|
ล่องแก่งมหาภัย การท่องไปในเมืองพม่า โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
|||
|
|||
ล่องแก่งมหาภัย ตอนที่ ๗
นอนน้อยก็เหมือนนอนมาก มันตื่นตั้งแต่เที่ยงคืน นอนภาวนาแข่งกับวีดีโอจนตีสาม ลุกออกไปสรงน้ำ วีดีโอมันเพิ่งจะเลิก ขยะเต็มไปทั้งลานวัดเหมือนเดิม ถึงตีห้าทำวัตรเช้ากันแล้ว ท่านนาวินตรวจสอบจำนวนเงินว่าตรงกับตัวเลขหรือไม่ อาตมาฉวยโอกาสแลกธนบัตรเอาไว้บ้าง...
เมื่อต้นปีไปแสวงบุญมาเกือบทั่วพม่า เสียท่าเขาตรงที่ไม่มีแบ๊งค์ย่อยไว้ทำบุญ คราวนี้จึงแลกใบละห้าจั๊ต สิบจั๊ต เอาไว้สามพันห้า ฝากท่านนาวินเอาไว้ ถ้าปีใหม่ไม่มาก็เชิญคุณใช้ได้ตามสบาย ที่นี้แหละพ่อจะแจกสะบัดเป็นเศรษฐีใหม่ไม่เคยรวยซะบ้าง ยิ่งอยู่นานไปก็ยิ่งเห็นช่องทางต่าง ๆ มากขึ้น ทำอะไรได้คล่องตัวขึ้น... นาน ๆ ทีที่ครูบาน้อยจะมีโอกาสมานั่งจุ๊ยให้ถ่ายรูปแบบนี้ ครูบาน้อยให้ตำรายามาอีกสองขนาน เป็นยาแก้วัณโรคกับยาถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิด ยาแก้วัณโรคต้องเอาต้นมะละกอตัวผู้ อายุให้ได้สามปีขึ้นไป ทั้งต้นทั้งราก ล้างสะอาดแล้วสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากให้แห้ง จากนั้นเอาไปเผาไฟ แล้วรวบรวมขี้เถ้าทั้งหมดมาผสมน้ำ... คนน้ำผสมขี้เถ้าให้เข้ากัน วันละสามครั้ง เป็นเวลาสามวัน ทิ้งให้ตกตะกอน แล้วรินเอาเฉพาะน้ำมาต้มจนแห้ง จะได้เป็นเกลือ เอาเกลือนี้ขนาดเมล็ดมะละกอ ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่งขวด กินครั้งละหนึ่งช้อนโต๊ะวันละครั้ง กินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหายจากวัณโรค (หรือไม่ก็ม่องเท่งซะก่อน..!)
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2010 เมื่อ 17:23 |
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
ส่วนยาถอนพิษเบื่อเมา ให้ใช้ต้นไมยราพ ต้นผักโขมหนาม ต้นกุ่ม ต้นหนาด ทั้งต้นอย่างละเท่า ๆ กัน เอามาเผาไฟต้มเป็นเกลือเช่นเดียวกับยาแก้วัณโรค เมื่อโดนพิษเบื่อเมาทุกชนิด เอาเกลือนี้เท่าเมล็ดพริกไทย ผสมน้ำอุ่นดื่มเข้าไปจะถอนพิษได้...
หลังอาหารเช้าแล้ว ต้องรอโยมปะไลไปหาน้ำมันเรือก่อน นี่เขาเตรียมตัวล่วงหน้ากันไม่เป็นหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? ขนาดบอกล่วงหน้าเป็นวันแล้วนะ รอไปรอมาพอดีเณรน้อยเอาเพชรตาแมวมาให้ดู เป็นเหมือนเศษขี้ผึ้งขาว ๆ แข็ง ๆ ขนาดเท่าขี้ตาแมวเห็นจะได้..! แมวตาเพชรของจริงต้องหน้าตาแบบนี้ครับ..! ถ้าแมวที่มีตาเป็นเพชร ตาของเขาจะเป็นสีเขียวหรือสีฟ้าไปทั้งดวง ไม่มีตาดำแบบแมวอื่น ๆ เมื่อเขาตายลงให้เอาใส่หม้อดินฝังทรายเอาไว้ เมื่อครบสามเดือนค่อยขุดขึ้นมาทำบุญเลี้ยงพระ อุทิศส่วนกุศลให้เขา... จากนั้นค่อยเทกระดูกเขาลงบนผ้าขาวแล้วค้นหาดู จะพบหินสีขาวขุ่นแบบลูกอมเมนโทส นั่นแหละเพชรตาแมวของแท้ล่ะ... บางทีก็มีสีเขียวหรือสีฟ้าแบบกำมะหยี่บาง ๆ คลุมอยู่ พอเช็ดออกก็จะเป็นสีขาวขุ่นเช่นกัน ถ้าตายปุ๊บควักเอาตาปั๊บเลย ส่วนมากจะเน่าหมด หรือไม่ก็ได้มาแค่ขี้ตาแมวแบบรายนี้แหละ...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2010 เมื่อ 17:25 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
พ่อออกปะไลนิมนต์ลงเรือ ท่านนาวินโดดตามลงมาด้วย บอกว่าจะไปส่ง เฮ้ย..เมืองจะอีนไม่ใช่ใกล้ ๆ นะคุณ แต่ครูบาน้อยท่านไม่ฟังเสียง อย่างไรก็จะขอไปส่งครูบาอาจารย์ให้ได้ เรือวิ่งฝ่าแดดสายร้อนเปรี้ยงแทบหนังหัวละลาย อาตมาต้องตลบจีวรขึ้นคลุมหัวเอาไว้...
เลาะผ่านบ้านสามพระยาไป มีเรือใหญ่วิ่งสวนมาหนึ่งลำ ดูท่าจะเป็นแพขนานยนต์ขนาดเล็ก สองฝั่งมีชาวบ้านยกยอ วางลอบ วางเบ็ดราว บ้างก็ตีอวนล้อมชายฝั่งเอาไว้ เมื่อน้ำลดค่อยพายเรือมาเก็บปลาที่ติดอยู่ในอวน เด็ก ๆ โดดน้ำเล่นทั้งที่มันสีเหมือนขี้โคลน ปลายน้ำแบบนี้สารพัดความสกปรกที่จะมากับน้ำ... น้ำเซาะตลิ่งพังจนตั้งฉาก แบบนี้แหละที่โบราณเรียกว่าตลิ่งชัน..! ถึงเป็นปลายน้ำแต่การกัดเซาะของกระแสน้ำยังรุนแรงมาก ดูได้จากชายตลิ่งที่พังทลายจนเกือบตั้งฉาก ต้นตาลหลายต้นล้มระเนระนาด มีอยู่ต้นหนึ่งที่ทรุดลงน้ำไปเฉย ๆ เหลือส่วนยอดที่ยังคงตั้งตรงโผล่พ้นน้ำมาสักสองเมตรเท่านั้น ท่านนาวินบอกว่า ถ้าชาวบ้านขาดวิจารณญาณ อาจจะเห็นเป็นต้นตาลศักดิ์สิทธิ์ไปอีกก็ได้...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2010 เมื่อ 11:56 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
เห็นปะไลตักน้ำราดลงบนเครื่องบ่อย ๆ เพื่อระบายความร้อน อาตมารู้สึกว่าไม่เข้าท่า เพราะขนาดรถยนต์เวลาเครื่องร้อนยังต้องระวังน้ำให้จงหนัก อย่าให้ได้โดนเครื่องทีละมาก ๆ เป็นอันขาด ถึงขนาดฝาสูบร้าวมานักต่อนักแล้ว นี่เล่นตักราดเอา ๆ เดี๋ยวก็บรรลัยกันพอดี..!
ตูว่าแล้ว..ยังไม่ทันไรเลยพังเข้าจริง ๆ ไม่ใช่เครื่องพังหรอก แต่หนักพอกัน เพราะหางเรือที่เป็นรอยเชื่อม โดนน้ำเย็นเข้า เกิดร้าวขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้ ตอนนี้หลุดออกมาเฉยเลย เห็นแต่เพลาที่ดำปี๋ด้วยน้ำมันหล่อลื่น บ่าวเฒ่าระลึกชาติต้องคว้าพายขึ้นมาพายแทน "วันนี้ตูจะได้ไปไหมนี่..?" บรรยากาศจะดีกว่านี้ ถ้าเรือของเราไม่เสีย คัดท้ายเข้าชายตลิ่ง อาตมาคว้าเชือกหัวเรือผูกกับต้นไม้ พ่อออกปะไลคว้าขวานปีนขึ้นไปบนตลิ่ง ตัดไม้สำหรับดามหางเรือ เสียงฟันไม้โครม ๆ ไม่กี่ที เสียงร้อง "เฮ้ว..!" ด้วยความตกใจก็ดังลั่น "เป็นอะไรไปล่ะพ่อออก..?"..."งูมันหล่นใส่หัวน่ะครูบา..!" เอามาแต่ไม้ก็พอ งูไม่ต้องเอามาหรอก ยกเว้นว่ามีหลายตัวจะได้เอามาทำเชือก..! ครู่ใหญ่แกก็หอบไม้ยาวสักเมตรมาสามท่อน แต่ควานหาทั้งลำเรือมีเศษเชือกสั้น ๆ อยู่ท่อนเดียว อาตมาจึงสละผ้ารัดอกของตัวเองให้แกใช้แทนเชือก แกเอาไม้ประกบสามมุม ดันรอยต่อเข้าที่จนสนิท แล้วเอาผ้าที่ฉีกเป็นเส้นมัดเป็นเปลาะ ๆ อย่างแน่นหนา เท่านี้ก็ไปต่อได้แล้ว...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2010 เมื่อ 01:54 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
|||
|
|||
หนุ่มใหญ่ระลึกชาติยังขับเรือไม่เป็น อาตมากล้าพูดอย่างเต็มปาก เพราะพี่ท่านตัดโค้งเป็นซะที่ไหน เล่นวิ่งเลาะชายตลิ่งยันเต มันดีตรงที่มีร่มเงาบ้างเป็นบางช่วง แต่มันเสียเวลาและเพิ่มระยะทางโดยใช่เหตุ ถ้าตัดโค้งเป็น ทุ่นเวลาได้อีกบานตะไทเลย...
ชวนแกคุยเพื่อจะได้ลืมแดดร้อน ถามถึงยาที่แกขอมาจากพระเพื่อรักษาตัวเองและเมีย แกบอกว่าเป็นเถาแหนเครือ ต้มกินฆ่าพยาธิ และเปลือกต้นมันปลา (กันเกรา) ต้มกินเพิ่มกำลัง ตอนที่พระท่านทำภาพให้ดู โชคดีที่เป็นต้นไม้ที่รู้จัก ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลาหากันอีกนาน... ต้นกันเกรา ภาคอีสานเรียกต้นมันปลา ทางภาคใต้เรียกต้นตำเสา สิบเอ็ดโมงเศษมาถึงเมืองจะอีน แต่ตรงท่าน้ำทำไมมันพลุกพล่านผิดปกติ พอเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินลงมาที่ท่าน้ำ พ่อออกแกทำท่าจะหันหัวเรือหนีแต่ไม่ทัน เนื่องจากทหารที่เดินหน้าสุดโบกมือเรียกก่อน แย่แน่ครูบา...ทหารมันออกจับลูกหาบไปแบกของรบกับกะเหรี่ยง แล้วครูบาเป็นคนไทยด้วย..! เห็นหน้าแกซีดด้วยความตกใจ ท่านนาวินก็นั่งนิ่งขึงไปเหมือนกัน อาตมาบอกให้ตรงเข้าไปที่กลุ่มทหาร เป็นโชคย่อมไม่ใช่เคราะห์ ถ้าเป็นเคราะห์ก็ลองรับมันดูสักที ครูบาอาจารย์มีตั้งมากมาย จะมาอับจนกับไอ้สถานการณ์แค่นี้ก็ให้มันรู้กันไปเลย พ่อออกแกหันหัวเรือตรงเข้าไปแบบไม่เต็มใจ...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2010 เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
|||
|
|||
ที่แท้ทหารกลุ่มนี้ขออาศัยเรือข้ามน้ำ ปะไลถอนใจเฮือกแบบโล่งอกสุดขีด หัวหมู่สามบั้งยกมือวันทาขอขมาพระ แล้วนำเพื่อนพ้องอีกเกือบสิบทยอยกันลงเรือ พวกเขาข้ามฝั่งไปกินเหล้ามา ดูท่าศึกที่บ้านสามพระยาครั้งนี้ใหญ่หลวงไม่เบา ถึงมีการกินเหล้าย้อมใจหรือกินทิ้งทวนก็ไม่รู้..?
ถ้าเป็นกองทัพหนุ่มศึกหาญของไทยใหญ่แบบนี้พ่อออกปะไลคงไม่ตกใจหรอก อาตมากับท่านนาวินขึ้นฝั่งตามทหารไปด้วย ที่ที่อันตรายที่สุดมักเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ปะไลบอกว่า “ข้าน้อยจะเอาเรือไปต่อหาง ครูบาส่งครูบาไทยแล้วตามไปเน้อ...” ท่านนาวินรับคำ พวกเราเดินตรงไปร้านอาหารอิสลามเจ้าเก่า เจ้าของร้านกุลีกุจอต้อนรับแข็งขันเหมือนเดิม...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 14-11-2010 เมื่อ 22:09 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
|||
|
|||
อาตมาซดน้ำชาเข้าไปสามแก้วใหญ่ ให้คุ้มกับที่อดมาเกือบสี่ชั่วโมง เจ้าของร้านยกอาหารมาประเคน เมื่อทราบว่าอาตมาจะไปด่านเจดีย์สามองค์ก็ทำท่าหนักใจ บอกว่าตอนนี้ไม่มีใครกล้าออกเรือ ไม่ว่าจะขึ้นหรือล่อง ถ้าทหารอยากได้เงินใช้ขึ้นมามันจับหมด ถ้ามีเงินไถ่ตัวหกพันจั๊ตก็รอดไป..!
ถ้าไม่มีเงินก็ต้องก้มหน้ารับกรรม แบกสัมภาระโดยเฉพาะลูกปืนไปจนกว่าเขาจะรบกันเสร็จ แต่ก็รับปากว่าจะช่วยสอบถามพวกเรือให้ อาตมาได้แต่บนบานศาลกล่าว ขอให้มีคนประเภทเดียวกันทีเถอะ ไอ้จำพวกเห็นความตายเป็นของสนุกน่ะ จะได้ลุยให้มันลือลั่นไปเลย..! ไม่มีเรือวิ่งใช่ไหม..? ออกเดินหาเองก็ได้..! ดูท่าการบนบานจะไม่มีผล เพราะจนกระทั่งฉันเสร็จแล้ว เจ้าของร้านยังหาเรือไม่ได้เลย เขาเอาเสื่อเอาหมอนมาให้ เหมือนกับว่าจะให้นอนพักที่บ้านเขายาวเลยอย่างนั้นแหละ แต่อาตมาเป็นคนที่ไม่ชอบการหยุดนิ่ง เมื่อเขาหาไม่ได้เราก็หาเองซิวะ... ออกเดินเลาะไปตามบ้านชายน้ำ บังเอิญเหลือบเห็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง มีเครื่องเรือวางอยู่ข้างประตูด้านใน ตรงเข้าไปถามว่ามีเรือให้เช่าหรือไม่..? สาวเจ้าของบ้านพอรู้ความประสงค์ ก็รีบไปลากหนุ่มนายหนึ่งมา บอกว่าต้องถามกับคนนี้ถึงจะได้เรื่อง...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:28 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
|||
|
|||
พ่อหนุ่มบอกว่าถ้ามีคนไม่ถึงสิบคนก็ไม่ไป ถ้าเหมาไปคนเดียวล่ะพ่อคุณ...เขาบอกว่าต้องสามหมื่นจั๊ตถึงจะยอมไป อาตมาต่อรองขอให้ลดราคาลงมาบ้าง เขาบอกว่าคนมากคนน้อยเขาก็ต้องวิ่งถึงชองโส่งอยู่ดี ราคานี้จึงลดไม่ได้ เล่นเอาครูบาน้อยมองหน้าอาตมาอยู่ไปมา งานนี้จะได้กลับเมืองไทยหรือไม่นี่..?
เอาวะ...ฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน ร้อยวันพันปีมันไม่รบกัน มารบเอาไอ้วันที่เราต้องเดินทางกลับ นึกเสียว่าซื้อความสะดวกสามหมื่นจั๊ต ถ้าคิดเป็นเงินไทยสามพันกว่าบาทก็พอทน เจ้าของเรือขอเงินค่าน้ำมันก่อนหมื่นสามพันจั๊ต อาตมาถามว่าวิ่งถึงชองโส่งใช้น้ำมันกี่แกลลอน เขาบอกว่าสิบสองแกลลอน... เรือที่มีวิ่งอยู่ก็ดันเป็นเรือทหาร ไอ้ที่ยอมวิ่งให้ก็คิดแพงเหลือใจ..! "ไอ้เวลล์"...สิบสองแกลลอนอย่างเก่งก็ไม่น่าจะถึงสี่พันจั๊ต นายท้ายหัวเราะแหะ ๆ บอกว่านอกจากค่าน้ำมันแล้ว ยังต้องให้ลูกเมียเอาไว้ใช้จ่ายระหว่างที่ไม่อยู่ด้วย เออ..บอกซะอย่างนี้แต่แรกก็หมดเรื่อง บ่นพลางควักเงินให้เขา พวกหยิบแกลลอน ๔๐ ลิตรได้ หายออกหลังบ้านไปเลย... สาวเจ้ามานิมนต์ให้นั่งรอก่อน สักครู่ก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งหยิบพายออกไปทางชายน้ำ ไม่นานหนุ่มอีกสองคนก็มาหามเครื่องเรือเดินเลาะไปตามริมน้ำ ทำไมมันไม่ลงไปที่ท่าน้ำเลยวะ ? ครูบาน้อยบอกว่าขืนลงไปทหารก็รู้ว่าจะออกเรือ นี่คงหามเครื่องไปตามชายน้ำ แล้วให้เด็กพายเรือตามไปใส่เครื่องเป็นแน่...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:30 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
|||
|
|||
ดูแล้วรู้สึกรักบ้านเราขึ้นอีกมากเลย ทำอะไรก็ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบพวกเขา ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไป นายท้ายหนุ่มมานิมนต์ให้ออกทางหลังบ้าน อาตมากับครูบาน้อยเดินลัดเลาะหลบสายตาผู้คน ตามไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน เห็นเรือติดเครื่องลอยลำอย่างสง่ารออยู่แล้ว...
ต้องย่องมาขึ้นเรือที่ท้ายหมู่บ้าน ทหารจะได้ไม่เห็น..! เขาบอกว่าถ้าระหว่างทางมีคนขอไปด้วย เขาขออนุญาตรับผู้โดยสารเพิ่มเติม อาตมาได้ทีรีบบอกกับเขาว่า รับเพิ่มได้ แต่ค่าเรือสามหมื่นจั๊ตต้องลดลงไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นมานะโว้ย... นายท้ายเจ้าเล่ห์คงนึกไม่ถึงว่าอาตมาจะเขี้ยวยาวขนาดนี้ จำเป็นต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ ในใจคงแช่งชักหักกระดูกอาตมาเป็นการใหญ่...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
|||
|
|||
ท่านนาวินบอกลาเมื่ออาตมาก้าวลงเรือ บอกว่าป่านนี้พ่อออกปะไลรอแย่แล้ว อาตมารับไหว้ขณะที่นายท้ายติดเครื่องดังกระหึ่ม แล้วพาเรือพุ่งปราดไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว กว่าจะมีใครรู้ เรือของเราก็มาถึงอีกฝั่งหนึ่ง แล่นเลาะไปตามชายตลิ่ง อาศัยต้นไม้ปิดบังร่องรอยไปในตัว...
ไปได้ไม่ถึงสองร้อยเมตรเครื่องดับลงดื้อ ๆ นายท้ายแกปล้ำเหงื่อหยดติ๋งไปเลย คงทั้งกลัวทหารทั้งแดดร้อนด้วย อาตมามองไปที่ฝั่งตรงข้าม เห็นท่านนาวินยังเดินดุ่ม ๆ อยู่ที่ชายตลิ่ง ไม่ได้สังหรณ์สักนิดว่าอาตมาไปได้แค่นี้เอง ถ้าทหารมันรู้เข้าและจะเอาเรื่องคงเดี้ยงแน่ ๆ..! ฉันยืนตกปลาอยู่ริมตลิ่ง..แปลกใจจริง ๆ ปลาไม่กินเหยื่อ.. หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั้งแกะทั้งทุบ เจ้าเครื่องยนต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะติดขึ้นมาได้ นายท้ายปีนขึ้นไปบนตลิ่งหายลับตา พักใหญ่จึงกลับลงมาพร้อมด้วยขวาน คงรู้สึกว่าค้อนมันเล็กไปกระมัง ? มาถึงจัดการงัดแงะอุตลุด ที่ตรงท่าน้ำยังคงพลุกพล่านไปด้วยทหารที่ขึ้นลงทางเรือเป็นปกติ... นั่งลุ้นจนหมดอารมณ์ก็ไม่มีทีท่าว่าเครื่องมันจะติดขึ้นมาได้ ป่วยการที่จะไปร้อนใจกับเรื่องแบบนี้ อาตมาดูชาวบ้านสามสี่คนที่ตกปลาอยู่ชายตลิ่ง ปลาแถวนี้ชุมเอาเรื่องทีเดียว เพิ่งหย่อนเบ็ดลงก็ต้องวัดแล้ว แต่เป็นปลาตัวเล็ก ๆ จำพวกปลาหมอนา ปลากระแหอะไรเทือกนั้น...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:26 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
|||
|
|||
บ่ายสองเศษเครื่องติดขึ้นมาได้ นายท้ายค่อยสีหน้าดีขึ้น เอาขวานไปคืนเขาแล้วพาเรือออกอย่างทะนุถนอม แต่เจ้าประคุณเถอะ มันไปได้สักสิบห้านาทีก็น็อกดับไปอีก..! แต่ยังดีที่พ้นสายตาทหารมาไกลแล้ว อาตมาปักถ่อผูกเรือให้ ขณะที่นายท้ายเข้าปล้ำกับเครื่องต่อไป...
รื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้มันติดขึ้นมาได้ จนเกิดน้ำโหขึ้นมาสุดจะยับยั้งไหว นายท้ายแกทุบเครื่องเรือโครม ๆ เป็นการระบายโทสะ ยังดีที่มีเรือของพรรคพวกเขาผ่านมาพอดี ไม่เช่นนั้นมีหวังเครื่องพังบรรลัยหมด แต่พรรคพวกที่มาช่วยดูให้ ก็หมดปัญญาที่จะช่วยเช่นกัน... พ้นหน้าทหารมาได้ก็จริง แต่ก็มาได้แค่นี้เอง..! มีเรือชาวบ้านแวะมาดู ๓ ๔ ลำ มากหมอก็มากความ ช่วยกันคุ้ยแคะแกะเกาอย่างไรก็ไม่ติด พอดีมีเรือกระแชงบรรทุกของจากไร่จะไปเมืองจะอีน พวกเขาจึงหันไปมะรุมมะตุ้มสินค้าบนเรือแทน ส้มโอลูกเบ้อเร่อเบ้อร่า เขาขาย ๔ ลูก ๕๐ จั๊ตเท่านั้น ต่อรองกันครื้นเครงไปเลย... ย้ายแยกแตกกระจายไปตามทางใครทางมัน สี่โมงเย็นเรือติดขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ นายท้ายแกพาเรือออกแบบลุ้นจนตัวโก่ง กลัวเครื่องจะดับอีก ไม่กี่นาทีต่อมามีแม่ค้ากระเดียดกระจาดขนมโบกมือเรียก นายท้ายเทียบเข้าไปรับ อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเพิ่มมาอีกคน...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:36 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
|||
|
|||
ผ่านบ้านบุคคโล ซึ่งเป็นหมู่บ้านมอญที่ใหญ่มาก มีคนกลุ่มใหญ่ทั้งพระทั้งโยมโบกมือเรียก แต่นายท้ายตะโกนบอกว่าเครื่องเรือไม่ดี ถ้าเบาเครื่องกลัวจะดับอีก เข้าไปรับไม่ได้ ผู้คนบนตลิ่งแทนที่จะเสียใจ กลับหัวเราะกันเฮฮา เป็นทำนองว่าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวจะตามไปแล้วแซงหน้าเองแหละ...
ทวนน้ำไปอีกสัก ๑๐ นาที แวะรับอีก ๕ คน พักใหญ่ ๆ มาถึงบ้านเวสาลี มีคนไปด้วยอีก ๘ คน สอบถามค่าเรือได้ยินว่า “งาตะยา” หมายถึงห้าร้อยจั๊ตต่อคน แบบนี้ช่วยเบารายจ่ายของอาตมาไปได้มากเลย เฮ้ย..หัวเรือไปมุดเสาที่เขาผูกเบ็ดราว พานเอาเบ็ดขึ้นมาเป็นพรวน..! มือไวเท่าความคิด อาตมาคว้าสายเบ็ดยกพรวดขึ้นไป ตัวเบ็ดเกี่ยวย่ามที่วางไว้ข้างหน้าขาดควาก..! เสียงเอะอะจากข้างหลังล้งเล้งไปหมด กลัวว่าอาตมาจะปล่อยสายเบ็ดข้ามหัวไป ฮ่วย...ข้อยบ่ได้ปัญญานิ่มปานนั้นดอก..! ยื้อสายเบ็ดเอาไว้จนตัวเกือบเอนราบไปกับพื้นเรือ..! หลายมือช่วยกันคว้าสายเบ็ดยกข้ามหัวต่อ ๆ กันไป มันน่าเอาเกี่ยวหูนายท้ายซะให้เข็ด แกตีหน้าปูเลี่ยน ๆ พิลึก พอส่งเบ็ดมหาภัยกลับลงน้ำไปตามเดิมได้ก็โล่งอก เห็นต้นตาลคู่อยู่ตรงหน้า พักหนึ่งเรือก็วิ่งผ่านต้นมะม่วงหนังเหนียวจอมอิทธิฤทธิ์ แต่คราวนี้เรือไม่ยักดับแฮะ...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 27-11-2010 เมื่อ 11:14 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
|||
|
|||
แดดอ่อนลับแนวไม้ ดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาแข่งแสงตะวันรอน ส่งแม่ค้าขนมขึ้นฝั่งไปก่อน อีกประมาณสิบนาทีขอลงอีกห้าคน ความมืดเริ่มปกคลุมสองฝั่งน้ำ เรือของเรามาถึงด่านเวสาลีเกือบหกโมงเย็น นายท้ายส่งอาตมาขึ้นไปคนเดียว แล้วซิ่งไปส่งผู้โดยสารที่เหลือทั้งหมด...
จัดการล้างหน้าแปรงฟัน เช็ดเนื้อเช็ดตัวซะหน่อย จากนั้นกราบพระสวดมนต์ทำวัตรคนเดียว อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้วนอนภาวนาต่อ ประมาณหนึ่งทุ่มมีเรือเข้ามาเทียบอีก เสียงคนขึ้นมาบนแพพักเป็นสิบ อาตมานอนเงียบดูท่าที มาหูผึ่งตอนได้ยินเสียงภาษาไทยชัดเจนว่า “เหม็นตัวเองจิ๊บเป๋งเลยว่ะ..เณร..” เปิดผ้าที่คลุมโปงออกมาเห็นพระเณรหลายรูป ถามท่านว่า “พวกคุณจะไปไหนกัน ?” “แหม..ท่านอาจารย์พูดไทยชัดมากเลย...” “ผมเป็นคนไทยครับ...” ปัดโธ่..จะให้เป็นมอญเป็นพม่าไปได้ หน้าตูเหมือนขนาดนั้นเลยหรือ...?
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 30-11-2010 เมื่อ 19:31 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
|||
|
|||
หัวหน้าทีมคือพระทนงศักดิ์ วารินฺโท อยู่วัดเวฬุวราราม ที่หลวงพ่ออุตตะมะสร้างใหม่ ข้างสวนธารรีสอร์ทตรงไทรโยคใหญ่ มากับเณรสามรูป ท่านมารับคุณยายไปเที่ยวเมืองไทย อาตมาทึ่งที่ท่านพูดไทยชัดมาก ไม่มีแปร่งแบบมอญแถว ๆ เกาะพระฤๅษีเลย...
“ผมเกิดเมืองไทย โตเมืองไทยครับ เพิ่งเคยมาพม่าเป็นครั้งแรก ตั้งใจมาเยี่ยมคุณยายที่บ้านบุคคโล แต่คุณยายขอตามไปเมืองไทยด้วย ยังไม่ทราบว่าจะพาข้ามไปอย่างไรถึงจะไม่ถูกจับ...” ท่านว่ามาเป็นชุด “บ้านบุคคโล..? อย่างนั้นก็เป็นกลุ่มที่โบกเรือของผมเมื่อตอนเย็นใช่ไหมครับ..?” อาตมาถามบ้าง “ใช่ครับ..ที่เรือเสียจอดไม่ได้ใช่ไหมครับ..? ผมไม่เห็นเรือจอดที่นี่ ไม่นึกว่าจะเป็นท่านอาจารย์เอง..” ท่านชวนคุยอีกมากมายจิปาถะ พอทราบว่าอาตมาพูดพม่าได้ไม่กี่คำ ยังไปซะเกือบทั่วประเทศพม่ามาแล้ว ถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ คงเสียดายที่ตัวเองเป็นเชื้อสายพม่าแท้ ๆ แต่เพิ่งเคยกลับมาตุภูมิ...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
|||
|
|||
ท่านแนะนำคุณยายทั้งสองให้รู้จัก ทั้งสองท่านกราบอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วเหมือนกุลสตรีโบราณที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี สักครู่ทั้งสองท่านลาไปนอน เห็นคุณยายเล็กกราบเท้าคุณยายใหญ่ ก่อนจะนอนลงด้านข้างแต่ต่ำกว่าเป็นศอก ตะแคงตัวหนุนกระเป๋าผ้า เก็บมือเก็บเท้าเรียบร้อยทีเดียว...
“คุณยายเล็กท่านทำอย่างนี้ทุกวันแหละครับ อยู่ที่บุคคโล บ้านห่างจากคุณยายใหญ่เกือบกิโล ท่านยังถือไฟฉายเดินมากราบคุณยายใหญ่ก่อนนอนทุกคืน...” ท่านทนงศักดิ์บอกเมื่อเห็นอาตมามองไม่กระพริบ โอหนอ...บุคคลผู้ทรงอปจายนมัย (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) เป็นปกติยังมีอยู่ในโลก น่ายินดีน่าอวยพรเป็นยิ่งนัก... พระหลานชายยังคงคุยถึงบ้านบุคคโลต่อไป บอกว่ามีสำนักเรียนปริยัติธรรมด้วย แต่ขาดแคลนเครื่องเรียน อาตมาถามว่าต้องการอะไรบ้าง ท่านขอสมุดสัก ๔๐๐ เล่ม จึงนัดแนะกันว่าอีกสองอาทิตย์ให้ท่านหารถไปรับได้เลย ถ้าไปเกาะพระฤๅษีไม่ถูก ให้ไปถามได้ที่วัดท่าขนุน พระอาจารย์สมพงษ์ท่านคงหาคนนำทางให้เอง แล้วต่างคนต่างนอน เดี๋ยวเสียงจะรบกวนคนอื่นเขา... คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 10-12-2010 เมื่อ 12:53 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|