กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-01-2014, 12:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ๑๔-๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖

การทำอะไรถ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงออกซึ่งกำลังใจของเราที่เคร่งครัดและเข้มงวดต่อตัวเองจนกลายเป็นปกติ แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งในการปฏิบัติของเรา เพราะว่าต้องแสดงออกทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิอย่างเดียว

ในเรื่องการเจริญกรรมฐาน ขอญาติโยมทุกท่านจำให้แม่น ๆ ว่า เราจะทำเฉพาะเวลาไม่ได้ เพราะกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การเข้ากลุ่มคือในกลุ่มพวกพ้องเพื่อนฝูง มักจะทำให้เราคุยเพลินแล้วเสียการภาวนา ถ้าสำหรับนักปฏิบัติในระยะแรก ๆ ก็จะทำให้หาความก้าวหน้าไม่ได้ แรก ๆ ต้องปลีกตัวสักนิดหนึ่ง พอกำลังใจทรงตัวแล้วเราค่อยไปลุยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-01-2014 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-01-2014, 12:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการปฏิบัติ หลายท่านก็วางกำลังใจผิดตั้งแต่ต้น ก็คือทำแล้วอยากได้นั่น อยากเห็นนี่ การที่เรา "อยาก" ทำให้กำลังใจไม่ทรงตัว เพราะตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน ในเมื่อจิตยังฟุ้งซ่านก็เข้าถึงฌานไม่ได้เสียที

หลายท่านก็อยู่ในลักษณะของบุคคลที่แสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ขอบอกว่าถ้ายังหาไปเรื่อย ก็ไม่ได้อะไรสักทีเหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์แต่ละท่านเหมือนกับเจ้าของกิจการ จะเป็นกิจการใหญ่เล็กอย่างไรก็ตาม อย่างค่ายโทรศัพท์ของเอไอเอส หรือว่าจะเป็นซีพี จะเป็นซีเมนต์ไทย การบินไทย กิจการของคนอื่นทั้งสิ้น เราไปก็คือไปชมสมบัติเศรษฐี ถึงเวลาท่านก็บอกเราว่าทำอย่างไรถึงจะรวย แต่เราไม่ได้ทำเสียที มัวแต่ไปขอดูของคนอื่นไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเราชมเศรษฐีไปเรื่อย ๆ เราก็ไม่มีสมบัติเป็นของตัวเองเสียที

อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการทดลอง ทดสอบครูบาอาจารย์ ขอบอกว่านอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังกลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยด้วย บางท่านก็อธิษฐานอย่างนั้นมา อธิษฐานอย่างนี้มา ไปที่อื่นเขาอาจจะสงเคราะห์ให้ตามที่เราอธิษฐาน แต่ไม่ใช่ตรงนี้ เพราะอาตมาเลิกสนใจคำอธิษฐานของคนอื่นมาหลายปีแล้ว ป่วยการเปล่าที่จะไปดูความในใจคนอื่นเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ดูใจของเราเอง ดูว่าใจของเรามีความชั่วอยู่หรือไม่ ? ถ้ามีก็ขับไล่มันออกไป แล้วระมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ดูว่าใจของเรามีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มีพยายามสร้างให้มีความดีขึ้นมาให้ได้ เมื่อมีความดีอยู่ในใจแล้วก็พยายามประคับประคองรักษาให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ดังนั้น..ลักษณะการดูใจคนอื่นจึงมีประโยชน์น้อย สู้ดูใจของตัวเองไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-01-2014 เมื่อ 15:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-01-2014, 17:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายท่านกำลังใจแม้แต่จะก้าวข้ามการปฏิบัติขั้นแรกคือทาน ยังข้ามไม่พ้น ป่วยการที่จะกล่าวถึงศีลหรือภาวนา อย่างเช่นว่าเราจะให้ทาน ก็ต้องให้หลวงพ่อรับกับมือ ต้องให้พระอาจารย์รับกับมือ ต้องใช้ให้เห็น ต้องกินให้เห็น ถ้าอย่างนั้นก็ชาติหน้าบ่าย ๆ เถอะ ขนาดทำทานยังหาอุเบกขาไม่ได้เลย..!

เรื่องของทาน เราได้บุญตั้งแต่คิดจะทำแล้ว ถ้าไม่ได้ให้ ตายเสียก่อนก็ได้กำไรบุญไปเต็ม ๆ เลย ไม่ใช่ว่าต้องรอให้พระท่านรับกับมือ ไม่ใช่ว่าท่านต้องใช้ให้เราเห็น ต้องฉันให้เราเห็นเราถึงจะได้บุญ ลักษณะที่ว่ามานั้นเป็นการให้ทานที่ขาดอุเบกขา ในเมื่อขาดอุเบกขา กำลังใจของเราย่อมมั่นคงไม่ได้ ก็แปลว่าการให้ทานของเรา จะหาความก้าวหน้าเกินนั้นไม่ได้ เพราะว่ายังติดอยู่ในเรื่องของทาน ยังมีการตามดู ยังต้องให้ท่านรับ ยังให้กล่าวทักทาย ต้องให้ท่านมอง ต้องให้ท่านยิ้มด้วย โอ้พระเจ้า..!

อาตมาเจอมากับตัวเอง สมัยอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ญาติโยมเห็นหลวงปู่ป่วย ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า รักหลวงปู่อย่างนั้น สงสารหลวงปู่อย่างนี้ แล้วก็ส่งแผ่นทองปึกเบ้อเร่อ ขอหลวงปู่ช่วยจารให้หนูด้วย ตกลงรักหลวงปู่หรือรักตัวเองกันแน่วะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2014 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-01-2014, 17:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่มาว่ามากล่าวในที่นี้เพื่อที่จะบอกว่า บางทีสิ่งที่เราทำอยู่ก็ไม่ได้ถูกต้องตรงทาง แต่ขณะเดียวกันพอถึงเวลาแล้วเราก็ดันไร้ปัญญาเสียอีก ครูบาอาจารย์มีการแสดงออกที่ชัดเจนให้เรารู้ว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ แต่แทนที่ท่านเหล่านั้นจะรู้ตัว กลับไปนั่งน้อยอกน้อยใจ บางทีก็เตลิดเปิดเปิง ไม่โผล่มาอีกเลย นี่ถ้าเขารู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านถอนหายใจโล่งอกว่า “ไม่มาได้แหละดี” สงสัยผูกคอตายไปเลย..!

ดังนั้นในเรื่องของการปฏิบัติ สำคัญที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” เราต้องขวนขวายด้วยตนเอง เรื่องของการปฏิบัติ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ กินข้าวแทนกันเราไม่อิ่มแน่นอน มีแต่คนกินเท่านั้นที่อิ่ม เรื่องของการปฏิบัติก็เหมือนกัน ใครปฏิบัติผลก็เกิดขึ้นกับคนนั้น เรื่องฤทธิ์เรื่องของเดช เรื่องของอภิญญาสมาบัติ เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ถึงเวลาถ้ากำลังใจเพียงพอจะได้เอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกก็ได้ เพราะกว่าที่เราจะมาภาวนาได้อย่างนี้ เราต้องเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เมื่อเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราย่อมเคยทำมา เมื่อเราทำมา ถ้ากำลังใจถึง ผลของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2014 เมื่อ 12:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 11-01-2014, 18:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราที่ออกไปใส่บาตรตอนเช้าในตลาด ให้ระมัดระวังไว้ว่าอย่าไปเกะกะเต็มถนน เพราะว่าส่วนใหญ่พวกเราเข้าไปก็ทำให้รถติดทุกครั้งเลย คนทองผาภูมิส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพี่น้องต่างด้าวมอญพม่าเยอะ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้ความเคารพพระมากกว่าพวกเรา ถ้าเดินสวนกับพระ ผู้หญิงจะหลบลงข้างทางไปเลย ผู้ชายก็จะนั่งยอง ๆ ลง รอจนกระทั่งพระเดินผ่านแล้วถึงจะกล้าลุกเดินต่อ

ดังนั้น..ถ้าพระออกบิณฑบาตแล้วเดินข้ามถนน ถ้าเขาขับรถมาเขาจะหยุดเลย ก็แปลว่ารถจะติดจนกว่าพระวัดท่าขนุนจะข้ามถนนเสร็จ ซึ่งก็ค่อนข้างจะช้า เราทำให้รถติดอยู่บ่อยแล้ว ถ้าญาติโยมไปเดินเต็มถนน รถก็จะติดหนักขึ้นไปอีก คราวนี้พี่น้องมอญพม่าเขาไม่ว่าอะไรหรอก ความอดทนเขาสูง แต่คนไทยจะด่าเอา ฉะนั้น..เราจะไปก็ดูให้ดี ทำตัวลีบ ๆ หน่อย ส่วนใหญ่พวกเราจะไปเดินเต็มถนน เดินตามกันก็ไม่ถนัด คุยกระจายไม่ได้ ต้องเดินเรียงหน้ากระดานกันไป

ได้โปรดระวังว่าเราจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาโดยไม่จำเป็น ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ก็ถือว่าสร้างกรรมให้กับตนเองโดยไม่จำเป็น เหมือนกับไปขัดคอคนอื่นเขา ทำให้เขาช้า ไม่มีความสะดวก ต่อไปถ้าเราเองเจอแบบนั้นเข้า ทำอะไรก็จะเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2014 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 13-01-2014, 12:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การใส่บาตรให้ดูว่าส่วนใหญ่เขาใส่บาตรจุดไหน ให้ไปรวม ๆ อยู่ในที่เดียวกัน พระจะได้ไม่ต้องข้ามถนนกันหลายรอบ แล้วทางวัดมีอาหารเลี้ยง พวกเราเข้าตลาดไปเจอของถูกกิเลส ก็พยายามห้ามปากตัวเองหน่อย ให้กลับมากินที่วัด เดี๋ยวแม่ครัวจะนั่งน้ำตาเล็ด ว่าอุตส่าห์ทำทั้งทีแล้วก็ไม่ยอมกินกัน ถ้าไม่อร่อยก็ให้รู้ไปเลยว่าไม่ตรงกับกิเลสของเรา

ถ้าจะเจอที่อร่อยแล้วเราไปกินตามใจกิเลส ให้รู้ว่าที่ปฏิบัติมานั้นเสียของเปล่า เพราะไม่สามารถเอาไปใช้จริงได้ ในเมื่อไม่สามารถจะใช้จริงได้ การปฏิบัติของเราก็ทำแก้บนไปอย่างนั้นแหละ ดังนั้น..ห้ามปากห้ามคอตัวเองให้ได้ กัดฟันกลืนน้ำลายกลับมากินที่วัดให้ได้ ข้าวต้มเฮงซวยประเภทเทไปแล้วหมายังเมินก็ต้องพยายามกินให้ได้

อาตมาเองค่อนข้างจะลิ้นตะเข้มาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าฐานะทางบ้านยากจนมาก ถามว่าจนขนาดไหน ? แม่อาตมามีลูก ๑๓ คน แม่ก็ยังอุตส่าห์ส่งเรียนได้ทุกคน วันไหนถ้ามีกับข้าวขึ้นโต๊ะถึง ๓ อย่างนี่รวยโคตรเลย..! อาตมาก็เลยเคยชินกับการที่มีอะไรก็กินเข้าไปเพื่อให้อิ่ม บางเวลาหุงข้าวก็ต้องปนข้าวโพดลงไป ปนมันเทศลงไป ปนฟักทองลงไป เพื่อให้มีข้าวมากขึ้น จะได้กินพออิ่ม ต้องบอกว่าโดนบังคับให้ฝึกเรื่องอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยเคยชิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 13-01-2014, 12:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้พวกเราถึงเวลาแล้วมักจะเลือกกิน อาตมาอยากให้ไปอยู่ที่แอฟริกาสักคนละเดือน ดูว่าเราจะได้กินไหม? แถว ๆ ทุ่งซาฟารี ดูท่าจะโดนกินมากกว่า ของพวกเราต้องบอกว่าทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วอาหารพอเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ที่ไม่พอเพราะว่าส่วนหนึ่งก็คือพวกเรา กินทิ้งกินขว้างกันเยอะมากเลย ขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่มีกินก็อดตายไปเลย อย่างเช่นแอฟริกา เป็นต้น

จะว่าไปแล้วก็คือเขาทำทานบารมีมาน้อย ก็ต้องเจอสภาพอย่างนั้น แต่เราเองคนที่ทำทานบารมีมามาก มีเหลือเฟือก็จริง เราก็ควรจะคิดถึงคนอื่นเขาบ้าง ฝึกตัวเองให้พบกับความยากลำบากไว้บ้าง ถ้าอยู่ ๆ ถ้าเกิดสถานการณ์อดอยากแล้ว เราจะได้เอาตัวรอดได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 23-01-2014, 17:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองจำมาจนทุกวันนี้ พาเด็ก ๒๗ คนเข้าป่า พอถึงเวลาพัก ถามว่ามีใครหุงข้าวเป็นบ้าง ? เห็นยกมือหลายคนก็ชื่นใจ แล้วก็กำหนดตัวไปว่าจะให้ใครหุง พอชี้ไป เขาถามว่า “เสียบปลั๊กตรงไหน ?” โอ้พระเจ้า..! อยู่ในป่าดงดิบมาถามว่าเสียบปลั๊กตรงไหน ท้ายสุดอาตมาต้องไปหุงให้พวกนั้นกินทั้ง ๒๗ คนนั่นแหละ

ถ้าเราทำตัวให้ลำบากไว้ พอถึงเวลาจะสบาย เพราะจะไม่มีอะไรลำบากกว่าที่เราผ่านมาแล้ว และการทำตัวลำบากเป็นการฝึกความเข้มข้นของกำลังใจของเรา ให้เรามีกำลังที่เข้มแข็ง ที่จะช่วยให้เราต่อต้านกระแสกิเลสได้ ไม่อย่างนั้นวัน ๆ เราก็เป็นมนุษย์พันธุ์ก้มหน้า เขี่ยจอไปเรื่อย ห้ามใจตัวเองให้ออกจากจอยังไม่ได้เลย แล้วจะไปห้ามกิเลสได้อย่างไร ?

การปฏิบัติธรรมของเราที่ปฏิบัติในแต่ละวัน กำลังที่สะสมอยู่ สังเกตได้ว่าหลังจากการนั่งกรรมฐาน พออาตมาขานชื่อแล้วคนไม่ค่อยอยากรับกัน เพราะกำลังจากการปฏิบัติยังคุมตัวเองอยู่ เหมือนกับคนปากหนัก คิดช้า ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยกับใคร นั่นคือกำลังของสมาธิที่ช่วยให้เราต่อต้านรัก โลภ โกรธ หลงได้ แต่เราเอากำลังนั้นไปนั่งเขี่ยจอไปเรื่อย กว่าจะรู้ตัวก็ครึ่งคืนผ่านไป กำลังที่เราสะสมได้ก็หมด ก็เลยสู้กิเลสไม่ได้สักที กลายเป็นว่าทุกวันเราทำแล้ว เราก็ใช้แบบล้างผลาญไปเรื่อย เหมือนกับตำข้าวสารกรอกหม้อ ถึงเวลาต้องการจะหุงข้าวก็วิ่งไปตำ ได้มาแค่พอกินมื้อนี้ ดีไม่ดีก็ได้ไม่พอด้วย มื้อหน้าก็ต้องวิ่งไปตำใหม่อีก

แล้วเรื่องที่เราปฏิบัติมา จริง ๆ แล้วเพื่อที่เราจะลด ละ และเลิกกิเลสนั้นได้ แต่เราไม่สามารถจะสู้กระแสกิเลสได้ เพราะเราเอากำลังไปใช้ผิด ๆ เรานั่งเล่นคอมพิวเตอร์หรือนั่งเขี่ยจออยู่ตั้งครึ่งวัน แม้กระทั่งสภาพร่างกายก็ยังทนไม่ไหว แล้วลองคิดดูว่าต้องใช้พลังใจขนาดไหน ที่จะต้องไปฟุ้งซ่านกับเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นจุดรั่ว ที่ทำให้กำลังของเราสั่งสมเท่าไรก็ไม่เพียงพอที่จะสู้กับกิเลส เพราะฉะนั้น..หัดลด เป็นไปได้ก็ละ ถ้าห่างกันนาน ๆ ไม่ได้ก็ลดลงหน่อย ห่างนานได้ก็ละ ถ้าทิ้งได้เลยก็เลิก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2014 เมื่อ 18:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 01-02-2014, 19:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตกลงว่าอาตมาจะบอกอะไรแก่พวกเรา ? จะบอกว่าทุกวันนี้เราโดนครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยม ไอโฟน ๓ โยนทิ้งไปเลย ไม่ต้องมาคุย ไอโฟน ๔ ตกยุคไปแล้ว ไอโฟน ๕ กำลังจะร่วงไปอีกแล้ว ตอนนี้ซัมซุงกาแลคซี่ออกใหม่อีกแล้ว มีแอพพลิเคชั่นเยอะกว่าเดิม แล้วเงินจะเหลือไหม ? ก็เหมือนกัน เพราะเราเอาเงินไปใช้กับพวกนี้ ขณะเดียวกันเราก็ใช้กำลังสมาธิสมาบัติที่เราบางคนก็ทำได้ดีด้วย ไปใช้กับพวกนี้หมด

ฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าปฏิบัติธรรมเท่าไร ทำไมกิเลสเหมือนเดิม แม้กระทั่งพระของเรา ปฏิบัติไปปฏิบัติธรรมมาก็ “โอ๊ย..! อยากมีเมีย” เพราะกำลังไปสนใจเรื่องอื่นจนหมด แล้วจะเหลือรอดจากกิเลสไปได้อย่างไร ?

อยากจะบอกพวกเราว่า สิ่งที่เราทำ เราทำมาถูกทางแล้ว แต่เราใช้ไปในทางที่ผิด โดยเฉพาะว่าเราไม่ได้รักษาสมาธิที่เราทำได้เอาไว้ ถึงเวลาเราเลิกแล้วก็เลิกเลย ไม่คอยประคับประคองรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ กิเลสก็มาตีเรา เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำแล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ไม่ได้ระยะทางที่ต้องการสักที

มาทวนกันว่าอันดับแรก เมื่อออกไปใส่บาตร ดูตาม้าตาเรือให้ดี ปฏิบัติธรรมไปแล้วต้องรู้กาลเทศะ จิตใจต้องละเอียดอ่อนขึ้น ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม พิจารณาสถานการณ์แล้วเลือกเอาด้านที่กระทบกระทั่งคนน้อยที่สุด

ประการที่ ๒ ในเรื่องของการปฏิบัติ ถึงเวลาแล้วรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะได้ใช้งานในชีวิตจริงของเราได้ ถ้าปฏิบัติไปแล้วใช้งานจริงไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลายเป็นเก็บกด แล้วถึงเวลาไปกระทบกระแสกิเลส ก็จะมีอารมณ์ที่ต่อต้านรุนแรง ตอบโต้รุนแรง กลายเป็นคนอื่นเขาสงสัยว่า ปฏิบัติธรรมแล้วทำไมถึงขี้โมโห เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงขี้โมโห
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 01-02-2014, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็เพราะเวลาเราภาวนาแล้วกำลังเรามี แต่พอกำลังมี แทนที่เราจะไปพิจารณาตัดกิเลส เราก็ไปทิ้งเฉย ๆ กิเลสก็เลยขอยืมไปใช้ คราวนี้ถ้าฟุ้งซ่านก็ฟุ้งซ่านไปเป็นหลักเป็นฐานมาก เพราะกำลังดี เวลานึกถึงเรื่องราคะแล้ว แหม..ส่วนโค้งส่วนเว้าขนาดไหนชัดเจนแจ่มใสหมด ไม่ต้องถึงขนาดเปิดไอโฟนดูภาพโป๊กลางสภาก็เห็นใกล้เคียงพอกัน

ถ้าไปในเรื่องของโทสะ เวลาตอบโต้ก็จะรุนแรง แรงขนาดไหน ? ก็ขนาดแปลคำว่า Smart เป็น "อีโง่" ได้ ก็คือลักษณะอย่างนี้ ในเมื่อเราเอากำลังส่วนนี้มาใช้ผิด เราไม่ได้ใช้พิจารณา กิเลสเลยยืมไปใช้ กลายเป็นว่ายิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งท่วมหัว เพราะเราไปส่งเสริมสนับสนุนให้เขาอ้วนท้วน มีกำลัง

เมื่อรู้แล้วให้พยายามแก้ไข ปฏิบัติแล้วมีกำลัง นำมาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงบ้าง จะได้รู้จักเบื่อหน่าย แล้วก็ปล่อยวาง ไม่ใช่เจออะไรโดดใส่ทุกเรื่อง อย่างนั้นปฏิบัติไปก็เสียเปล่า จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้บางทีเราก็รู้ แต่เนื่องจากกำลังไม่พอสู้กิเลส ก็เลยโดนกิเลสลากไปเรื่อย โดนลากถูลู่ถูกังอย่างนั้นต้องบอกว่าน่าสงสารมาก รู้อยู่ว่าคู่ต่อสู้หน้าตาเป็นอย่างไร แต่เราสู้ไม่ได้สักที แล้วก็ไม่เคยปรับปรุงว่า สาเหตุที่สู้ไม่ได้นี่ต้องแก้ไขอย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 02-03-2014, 18:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนใหญ่แล้วเวลาปฏิบัติของพวกเราจะน้อย อย่างพรุ่งนี้ช่วงเช้าก็มีเวลานิดเดียว ๐๘.๓๐ น.- ๑๐.๐๐ น. ก็แค่ชั่วโมงครึ่ง ตอนบ่ายรับวุฒิบัตรก็กลับแล้ว ก็แปลว่า ๒๔ ชั่วโมงของพรุ่งนี้จะมีเวลาปฏิบัติแค่ ๒ ชั่วโมงครึ่ง อีก ๒๒ ชั่วโมงครึ่งเราก็ปล่อยตามน้ำไป แล้วเมื่อไรเราถึงจะชนะกิเลสได้ ?

อย่างนั้นคืนนี้ไม่ต้องนอนเลยดีไหม ? ภาวนาจนสว่างแล้วก็ไปใส่บาตร ใครพูดผิดหูหน่อยเดียวหันไปด่ากระจาย เพราะเครียดมาทั้งคืน ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก เอาแค่ว่าก่อนนอนก็ประคองรักษาอารมณ์ นอนแบบคนรู้ตัว สั่งให้ตื่นเมื่อไรก็ได้ อย่าไปนอนแบบคนสิ้นสติ เพื่อนทุบประตูเรียกแล้วยังไม่รู้ อาตมาเองเวลาเหนื่อยมาก ๆ นอนฟังอยู่ตั้งนานว่าเสียงอะไร ? ท้ายสุดก็ “อ๋อ..นาฬิกาปลุก” บางครั้งสภาพร่างกายแย่ เพราะอาตมาเองก็ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ตั้งใจจะหล่อพระทองคำฉลองอายุ ๖๐ ปี แก่แล้วก็ไม่ค่อยจะไหวเหมือนก่อน

ดังนั้น..ในเรื่องที่บอกพวกเราไปว่า เวลาปฏิบัติของพวกเราน้อย จึงพยายามจะบอกเคล็ดลับอะไรต่าง ๆ ให้พวกเราได้ไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด อย่างที่บอกไว้ก่อนปฏิบัติว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตัวเราเองต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง จะไปหวังรอครูบาอาจารย์มาทัก มาจูง มานำไปพระนิพพาน แบบนั้นก็รอไปเถอะ..!

ขอเตือนพวกเราว่าเวลาปฏิบัติมีน้อย อย่ารอเวลาแล้วค่อยปฏิบัติ อย่างช่วงตอนบ่าย หลายคนรู้อยู่ว่าปฏิบัติตอนไหน ยังมาไม่ทันเวลา เป็นต้น ดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ผิดพลาดอย่างไรแก้ไขที่ตัวเรา แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าเราไปดูคนอื่น เราแก้ไขไม่ได้ ดูออกไปข้างนอกเมื่อไรก็เป็นเรื่องของโลก ไม่มีใครแบกโลกไหว ยกเว้นยักษ์แอตลาส เจ้านั้นเป็นยักษ์ฝรั่ง มีหน้าที่แบกโลก เราแบกโลกไม่ไหวหรอก

เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก ในเมื่อแบกไม่ไหวก็ดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา ปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วการปฏิบัติของเราจะเห็นผลเอง อย่าอยากทำแล้วไม่ค่อยทำ ทำทั้งทีต้องทำให้ถึงผล เมื่อเกิดผลแล้วตัวเรานั่นแหละ ที่จะเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นเขา คนอื่นเขาสนใจไต่ถามแล้วเราแนะนำเขาได้ เพราะทำได้จริง รู้จริง ๆ อย่าใช้วิธีจำแล้วไปคุยข่มกัน หรือไม่ก็จำคำสอนของครูบาอาจารย์แล้วก็ไปโม้กระจาย สิ่งที่เราทำได้ก็จะรั่วออกทางปากจนหมด แล้วก็แพ้กิเลสต่อไป เมื่อรู้ว่ามีจุดอ่อนตรงไหนก็ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข มีจุดแข็งตรงไหนก็เอามาใช้งานให้มากที่สุด แล้วเราจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2014 เมื่อ 20:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 03-04-2014, 21:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผู้ที่มีสัจจะบารมีเต็ม สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือตรงต่อเวลา เพราะว่ากำลังใจ ที่ภาษาพระท่านเรียกว่าบารมี บารมียิ่งเข้มข้นขึ้น การกระทำทุกอย่างก็รวบรัดลงเหลือเฉพาะหน้าเท่านั้น จะไม่เอาสิ่งรุงรังรอบข้าง ไม่เสียเวลาไปห่วงใยพะวักพะวนกับของนอกกาย ก็จะทำอะไรเร็ว ต้องบอกว่าพอบารมีเข้มข้นข้น ความตรงต่อเวลาก็มีมากขึ้น เพราะความตรงต่อเวลาคือสัจจะบารมี

ถ้าหากว่าใครนัดแล้วยังผิดนัด ไม่ตรงต่อเวลา ถือว่าสัจจะบารมียังพร่องอยู่ แล้วเรื่องของบารมีถ้าตัวใดตัวหนึ่งพร่อง อีก ๙ ตัวก็พร่องหมด เพราะว่าทั้งหมดมาอยู่ในแนวระนาบเดียว ก็คือสร้างเสริมบารมีขึ้นมาด้วยกำลังใจระดับเดียวกัน จะไม่มีตัวไหนมากเกิน ตัวไหนน้อยเกิน หากแต่ว่าทุกตัวมาพอดี ๆ เท่ากันตามกำลังใจของตน อาตมาถูกฝึกมาด้วยระบบทหาร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องส้วม แต่งตัว จัดแถวเสร็จภายใน ๓ นาที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2014 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 03-04-2014, 21:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราลองมาทรมานตัวเองกันสักรอบหนึ่ง สร้างเสริมกำลังใจเพื่อเอาชนะไอโฟนให้ได้ ลองไม่ใช้ดูสิ จะมีความสุขมากเลย สมัยที่ทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดอยู่ อาตมาก็ซื้อรถเบนซ์ ๑ คันถวายหลวงพ่อพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ต้องคอยดูแลรถให้ท่านด้วย กลับเข้ามาวัดจะค่ำมืดดึกดื่นแค่ไหน ก็ต้องมาตรวจสอบน้ำ น้ำมัน น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำมันคลัซ เช็ดถูทำความสะอาดรถเรียบร้อย พร้อมที่จะเดินทางต่อแล้วถึงได้นอน

ทำไปทำมาเกิดความรู้สึกว่า “ตกลงว่าเราเป็นเจ้าของรถหรือว่ารถเป็นเจ้าของเรา ?” ท้ายสุดก็สรุปได้ว่า ถ้าเรามีอะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะเป็นเจ้าของเรา แบบเดียวกับแมว แมวอยู่ที่ไหนก็ถือว่าแมวเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น..คนเลี้ยงแมวจึงเป็นสมบัติของแมวด้วย ถึงเวลาต้องหามาให้แมวกิน แมวกับหมาคิดคนละอย่างกัน หมาจะคิดว่าคนเป็นจ่าฝูง เป็นผู้นำ แต่แมวเห็นเจ้าของเป็นบริวารรับใช้

เรื่องข้าวของต่าง ๆ เมื่อมีเข้ามา เราก็ต้องคอยดูแล เสร็จแล้วก็ใช้สอยแบบเพลิดเพลิน ถึงเวลาก็ขาดไม่ได้ ลองปิดโทรศัพท์ทิ้งสัก ๓ วัน มีใครตัดใจได้บ้างไหม ? จะต้องมีข้ออ้างสารพัด ท้ายสุดก็ต้องเปิด แปลว่าเราตกเป็นทาสของเทคโนโลยีแบบโงหัวไม่ขึ้น..!

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ว่าเราคิดจะสลัดหลุดพ้นจริงไหม ? ตรงนี้แหละจะเกิด “ความอาลัย” ที่แปลว่าตัดไม่ขาด เกิดความห่วงหาอาลัย ตัดไม่ขาด ไม่อาจจะตัดใจได้ ดังนั้น..ถ้ากำลังของเราไม่สูงพอ จะตัดอะไรไม่ได้สักอย่าง ถ้ากำลังของเราสูงพอก็ตัดได้ทุกอย่างเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 24-09-2014 เมื่อ 22:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 05-04-2014, 18:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาสร้างวัดมา ๑ วัด ๒ วัด ๓ วัดไปเรื่อย ทำเสร็จแล้วก็ไป ใครมีที่ไหนให้ทำก็ทำต่อ ท้ายสุดก็มีโยมต่อว่า “สร้างแล้วไม่อยู่ สร้างไปทำไม ?” อาตมาอยากจะบอกว่า “ก็ไม่ได้บอกนี่ว่าสร้างแล้วจะอยู่” ในความรู้สึกของตนเอง วัดท่าซุงถือเป็นสถานที่ ๆ เหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้าวัดท่าซุงอาตมายังทิ้งได้ ก็ไม่มีวัดไหนที่ทิ้งไม่ได้

ในเมื่อเป็นดังนั้นเราจะเห็นว่า ในเรื่องของกำลังใจ ถ้าเราตัดของยากได้ ที่เหลือก็จะเป็นการง่ายทั้งหมด ลองค่อย ๆ ลดดูก่อน เคยก้มหน้าอยู่กับไอโฟน อยู่กับไอแพด อยู่กับพีซีวันละ ๔ - ๕ ชั่วโมง ลองลดลงเหลือสักชั่วโมงหนึ่งดูสิ จะลงแดงตายไหม ? จะได้ไม่ต้องไปโทษเด็ก ต้องให้ลูกเล่นเกมส์ไม่เกิน ๑ ชั่วโมงแล้วไปทำการบ้าน ฝันไปเถอะ..พ่อแม่ลงไปเล่นเองก็เพลินเหมือนกันนั้นแหละ

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นมารเสนา กองทัพของพญามารที่ส่งมาดึง มารั้ง มาฉุด มาขวางเรา เราต่อสู้กับเขาอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้ตัว ความต้องการพื้นฐานของเราคืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค แค่นี้แหละ เกินจากนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มาดึง มาฉุด มารั้งเราให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ยาก ขนาดความต้องการพื้นฐานแค่ ๔ อย่าง เขายังเอามาดึงเราจนแทบจะไปไหนไม่ได้เลย

ทำไมไม่ไปวัดล่ะ ? “ห่วงบ้าน” ทำไมไม่ไปวัดล่ะ? “กินข้าววัดไม่ได้” อร่อยไม่อร่อยก็กินไปเถอะ ทำไมไม่ไปวัดล่ะ ? “ก็ไม่ให้ใส่ชุดแบรนด์เนม ใส่แต่ชุดขาว” สรุปแล้วเรื่องของความต้องการพื้นฐานเขาก็เอามาดึงเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2014 เมื่อ 10:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 24-09-2014, 07:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นอกจากจิตสำนึกว่าเราจำเป็นจะต้องหลีกหนีไปให้พ้นแล้ว ความแน่วแน่มั่นคงยังสำคัญมาก ถ้ากำลังไม่แน่วแน่มั่นคงจริง ๆ สู้เขาไม่ไหวหรอก เขาเอาจริงกับเราทุกท่า แต่เราไปเหยาะแหยะ ทำเป็นเล่นก็แพ้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ตลอดชาติอย่างยิ่ง สรุปเป็นภาษาไทยว่าแพ้ทุกชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างร้อยรัดเราอยู่ตลอดเวลา

ลองตั้งใจถามตัวว่า ถ้าให้ตายลงไปตอนนี้เราตัดใจได้ไหม ? รักและห่วงร่างกายนี้ไหม ? รักและห่วงใยคนอื่นไหม ? ไหนจะพ่อ ไหนจะแม่ ไหนจะลูก ไหนจะสามี ไหนจะภรรยา ไหนจะกิ๊กอีก ๓ คน..! แล้วไหนจะทรัพย์สมบัติของตนเอง ทั้งบ้าน ทั้งที่ดิน รถยนต์ โฮมเธียเตอร์ก็เพิ่งซื้อใหม่ โอ้พระเจ้า..! ตายแน่...

ดังนั้น..นักปฏิบัติจริง ๆ จะลืมความตายไม่ได้ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย อย่างที่เมื่อวานว่าไว้ อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของเที่ยง อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง เราต้องถึงความตายเป็นแน่แท้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาเราก็ต้องเลือกว่าเราจะไปอย่างไร ไปสุคติได้ก็ถือว่าเท่าทุน ถ้าลงทุคติก็ถือว่าขาดทุน ไม่มีใครช่วยเราได้

ในห่วงทะเลทุกข์ที่ไร้ขอบเขตนี้ ต้องอาศัยกำลังการแหวกว่ายของตนเองเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ท่านเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ท่านชี้ว่าทางนี้ เป็นทางที่เราจะล่วงพ้นจากทะเลทุกข์นี้ได้ แล้วถ้าเราไม่แหวกว่ายไปเอง ใครเขาจะมาช่วยเรา เรื่องของการปฏิบัติธรรม บอกแล้วว่าใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้..!

ดังนั้น..ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่มาร้อยรัดเราให้จมอยู่ในห้วงทะเลทุกข์นี้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำอย่างไรที่เรามีสติรู้เท่าทัน และใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเสริมสร้างการปฏิบัติของตนเองดียิ่งขึ้น สมัยก่อนกว่าจะได้ฟังหลวงปู่หลวงพ่อท่านเทศน์ท่านสอนแต่ละทีแสนจะยาก เดี๋ยวนี้เข้าอินเตอร์เน็ต จะเอาคำเทศน์ของหลวงปู่หลวงพ่อท่านไหนก็มีทั้งนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2014 เมื่อ 09:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 24-09-2014, 07:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนกว่าจะเดินทางไปทำบุญแต่ละที่ล้วนแล้วแต่ลำบากยากเข็ญ เขาบอกว่าใครไปไหว้พระพุทธบาทได้ครบ ๗ ครั้งจะไม่มีวันลงนรก ก็ถ้ากำลังใจมุ่งมั่นในเรื่องของบุญกุศลขนาดนั้น แล้วถนนหนทางก็เป็นป่าเสือป่าช้างตลอด ไม่ใช่ซูเปอร์ไฮเวย์เหมือนกับสมัยนี้ เขามุ่งมั่นขนาดนั้นก็น่าจะบอกได้ว่า กำลังใจระดับนั้นลงนรกยาก

สมัยนี้ถนนหนทางสะดวกสบาย รถยนต์กำลังแรงสูง สมัยอาตมาเด็ก ๆ เครื่องยนต์แรงที่สุด ๑,๒๐๐ ซีซี จำได้เลย ยี่ห้อแรกของญี่ปุ่นที่เข้ามาคือดัทสัน ปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นนิสสัน กับอีซูซุ แล้วก็มีไดฮัทสุตีคู่กันมา แล้วพวกเราก็คงไม่รู้ว่าประเทศไทยเคยสร้างรถยนต์มาแล้ว ชื่อพลายน้อยกับสิงห์สยามตีคู่กับญี่ปุ่น แต่ปรากฏว่าของญี่ปุ่นถูกกว่า ของไทยเจ๊งไปเลย

มายุคใหม่พอเชฟวี่โคโรราโดออกมา ไทยเราก็ยังสู้อีกยกหนึ่ง สร้างกระบะเอ็มพีวีออกมา แต่ไปไม่รอดเหมือนกัน น่าจะแรงเกิน เพราะว่าจากการทดสอบนี่คุณภาพดีกว่าของต่างประเทศทุกอย่าง ยกเว้นยี่ห้อ พอรู้ว่าคนไทยทำก็ “ว้า...ไม่เอาดีกว่า” นี่คือการเสพติดยี่ห้ออย่างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2014 เมื่อ 09:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 25-09-2014, 07:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาไปยุโรปมา นาน ๆ จะเห็นรถโตโยต้าหรือรถนิสสันหลุดมาสักคัน ถามคนยุโรปว่าไม่ใช้รถญี่ปุ่นกันบ้างหรือ ? เขาบอกว่ารถยุโรปมาตรฐานสูงกว่า อาตมาเถียงว่าญี่ปุ่นก็สามารถทำมาตรฐานยุโรปได้ เขาบอกใช่ แต่ราคาเท่ากัน ฉะนั้น..ใช้รถยุโรปดีกว่า สรุปว่ารถญี่ปุ่นโตในประเทศญี่ปุ่นได้ โตในประเทศอื่นได้ แต่โตในยุโรปไม่ได้ เขาไม่ได้กีดกัน แต่รถเขาราคาเดียวกัน ถ้าเป็นเราก็คงซื้อรถยุโรปเหมือนกันแหละ ระหว่างรถเบนซ์กับรถโตโยต้าราคาเท่ากัน ของบ้านเขาทำของที่ดีที่สุดให้คนของเขาใช้ ของบ้านเรา อะไรที่ดีที่สุดส่งออกหมด เหลือไว้แต่ที่ไม่เอาไหน

โดยเฉพาะที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ วัดวาอารามส่วนใหญ่ เลือกบุคลากรไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วประเภทอยู่ร่วมกับสังคมเขาไม่ได้แล้วถึงมาบวช พ่อแม่เอาไม่อยู่แล้วถึงให้มาบวช มาถึงก็ “หลวงพ่อเจ้าขา...พระอาจารย์ครับ ลูกผมจะบวชสัก ๗ วัน เอาให้ดีให้ได้นะครับ” เจ้าประคุณเอ๋ย..โยมเลี้ยงมา ๒๐ กว่าปีเลี้ยงให้เขาดีไม่ได้ แล้ว ๗ วันจะให้อาตมาทำลูกเขาให้ดีได้

ในเมื่อบุคลากรเหลือเลือกแล้ว นาน ๆ ถึงจะมีเพชรหลุดมาสักเม็ด นอกนั้นก็ก้อนกรวดล้วน ๆ กรวดธรรมดาไม่ว่า อยู่ใต้กองขี้หมาอีกต่างหาก..! ฉะนั้น..เราไม่ต้องไปถึงวัดก็ได้ ถึงได้บอกญาติโยมว่า ในเรื่องของสอนธรรมนำปฏิบัติ ทำไมปัจจุบันโยมถึงเก่งกว่า เปิดสำนักคุณแม่โน้น เปิดสำนักคุณพ่อนี้ มีญาติโยมไปปฏิบัติธรรมกันเป็นร้อยเป็นพัน วัดเปิดสำนักเองแท้ ๆ ไม่ค่อยจะมีคนไป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2014 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 25-09-2014, 07:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาทิตย์หน้ามีการประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม อาตมาเป็นเจ้าภาพที่นี่แหละ จะต้องมีการเสวนาเรื่องนี้อีกทีหนึ่ง แล้วท้ายสุดก็จะมาลงตรงนี้แหละ ว่าบุคลากรไม่ได้เรื่อง เพราะว่าบวชเข้ามาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะบวช ต้องบอกว่าปัจจุบันส่วนใหญ่บวชเข้ามาเพราะอะไร อกหัก หลักลอย คอยงาน หลักลอยนี่ไม่มีงานทำ คอยงานนี่ยังดี มีงานแล้วค่อยสึก สังขารเสื่อม แก่แล้วไม่รู้จะทำอะไรบวชอยู่วัดดีกว่า เอือมเจ้านาย บ่นดีนัก ด่าดีนัก หนีไปบวชเสียเลย แม่ยายให้บวชแก้บน แล้วทำไมต้องให้แม่ยายสั่งด้วย บวชเองไม่ได้หรืออย่างไร ?

ในเมื่อเจตนาที่จะบวชเพื่อความพ้นทุกข์ไม่มี การตั้งใจศึกษาก็ไม่มี ในเมื่อความตั้งใจศึกษาไม่มี แล้วจะไปทำอะไรให้ดีได้เพื่อที่จะเอาไปบอกต่อแก่ญาติโยมเขา ก็ต้องย้อนกลับมากล่าวในเรื่องของบารมีและกำลังใจในการปฏิบัติของเราว่า ถ้าบารมีเข้มข้นขึ้น การทำอะไรก็รวบรัด รวดเร็ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ชัดเลยว่า บุคคลที่จะไปพระนิพพานในชาตินี้ กำลังใจไม่เอาอย่างอื่นแล้ว อย่างอื่นเป็นของนอกกายที่รุ่มร่ามโดยใช้เหตุ ก็จะมุ่งตรงอย่างเดียว ในเมื่อมุ่งตรงอย่างเดียว รอบข้างไม่ค่อยใส่ใจ ก็เลยเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสังคม มีหน้าที่อะไรก็ทำ ๆ ให้เสร็จไป จบแล้วก็จบกัน

ญาติโยมลองคำนึงถึงตัวเราเองว่าเป็นอย่างนั้นบ้างหรือไม่ ? ถ้าหากว่ายัง ก็แปลว่าไม่ได้ใกล้เคียง ต้องรีบตะเกียกตะกายให้มากขึ้น ถ้าหากว่าเริ่มเป็นแล้ว ให้พิจารณาให้ดี ๆ ว่าเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะแปลกแยกจากสังคม หรือว่าเป็นว่าเป็นเพราะเห็นโทษกับการคลุกคลีกับหมู่คณะ ? เป็นเพราะแปลกแยกจากสังคมนี่มีเยอะนะ

แม้กระทั่งพระธุดงค์สมัยนี้ก็เหมือนกัน ที่ไปธุดงค์กัน อาตมาเจอแล้วจะบ้า ส่วนใหญ่เขาอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ถึงต้องไปธุดงค์ อยู่ร่วมกับเขาแล้วถ้าไม่ทำให้เขาลำบากเดือดร้อน ตัวเองก็จะโดนเขาทำให้เดือดร้อน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าไม่รู้กาลเทศะ ในเมื่อไม่รู้กาลเทศะการอยู่ร่วมกับคนอื่นก็ลำบาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2014 เมื่อ 12:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 26-09-2014, 13:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มาครบกันแล้วหรือยังจ๊ะ ? เหลืออีก ๘ นาทีอาตมารอได้ อาตมาเคยรอสาวมา ๓ ชั่วโมงกว่าแล้ว ไปก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง รอจนเลยเวลาไปอีก ๓ ชั่วโมงครึ่ง สมัยนั้นไม่มีมือถือ ไปหยอดตู้โทรศัพท์โทรไปถาม เธอบอกว่าลืม..! อาตมาเลยเห็นว่า "กูหมดอนาคตแน่แล้ว บวชดีกว่าว่ะ..!" ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการของเขา ถ้าเขามาตามนัดอาจจะไม่ได้บวชก็ได้

ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรหรอก..ไม่ได้โกรธเขาด้วย ไปคิดบวชตอนโน่น ตอนนั้นเซ็นทรัลลาดพร้าวเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ? ประมาณ ๓๐ ปีได้ สาวเขาชวนไปช็อปปิ้ง อาตมาก็ไป ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็สวย ช่วยดูให้หน่อย จะบอกว่าถ้าไม่ใส่จะสวยกว่านี้ก็ใช่ที่ เขาซื้ออาตมาก็หอบ ถุงใบที่ ๑ ใบที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ชักจะเยอะขึ้นทุกที อยู่ ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมากับตัวเองว่า “นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ ? เรื่องที่มีสาระมากกว่านี้ไม่คิดจะทำหรือ ?” เกิดความเบื่อขึ้นมาอย่างสุด ๆ เบื่อชนิดหาทางออกไม่เจอ อยากจะมุดดินหนีกลับบ้านไปเดี๋ยวนั้นเลย

จำไว้นะว่าความรู้สึกของผู้หญิงเขาเร็วมาก ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นปุ๊บ เขาหันขวับมาถามเลยว่าเป็นอะไร ? เลยบอกว่า “เป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหายเลย..!” เขาก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็กลับ สรุปว่าอารมณ์นี้มารู้ทีหลังว่า เขาเรียกว่านิพพิทาญาณ ทำไมเกิดไม่เป็นที่เป็นทาง ดันผ่าไปเกิดกลางห้าง ก็เลยเป็นสาเหตุให้อาตมาไม่ได้รู้จักห้างที่เกิดทีหลังห้างมาบุญครอง เพราะเซ็นทรัลลาดพร้าวตอนนั้นเสร็จ มาบุญครองเพิ่งสร้างถึงชั้น ๖ แล้วก็มาบวชเสียก่อน

อาตมาก็ไม่รู้จักฟอร์จูน เยาฮัน ดิ เอ็มโพเรี่ยม แม้กระทั่งสยามพารากอนหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เซ็นทรัลเวิลด์ก็จะได้เห็นพรุ่งนี้แหละ แล้วก็เห็นแต่ข้างนอก ไม่รู้ว่าข้างในเขามีอะไรบ้าง ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2014 เมื่อ 17:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 27-09-2014, 08:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ถ้าเราตั้งใจสั่งสม ค่อย ๆ ทำไป ทำแบบสม่ำเสมอจริงจัง ถึงเวลาถ้ากำลังพอก็จะก้าวล่วงสิ่งต่าง ๆ ไปได้ อาตมาเองก่อนหน้าก็พิจารณาถึงความเกิดและดับ เขาเรียกว่าอุทยัพพยานุปัสนาญาณ พิจารณาว่าทุกสิ่งต้องดับสลายหมด เรียกว่าภังคานุปัสนาญาณ พิจารณาว่าร่างกายนี้ก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์เป็นภัย เขาเรียกภยตูปัฏฐานญาณ

พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นสิ่งของที่น่ากลัว เหมือนกับเสือร้ายคอยขบกัดเราอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อย ๆ ก็ต้องส่งอาหารให้วันละ ๓ มื้อ ต้องรักษาพยาบาล ต้องคอยดูแล อาบน้ำอาบท่าอยู่ตลอดเวลา ตกเป็นทาสของร่างกายอย่างโงหัวไม่ขึ้น เรียกว่าอาทีนวานุปัสนาญาณ ไปจนถึงอารมณ์เบื่อ เรียกว่านิพพิทาญาณ กระโดดข้ามมาตั้งหลายขั้น อย่างอื่นจะค่อย ๆ ตามมาเอง

แต่เจ้านิพพิทาญาณโผล่มานี่เลิกเลย หมดอารมณ์ที่จะไปกินไปเที่ยวที่ไหน..ไม่เอาแล้ว ก็กลายเป็นมุญจิตุกัมมยตาญาณ คิดจะหาทางหนี ทำอย่างไรตูถึงจะไปโดยที่สาวเขาไม่แหกอกเสียก่อน ก็ต้องเป็นปฏิสังขานุปัสนาญาณ ต้องหนีให้ได้ อันนั้นคิดหาทางหนี อันนี้ต้องหนีให้ได้

ในเมื่อจะหนีให้ได้ ทุ่มเทความสามารถในการปฏิบัติทุกอย่างในศีล สมาธิ ปัญญา ก็กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางการปรุงแต่งทั้งปวง เห็นของอะไรก็สักแต่ว่าเห็น อย่างนี้เป็นไมค์ลอยธรรมดา แต่ถ้าคิดต่อ “วันนั้นไปร้องคาราโอเกะ” ราคะมานิดหนึ่งแล้ว “สาวคนร้องหุ่นดีมากเลย” มาหนักเข้าไปอีก ร้องไปร้องมาพวกขว้างแก้วใส่ ด่าว่าเสียงอย่างกับควายออกลูกเสือกมาร้องเพลง โมโหอีกแล้ว โทสะมาแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2014 เมื่อ 10:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว