวซัดลงหลังก็วิ่ง ทีนี้พอขู่เขาแล้ววิ่ง ไม้เรียวมาไม้มาวิ่งเลย เขาก็ฉลาดเหมือนกันนะ เข้าท่าดี เล่นกับหมาก็น่าดูนะ พูดเรื่องหมา นิสัยหมามันก็มีหัวใจของมัน มันรู้จักผิดถูกเหมือนกัน ตายไปเรื่อย ๆ ตัวหนึ่งก็ตายแล้ว ไอ้จ้ำหลอด (หมาตัวใหญ่มีจุด ๆ) เอาไปฝังไว้ที่กุฏิ บริเวณกุฏิเราป่าช้าหมานะ ตัวไหนตายเราสั่งเอง ให้ไปฝังไว้ที่รอบ ๆ กุฏิของเรา ตายไปอีกตัวหนึ่งแล้ว มันตายเป็นชุดๆ ไป พอมันแก่แล้วก็ตาย.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2024 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-09-2024), ชุณหพงศ์ (29-09-2024), ต้นบุญ (29-09-2024), ปราโมทย์ (29-09-2024), พจน์ (30-09-2024), พี่เสือ (02-10-2024), พุทธภูมิ (29-09-2024), มารวย๙ (29-09-2024), ศุภชัยรู้แผน (29-09-2024), สุธรรม (29-09-2024)
|
#750
|
||||
|
||||
ความเมตตาของวัดป่าหลวงตามหาบัว
ความเมตตาอย่างไม่มีขอบเขตขององค์หลวงตาต่อสัตว์ทั้งหลายนี้ ยังแผ่ออกกระจายอย่างทั่วถึงไปยังวัดต่าง ๆ ที่ท่านรับถวายที่ดิน รวมถึงวัดต่าง ๆ ที่องค์ท่านมักไปเยี่ยมเยียนอยู่เนือง ๆ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง วัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีเพียงแห่งเดียว ซึ่งเด่นเรื่องความเมตตาสัตว์และองค์หลวงตามักกล่าวถึงเป็นพิเศษเสมอ ดังนี้ "ท่านจันทร์นี้เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นคนคลองด่าน สมุทรปราการ อยู่นี่หลายปี ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่ทองผาภูมิ เราก็คอยฟังเสียงจากนั้น เขาก็มาถวายที่ที่เป็นวัดเสืออยู่ทุกวันนี้ เนื้อที่ก็กว้างอยู่ เราก็พิจารณาดูย่านกรรมฐานภาวนา เห็นว่าที่นั่นว่างมาก ไม่ค่อยมีพระกรรมฐานไปอยู่ เลยให้ท่านจันทร์ วัดเสือ มาปรึกษาหารือ ท่านก็พอใจรับ ใครจะถวายที่ที่ไหนก็ตาม เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะรับเพื่อประโยชน์แก่ชาติศาสนาจริง ๆ รับที่ไหนแล้วต้องเป็นภาระหนัก ไม่ได้รับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อะไร ก็เลยรับ อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาเหมือนกัน ท่านจันทร์ท่านบวชมา ท่านก็ไม่ได้บวชมาหาสัตว์หาเสืออย่างนี้นะ ท่านบวชมาหาอรรถหาธรรม เข้าเสาะแสวงหาครูอาจารย์ ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านไม่ได้ตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสืออะไร ท่านไม่มีนะ..เจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามา พอรับแล้วพอดีพวกเสือก็เข้ามา พวกเสือพวกสัตว์เข้ามาในวัดนั้น เลยกลายเป็นวัดเสือ ตรงที่ทำเลภาวนามันก็เลยกลายเป็นวัดเสือไปเลย เอ้า..เป็นก็ให้เป็น..! อย่างท่านจันทร์ท่านเมตตาสงสารเอาใจใส่สัตว์ สุดท้ายสัตว์อยู่ข้างบนภูเขาลงมากินอาหารกับท่านหมด หมูเป็นร้อย ๆ นกยูงเป็นร้อย ๆ สุดท้ายวัดเสือนี่กลายเป็นวัดสัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่นั้นละ พวกม้าป่า วัว ควายป่า หมูป่า แพะ นกยูง ฯลฯ มันมากต่อมาก มาเองนะ ลงมาจากภูเขา ท่านจัดอาหารให้ เลี้ยงดูเขา แน่ะ..ก็อย่างนั้นละ เมื่อเขาเคยแล้วเขาก็ลงมา ตอนเช้านั่นละ..หลั่งไหลลงมา พอกินอิ่มแล้วเขาไป เขาไม่รบกวนเรา สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ป่าทั้งหมด เวลามันออกมาจากป่ามาอยู่ในวัดนี้มันเป็นสัตว์ป่า แล้วเอามาเลี้ยงไว้ในบ้านเลยถือว่าเป็นสัตว์บ้านไปเลย ไม่นึกว่าเขาเป็นสัตว์ป่ามาแต่ก่อน นี่ละ..อำนาจแห่งการเสียสละความเมตตา สัตว์เคยรู้จักพระที่ไหน เขาเป็นสัตว์ป่าล้วน ๆ ทำไมมาอยู่กับพระได้อย่างสนิทใจ นี่ก็คือความเมตตา ความเสียสละ สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน การให้เป็นเครื่องประสานกันสำคัญมากนะ การให้นี่ประสานกันได้ดี จิตใจอ่อนนุ่มเลยทันที เมื่อได้รับการสงเคราะห์จากกันและกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถึงยกทานบารมีขึ้นก่อน ทานบารมีคือการให้ การเสียสละ เป็นพื้นฐานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2024 เมื่อ 14:25 |
#751
|
||||
|
||||
ที่วัดเสือแห่งนี้สัตว์ป่าต่าง ๆ ชนิดกัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องทำลายชีวิตกัน แต่สัตว์ป่าที่นี่กลับมีความคุ้นเคยกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกในสถานที่แห่งนี้ ดังนี้
"ทีแรกพวกวัวพวกควายนี้ก็ร้อง "โอ้กอ้าก ๆ" พอเห็นเสือวิ่งเข้าป่าเข้ารก เสือก็ไล่ ไล่ไปก็โดดขึ้นบนหลังวัวหลังควาย ฟังเสียงร้อง "อ้าก ๆ" ขึ้น เขาไม่ใช่อะไรนะ..เขาหยอก เสือหยอกควายนี้ ควายมันจะตาย..มันกลัว หยอกวัว หยอกควาย เสียงร้อง "อ้ากอึ้ก ๆ" ไอ้เสืออยู่บนหลัง มันขบขันดีนะ คือไม่ทำไม แล้วก็ไม่ใช้เล็บ เล็บไม่ใช้ กัดก็ไม่กัด มีแต่หยอกเล่น แต่ควายตั้งแต่เกิดมามันคุ้นเสือเมื่อไร..ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นเขาถึงวิ่ง วิ่ง..เสือก็ไล่ ไล่โดดขึ้นบนหลัง ควายก็หมอบร้อง "อ้าก ๆ" โอ๊ย..ขบขันดี ตัวหนึ่งเล่นตัวหนึ่งกลัว เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้วนะ ที่ว่านี้ว่าแต่เริ่มแรก เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้ว ไม่ว่าเสือว่าวัวว่าควาย อยู่ด้วยกันได้สบายเลย นี่..อำนาจเมตตาธรรม ไม่มีอะไรกันเลย" ก่อนวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีจะเป็น "วัดเสือ" ที่เกี่ยวข้องกับการอนุเคราะห์เมตตาสัตว์ ท่านพระอาจารย์ภูษิต (จันทร์) ได้เคยรับหน้าที่ดูแลอาหารน้ำให้สัตว์หลายร้อยตัวในวัดป่าบ้านตาด มาตั้งแต่ครั้งเมื่ออยู่กับองค์หลวงตา แล้วเป็นกิจวัตรเพิ่มเติมจากความรับผิดชอบในกุฏิองค์หลวงตา ซึ่งส่วนหนึ่งของหนังสือน่านฟ้าได้กล่าวถึงเรื่องราวของท่านพระอาจารย์ภูษิตในเหตุการณ์ระยะนั้นว่า "วันนั้นหลวงตาท่านไปข้างนอก กว่าจะกลับก็เกือบมืด ท่านอาจารย์จันทร์มีหน้าที่อีกอย่าง คือ ให้อาหารไก่ทั้งหลายในวัดซึ่งมีอยู่เป็นร้อยตัว วันนั้นท่านก็ลืมให้อาหารไก่ พอหลวงตากลับมาถึง ท่านก็รีบเตรียมต้มน้ำร้อน ใส่กระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกไว้ข้างที่นอนหลวงตา เพราะเป็นหน้าหนาวซึ่งหนาวมาก ท่านก็วางกระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกมาอยู่ด้านนอกของกุฏิ ก็เห็นไก่ทั้งหลายแห่กันมาหาหลวงตาถึงหน้ากุฏิ พร้อมแย่งกันส่งเสียงกันดังแซ่ดเต็มไปหมด ท่านประหลาดใจมาก ทันใดนั้นหลวงตาก็ถามท่านว่า "ท่านจันทร์..วันนี้ไม่ได้เอาอาหารให้พวกไก่หรอกหรือ ?" เท่านั้นแหละ ท่านก็เข้าใจทันทีว่า พวกไก่มันแห่กันมาฟ้องท่าน แต่ไม่เท่านั้น ท่านยังคิดสงสัยต่อไปอีกว่า "เอ.. แล้วท่านพ่อ (ท่านเรียกหลวงตาว่า ท่านพ่อ) รู้ภาษาไก่ได้อย่างไร ?" ทันทีที่คิดจบ กระเป๋าน้ำร้อนก็ปลิวร่อนฟิ้ว ดิ่งตรงออกมาที่หน้าท่านกำลังยืนลังเลอยู่ ถ้าท่านไม่หลบ ก็ฟาดหัวแตกแน่นอน ท่านหลบได้ทัน พร้อมกับของขึ้นคิดว่า "กระเป๋าน้ำร้อนก็อุตส่าห์ทำถวายให้ได้ใช้ตามที่คุณหมออวยถวายไว้ และยังเอามาปาหัวเราเกือบหัวแตก และนี่เราเป็นใคร เราเป็นถึงนักเรียนนอกปริญญาโท มาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมที่นี่ ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทำเราขนาดนี้ ?" ท่านบอกว่าทิฏฐิมันขึ้นขีดสุด กำลังจะเดินออกไป ตัดสินใจว่า "ไปแน่..ไม่อยู่แล้ว ออกจากนี่ไปแล้วก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก" ทันใดนั้นเสียงหลวงตาก็ดังลั่น "แค่ภาษาสัตว์ทำไมจะรู้ไม่ได้ พวกฤๅษีนอกศาสนาเขายังระลึกชาติได้ตั้ง ๗ ชาติ แล้วเราเป็นใคร ? เราเป็นพระในพระพุทธศาสนา ระลึกได้ไม่ถึง ๗ ชาติก็ให้อายพวกฤๅษีนอกศาสนา และสมัยหลวงปู่มั่นน่ะนะ ไม่มีของใช้ดี ๆ (กระเป๋าน้ำร้อน) อย่างที่เราใช้กันนี่หรอกนะจะบอกให้" พอท่านได้ฟังเท่านั้น ท่านถึงกับก้มกราบลงขอขมาท่านหลวงตา นี่คือคำสอนตอนหนึ่งที่หลวงตาท่านปราบทิฏฐิชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว และเมื่อรู้เท่าทันก็ผ่านการทดสอบจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่เมตตาให้ท่านได้อยู่ปฏิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดและตลอดเวลา ครูบาอาจารย์เช่นนี้หาได้ยากในโลก ผู้ใดที่คิดว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่เมตตาที่ทำเช่นนั้นเช่นนี้ ก็ขอจงพิจารณา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2024 เมื่อ 14:30 |
#752
|
||||
|
||||
เมื่อวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน (วัดเสือ) เกิดขึ้นตามความประสงค์ขององค์หลวงตาแล้ว จากนั้นไม่นานมีเหตุทำให้วัดต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ หมูป่าตัวแรกถูกตีมา ท่านเลยรักษาให้จนหาย ส่วนเสือตัวแรกที่เข้ามาที่วัด ก็โดนฉีดฟอร์มาลินเพื่อหวังจะสต๊าฟฟ์ แต่บังเอิญมันไม่ตาย ยังกระดุกกระดิกได้ ชาวบ้านจึงเกิดกลัวบาปขึ้นมา ก็เลยนำมาถวายขอให้พระอาจารย์ภูษิตรับไว้ หากไม่รับก็จะนำไปขายต่อซึ่งก็ต้องตายแน่นอน ท่านจึงยอมรับไว้
ในตอนนั้นขนมันโดนเลาะไปหมดแล้ว แทบหมดสภาพว่านี่คือเสือ ท่านก็หยอดข้าวกับน้ำแกงต้มฟัก อาหารที่พอแบ่งจากบิณฑบาตป้อนมันทุกวันจนสามารถเดินได้ ขนเริ่มขึ้นใหม่ แต่เพราะมันก็ไม่แข็งแรง ร่างกายโดนยาฟอร์มาลินไม่สมบูรณ์ดังเดิม องค์หลวงตากล่าวในเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า "นี่ก็เป็นนิสัยวาสนาของแต่ละองค์หรือแต่ละบุคคล เช่นอย่างวัดเสือ ท่านจันทร์ท่านบวชมาเพื่อมาปฏิบัติบำรุงรักษาเสือเมื่อไร แต่มันหากมีความจำเป็นที่แทรกเข้ามา เบื้องต้นก็มีใครเอาสัตว์อะไรมาปล่อย ท่านก็ไม่หา แต่เขาเอาไปถวายท่าน ท่านก็เห็นว่ามันเป็นที่ว่าง เป็นทำเลที่ปลอดภัยตลอดสัตว์ทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องอาหารก็สะดวก คงจะเป็นอย่างนั้น เขาเอาวัวควายไปถวายท่าน ให้ท่านตั้งใจเสาะแสวงหามาเลี้ยง..ไม่ละ เราเชื่อทันที นี่ก็จำเป็นต้องได้รับ ครั้นรับแล้วสัตว์หลายประเภทเข้ามาที่นั่น ๆ รวมเข้าไปจนกระทั่งสัตว์ในป่าแท้ ๆ ม้าป่าเราก็ไม่เคยเห็น ได้ยินว่ากระทิง วัวแดง อะไรนี่เราก็เคยได้ยิน ในดงบ้านตาดก็มีเยอะ อันนั้นก็ลงมา กระทิงวัวแดงก็มาจากเขานี้..ว่างั้น อันนี้เราเคย แต่ม้าป่าเราไม่เคยได้ยิน ก็อยู่ที่นั่น แล้วถามนี่ก็มาจากป่าลงมาเลย นี่แปลกอยู่นะ ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสือเมื่อไร ท่านไม่มีนะ..เจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามา ๆ ทีแรกก็ดูว่าพวกสัตว์พวกเนื้อ ครั้นต่อมาก็มีพวกเสือ เสือเข้ามาให้ท่านเลี้ยง ทีนี้ค่อยลุกลามไปนะ พวกนกยูง พวกหมู หมูนี่หลายร้อยตัว หมูตอนเช้ามันลงมา แรกจริง ๆ คือ หมูตัวหนึ่งจะถูกเขาทำลายหรืออะไร เขาตีเอวหรืออะไรเป็นบาดเป็นแผล แล้วอะไรบ้าง เป็นสัตว์พิการ หมูตัวเดียวเสียก่อนเป็นต้นเหตุ จึงน่าคิดนะ เขาจะไปส่งข่าวให้ท่านทราบได้อย่างไร หมู..ภาษาสัตว์เขาก็มีประจำเขา เรามาจับจุดนี้ละ แล้วหมูเป็นหมูโทนตัวเดียว ถูกเขาทำลาย มันก็ลงมาวัด ท่านจัดอาหารให้เขากิน ท่านสงสาร..ไปเห็น..โอ้อย่างไรกันนี่ เลยจัดอาหารเลี้ยงหมูตัวนี้ละ หมูโทน..หมูตัวเดียว ท่านก็เลี้ยงดูจนเขาหาย แล้วเขาก็ขึ้นไปจากวัด เพื่อนฝูงไม่ทราบอยู่ที่ไหนมาดั้งเดิมก็ไหลกันลงมา มากินอาหารกับท่าน ท่านเลยต้องจัดเป็นการเป็นงานจริง ๆ มันไหลมาไม่ใช่น้อย ๆ เป็นร้อย ๆ หมูป่าไหลลง ๆ ท่านเลยต้องจัดเอาจริง ๆ นะ จัดเป็นการเป็นงานขึ้นมา จัดอาหารเลี้ยงหมู แล้วหมูเป็นร้อย ๆ เอา ทีนี้นกยูงก็มา อันนั้นก็แบบเดียวกันอีก ยั้วเยี้ย ๆ เลยเลี้ยง แล้วสัตว์อะไรต่ออะไรอยู่ในป่ามาก ๆ จึงได้เห็นสัตว์ป่าธรรมชาติแท้ ๆ นี้เขาอยู่ในป่า เขามาอาศัยคน เวลามีที่อาศัยเขาก็ลงมาอาศัย ถ้าไม่มีที่อาศัยเขาก็อยู่ตามป่าโดยหลักธรรมชาติของเขา ขอสรุปความเลยว่าสัตว์ส่วนมากที่เอามาเลี้ยงไว้นี้มีแต่สัตว์ป่านะ คนเอามาเลี้ยงแล้วก็เลยกลายเป็นสัตว์บ้าน ทีนี้เลยเห็นว่าสัตว์อยู่ในป่าในเขาว่าเป็นสัตว์ป่า ๆ เถื่อน ๆ ที่ไหนได้ ไปแย่งจากป่ามาเป็นบ้าน สัตว์ในบ้านของเราเป็นป่า ๆ เถื่อน ๆ พวกวัวพวกควายเหล่านี้ ควายป่าก็มีเยอะ ธรรมชาติแท้มันเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นแหละ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของท่าน ของเรานะเป็นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2024 เมื่อ 14:34 |
#753
|
||||
|
||||
สละชีวิต...ค้ำชาติไทย
องค์หลวงตาสละชีวิตครั้งแรกเพื่อต่อสู้กับกิเลสภายในใจ ครั้นพอมาถึงปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ชาติบ้านเมืองเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ท่านจึงประกาศตนเป็นผู้นำกอบกู้ชาติมิให้ล่มจมลงต่อหน้าต่อตา เพราะหากชาติพัง พระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ก็ต้องพังลงไปด้วย ท่านจึงยอมสละชีวิตอีกครั้งเพื่อค้ำชาติไทย นับตั้งแต่ก่อตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา องค์หลวงตาเมตตาให้ความสงเคราะห์โลกในด้านวัตถุด้วยประการต่าง ๆ มากมายหลายด้านหลายทาง ชนิดไม่สามารถจะบรรยายได้หมดสิ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ การสงเคราะห์โลกของท่านเป็นแบบเงียบ ไม่ยอมให้ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ยิ่งในอดีตระยะที่ท่านแข็งแรงไปไหนมาไหนองค์เดียวได้ ท่านก็ให้ความเมตตาช่วยเหลือในลักษณะนี้มาโดยตลอดเช่นกัน และไม่เคยสนใจจะประกาศให้โลกรู้ เพราะท่านมุ่งสงเคราะห์จริง ๆ ดังนี้ "เรานี่ก็ไม่เคยคิดนี่นะว่าจะได้มาช่วยโลกอย่างนี้ นี่มันก็เป็นมาเอง เราก็ทำตามนิสัยของเราอยู่อย่างนั้น อยู่ใต้ดิน ใครจะมาออกข่าวออกคราวอะไร หนังสือผอกหนังสือพิมพ์อะไร เราไม่ให้มาทำนะ เราปัดออกทันทีนะ เราทำอะไรจึงไม่มีข่าวมีคราวอะไรทั้งนั้น เราปัดทันทีเลย ไม่ให้มายุ่ง ว่างั้นเลย เราทำตามอัธยาศัยของเรา อย่างสมมุติพวกหนังสือพิมพ์จะเอามาออก ก็เราเอามาทำนี้มันของลูกศิษย์ลูกหามาทำต่างหาก เรามาทำแทนเขานี่นา เครื่องจตุปัจจัยไทยทานเป็นของเขาทั้งนั้นนี่ ถ้าหากว่าจะออกหนังสือพิมพ์ ก็ต้องเอาออกมาหมดซิ เราถึงจะให้ออก ถ้าออกไม่หมดอย่าเอามาออกนะ มาอวดแต่เราคนเดียว ใช้ไม่ได้นะ เราว่างั้นนะ เขาก็ไม่กล้านะซี เพราะพูดอย่างเด็ดซะด้วยนะ บอกห้ามไม่ให้มายุ่ง ว่างั้นเลย ไม่ให้ลง ทำแบบใต้ดิน ๆ ตลอดมา สร้างโรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ ที่ไหนก็ตาม เราไม่ให้มายุ่ง เราทำของเราเอง มันก็อยู่ใต้ดิน ๆ ไม่มีใครทราบละ ภายนอกไม่ค่อยทราบ นอกจากคนใกล้วัดนี้ เขาทราบกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2024 เมื่อ 03:27 |
#754
|
||||
|
||||
โครงการช่วยชาติ
สงครามเศรษฐกิจ ๒๕๔๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ชาติไทยของเราประสบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจและความสับสนทางสังคม เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตใจ เผลอลืมสิ่งที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ ลืมเรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องทานศีลภาวนาไปเสีย มัวมุ่งสนใจแต่เพียงวัตถุสิ่งของเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์บริษัทบริวาร มากกว่าความรักชาติด้วยข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อดูจากภาวะจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนสภาพบ้านเมืองในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ กล่าวได้ว่า ในชั่วพริบตาเดียว ไม่ทันที่ชาวไทยจะตั้งตัวทัน ประเทศไทยก็ต้องประสบกับวิบากกรรมครั้งใหญ่แทบสูญสิ้น "เอกราช" หนี้สินล้นพ้นตัว หมดทางไป บรรยากาศในเวลานั้นดูมืดมิดปิดตา ผู้คนพากันท้อแท้ประหนึ่งว่าชาติไทยเราจะไม่มีวันพ้นจากหล่มลึกได้อีกต่อไปแล้ว และเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ องค์หลวงตาก็ได้กล่าวถึงชะตากรรมของชาติในครั้งนี้ไว้เช่นกันว่า "นี่ละ..เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ สงครามเงียบเป็นอย่างนี้ละ กินแบบเงียบ ๆ ไม่ได้มีกระโตกกระตากอะไรแหละ..เงียบเลย เราได้วิตกอันนี้ละ จึงได้ปรารภออกมา แล้วเพื่อนบ้านก็เป็นแล้วนี่ ให้เห็นแล้วนี่ เราพูดตรง ๆ เลย ได้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วถึงได้พูดออกมา ไม่ใช่พูดออกมาแบบด้นแบบเดาเกาหมัดอย่างนั้นนะ พูดออกมาด้วยการพิจารณาแล้ว และเรื่องก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ ไม่ผิด มันน่าคิด เมืองไทยเราเป็นเมืองเอกราชเอกสิทธิ์มากี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ เป็นมาอย่างนี้ เรายังจะมาโดนเอาอย่างนี้ โอ้โห..มันกระอักเลือดตายแล้วเมืองไทยเราน่ะ แบบกลืนเลยไม่ต้องเคี้ยว มันน่าคิดมากนะ เวลานี้เพื่อนบ้านโดนแล้วนะ โดนอย่างที่ว่านี้ โดนอย่างกลืนเงียบเลย ยึดปุ๊บ ๆ เลย เงินตั้งเป็นแสนล้าน ฟังซิ..ว่าแสนล้านกว่า ดอกเบี้ยออกเดือนหนึ่งเท่าไรแล้ว ตั้งแต่ค่าให้ดอกเบี้ยเขาก็จะไม่พอสำหรับประเทศไทยเรา ไหนจะมีปัญญาไปช่วยถึงแสนล้าน คิดดูซิ..ถ้าทั้งประเทศเราไม่ช่วยกันแล้วไปไม่ไหวจริง ๆ นะ ไม่มีความเสียหายอะไรเราพิจารณาแล้ว เรื่องความเสียหายกับประเทศชาตินี้ไม่มี มีแต่ทำประเทศชาติให้มีความแน่นหนามั่นคง ช่วยตัวเองได้ในกาลต่อไปเป็นลำดับตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เนื่องจากที่พวกเราทั้งหลายต่างคนต่างช่วยเหลือกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2024 เมื่อ 06:50 |
#755
|
||||
|
||||
"ใครก็ตามจะอยู่ได้เพราะชาติ ถ้าชาติจมไปเสียแล้วไม่มีใครอยู่ได้ สูงขนาดไหนต่ำขนาดไหนจมไปด้วยกัน ถ้าชาติอยู่ไม่ได้แล้วเมืองไทยเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะรากแก้วอยู่ที่นี่ ต้นลำอยู่ที่นี่ อยู่ที่ชาตินี่ เพราะฉะนั้น..เราถึงวิตกวิจารณ์มาก มันเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองเรา ต้องรีบพิจารณา เวลากำลังเงียบ ๆ อยู่นี้ให้พิจารณา ครั้นเวลามามันมาเงียบนะ ไม่ได้มาแบบกระโตกกระตากอะไรนะ มาแบบเงียบแล้วพูดอะไรไม่ได้ด้วย กลืนพร้อมไปด้วย ไม่ต้องเคี้ยว นี่เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ..สงครามเงียบ
สงครามนี้ไม่ดังนะ กลืนปุ๊บ ๆ เลย วิตกมากอยู่..เราทราบข่าวว่าเขายึดนั่น..เห็นไหมล่ะ ติดหนี้เขาไม่มีเงินให้เขา เขาเข้ายึดธนาคาร ยึดทั่วประเทศเลย นี่แบบกลืนเงียบ กินเงียบ เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ กินแบบนี้ละ" ผลของวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประสบภาวะขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินถูกสั่งปิด หน่วยงานภาครัฐ เอกชนตลอดจนประชาชน ต่างประสบภาวะหนี้สินพะรุงพะรัง แม้แต่โรงพยาบาลต่าง ๆ ก็ถูกตัดงบประมาณจากรัฐ ข่าวฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรายวันเพราะกิจการล้มละลาย ไม่มีเงินใช้หนี้ โรงงานและกิจการห้างร้านทยอยปิดตัวไป ตึกแถวอาคารพาณิชย์มีแต่ความรกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้อยู่อาศัย โครงการก่อสร้างถนนหนทางกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน ผู้คนต่างพากันตกงาน บัณฑิตจบการศึกษาก็ไม่มีงานทำ ทั่วทุกหัวระแหงจึงมีแต่ภาพแห่งความสลดหดหู่ใจ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ความลำบากยากแค้นดังกล่าวนี้หมุนเข้ามาใกล้ชิดติดพันกับการสงเคราะห์ประจำวันขององค์หลวงตาถึงกับทำให้ท่านต้องกล่าวว่า "ทางโรงพยาบาลเป็นที่หนึ่ง ที่ไปช่วยเต็มกำลังความสามารถ ปีนี้ยิ่งเป็นปีที่หนักเป็นกรณีพิเศษอีก คือ โรงพยาบาลต่าง ๆ วิ่งมาขอเงินไปใช้หนี้ ว่างบประมาณไม่มี ทางรัฐบาลสั่งมาให้ซื้อของในวงเงินเท่านั้น ๆ แล้วจะส่งเงินมา ทีนี้รัฐบาลไม่ได้ส่งมาให้ เลยติดหนี้เขา วิ่งเข้ามาหาวัด เราช่วยแทบเป็นแทบตาย ช่วยเป็นล้าน ๆ แต่ละโรง ๆ ติดหนี้เขา แล้วจะทำยังไง มีเท่าไรก็ทุ่มกันลง บางทีถึงกับบอกว่าจ่ายไม่หมดนะ ให้จ่ายเป็นงวด ๆ งวดที่สองที่สามมีมาแล้วค่อยจ่ายอีก เราว่าอย่างนั้น คือมันไม่ไหว มันมากจริง ๆ ปีนี้เป็นอย่างนั้น ทุกปีมีแต่มาขอเครื่องมือ เราก็ช่วยเครื่องมืออะไรต่ออะไร ปีนี้กลับมาขอใช้หนี้แล้ว มันเป็นยังไงรัฐบาลเราจะไม่จมแล้วเหรอ ปกครองบ้านเมืองกันยังไงถึงปล่อยให้บ้านเมืองจม ? แม้แต่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหัวใจของชาติจริง ๆ ก็ยังจะล้มไป นี่จะทำยังไงกัน ?" แม้ในยามปกติปัญหาเล็กกว่า ท่านยังมีเมตตาช่วยเหลือสงเคราะห์อย่างจริงจัง บัดนี้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้นเป็นความทุกข์โดยรวมของคนทั้งชาติ จนอาจถึงขั้นสูญสิ้นอธิปไตยของไทยเลยก็ว่าได้ หากไม่ช่วยกันเยียวยาแก้ไขให้ทันการณ์ ประกอบกับความเมตตาสงสารพี่น้องชาวไทยเป็นล้นพ้น ท่านจึงปรารภขึ้นด้วยความห่วงใยว่า "จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพี่น้องไทยทุกคนให้เสียสละช่วยกันอย่างจริงจัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2024 เมื่อ 06:54 |
#756
|
||||
|
||||
นิมิตหลวงตา..รู้ทันสนธิสัญญา IMF
ภาวะแห่งความทุกข์ระทมเช่นนี้ สำหรับพระภิกษุผู้ประจักษ์แจ้งในธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาเช่นองค์หลวงตาแล้ว ย่อมเห็นเป็นปกติธรรมดาของโลกและสรรพสัตว์ที่ล้วนต้องประสบกับความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความไม่มีตัวตนพอยึดถือเป็นสาระแก่นสารได้ ในยามที่ชาติไทยต้องประสบกับทุกข์เช่นนี้ องค์หลวงตาย่อมพิจารณาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรม และไม่น่าจะมีสิ่งใดเข้ามากระทบต่อความรู้สึกของท่านได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมขององค์หลวงตาและความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้องค์หลวงตาตัดสินใจ ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั่วทั้งประเทศ ท่านเกิดความรู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง ในวิกฤตการณ์ของชาติในคราวนี้ ซึ่งมิใช่เกิดจากภาพหรือข่าวที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น ภาพแห่งความทุกข์และหนทางเยียวยาแก้ไข ได้แสดงอย่างชัดเจนประจักษ์ใจ จากการอบรมจิตตภาวนามาอย่างช่ำชอง ภาพภายในนี้กระเทือนจิตของท่าน ถึงกับทำให้มิอาจนิ่งดูดายต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ และเริ่มแนะแนวทางเข้าช่วยเหลืออย่างจริงจัง ดังคำกล่าวเมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ว่า "เราพูดจริง ๆ จะขายโง่ขายความฉลาดขายเลวขายดีก็แล้วแต่เถอะ ก็ภาวนาอยู่ธรรมดาทุกคืน เราภาวนาอยู่อย่างนั้น จากนั้นแผ่เมตตาจิตทั่วไปหมด เมื่อคืนนี้มันขึ้น ขึ้นอะไร ? ห่วงโลกห่วงสงสารแล้วก็ย่นเข้ามาก ๆ เข้ามาถึงจุดเมืองไทยเรา ทีนี้เกิดความสงสารขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยเรานี้ติดหนี้ติดสินเมืองนอก ทำยังไงกัน เพื่อกู้ชาตินี่นะ อย่างนี้ละความเมตตามันหากซอกแซกซิกแซ็กไป เมื่อคืนนี้โผล่ขึ้นมาจนได้ เราก็ไม่เคยเป็น เมื่อคืนนี้ออกพุ่งมาตรงนี้ ว่าจะแก้ตรงไหน แก้เราก็ต้องเอาเงินกับลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยนี้มาให้เราเอง พูดง่าย ๆ ไม่ใช่ให้ใครละ มาให้เราเอง ก็มีเท่านั้นละ..จะทำยังไง เราคิดอยากให้ทางรัฐบาลพินิจพิจารณาเรื่องเหล่านี้ จะพิจารณากันยังไง ตามธรรมดาอะไรที่รู้แล้ว ควรไม่ควรนี้ก็เก็บไว้ อันใดควรออกมากน้อย อันไหนไม่ควรก็เก็บไว้ในลิ้นชัก แต่อันนี้ไม่อยู่เสียแล้ว เตะลิ้นชักแตกกระจายเลย..! นี่เป็นนิมิตเราเป็นจริง ๆ เมื่อคืนนี้ จึงได้ออกพูด ก็เราทำของเราทุกคืน เราพูดจริง ๆ จิตใจแผ่ทั่วแดนโลกธาตุ มาว่าอะไรแคบ ๆ เท่านี้ ค่อยวนเข้ามาแคบเข้ามา ๆ เข้ามาถึงเองไทย เมื่อคืนนี้ออกมาติดตรงนี้เสียแล้ว ทุกคืนไม่ติดไม่ออกช่องนี้ มันออกช่องอื่น แต่เมื่อคืนนี้ออกช่องเมืองไทย ช่องเมืองไทยติดหนี้เขา แล้วเมืองไทยเราคนไทยเป็นทุกข์กันมากมายก่ายกอง ฆ่าตัวตายก็มี..โห..! เมื่อพูดถึงจุดนี้แล้วให้พิจารณากัน ต่างคนก็ต่างเป็นไทยด้วยกัน ทำไมจะไม่มีน้ำใจ เราแน่ใจว่ามี หาได้คนละบาทก็เอา ขึ้นตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไป ถึงล้านถึงแสนถึงหมื่นถึงพันถึงร้อยถึงสิบช่างมัน ควรจะได้ยังไงเอา..พรึบเลย เราคิดว่าจะได้นะ เพราะไม่มีอะไรเสียหายนี่ ประกาศน้ำใจเมืองไทยเราอีกด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ติดหนี้เหมือนกัน เมืองอื่นก็ดี แต่เขาไม่แสดงอาการอย่างนั้น เมืองไทยเราแสดงอาการอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อกู้ชาติไทยเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากันเสียหายตรงไหน พิจารณาแล้วไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ทางได้อย่างเดียว บริจาคทางอื่นยังบริจาคได้ ต่างคนต่างเป็นชาติไทยด้วยกัน บริจาคเพื่อกันเองจะเป็นอะไรไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2024 เมื่อ 02:10 |
#757
|
||||
|
||||
"พากันจำเอานะลูกศิษย์ลูกหา วันนี้เพียงเผดียงเท่านั้น นี่พูดจริง ๆ ออกมาจากหัวใจจริง ๆ เป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ มาข้องตรงนี้ อ้าว..ทำยังไงกัน เกี่ยวกับทางช่วยโลกเราก็ช่วยมากพอ ทางแผ่เมตตาจิตก็แผ่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เมื่อคืนนี้มาข้องตรงนี้แก้ไม่ตก ถ้าแก้อย่างนี้แล้วตกแน่ ๆ หนี้สินในเมืองไทยเราตกพรึบเลย
ทำยังไงมันแน่นหัวอก เมื่อคืนนี้ อ้าว..เอาแล้วทีนี้ มาติดตรงนี้ปึ๋งเลยเทียว ติดไม่ใช่ติดน้อย ๆ ติดปึ๋งเลยเทียว ถ้าออกก็ออกแบบปึ๋งเลยเหมือนกัน ออกได้ ไปติดหนี้เขาก็เมืองไทยเราเองเป็นคนไปติด เรียกว่าทำให้ล่มจม ฟื้นกลับคืนมาก็เป็นเมืองไทยคนไทยเราเอง จะเป็นอะไรไป นี่ละ..วิตกวิจารณ์ แต่เวลามาออกเมื่อคืนนี้ไม่ได้ออกจากการเป็นอารมณ์นะ ไม่ได้เอาอันนี้มาเป็นอารมณ์ พิจารณาตามธรรมดา ๆ วนเข้ามา ๆ แคบเข้ามา ๆ ถึงเมืองไทย คราวนี้อันนี้ออกปึ๋งเสียแล้ว มาถึงเมืองไทยแต่ก่อนก็ธรรมดา เมื่อคืนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ใส่ปึ๋งเลย การติดหนี้เป็นทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดเลย ในธรรมท่านก็บอก ความติดหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านก็บอกไว้มีในธรรมในบาลี อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การติดหนี้เป็นทุกข์มากในโลก ความไม่มีหนี้สินเป็นสุขมากในโลก ท่านแสดงไว้" พระธรรมเทศนานี้จึงเป็นการประกาศเจตนารมณ์แห่งการกู้ชาติขององค์หลวงตาเป็นครั้งแรก สร้างความฉงนแก่บรรดาศิษย์และประชาชนชาวไทยไม่น้อยทีเดียว และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนอกเหนือความรู้ของคนทั่วไปในเวลานั้น นั่นคือก่อนที่องค์หลวงตาจะเล่านิมิตนี้เพียง ๒ วัน คือ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมลงนามเซ็นสัญญากู้เงิน IMF โดยทำหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เป็นครั้งที่ ๒ และได้ทำความตกลงในเงื่อนไขสำคัญระหว่างประเทศไทยกับ IMF ให้ต้องกระทำการตามสัญญา โดยมิได้มาเปิดเผยต่อรัฐสภาหรือสาธารณชนแต่อย่างใด ในเวลานั้นจึงแทบจะไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียดของเงื่อนไขดังกล่าวเลย จะมีก็แต่เพียงรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงตาที่อยู่วงนอก ยิ่งไม่มีทางจะล่วงรู้ได้ อย่างไรก็ตาม มหันตภัยในสนธิสัญญาฉบับนี้ ไม่อาจปิดบังญาณความรู้ขององค์หลวงตาไปได้ เงื่อนไขตอนหนึ่งระบุว่ารัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา โดยอ้างว่าเพื่อให้ดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยมีความทันสมัยขึ้น ข้อตกลงกับ IMF ในเรื่องนี้ได้ปรากฏชัดเจนในอีก ๓ เดือนต่อมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือที่ ธปท.ชบ.๑๒๕๙/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ใช้แนวทาง "การรวมบัญชี" ของฝ่ายการธนาคาร และ ฝ่ายออกบัตรเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็น "ร่างกฎหมายรวมบัญชี" ในเวลาต่อมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2024 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (16-10-2024), ชุณหพงศ์ (16-10-2024), ต้นบุญ (16-10-2024), ปราโมทย์ (16-10-2024), พี่เสือ (16-10-2024), มารวย๙ (16-10-2024), สัญญะจิตโต (16-10-2024), สุธรรม (16-10-2024)
|
#758
|
||||
|
||||
สำหรับมหาภัยของเงื่อนไขตามสนธิสัญญา IMF ในแต่ละฉบับนี้ กล่าวได้ว่าแทบทุกฉบับล้วนส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ และยังมีผลผูกพันต่อสมบัติของชาติและต่อคนไทยทุกคนอีกด้วย ซึ่งกว่าจะรับรู้โดยทั่วกันได้ ก็ล่วงเลยมาหลายต่อหลายปี จนชาติไทยแทบจะสูญสิ้นอธิปไตยและสูญเสียสมบัติของชาติไปมากมายมหาศาล ทั้งยังทำให้มีภาระหนี้สินตามมาอีกจำนวนมาก
ดังนั้น..การเล่านิมิตขององค์หลวงตาที่ถูกจังหวะสอดคล้องกับวันทำสัญญาฉบับที่ ๒ กับ IMF พอดิบพอดีเช่นนี้ จึงเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ณ จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายมหาภัย ซึ่งจะทำชาติให้ล่มจมได้ และ ณ จุดเดียวกันนี้อีกเช่นกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการกู้ชาติขององค์หลวงตา และยังยืนยันด้วยว่าจะสามารถน่าพาชาติให้พ้นจากภัยได้ ด้วยความรู้จากจิตภาวนาขององค์หลวงตาในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ดังนี้ "ได้มาเห็นสภาพการณ์ของเมืองไทยเราอยู่ในขั้นวิกฤตการณ์ ขั้นที่จะเข้าขั้นแห่งความล่มจมได้ ซึ่งเป็นไปด้วยความน่าวิตกวิจารณ์เอามาก ดังที่เราทั้งหลายก็ทราบด้วยกันแล้ว มองไปไหนก็มองไม่เห็นใครจะเป็นผู้นําชาติไทยของเรานี้ให้ขึ้นจากหล่มลึก มองไปที่ไหนก็มีแต่ตีบตันอั้นตู้ ๆ ใครจะเป็นผู้สามารถยกได้ มองไปไหนก็ไม่เห็น ๆ จึงได้หันหน้าเข้ามาสู่ความเป็นหัวหน้า ก่อนที่จะมาเป็นหัวหน้าของพี่น้องทั้งหลาย ก็ได้คิดทบทวนเต็มกําลังความสามารถแล้วว่า ประเทศไทยของเรานี้จะออกพ้นภัยไปได้ในทางใดแง่มุมใด พิจารณาเต็มความสามารถก็ไม่เห็นทางที่จะออกไปได้ เปิดตรงนั้นก็ปิดตรงนี้ เปิดตรงนี้ก็ปิดตรงนั้น เสียรอบด้านหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็วกวนเข้ามาหาหลวงตาบัวเอง มาเห็นช่องแคบ ๆ หลวงตาบัวมีช่องแคบ ๆ เท่านี้ มองดูเอาช่องแคบ ๆ เท่านี้แหละ วาสนาน้อย ไม่ได้กว้างขวางอะไร ช่องนี้คือช่องอะไร ? เห็นช่องแคบ ๆ แต่ช่องนี้เป็นช่องแห่งความปลอดภัยแห่งสมบัติทั้งหลายที่จะไหลเข้ามานี้มีเท่าไร ไหลเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด ไม่มีตกค้างตรงไหนเลย ไอ้ช่องกว้าง ๆ มันลงทะเลหลวง ลงพุงหลวงไปเสียมากต่อมาก จึงได้ประกาศตนออกมาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายดังที่เห็นอยู่นี้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2024 เมื่อ 02:15 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (16-10-2024), ชุณหพงศ์ (16-10-2024), ต้นบุญ (16-10-2024), ปราโมทย์ (16-10-2024), พี่เสือ (16-10-2024), พุทธภูมิ (16-10-2024), มารวย๙ (16-10-2024), สัญญะจิตโต (16-10-2024), สุธรรม (16-10-2024)
|
#759
|
||||
|
||||
หายเพราะยาเทวดา
การที่ประเทศชาดิและประชาชนต้องประสบกับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ทำให้องค์หลวงตาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แต่เพราะความเมตตาสงสารต่อพี่น้องชาวไทยเป็นล้นพ้น แม้จะชราภาพหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ด้วยวัยขณะนั้นย่างเข้า ๘๕ ปีแล้ว อีกทั้งในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนเข้าพรรษา ธาตุขันธ์ของท่านยังมีโรคภัยเข้าเบียดเบียน อาการคล้ายกับท้องเสีย ต้องถ่ายท้องถึงวันละ ๗ - ๘ ครั้งต่อวัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง ๘ เดือนเต็ม จนถึงต้องเกาะราวระเบียงกุฏิ พยุงสังขารด้วยกําลังเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่ยอมให้สังขารเป็นภาระแก่ผู้ใด และมีหลายครั้งที่เดินจากกุฏิไป ยังไม่ถึงศาลา ระยะทางเพียง ๓๐ - ๔๐ เมตร ก็ยังต้องหยุดถ่ายท้องระหว่างทางก่อน อาการในช่วงนั้นไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใดเลย มีแต่หมดกําลังลงและทรุดลงทุกวัน ในช่วงเวลานั้นองค์ท่านจึงดูซูบผอม หมดเรี่ยวแรง แม้จะเดินจากกุฏิไปศาลาเพียง ๓๐ - ๔๐ เมตร ก็ยังโซเซแทบจะเดินไม่ไหว ถึงกับทำให้ท่านตกลงปลงใจแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๔๑ นี้อย่างแน่นอน องค์ท่านจึงได้สั่งให้ท่านพระอาจารย์ปัญญาพระฝรั่ง สร้าง "เมรุ" เป็นรอยมือของท่านไว้เรียบร้อย โดยออกแบบให้เป็นกรรมฐาน เรียบง่ายไม่หรูหรา สำหรับเตรียมเผาศพองค์ท่านเอง ดังปรากฏอยู่ใกล้ศาลาใหญ่ที่หน้าวัดป่าบ้านตาดนั่นเอง แม้ธาตุขันธ์ร่างกายของท่านจะทรุดโทรมลงมาก ท่านก็ยังอุตส่าห์ฝืนสังขารจะช่วยโอบอุ้มชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ท่ามกลางความห่วงใยของลูกศิษย์ลูกหา แต่ก็ไม่มีใครสามารถทัดทานความเมตตาของท่านได้ ด้วยเหตุผลดังนี้ "อย่างที่ได้มานําชาติบ้านเมืองนี้ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด มันก็เป็นของมันมาอย่างนี้ จะทำยังไง โอ๊..มันสะดุ้งจิตมากนะ เป็นห่วงเป็นใยชาติไทยของเรา ทั้งร่างกายของเราก็ทรุดมาก ๆ จนเหมือนกับว่าถ้าเราตายไปนี่ เหมือนกับว่าเราจะมองหลัง ๆ ด้วยความเป็นห่วงนะ โอ๊..ทำยังไง ? สุขภาพของเราก็จะเป็นไปไม่ได้แล้ว แล้วบ้านเมืองก็ยิ่งเป็นไปอย่างนี้ ทำยังไงน้า ?" และในระหว่างที่อาการของท่านทรุดหนักลงเช่นนั้น คณะศิษย์ได้กราบขอความเมตตาจากท่าน ขออนุญาตให้คณะแพทย์ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น เข้าตรวจรักษา ซึ่งผลการตรวจพบว่า มีก้อนเนื้อผิดปกติอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เมื่อพบเช่นนั้นท่านก็ไม่อนุญาตให้คณะแพทย์ท่าการตรวจวินิจฉัยรักษาต่อแต่ประการใด อย่างไรก็ตามบุญของชาติไทยปรากฏแสงแวววาวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านเริ่มฉันยาสมุนไพรและใช้ธรรมโอสถ แล้วปรากฏชัดทันทีว่าอาการต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น และจากนั้นก็ค่อยฟื้นตัวขึ้น ๆ มีกําลังวังชามากขึ้น ๆ เพราะเมื่อฉันอาหารแล้วไม่สูญเสียตกหล่นออกไปหมดเหมือนเมื่อครั้งที่ป่วยด้วยโรคท้องอยู่ทุกขณะคืนวัน ดังนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2024 เมื่อ 02:33 |
#760
|
||||
|
||||
"เราพูดไม่ใช่คุย เอาความจริงมาพูด ท้องเสียตั้งแต่พรรษา ๑๐ ออกปฏิบัติพรรษา ๗ ฟัดกันแล้วนั่น ถึงพรรษา ๑๐ ท้องเริ่มเสีย เสียก็ไม่สนใจ ซัดกันเรื่อย เพราะอดอาหารเท่าไร การภาวนายิ่งดี ๆ เดี๋ยวก็ท้องเสีย ถ่าย ๆ จนพรรษา ๑๖ ลงเวทีละนั่น พรรษา ๑๖ พ.ศ. ๒๔๙๓ ลงเวที ท้องเลยเสียไปเรื่อย ๆ เลยกลายเป็นเรื้อรังอยู่ภายใน
ตอนนั้นไม่ได้สนใจกับปากกับท้องอะไร สนใจแต่กับธรรม พอถึงพรรษา ๑๖ แล้วก็ฉันธรรมดา ตั้งแต่นั้นมาฉันธรรมดาเลย ทีนี้ท้องก็เสียไปเรื่อย ๆ จนจะออกช่วยชาติ มันจะไปเอาจริง ๆ..! มันเป็นโรคเรื้อรังแล้ว หมอเขาตรวจคนไหนเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน เป็นอะไร..เป็นถึงขั้นมะรงมะเร็ง เขาไม่กล้าบอก เขาอาจจะกลัวว่าเราจะเสียจงเสียใจ เรามันไม่ได้เสีย เรียนจบแล้วเรื่องเกิดเรื่องตาย ไม่ตื่นไม่เต้นไม่กล้าไม่กลัว เรียนจบแล้ว แต่เขาก็กลัว..อย่างนั้นละ..นิสัยของโลก ถ้าเป็นโรคลึกลับเขาไม่ค่อยบอกแหละ เช่นโรคมะเร็งอย่างนี้ เขาไม่ค่อยบอกกัน สำหรับเราให้ยกโคตรมันมาเลย ถ้ามันมีทั้งโคตรมาอยู่ในท้องเราให้บอกมันมาเลย เราไม่กล้า เราไม่กลัว กล้าก็ไม่มี กลัวก็ไม่มี เรียนจบแล้ว นี่หมอทั้งหลายบอก "เป็นมะเร็งลําไส้ ไปไม่รอด จะตาย อย่าไปประมาทนะ" เราก็จะตายปี ๒๕๔๐ ที่จะช่วยโลกแหละ มันจะตาย..จะไม่ชนพรรษา ก็เดชะดวงชะตาของบ้านเมืองเรามันเกี่ยวโยงกัน ก็เลยพยุงกันอยู่ได้ เลยได้ยาหมอเติ้งมาฉัน เขาบอกว่ายาขนานใดรักษาก็ไม่หายโรคประเภทนี้ เขามาเล่าให้ฟัง ตั้งฮั่วไถ่เล่า..เราไม่ลืมนะ เขาบอกเขารับประทานยานี้แล้ว เดี๋ยวนี้หายเลย "ขอนิมนต์หลวงพ่อฉันเถอะ จะหายอย่างเดียวกัน" หมอเติ้งเอาได้ หมอเติ้งคนจีน เป็นชาวจีน แกกําหนดให้เอง ฉันวันหนึ่งเท่าไร แกบอกไม่ให้เคลื่อนคลาดนะ ให้ฉันวันหนึ่งเท่าไร ฉันกี่ครั้ง แกก็บอกไว้ให้ แกว่า เรื่องถ่ายไม่ต้องตกใจ การถ่ายด้วยโรคนี้ ถ่ายเท่าไรยิ่งอ่อนยิ่งเพลีย การถ่ายด้วยยานี้ ถ่ายเท่าไรก็ไม่อ่อนเพลีย ไม่ต้องตกใจ ทีแรกมันจะถ่ายมากเพราะโรคมาก เอ้า..ถ้างั้นก็ลองดูเป็นครั้งสุดท้ายของยา ถ้าไม่หายนี้เราปล่อยเลย" การทดลองรักษาโรคเป็นครั้งสุดท้ายจากหมอคนสุดท้ายของท่าน ปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ ดังนี้ "มันก็ไม่เคยดีดเคยดิ้นนะ จนกระทั่งป่านนี้จนปรกติ หายเงียบหมดเลย ถึงว่าเป็นฤทธาศักดานุภาพแห่งดวงชะตาของชาติไทยเราจริง ๆ ไม่งั้นเรานําชาติไม่ได้แล้ว จึงได้ดีดขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้ นี่ก็เป็นดวงชะตาอันหนึ่ง เป็นปาฏิหาริย์นะ เราเรียกหมอนี้ว่า หมอเทวดา..หมอปาฏิหาริย์ โรคเราก็เลยกลายเป็นโรคปาฏิหาริย์ไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2024 เมื่อ 02:36 |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|