|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#541
|
|||
|
|||
สนิทใจได้ด้วย “ธรรม” สายสัมพันธ์ในธรรมของท่านมิได้จำกัดไว้ในหมู่บรรพชิตเท่านั้น มีฆราวาสจำนวนมากที่สนใจประพฤติปฏิบัติธรรม และสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นจริงจัง ไม่ว่าเพศภูมิใด ย่อมประจักษ์ผลแห่งธรรมภายในใจขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป นักภาวนาหญิงหรือชายนั้นจะให้ผลแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร องค์หลวงตาเคยให้เหตุผลว่า “การปฏิบัติไม่มีเพศ เรื่องมรรคผลนิพพานแล้วไม่มีเพศ เหมือนกับกิเลสไม่มีเพศ มีได้ด้วยกันทั้งนั้น ความโลภก็มีได้ทั้งหญิงทั้งชาย ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีได้ด้วยกัน มัชฌิมาปฏิปทา จึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย เป็นเครื่องแก้กิเลสทั้งหลาย แก้ได้ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยอำนาจความสามารถของตนแล้ว.. มีทางหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน” ด้วยเหตุนี้เองเมื่อโอกาสอำนวย ท่านจะไปเยี่ยมเยียนถึงสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านั้น เช่น สำนักชีบ้านห้วยทรายของคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงของอุบาสิกากี นานายน ในตอนนี้จะขอกล่าวถึง คราวที่ท่านแวะเยียมสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ดังนี้ องค์ท่านเคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของคุณยาย ก. เขาสวนหลวงมานานแล้ว ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรแก่การเคารพกราบไหว้ แต่มีข้อน่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาว่ากันว่าคุณยายเป็นคนไม่เอาพระ คือไม่ต้อนรับพระ สิ่งนี้เองทำให้องค์หลวงตาอยากรู้ว่าจะเป็นจริงหรือ ? หรือว่ามีเหตุผลด้วยประการใดกันแน่ เพราะหากเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ แล้ว ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะมีทางเป็นได้ องค์ท่านจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อข่าวลือนี้นัก เหตุนี้เอง เมื่อจังหวะมาถึงในคราวองค์ท่านไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลอาการอาพาธของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเองที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อได้โอกาสอันควร องค์ท่านจึงเข้าไปเยี่ยมเยียนคุณยายถึงสำนักฯ เขาสวนหลวงด้วยตนเองเลยทีเดียว พอเข้าในสำนักเท่านั้น ไม่นานก็มีเสียงระฆังเคาะดังกังวานขึ้น เรียกให้บรรดาสตรีนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พากันหลั่งไหลมากราบองค์ท่าน และให้การปฏิสันถารต้อนรับเป็นอย่างดี โดยมีคุณยาย ก. เป็นหัวหน้าอยู่ ณ ที่นั้นด้วย หลังจากสนทนาพูดคุยกันได้ไม่นาน คุณยายกราบอาราธนาขอนิมนต์.. ให้ท่านแสดงธรรมแก่เหล่าอุบาสิกานักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย องค์หลวงตาจึงเมตตาแสดงธรรมโดยเน้นเรื่องจิตภาวนาเป็นสำคัญ ทราบว่า หลังการแสดงธรรมจบสิ้นลง คุณยายถึงกับประกาศขึ้นด้วยความอาจหาญในธรรมปฏิบัติของคุณยายเองแก่บรรดาลูกศิษย์ในสำนักว่า “ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดแม้เปอร์เซ็นต์เดียว” เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่องค์ท่านเอง ดังคำกล่าวที่ท่านเล่าให้ผู้มากราบเยี่ยมคณะหนึ่งฟังว่า “ที่ว่าคุณยายไม่ต้อนรับพระนั้น หมายถึงพระประเภทโกโรโกโส ไม่ได้เรื่องได้ราวต่างหาก ถ้าเป็นพระเคารพธรรม เคารพวินัย คุณยายท่านก็ไม่เป็น ... จะว่าอะไร แม้แต่เราเองก็ไม่ต้อนรับพระประเภทนั้นเหมือนกัน” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2020 เมื่อ 19:58 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#542
|
|||
|
|||
ขบขัน พระป่าเข้าเมือง เหตุการณ์ระหว่างองค์หลวงตากับท่านพ่อลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านเคยเล่าแบบขบขันเต็มที่ถึงความเชยของตัวท่านเอง ดังนี้ “... มันขบขัน ตอนที่ท่านป่วยมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือบุคคโล (ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) นั่นละ..เราไปเยี่ยมท่าน แล้วมันก็มีออดอยู่อันหนึ่ง (ออดสำหรับคนป่วยไว้เรียกแพทย์ พยาบาลในยามฉุกเฉิน) เขาเอาวางไว้นี่ เราก็คุย ก็มันวางอยู่ข้างเรานี่ เราก็ไปนั่งคุย คุยกับท่าน เห็นออดมันวางอยู่ เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ มันขบขันดีนะ ขบขันตรงนี้ละ ตรงพระป่ามันเซ่อ ไม่รู้เรื่องอะไร ไปเห็นออดมันวางอยู่ มันติดอยู่ข้างนี่.. เราก็จับมา เห็นมันอ่อน ๆ เราก็เลยบีบดูเสีย เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ พอบีบทางนี้ มันก็ไปกวนพวกหมอและพยาบาลนี่นะ พวกที่อยู่ข้างล่างก็เลย โฮ้.. เลยแตกฮือขึ้นเลย รุมขึ้นมา ‘เอ๊ะ ท่านพ่อเป็นอะไร ? เป็นอะไร ?’ ท่านพ่อว่า ‘จะเป็นอะไร แล้วเป็นอะไรกันเนี่ย ?’ ‘ก็ได้ยินเสียงออดทางนู้น’ ท่านพ่อว่า ‘ออดที่ไหนน่ะ ?’ ท่านก็ไม่รู้ว่าเรากด มันขบขันตรงนี้ละ ไอ้เราเองยังไม่รู้นะ เขามาทางนู้น เราก็ยังไม่รู้ว่าอันนี้คือออด เสียงออดมันไปกวนของเขา ก็เราบีบเล่นธรรมดา อ๊อด ๆ นั่นซี เขาก็รุมขึ้นมา ‘เอ๊..ท่านพ่อเป็นอะไร ? ท่านพ่อเป็นอะไร ?’ เขามาแบบตาลีตาลานนะ มาแบบรีบด่วนจริง ๆ ... ก็มันนุ่ม ๆ เรากดเล่น เราถามเขาว่า ‘หือ ? อันนี้เหรอ ? ที่ว่าได้ยินเสียงออด นี่อันนี้เหรอ ?’ ‘อันนี้แหละ’ ‘โอ๋..แล้วกันละ เราบีบเล่นอยู่นี่’ ท่านพ่อว่า ‘หุ้ย.. ทำไม่เข้าเรื่อง’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดเท่านั้นแหละ ‘ทำไม่เข้าเรื่อง’ เขาก็แตกฮือลงไปละนะ พอรู้เรื่องว่าเพราะอันนี้เอง เราว่า ‘โอ๊ย..นี่กระผมแหละ..บีบเล่น นึกว่าอะไร..ไม่รู้เรื่อง’ ท่านพ่อว่า ‘ดื้อไม่เข้าเรื่อง’ ... พอเขารู้เรื่องแล้วต่างคนต่างหัวเราะกันลั่น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2020 เมื่อ 20:00 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#543
|
|||
|
|||
ปาฏิหาริย์หลวงปู่ฝั้น “... ท่านอาจารย์ฝั้นนะ กับเราจะมีอะไรเป็นพิเศษ รู้สึกว่าท่านจะเมตตาเป็นพิเศษเลย เจดีย์ของท่าน ๑๒ ล้าน เราหาให้ทุกบาททุกสตางค์นะ เจดีย์วัดอุดมสมพร ๑๒ ล้าน เราหาให้สร้างให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เป็นเงิน ๑๒ ล้าน เหลือเงินอยู่ ๘ แสนเลยมอบให้วัดอุดมสมพร เพราะวัดนี้เป็นวัดที่รับเป็นรับตาย เศษเหลืออะไรก็ต้องมอบให้วัดนี้ เราเป็นคนสั่งเอง คณะกรรมการว่าอย่างไร ยอมรับหมด ๘ แสนเลย มอบให้ ๑๒ ล้านสร้างเจดีย์ เศษเหลือเงินอยู่แปดแสนเลยให้ท่าน สร้างเจดีย์ท่าน ๓ ปีไม่ขึ้น.. เราปัดแล้วตั้งแต่ต้น เพราะเราทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น เสร็จเรียบร้อยแล้ว.. นั่นเป็นหน้าที่ของเราทำเอง ไม่มีใครมาบังคับ เราทำด้วยความสมัครใจ พอเสร็จแล้ว ที่นี้จะทำเจดีย์หลวงปู่ฝั้น.. เราก็บอกให้พระทำ เราไม่ทำแล้ว ฟาดอยู่ ๓ ปีไม่ขึ้น ประชุมกันที่ไรเบาลง ๆ คณะกรรมการมาประชุมห้าคนหมดหวัง ทีนี้ก็ท่านสุวัจน์เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ฝั้น.. เลยตกลงกันกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งพ่อค้า ประชาชน ประชุมกันเลยนะ แล้วจะทำอย่างไรกันนี่ คือเราปัดแล้ว เราไม่เอาแล้ว ไปหาที่ไหนก็ไม่ได้แล้วก็วกกลับมา.. เลยตัดสินใจกัน ถ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์มหาบัวไม่ขึ้น ใครก็ไม่ขึ้น ๆ ก็ยกทัพมาหาเรา เต็มกุฏิแน่นหมดเลย พ่อค้าประชาชน ผู้มีเกียรติทั้งหลาย มีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจเป็นหัวหน้าไป ไปเล่าเรื่องสุด ๆ สิ้น ๆ ให้ฟัง ‘เมื่อวานหรือวันไหนมีคณะกรรมการมาประชุมเพียง ๕ คน ปีที่ ๓ เรียกว่าหมดหวังแล้ว จึงได้มาประชุมกัน มาหาท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ’ บอกอย่างนี้เลยนะ จึงได้พากันมา ‘มาขอความหวังจากท่านอาจารย์ เจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้นจะขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านอาจารย์องค์เดียว’ ดูซิ..มันมาหายอ ผลสุดท้ายเราก็พิจารณามันก็ไม่ขึ้นจริง ๆ เพราะ ๓ ปีแล้ว ตั้งคณะกรรมการคนไหนขึ้นเป็นประธานก็ล้มเหลว ๆ ถูกเตะถูกยันกัน วิ่งมาหาแต่เรา เราปัด ๆ เราไม่เอา พอถึง ๓ ปีล่วงไปแล้ว เห็นจะไปไม่ไหวเราก็เลยรับให้ พอรับเท่านั้นก็ขึ้นปึ๊บเลย เรียบร้อยมา ท่านอาจารย์ฝั้นกับเรารู้สึกท่านเมตตาเรามากอยู่นะ อย่างลึก ๆ ลับ ๆ ไม่มีใครทราบได้ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเสียอยู่ที่วัดอุดมสมพร เราอยู่วัดดงสีชมพู เราจะกลับมาอุดรฯ วันนั้นกลับไม่ได้เลย นี่ละเรื่องธรรมแสดงปาฏิหาริย์ก็เหมือนกับกิเลสแสดง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเรียกว่าปลิ้นปล้อน หลอกลวง คดโกง.. อันนี้อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน ตอนเช้าเราสั่งท่านทุย กลางคืนฝนตกทั้งคืน น้ำท่วมหมด รถเข้าออกไม่ได้เลย ทำอย่างไร ท่านทุยก็วิ่งไปเลย..ไปหาพวกญาติโยมบ้านนาขาม ท่านไปสั่งเองนะ มันพลิกตาลปัตรอย่างนี้ละ.. เรื่องธรรม ท่านทุยไปสั่งเขาพลิกปั๊บไปแบบนี้ ฟาดเสียจนตอนเที่ยงรถยังไม่มา พลิกไปพลิกมา อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นบังคับเอาไว้ มันมีอยู่อันหนึ่งว่าท่านเอียนมาฉันจังหันที่ตังล้งอุดร มาทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นเสียที่สกลนครเมื่อคืนนี้ นั่นละ รอข่าวเพราะอย่างนั้นเรื่องอะไรจึงยุ่งไปหมด ไปไม่ได้นะ..นี่ละปาฏิหาริย์ เราได้ร้องโก้กเลย มันจะมีเรื่องนะวันนี้ ขึ้นสะเทือนใจสามหนแล้ว เราบอก ‘ทำไมคนที่เราสั่งเสียมอบความไว้วางใจให้คือท่านทุย ท่านทุยเป็นหนึ่งเรื่องความจริงความจัง และรับจากเราด้วยความเคารพ ทำไมจึงไปเหลวไหล ท่านไปสั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ สั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านทุยพลิกนะ เขาพลิกเอง อำนาจของท่านอาจารย์ฝั้น’ คือจะยังไม่ให้เราไป ให้เรารออยู่นั้น จนกระทั่งท่านเอียนไปบ่าย ๒ โมงกว่าแล้ว ท่านจึงไปจากอุดรฯ บ้านตังล้ง จึงเอาเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นเสียไปบอกเรา พอบอกเราแล้ว รถมาแล้วติดเครื่องไม่ติด มันอัศจรรย์ไหมล่ะ กับฤทธิ์ของท่านอาจารย์ฝั้น เครื่องมันไม่ติดนะ ‘มันเป็นอย่างไรรถคันนี้ ก็มันดี ๆ อยู่ แต่นี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ’ (พอ) ติดเครื่องปุ๊บ ๆ ๆ ก็ดับพุบ ๆ สักเดี๋ยวท่านเอียนโผล่หน้ามา มาจากอุดรฯ พอมาถึงปั๊บเรากำลังนั่งอยู่บนรถ ติดเครื่องเท่าไรรถก็ไม่ติด พอท่านเอียนวิ่งมาหาเรา เราก็จ้องคอยดู พอมาปั๊บบอกว่า ‘ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วแต่เมื่อคืนนี้ ๖ โมง ๕๐ นาที’ เราเลยไม่ลืม ‘เออ..เอาล่ะ..ได้ความ (ไปวัดหลวงปู่ฝั้นเลย)’ ทีนี้รถไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งไปได้เลย ก็ผึงเลย นั้นเห็นไหม..ปาฏิหาริย์ของท่าน (เวลา) ไม่ยอมให้ไป เดี๋ยวติดนั้นขัดนี้อยู่อย่างนั้นละ นี่ละอำนาจเมตตาธรรมของท่านอาจารย์ฝั้นเกี่ยวกับเรา (เพื่อ) จะให้เราไปนู้น ท่านไม่ยอมให้ไปอุดรฯ พอทราบข่าวเท่านั้นละ (ทีนี้) ไม่มีเครื่องติดเลย เหยียบคันเร่งไปได้เลย ผึงไปวัดอุดมสมพร พระเณรก็รอกันอยู่หมด รอเราคนเดียว เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับมาอุดรฯ นี่ละเป็นอย่างนั้นละ ท่านอาจารย์ฝั้น อำนาจจิตของท่านรุนแรงมากนะ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2020 เมื่อ 20:04 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#544
|
|||
|
|||
มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อตั้งขึ้นเนื่องด้วยคำปรารภของพระ ซึ่งเดินทางมาร่วมวันฉลองครบรอบวันเกิดของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กล่าวคือ การเดินทางของพระธุดงคกรรมฐานจากภาคต่าง ๆ เข้ากรุงเทพฯ เพื่อกิจธุระหรืออาพาธ มักมีอุปสรรคเกี่ยวกับการหาที่พักยาก โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรที่อ่อนอาวุโส และยังมิได้เป็นที่รู้จักของประชาชน มักจะหาที่พักไม่ค่อยได้ เมื่อคุณวรรณดี ตั้งตรงจิตร์ ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ไปร่วมงานครั้งนี้ จึงมีความคิดสร้างเรือนพักพระภิกษุสามเณรในบริเวณที่ดินของตนเอง นอกจากนี้ยังอุทิศที่ดินและสิ่งก่อสร้างให้เป็นกุศลทั้งสิ้น การก่อตั้งเป็นมูลนิธิบริหารและดำเนินการในรูปคณะกรรมการ เพื่อให้กิจการอันเป็นกุศลนี้มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป สำหรับชื่อของมูลนิธินั้นได้นำมนัสการกราบเรียน ปรึกษากับองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน และขออนุญาตใช้ชื่อ “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์พระธุดงคกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ที่จาริกมาเป็นครั้งคราว หรือมีความจำเป็นจะต้องมาพักรักษาตัวยามเจ็บป่วย ซึ่งองค์หลวงตาเห็นชอบและอนุญาต แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2020 เมื่อ 15:31 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#545
|
|||
|
|||
นวดมาเป็นแสน.. ไม่มีใครเหมือนหลวงตา องค์หลวงตาเล่าเหตุการณ์คราวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ยังมีชีวิตอยู่ คุณหมอนิมนต์องค์หลวงตาเข้ารับการนวดรักษา ดังนี้ “... แขนเราเป็นมาถึง ๒ ครั้งแล้วนะ แขนข้างขวานี่เป็นมา ๒ ครั้งแล้ว .. ครั้งแรกปี ๒๓ เรายังหนุ่มอยู่ แขนนี้ก็จวนจะใช้ไม่ได้ จะยกไม่ได้แล้ว ปวดก็ปวด ขัดปวด แล้วจะยกไม่ได้ ตึงหมด มันจะใช้ไม่ได้แล้ว จะยกไม่ขึ้น อาจารย์หมออวย คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) ได้ติดต่อกับหมอทางโน้น .. แล้วก็มานิมนต์ให้มารักษาทางนี้ เขามาหาเรา เราก็เลยไปทดลองดู เขาว่าดีจริงๆ หมอนี่ เป็นหมอมีชื่อเสียงมากในกรุงเทพฯ ว่างั้น..เราจึงต้องสละเวลาไป แกนวดเส้นเรา ไม่ได้รับเข้าในบัญชี ร้องจ๊าก ๆ แจ๊ก ๆ นี้นะ (ชี้ไปทางกลุ่มลูกศิษย์ที่มาฟังธรรมประจำ) อันนี้แตะไม่ได้ ร้องจ๊าก ๆ เราไม่ได้อยู่ในบัญชีนี้ เป็นซุงทั้งท่อนเลย เอ้า..ว่างั้นเลย เชื่อหมอแล้วนะ คือเขามาจับดู ๆ ทุกอย่าง เขาว่าเป็นเพราะเส้นล้วน ๆ ไม่มีโรคแทรก ‘นวดให้ถึงฐานมันแล้วจะหาย หรือไม่หาย’ .. ‘หาย’ เขาว่างั้น ‘เอ้า ! ถ้างั้นมอบให้เลย แขนจะขาดก็ให้ขาดไปเลย เราเชื่อหมอ เมื่อนวดเสร็จแล้วหมอจะเอาแขนเรามาต่อกันเอง เอาเลย..ใส่เต็มเหนี่ยวเลย’ นี่ละที่ว่า อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น ให้อาจารย์หมออวยได้ดูเสียบ้าง เรื่องโลกกับธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง อาจารย์หมออวยก็เป็นหมอขนาดศาสตราจารย์ แล้วมาดูเรื่องพุทธศาสตร์ต่างกันยังไง ซัดเลยเต็มเหนี่ยว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะเราบอก ปล่อยเลยเทียว ซัดเอาเสียเต็มเหนี่ยวเลย เราเป็นซุงทั้งท่อนเลย ขึ้นหมดทั้งตัวเลย แต่เขาไม่ได้ขึ้นใช้เท้าเหมือนท่านสมบูรณ์ เขานวดด้วยมือ แต่มือเขานี้เป็นเหล็กเลย แข็งขนาดนั้น เราก็ปล่อยเลยเทียว พอนวดเสร็จลงมา ๒ ชั่วโมงกว่านวดครั้งแรก นวด ๓ หนนะ ครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่า ครั้งที่สอง ๒ ชั่วโมงหรือขาดเล็กน้อย ครั้งที่สาม ชั่วโมงครึ่ง นวดครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่าเล็กน้อย นับเป็นครั้งที่เจ็บมากที่สุด เขาก็เอาเต็มเหนี่ยวเลย พอนวดเสร็จลงมาถึง ‘ขอกราบท่านอาจารย์อีกหนนึง’ ‘กราบเพราะอะไรว่าซิ’ เขาก็พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลย ‘ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายใดเลยที่จะเป็นอย่างท่านอาจารย์ เห็นแต่ร้องจ๊าก ๆ อันนี้เฉย ผมไม่เคยเห็นเลย เพราะผมนวดเต็มเหนี่ยวผม ผมเพิ่งมาเจอวันนี้ รายเดียวเท่านั้น มีท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ผมผ่านมานี้เพิ่งเห็นองค์เดียวนี้ รายเดียวนี้เลยที่เฉยเลย..ไม่มีอะไร นอกนั้นเหมือนเสือถูกปืน ร้องจี๊กจ๊าก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นวดแรงอะไรเลย ผมจึงขอกราบอีกทีหนึ่ง’ อู๊ย.. มือหมอเหมือนกับเหล็กนะ แข็งไหมเหล็ก..? ความหมายน่ะ คือขอกราบอีกครั้ง..ว่างั้นนะ เขาไม่เคยเห็น แล้วเว้นอีก ๓ วันมานวดอีก เว้นไปอีก ๒ วันนวดอีก นวด ๓ หนหายเลย วันแรกเป็นวันรุนแรงมาก.. นวด ถ้าธรรมดามันอดมันทนไม่ได้แหละ แต่นี้ฟังซิ..เหมือนขอนซุง เอ้า..แขนจะขาดให้ขาดไปเราเชื่อหมอแล้ว แขนขาดไปเวลาหมอนวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาแขนมาต่อกันเอง นู่น..เห็นไหม เรียกว่าปล่อยเต็มที่ ซัดเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นทั้งตัวเลยนะ แกขึ้นทั้งตัวเลย ซัดเต็มเหนี่ยว โห้ย.. นิ้วของหมอนวดนี่ไม่ใช่เล่น ไม่ได้เหมือนนิ้วมือใครนะ แข็งแกร่ง ฟาดลงไปนี้ โถ.. อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น หายเลยนะ... นี่วาระแรกนะไปนวดเส้น ทีนี้ก็มาพักที่ ๒ อีก ที่ไปเกิดอุบัติเหตุ (ทางรถยนต์เมื่อต้นปี ๒๕๔๑) นี้อีกละ อันนี้ไม่ค่อยรุนแรงที่ท่านสมบูรณ์นวดนี่นะ ไม่รุนแรงเหมือนนู้น อันนู้นเอาจริง ๆ เพราะว่าแขนจะยกไม่ขึ้น เขาบอกว่าเป็นเพราะเส้นล้วนๆ เราก็ปล่อยให้เลยทีเดียว อันนี้มันไปเกิดอุบัติเหตุมา ให้หมอนวดก็ท่านสมบูรณ์นวดให้ ถ้าไม่ใช่ท่านสมบูรณ์แล้วเราจะเป็นอัมพาตเลยนะ เพราะมันรุนแรงมาก จะเป็นอัมพาตเลย แต่นี่ก็ปล่อยให้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้บอกว่าปล่อยอย่างที่หมอณรงค์ศักดิ์ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น ฝั่งธนฯ นะ นั่นเราปล่อยเลย อันนี้เราไม่ได้บอกว่าปล่อย ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยร้อง อุ๊ ๆ อี๊ ๆ เหมือนบ้าทั้งหลาย..ว่างั้นเถอะ เราพูดจริง ๆ เราอยากเห็นบ้าก็ลองไปให้เขานวดเส้นให้ซิ ร้องจ๊ากเลย นั่นบ้าขึ้นแล้ว อันนี้เฉยเลย เพราะฉะนั้น ท่านสมบูรณ์จึงได้เอาไปสอนท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลล่ะซิ ทางนั้นพอกดลงไปร้องจ๊าก ๆ เลย นานเข้า ๆ ก็ ‘โหย.. ทำอะไรก็ไว้ลายหลวงปู่บ้านตาดบ้างซิ เอะอะก็ร้องจ๊าก ๆ ท่านไม่เห็นร้องอะไร ท่านเฉยอยู่ตลอด’ ‘เหอ’ (ลูกศิษย์พากันหัวเราะ) อาจารย์เพ็งถาม ‘ท่านไม่ได้ร้องเหรอ’ ‘โหย.. ท่านไม่ได้ร้อง ท่านเฉยเลย’ ‘เหอ.. ท่านถอดวิญญาณไปไว้ที่ไหนหนอ ท่านถอดเอาดวงวิญญาณไปไว้ที่ไหนนา’ (องค์หลวงตาหัวเราะ) ‘ก็ไม่ทราบไว้ที่ไหน แต่ว่าท่านไม่เคยร้อง ท่านเฉย’ สำหรับท่านสมบูรณ์นี้ ถ้าธรรมดาเขาเรียกว่าขั้นรุนแรงนู่นน่ะ แต่ถ้าเทียบกับครั้งนั้น ไม่รุนแรงแต่ถึงยังไงก็ตาม ท่านก็บอกว่า ‘ไม่มี ท่านนวดมานี้ ที่จะเฉยอย่างนี้ไม่เคยมี ก็มีแต่หลวงปู่เท่านั้น’...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2020 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#546
|
|||
|
|||
อาพาธหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล มีตัวอย่างหนึ่ง คัดจากหนังสือประวัติและพระธรรมเทศนาพระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) แสดงถึงน้ำใจขององค์หลวงตาที่เป็นธุระคอยให้คำปรึกษา และเอื้อเฟื้อต่อหมู่เพื่อนที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา นั่นคือ หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล แห่งวัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ดังนี้ “... หลวงปู่บุญจันทร์ เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่นอีกองค์หนึ่ง มีพรรษาน้อยกว่าหลวงตามหาบัวเพียง ๒ พรรษาเท่านั้น แต่ท่านให้ความเคารพนับถือในธรรมแก่กันและกันเป็นอย่างสูง ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ ย่างเข้าเดือนที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อท่านอาจารย์สิงห์ทองได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่บุญจันทร์ป่วยหนัก จนฉันข้าวแค่วันละช้อน ๒ ช้อนเท่านั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงเดินทางจากวัดมาเยี่ยมหลวงปู่ พอขึ้นไปถึงหลวงปู่ที่กุฏิ ท่านก็พูดเป็นเชิงเย้าเล่นตามนิสัยขี้เล่นของท่านว่า “เอ้า ! .. ป่วยมานอนตายอยู่ที่นี้ทำไม ?” หลวงปู่ตอบ “ไม่นอนตายยังไง คนเดินไม่ได้” “ทำไมไม่ไปหาหมอ ?” คราวนี้หลวงปู่เงียบ .. ไม่ตอบว่าอะไร ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงกราบขอนิมนต์หลวงปู่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจรักษา หลวงปู่ว่า “ถ้าจะให้ไปหาหมอ ให้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดเสียก่อน ว่าท่านจะเห็นสมควรอย่างไร ? จึงค่อยปฏิบัติตาม” ได้โอกาสอย่างนั้น จึงให้โยมพาไปวัดป่าบ้านตาดในวันนั้นเลยทีเดียว เพื่อกราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัว เกี่ยวกับเรื่องป่วยของหลวงปู่ให้ท่านฟัง ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงสั่งว่า ‘ให้ไปบอกท่านบุญจันทร์ว่า เดี๋ยวนี้หมอเขามี ไปให้หมอเขาตรวจดูก่อน ถ้าเขารักษาไม่ได้.. ค่อยกลับมาคอยวันตายที่วัด’ แล้วท่านพระอาจารย์มหาบัวก็พาท่านอาจารย์สิงห์ทองเข้ามาในเมืองอุดรฯ เพื่อจัดแจงตั๋วโดยสารไปกรุงเทพฯ ให้หลวงปู่ได้เดินทางไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช พร้อมกับสั่งให้ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นผู้ติดตามไปด้วย ... เมื่อรับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์มหาบัวแล้ว ก็กลับมากราบเรียนให้หลวงปู่บุญจันทร์ทราบในเย็นวันนั้น.. เมื่อหลวงปู่ได้ทราบคำสั่งของครูบาอาจารย์ก็ยอมปฏิบัติตาม ... เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีคุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ มาคอยรับอยู่ก่อนแล้ว เพราะท่านพระอาจารย์มหาบัวเมตตาเป็นธุระทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถรับและเรื่องหมอที่ รพ.ศิริราช .. พอรถถึงโรงพยาบาล.. ก็มี ศ.นพ.อุดม โปษะกฤษณะ และ ศ.นพ.โรจน์ สุวรรณสุทธิ มาคอยรับหลวงปู่เช่นกัน ในตอนนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงได้ยื่นจดหมายให้อาจารย์หมอทั้งสอง ซึ่งเป็นจดหมายของท่านพระอาจารย์มหาบัว.. ฝากพระอาจารย์บุญจันทร์ที่อาพาธให้อยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอทั้งสองด้วย หลังจากหมอตรวจดูแล้ว จึงทราบว่าหลวงปู่ป่วยเป็นโรควัณโรคในกระดูก (ทำให้กระดูกข้อสะโพกผุ) หมอบอกว่า “โรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ ถ้ามาหาหมอช้ากว่านี้อีก ๒ เดือน กระดูกจะขาด.. ต้องตัดขาขวาทิ้ง” หลังการผ่าตัด หมอให้พักฟื้นอยู่จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อเห็นว่าหลวงปู่แข็งแรงขึ้น และแผลผ่าตัดก็หายแล้ว หมอจึงอนุญาตให้หลวงปู่กลับได้ .. ท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบว่า หมออนุญาตให้ออกโรงพยาบาลได้ จึงไปเยี่ยมหลวงปู่ในห้องผู้ป่วยและปรารภว่า “เราเป็นผู้ส่งท่านบุญจันทร์มารักษา และได้มอบให้หมอเป็นผู้ดูแลรักษา เราคอยฟังข่าวจากหมอเป็นระยะ ๆ อยู่ เราจึงไม่มารบกวน เมื่อทราบว่าอาการป่วยดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับได้แล้ว เราจึงมาเยี่ยมดู เราเป็นผู้ส่งท่านมา เราจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ทั้งค่าห้อง ค่ายา ให้ทางโรงพยาบาลคิดรวบรวมดูซิ เป็นราคาเท่าไร อาจารย์จะเป็นผู้จ่ายให้” คุณหมอกราบเรียนว่า “สำหรับค่าหมอที่รักษา .. อาจารย์หมอนทีขอยกถวายทั้งหมด ไม่คิดค่ารักษา สำหรับค่าห้อง ค่าอาหาร ... ที่เข้ารับการรักษาเป็นเวลา ๖ เดือน ทางโรงพยาบาล ขอยกถวายทั้งหมด” การที่หลวงปู่อาพาธในครั้งนี้ นับว่าเป็นการอาพาธครั้งใหญ่หลวง เกือบจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ แต่ด้วยบารมีแห่งเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านได้ช่วยเหลือทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก.. ท่านได้ช่วยเรื่องการติดต่อฝากฝังกับหมอให้ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งการเดินทางไปและกลับ และค่ารักษาพยาบาล .. ภายใน คือเรื่องธรรม ที่หลวงปู่มีความเคารพในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ยอมไปรักษาตามคำสั่งของท่าน หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังหลังจากกลับมาถึงวัดแล้วว่า “การป่วยครั้งนี้ เราได้เตรียมปล่อยวางทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดสั่งแล้ว เราไม่ไปเลย” หลวงปู่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ศิษย์ได้พึ่งพาอาศัยต่อมาอีกเป็นเวลาถึง ๒๓ ปี จึงได้ละขันธ์ไป ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2020 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#547
|
|||
|
|||
ธรรมสากัจฉาตามกาล การสนทนาธรรมภาคปฏิบัติขององค์หลวงตานั้น ท่านมีโอกาสพบปะพูดคุยกับครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ หลายองค์ในวาระต่าง ๆ กัน ครูบาอาจารย์บางท่านมีพรรษามากกว่า บางท่านก็น้อยกว่า บางท่านเป็นลูกศิษย์ หรือบางท่านเป็นถึงครูบาอาจารย์ขององค์หลวงตา สำหรับหลักเกณฑ์ในการสนทนาธรรมนั้น องค์หลวงตาท่านถือปฏิบัติ ดังนี้ สนทนาธรรม เป็นธรรม เพื่อธรรม แนวทางในการสนทนาธรรม.. ภาคปฏิบัติของพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมควรมีข้อปฏิบัติอย่างไรนั้น องค์หลวงตาเมตตากล่าวไว้ ดังนี้ “... การสนทนาธรรมะกันในทางภาคปฏิบัติ ผู้นั้นปฏิบัติอย่างนั้น ๆ มีความรู้ความเห็นอย่างนั้น ๆ ... ความรู้ความเห็นอันเป็นผลเกิดแปลก ๆ ต่าง ๆ กันมา มันเป็นคติเครื่องพยุงจิตใจซึ่งกันและกันอยู่มาก ... ก็เพราะท่านมุ่งเพื่อยึดคติจากธรรมของกันและกันจริง ๆ ไม่มีทิฐิมานะเข้าแฝงเลย แม้ต่างคนต่างยังมีกิเลสด้วยกัน .. ท่านสนทนาตามภูมิจิตภูมิธรรมที่ปรากฏขึ้นจากจิตภาวนาซึ่งตนบำเพ็ญมา .. และสงสัยก็ศึกษาไต่ถามกันเป็นระยะไป ท่านที่เข้าใจก็อธิบายให้ฟังตามลำดับแห่งความสงสัย จนอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ การสนทนาธรรมที่เกิดจากความรู้ภายใน แม้ผู้มาเล่าและเรียนถามปัญหาจะมีพรรษาอ่อนกว่ากันอยู่มาก แต่การเล่าและการไต่ถามนั้นแฝงอยู่ด้วยความอาจหาญ มั่นใจในความรู้และปัญหาของตน ไม่พรั่นพรึงหวั่นไหวหรือประหม่ากลัวท่าน จะซักหรือทักท้วงแต่อย่างใด พูดไปและถามไปตามความรู้สึกของตน และยอมรับกันโดยทางเหตุผลของแต่ละฝ่าย ถ้าตอนใดเหตุผลยังลงกันไม่ได้ ก็ซักซ้อมกันอยู่ในจุดนั้นจนเป็นที่เข้าใจ แล้วค่อยผ่านไปโดยไม่มีฝ่ายใดสงวนศักดิ์ศรีดีชั่วของตน อันเป็นลักษณะโลกแฝงธรรมให้นอกเหนือจากความหวัง เข้าใจต่อกัน ... ต่างมีความสนใจเอื้อเฟื้อต่อธรรมของกันโดยสม่ำเสมอแต่ต้นจนอวสานแห่งปัญหาธรรม ไม่แสดงความอิดหนาระอาใจ ไม่แสดงความดูถูกเหยียดหยามด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของกันและกัน ต่างสนทนากันด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังความรู้และความอนุเคราะห์จากกันจริง ๆ .. ในวงกรรมฐานรู้กัน องค์ไหนภูมิจิตภูมิธรรมอยู่ชั้นใดภูมิใด นี้รู้กันในวงกรรมฐาน ท่านพูดกันเรียกว่าธรรมะในครอบครัว ท่านพูดกันในวงปฏิบัติเงียบ ๆ รู้กันเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นละ ท่านไม่ฟู่ฟ่า ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่โอ้ไม่อวด...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2020 เมื่อ 15:41 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#548
|
|||
|
|||
เคล็ดลับ.. ภูมิจิตภูมิธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สถิตอยู่ในปุถุชน หรือพระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละภูมิ เป็นได้ทั้งธรรมจริงและธรรมปลอม ดังนี้ “... พระสงฆ์มีหลายประเภทตามขั้นตามภูมิ ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนขึ้นไปหาเสขบุคคล อเสขบุคคล คำว่าเสขบุคคล คือผู้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่ยังต้องศึกษาเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไป ตั้งแต่ขั้นพระโสดาถึงขั้นอรหัตมรรค ส่วนอเสขบุคคลนั้น หมายถึงผู้สิ้นสงสัย ผู้ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลล้วน ๆ แล้ว รวมแล้วก็เรียกว่า พระอริยเจ้า... ถึงขั้นโสดาบันแล้ว ก็เป็น อกุปปธรรม คือไม่กำเริบกลายมาเป็นตัวเป็นตนอีก สกิทาฯ อนาคาฯ เป็นอกุปปธรรมเป็นขั้น ๆ ตามขั้นของตน คือไม่เสื่อมลงมาขั้นต่ำ ยิ่งอรหัตผลแล้วก็ผ่านไปเลย หมดปัญหา กุปปธัมโม อกุปปธัมโม นั่น ... ธรรมของพระพุทธเจ้าตามธรรมชาติแล้วเป็นของบริสุทธิ์ แต่เมื่อมาสถิตอยู่ในปุถุชนก็กลายเป็น “ธรรมปลอม” เมื่อสิงสถิตอยู่ในพระอริยบุคคลจึงเป็น “ธรรมจริงธรรมแท้” คำว่า “อริยบุคคล” มีหลายขั้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นอริยบุคคลชั้นต้น ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์” เป็นสี่ ธรรมในชั้นพระโสดาบันก็เป็นธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สำหรับพระโสดาบัน แต่ธรรมชั้น “สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์” เหล่านี้ พระโสดาบันยังต้องปลอมอยู่ภายในใจ แม้จะจดจำได้ รู้แนวทางที่ปฏิบัติอยู่อย่างเต็มใจก็ตาม ก็ยังปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่นั่นเอง “พระสกิทาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “พระอนาคามี” และ “พระอรหันต์” “พระอนาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “อรหัตธรรม” จนกว่าจะบรรลุถึงขั้น “อรหัตภูมิ” แล้วนั่นแล ธรรมทุกขั้นจึงจะบริบูรณ์สมบูรณ์เต็มเปี่ยมในจิตใจ ไม่มีปลอมเลย...” เทศนาตอนหนึ่งขององค์หลวงตา กล่าวถึงการตอบปัญหาธรรมด้านจิตภาวนาของพระอริยบุคคลแต่ละขั้นละภูมิ ดังนี้ “...ในหนังสือที่มีอยู่ในธรรมบทที่กล่าวว่า กัลยาณชนไม่สามารถตอบปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาบันไม่สามารถตอบปัญหาของพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรได้ ถึงพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าได้ คือความสามารถต่างกัน พอถึงขั้นอรหันต์ก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ไม่สามารถตอบปัญหาพระพุทธเจ้าได้นั้น หมายถึงความกว้าง แคบ ลึก ตื้นแห่งความรู้นั้นต่างกัน นอกจากความบริสุทธิ์ไปแล้วยังมีความลึกตื้นต่างกัน กว้างแคบต่างกัน ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย ภูมิของพระสารีบุตร โมคคัลลาน์เป็นสาวกวิสัย .. จึงต่างกัน สามัญวิสัย กับ อริยวิสัย ก็ผิดกัน แต่ละขั้นละภูมิ มีเคล็บลับประจำขั้นภูมินั้น ๆ ถามเคล็ดปั๊บก็ติด ดังพระเรียนจบพระไตรปิฎกครั้งพุทธกาล แต่ลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาว่านั่งหลับหูหลับตา.. ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลก เลยจะเอาปัญหามาถามพระปฏิบัติท่าน พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมาท่ามกลางสงฆ์ที่กำลังสันนิบาตนั้นว่า พวกนี้กำลังจะมาทำลายลูกศิษย์เราตถาคต แล้วมันจะไปตกนรกกันทั้งหมด ท่านไม่ได้กลัวพระปฏิบัติจะเสีย ท่านว่าพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด พอเสด็จถึง พระองค์ทรงตั้งปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกใบลานเปล่าตอบไม่ได้ รับสั่งถามพระปฏิบัติปั๊บ ตอบได้ผึง ยกปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกนั้นนิ่งเหมือนคนตายแล้ว ตอบไม่ได้ วกกลับมาถามพระปฏิบัติ.. ตอบได้ปุ๊บ ๆ ตลอด จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมขนาบเสียอย่างเต็มที่ว่า “พวกเธอนั้นน่ะ เหมือนกับลูกจ้างเลี้ยงโคให้เขา ได้ค่าจ้างเพียงรายวัน ๆ เท่านั้น ไม่เหมือนลูกของเรา หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเป็นเจ้าของโค โคก็เป็นสมบัติของตัว น้ำนมโคก็ได้ดื่มเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความต้องการ พูดเรื่องธรรมก็เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมสมบัติ เป็นมหาสมบัติ พวกเธอนี้เพียงแต่เรียนและจดจำมาเฉย ๆ ธรรมสมบัติอันแท้จริงยังไม่เคยได้ดื่มบ้างเลย ส่วนลูกของเราตถาคตทั้งได้ปฏิบัติ ทั้งได้ดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ์ จึงไม่ควรประมาท’ ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งถามเป็นปัญหาทางด้านจิต พอมาถามพวกปฏิบัติตอบได้ผึง ๆ เลย...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (31-07-2020), สุธรรม (24-07-2020)
|
#549
|
|||
|
|||
การสนทนาธรรมระหว่างองค์หลวงตากับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขอน้อมนำเป็นกรณีศึกษาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนี้ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้องค์หลวงตาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านเจ้าคุณมักมาดึงตัวองค์หลวงตาไปเทศน์ในวัดโพธิสมภรณ์ หรือในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก การแสดงธรรมไม่ว่างานใด.. ท่านจะมอบจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายถวายท่านเจ้าคุณทั้งหมดทุกครั้งไป จนท่านกล่าวว่าท่านเจ้าคุณคงจะเห็นเป็นที่ระลึกระหว่างท่านเจ้าคุณกับตัวท่านเองว่า “หลวงตาเป็นลูกกตัญญู" ” จริง ๆ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณต้องค้านเอาบ้างว่า “อ้าว ! เธอเอามาให้แต่เรา แล้วเธอจะไปเอาอะไร” ที่ทำเช่นนี้ องค์หลวงตาท่านเคยให้เหตุผล และกล่าวถึงความรู้สึกในใจที่มีต่อท่านเจ้าคุณว่า “เราถวายให้ท่านตลอด เราไม่เคยแตะ.. เทศน์ที่ไหน ๆ ไม่ว่าปัจจัยเงินทอง ข้าวของอะไรมอบถวายหมด เราไม่เอาแม้บาทหนึ่ง คือเราตอบแทนคุณท่าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เท่าคุณของท่านที่เป็นพ่อของเรา เราเป็นพระทั้งองค์ได้เพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ นั่น.. หลักใหญ่อยู่ตรงนั้นนะ” องค์ท่านเล่าถึงความผูกพัน และความสนิทสนมระหว่างท่านกับท่านเจ้าคุณ จนมีเหตุให้ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนี้ “...แต่ก่อนท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่วัดโพธิฯ เราต้องไปพักค้างที่วัดโพธิฯ บ่อย ๆ เราไม่ไปท่านก็ให้พระมาตามเอาเราไปที่วัดโพธิฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ตอนนั้น ที่ท่านเสียอายุท่านก็ ๗๕ ท่านเป็นชั้นธรรม ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่นี้พระกรรมฐานมาพักวัดโพธิฯ เรื่อย ๆ เพราะท่านเมตตาติดต่อเกี่ยวข้องกับกรรมฐานเรื่อยมา ท่านเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สำคัญตรงนี้นะ วัดไหน ๆ มาค้างที่นั่นแหละ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นอย่างนี้ อยู่สกลนครก็เข้ามาค้าง ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์อ่อน เราไปอยู่เรื่อย แล้วยิ่งมีงานในวัดโพธิฯ ด้วยแล้ว กรรมฐานยิ่งมาหมดเลย ท่านเอามาจนหมด ท่านมีความเคารพเลื่อมใส และสนใจปฏิบัติด้านธรรมกรรมฐานตลอดมา นั่งปั๊บลงนี้ไม่มีเรื่องโลกเลย ตั้งแต่ขณะนั่งจนกระทั่งลุกจากท่านมีแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ ธรรมก็เป็นธรรมปฏิบัติด้วย เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (31-07-2020), สุธรรม (24-07-2020)
|
#550
|
|||
|
|||
ท่านเป็นเจ้าคณะภาค แต่เวลาไปนั้นท่านไม่สนใจ พูดแต่เรื่องธรรมปฏิบัติล้วน ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘ที่เป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้ เป็นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน เป็นผู้ใหญ่ครอบไปหมด ไม่ให้มีใครมารังแก’
ท่านว่าอย่างนี้ แต่ธรรมดาก็ไม่มีใครรังแกแหละ แต่ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น นั่งปั๊บนี่พูดตั้งแต่เรื่องภาคปฏิบัติ เรื่องป่านั้นเขานี้.. ท่านเคยไปเที่ยวมาพอแล้วนี่นะ ภาวนาดีไม่ดีพระกรรมฐานสู้ท่านไม่ได้ ไปบิณฑบาตปั๊บมานี่ วางบาตรแล้วขึ้นไปไหว้พระ แล้วนั่งภาวนาก่อน จนกระทั่งได้เวลาแล้วลงมาฉัน นี่ปรกติของท่าน ฉันแล้วถ้าไม่มีแขกมีคน ท่านก็ลงไปทำวัตรเช้า พอกลับมาท่านก็ภาวนา แล้วก็พักตอนกลางวัน พอตอนบ่าย ท่านก็เดินจงกรมอยู่ชั้นบน รับแขกตอนประมาณบ่ายโมงท่านถึงจะลงมา นี่เป็นกิจวัตรของท่านประจำ พอตกกลางคืนก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธุระรับแขกรับคน ๒ ทุ่ม ท่านขึ้นแล้ว.. ขึ้นไปไหว้พระ นั่งภาวนา เดินจงกรม เราไปได้ยินเสียงกึ๊ก ๆ อยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรม นี้เป็นประจำ ท่านบอกว่า ‘เรานอนน้อยมาก เวลานอกนั้นเป็นเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งนั้น’ ฟังซินะ..พระกรรมฐานยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านสนใจจริง ๆ ภาคปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ได้ไปดู เขาเอาศพของท่าน.. เปิดโกศออกดูทุกสัดทุกส่วนขาวทีเดียว เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ที่ไม่มีกลิ่น คือเอาธูปเอาอะไรมา เวลาเปิดออกแล้วไม่มีกลิ่นเลย ธรรมดา ๆ พวกมาจากสำนักพระราชวังเขามาจัดงานศพท่าน เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ ที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เหม็น เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ นี่เป็นองค์ที่สี่ ท่านสนใจธรรมปฏิบัติตลอดเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี หลวงปู่มั่นแหละเล่าให้ฟังว่า ‘เณรจูมนี่ ต่อไปมันจะได้เป็นผู้ใหญ่นะ ดูหูมันกาง ๆ ต่อไปจะได้เป็นผู้ใหญ่ เอาไปเรียนหนังสือเสียก่อน เลยไปฝากที่วัดเทพศิรินทราวาส สอบแล้วสอบเล่า ตกแล้วตกเล่า เรียกกันว่า มหาจูมหนังสือเน่า สอบเปรียญไม่ได้สักที’ จากนั้นก็มาเป็นพระครู แล้วมาเป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี่ตลอดมา ท่านสนใจกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน แต่ก่อนไม่มีรถมีราท่านเดินเอานะ บ้านผือท่านก็ไป หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนท่านจะไป หนองผือท่านไปปีละ ๒ ครั้ง ออกพรรษาแล้วหนึ่ง และเดือนพฤษภาคมหนึ่ง ท่านเดินเข้าไป ท่านสนใจมาก ไปนั่งปั๊บนี่ไม่มีเรื่องโลกเรื่องการปกครอง เรื่องปริยัติไม่มีเลย .. มีแต่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติล้วน ๆ พูดเรื่องจิตภาวนา ท่านหนักแน่นมากทีเดียวทางด้านธรรมปฏิบัติ หนักแน่นจนวาระสุดท้าย ว่าเป็นพระปริยัติก็มีแต่ชื่อเฉย ๆ ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้นี่ เพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน ไม่ให้มารังแก ก็ไม่มีใครรังแกแหละ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านดูแล มีเรื่องอะไรปั๊บท่านเข้าถึงเลย เป็นอย่างนั้น วัดโพธิฯ นี้กรรมฐานเข้าไปค้างบ่อย ๆ แหละ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ จากนั้นแล้วก็ไม่ได้ไป เราเองก็ไม่ได้ไป ไปก็ไปชั่วคราวไม่ได้ค้าง แต่ก่อนพระกรรมฐานผู้ใหญ่ ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ใครต่อใครผู้ใหญ่ ๆ แหละ..มา ยิ่งมีงานแล้วเอามาหมด..กรรมฐาน มาท่านก็บอก นี่ใครจะกราบจะไหว้ก็มากราบมาไหว้เสีย พระเหล่านี้เป็นพระสำคัญทั้งนั้น นาน ๆ จะได้พบท่านทีหนึ่ง มีงานทีหนึ่งพระกรรมฐานท่านเอามาหมด แล้วประชาชนเขาก็ได้ทำบุญให้ทานกับท่าน ท่านบอกตรง ๆ เลย ‘เอ้า.. ให้พากันทำบุญให้ทานเสียนะ พบพระอย่างนี้มันพบยากนะ’ ท่านพูดอย่างนี้แหละ เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แล้วพระกรรมฐานมาค้างบ่อย ท่านไปเอามาจนได้ ไม่มีงานก็ไปเอามา อย่างเรานี้ไปเรื่อย บางทีท่านมาเอาเอง ท่านมาเองเลย คิดดูซิ ถ่ายรูปที่ต้นโพธิ์ทางทิศเหนือของวัด นั่นละ..นั่งเป็นวงกลมถ่ายรูปเจ็ดแปดองค์หรือไง เราผอม ๆ นั่นก็เราป่วยนะ เรากำลังป่วยอยู่นี้ท่านมาเอาเอง เราบอก ‘กำลังป่วยเป็นไข้’ ‘เออ.. ไม่เป็นไรแหละ ไปนู่นมันหายเอง’ แล้วเอาไปเลย เราจึงผอม ๆ พระกรรมฐานมาอยู่ที่นั่นเรื่อย ๆ แล้วชุ่มเย็นไปหมดนะ ทางภาคอีสานวงกรรมฐาน ท่านไปเที่ยวซอกแซกทุกแห่ง วัดไหนสำคัญ ๆ ท่านไปหมด ท่านชอบวงกรรมฐานมากที่สุด ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นประจำเลย ไปนั่งปั๊บนี่มีแต่เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องภาคปฏบัติ ไม่มีเรื่องการปกคงปกครอง ปริยัติอะไรไม่มีเลย เรื่องโลก เรื่องสงสารไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติล้วน ๆ นั่งนี่สองสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุก โธ่.. เราเจ็บเอวเกือบตาย..นั่นละ ไปทีไร.. ฟังท่านนั่งคุยธรรมะ ท่านก็เพลินของท่าน เราดูอาการก็รู้ ท่านเพลินในธรรมทั้งหลาย ท่านพูดด้วยความเพลินในธรรม เมื่อเห็นครูบาอาจารย์มาหาท่าน ฝ่ายกรรมฐานมามาก ๆ ท่านยิ่งรื่นเริงมากนะ ดูอาการของท่านยิ้มแย้มแจ่มใสทุกอย่าง ท่านพอใจกับวงกรรมฐานมากทีเดียว ท่านเอาแต่องค์สำคัญ ๆ แหละมา แต่ท่านเป็นนิสัยอันหนึ่ง ท่านพูดสนุกสบายธรรมดา ท่านเรียกอีตานั่นอีตานี่ ท่านไม่เรียกธรรมดา ท่านพูดสบายในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ ส่วนมากท่านเป็นอุปัชฌาย์ทั้งนั้นแหละ ว่าอีตานั่นอีตานี่ ท่านว่างั้น ท่านว่าสบายไปเลย เราผู้ฟังขบขันจะตาย แต่ท่านพูดแบบสบายไปเลย พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน ท่านพูดแบบสบายไปเลย อีตานั้นอีตานี่ ไม่ได้ยินท่านว่า ‘อีตา’ ตั้งแต่เราหนึ่ง กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ขาว สามองค์ .. เราคอยฟัง อีตานั่นอีตานี่ไม่เคยออก ท่านฝั้น ท่านขาว มหาบัว นอกนั้นอีตาทั้งนั้นแหละ ท่านเรียกอีตาติดปากท่านเป็นนิสัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (31-07-2020), สุธรรม (24-07-2020)
|
#551
|
|||
|
|||
พอมาพูดตอนนี้แล้วท่านขึ้นเทศน์ ตามธรรมดาดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิฯ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า นิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊กเลยใจเรา...”
คราวหนึ่งท่านเจ้าคุณได้แสดงธรรมที่ศาลาวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ทำให้ท่านรู้สึกสะดุดใจในทันที และคิดว่าจะต้องแอบหาโอกาสเข้ากราบเรียนถวายท่านเจ้าคุณในทันที เพราะเป็นประเด็นหัวข้อธรรมที่สำคัญมาก เมื่อท่านเจ้าคุณลงจากธรรมาสน์ ท่านจึงรีบเดินตามในทันที ก็พอดีท่านเจ้าคุณก็ชวนขึ้นด้วยเช่นกันว่า “ไป.. บัวไปด้วยกัน” ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “... (ครั้งนั้น) ท่านขึ้นเทศน์ตามธรรมดา ดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิสมภรณ์ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า ‘นิพพานเป็นอนัตตตา’ ตอนนั้นเราสะดุดใจกึ๊กเลย พอไปถึงก็ซัดกันเลยระหว่างพ่อกับลูก ‘ต้องขอประทานโอกาสพระเดชพระคุณ ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา จะเป็นอนัตตาอย่างไร อนัตตาเป็นทางเดินของพระนิพพานต่างหาก จะมาเรียกพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาได้อย่างไร ? อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน นิพพานจะมาเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ ถ้าอันนี้ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงพระนิพพาน อันนี้สมบูรณ์แบบแล้ว..สลัดปั๊วะ ถึงนิพพานเลย’ ท่านนิ่งเลยนะ นี่ละ..อุปัชฌาย์กับลูกศิษย์สนทนากัน เราก็เด็ดด้วย..เพราะผิดมาก ท่านนิ่งเงียบ คือผิดต่อความจริงอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ถึงเบิกออกทันที...” เกี่ยวกับความเห็นในหัวข้อธรรมเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒ ข้อธรรมในประเด็นนี้ เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงชาวพุทธ ฝ่ายปริยัติและองค์หลวงตาได้กลายมาเป็นผู้ไขปัญหาให้สังคมได้เข้าใจอย่างชัดเจน ด้วยความชัดเจนทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติว่า “นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน” ดังนี้ “... พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน ... ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... มรรค ๔ นั้น ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อาหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือ นิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่องทุกขัง เรื่องอนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน... เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นหนึ่ง สองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได.. ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านแล้ว บันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว... จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ .. บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได... นิพพาน ไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่เป็นนามธรรมที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลัก ธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว ... เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่า นิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละ..เป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั่น จิตต้องปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน.. อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้ หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น.. เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้...” ความเคารพที่องค์หลวงตามีต่อพระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น นอกจากจะแสดงออกด้วยการไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ ตามแต่พระอุปัชฌาย์จะบอกกล่าวมาแล้ว ท่านยังตอบแทนพระคุณด้วยการจัดแพทย์ชั้นหนึ่งจากโรงพยาบาลศิริราชมาถวายการรักษาอีกด้วย ซึ่งก็คือ ศ.นพ. อวย เกตุสิงห์ และ ศ.พญ. ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ นั่นเอง เนื่องจากองค์หลวงตาเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์แรกของ นพ. อวย เกตุสิงห์ ท่านจึงได้ขอร้องให้คุณหมอทั้งสองรับภาระดูแลพระอุปัชฌาย์ ซึ่งอาพาธมาช้านานที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นคุณหมอจึงได้นำท่านเจ้าคุณมารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชต่อไป โดยปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าคุณทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งหายและกลับจังหวัดอุดรธานีได้ และด้วยเหตุนี้ ภายหลังท่านเจ้าคุณจึงได้แนะนำให้ ม.ร.ว. ส่งศรี เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด โดยเมตตาอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ เพราะสมัยนั้นการเดินทางยังยากลำบากอยู่มาก หลังจากนั้นคุณหมอทั้งสองจึงรวบรวมคณะได้ ๗ คน และนัดหมายกับท่านเจ้าคุณเดินทางไปวัดป่าบ้านตาดตามความประสงค์ต่อไป การทัวร์วัดป่าบ้านตาดในคร้งนี้ ถือเป็นการทัวร์ธรรมะวัดกรรมฐานคณะแรกเลยทีเดียวก็ว่าได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (31-07-2020), สุธรรม (24-07-2020)
|
#552
|
|||
|
|||
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
คราวหนึ่งองค์หลวงตามีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้เข้ากราบหลวงปู่แหวน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่อีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเช่นกัน จากการสนทนาในครั้งนั้น ทำให้ท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพบูชาว่า “... ท่านอาจารย์แหวนองค์หนึ่ง สามารถแก้ได้ตลอดทั่วถึงทางด้านจิตใจ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เอาเรื่องกับใครแล้ว ประการหนึ่งก็ไม่มีใครไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านขี้เกียจยุ่งกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ท่านก็อยู่สบาย ๆ ลองมีผู้มีภูมิจิตภูมิธรรม มีความรู้ความเห็นต่าง ๆ ทางด้านปฏิบัติไปเล่าให้ท่านฟังดูซิ ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงท่านจะไม่ขึ้นปึ๋งปั๋ง ๆ เพราะท่านอยู่กับธรรมเท่านั้น ถึงไม่ติดธรรมท่านก็อยู่กับธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ ... พอเข้าไปมีพระอุปัฎฐากท่านอยู่องค์เดียว เราเข้าถึงปุ๊บในห้องท่านเลยละ พวกนั้นให้เขารออยู่ข้างนอกเต็ม ไปก็เอาเลย เพราะจะเข้าหาท่านทีไรจะพูดธรรมะ โดยเฉพาะไม่มีเวลาคนรุม ๆ คราวนี้เลยได้อุบายใหม่ มาก็ตกลงกับเขาเรียบร้อย ให้อาตมาเข้าไปหาท่านเสียก่อนนะ เข้าไปคุยกับท่านพอสมควรแล้วจะออกมาแล้วให้สัญญาณ ได้เข้าเฝ้าท่านแหละวันนี้ ..พอใจ..พอว่าเขาก็แตกฮือกลับเลย เราก็เข้า..เข้าก็ฟัดกันเลย เราลืมเมื่อไร ก็มันเตรียมพร้อมใส่กันอยู่แล้ว ขึ้นเบื้องต้นปัญหาปุ๊บเข้าไปเลยทีเดียว ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาภาคปฏิบัติภายในจิตใจโดยเฉพาะ ค้นหาคัมภีร์ไหนก็ค้นเถอะน่ะ คัมภีร์ใหญ่คือหัวใจเท่านั้น.. ที่จะได้ธรรมเหล่านี้ออกมา พอเข้าไปหาท่านใส่ปั๊บทีเดียวละ เอาแต่ปัญหาจุดสำคัญ ๆ นะ คือนี้จะบอกในตัว ท่านตอบนี้แล้วก็แสดงว่าท่านรู้ไว้แล้ว ท่านก็จะรู้ทันทีว่ารู้แล้ว ไม่รู้จะถามปัญหาอย่างนี้ไม่ได้ มันบอกในตัวเสร็จเลย เบื้องต้นปั๊บเข้าไป ๑๐ นาที ท่านก็ผางออกมา ๑๐ นาที เข้าใจหมด พอท่านหยุดหายใจใส่เข้าอีกปั๊บ เพราะเราหายสงสัยแล้วนี่ คราวนี้เอาใหญ่เลย ถึงรากใหญ่ของวัฏจักร คราวนี้ ๔๕ นาที เหมือนว่าท่านไม่ได้หายใจเลยนะ ธรรมถึงใจท่านเรียกว่าถ้าเป็นน้ำก็น้ำถังใหญ่ ๆ ที่สะอาดสุดยอด ไม่ควรจะนำไปใช้สอยชะล้างสิ่งใดเลย.. น้ำถังใหญ่ท่าน พอเข้าไป เรามันพระขี้ดื้อ ไปก็ไขก๊อกเลย เปิดก๊อกไว้เลย น้ำก็พังออกมา ซัดกันใหญ่ ประโยคที่สองนี่ ๔๕ นาที ประโยคแรก ๑๐ นาที โอ้.. ตัวแดงหมดนะ ไม่เคยมีใครจะเปิดหรือไขก๊อกนี้เลย หมายถึงว่าน้ำอรรถน้ำธรรมที่สะอาดสุดยอดของท่าน เก็บไว้อย่างนั้นตลอด ใครไปก็เหรียญหลวงปู่ เหรียญเราสู้หลวงปู่ ขอท่านก็เอา ๆ ถังใหญ่ไม่มีใครไปแตะ เราไปใส่ปั๊วะเลยเชียว ปั๊วะท่านก็ผางออกมาเลย ครั้งแรก ๑๐ นาที เราเข้าใจแล้ว พอท่านหยุดหายใจ.. เราก็ปั๊บเข้าอีกเลย คราวนี้โอ๋ยไปใหญ่เลย .. ตัวแดง ท่านไม่เคยมีใครไปถามอย่างนั้น เปรี้ยง ๆ ๆ .. ออกเต็มเหนี่ยวเลย พอใจ ท่านพอใจเต็มที่ เราก็พอใจเต็มที่ พอเสร็จแล้ว ท่านใส่อย่างท้าทายเลย ‘เอ้า ! ที่พูดมาทั้งหมดนี่น่ะ ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหน เอ้า..ท่านมหาค้านมา’ ‘กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมประเภทนี้แหละ’ ฟังเสียงหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ ‘เออ.. ท่านองค์นั้นล่ะ ได้คุยกันแล้วยัง อาจารย์องค์นั้นล่ะ ๆ ระบุชื่อ ๆ เลยนะ ธรรมะประเภทนี้น่ะ ได้คุยกับอาจารย์องค์นั้น ๆ แล้วยัง’ ความหมายว่าอย่างนั้น คือธรรมประเภทนี้น่ะ ความหมายว่าอย่างนั้น เราก็กราบเรียนท่านพอประมาณ ๆ ให้พอเหมาะพอดี ตัวท่านแดงหมดเลยละ คือไม่มีใครไปถามธรรมะประเภทนี้ ท่านก็เก็บไว้ในถังใหญ่อย่างนั้นละะ ใครไปก็ขอเหรียญเราสู้ เหรียญอะไรต่ออะไร ที่ถามที่ตอบกันนี้มีแต่แก่นธรรมออกจากภาคปฏิบัติ เราจะไปหาในคัมภีร์ไม่เจอ ต้องหาในคัมภีร์ใหญ่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่ พระสาวกอรหันต์เป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่.. ปั๊บลงตรงนั้นละได้ความออกมา เอากันวันนั้นก็เอากันอย่างนั้นละ นั่นแหละ..ที่ว่าเพชรน้ำหนึ่ง เมื่อเข้าถึงกันลงถึงขีดเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านอาจารย์องค์นี้ได้ลงถึงขีดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ใครจะไปหาเรื่องหาราวว่า ท่านเป็นสังฆปาราชิก.. เฉย ไม่สนใจ หลักใหญ่เข้าถึงกันแล้ว ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 30-07-2020 เมื่อ 21:59 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (29-07-2020), สุธรรม (28-07-2020)
|
#553
|
|||
|
|||
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
หลวงปู่ขาวเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง ในสมัยหนุ่มท่านมีนิสัยอาจหาญ ทรหดอดทน และจริงจังในการบำเพ็ญเพียรมาก ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทั้งทางภาคอีสานและเหนือ กระทั่งได้กำลังครั้งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ องค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงประวัติของหลวงปู่ขาวขึ้น เพราะมีโอกาสได้ซักถามพูดคุยข้ออรรถธรรมที่ลึกซึ้งกับท่าน คราวหนึ่งของการเทศน์อบรมพระภายในวัด ท่านพูดถึงการสนทนากันในครั้งนั้นว่า “... ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น.. เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน.. เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไป องค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามา ๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบาย ๆ ท่านสั่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป.. ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริง ๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ ... นี่เคยพูดกันตั้งแต่นู้น นี่ก็ไม่เคยพูดกันอีกนะ ตั้งแต่ไปอำเภอหนองบัวลำภู คุยกันสนุกสองต่อสอง ... พอสองทุ่มไปในงาน เราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด .. ๒ ทุ่มเริ่มจนกระทั่ง ๖ ทุ่ม .. ท่านให้เราพูด เราก็พูดให้ฟัง ท่านเป็นผู้ฟังนี่นะ เริ่มแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยทุกกิทุกกีเป็นยังไง ๆ ว่าไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งหมดความสามารถของเราแล้ว ... เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด .. เราก็มอบถวายท่านเลย บอกว่า ‘ท่านอาจารย์อย่าผูกเป็นความเกรงใจกระผม ถ้าติดหรือขัดข้องตรงไหน มันไม่ถูกตรงไหน ขอให้ท่านอาจารย์บอกกันอย่างตรง ๆ เอา.. ฟาดให้เต็มที่เลย ผมหมดความสามารถเท่านี้แหละ ถ้าติดก็ติดอย่างตายใจเลย แบบไม่สนใจจะแก้เลย ขนาดนั้นแหละ หลงก็หลงขนาดนั้นแหละ’ แต่ท่านก็ไม่พูดมากนะ เราก็ไม่ลืม นี่สรุปเอาเลยนี่นะ คุยกันมาตั้งแต่ ๒ ทุ่มจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม เราเดินมาถึง ๕ ทุ่ม เรื่องของเรา เรื่องของท่านมีเพียงชั่วโมงเดียว ไม่ถึงชั่วโมง พอพูดของเราเสร็จลงแล้ว มอบลงแล้วไม่ให้ท่านผูกเป็นความเกรงอกเกรงใจไว้ว่าผมเป็นมหาเปรียญ หรือได้เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเป็นยังไง ไม่เป็นปัญหาที่จะมากีดกัน ท่านอาจารย์ไม่ให้พูดด้วยความสะดวกไม่ได้ ไม่ต้องเอาเป็นอุปสรรค ท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นเลยว่า ‘ยอมรับทุกอย่างล่ะ สิ่งที่มันสุดวิสัยผมแล้วไปแล้ว’ ‘ผมก็พูดกราบเรียนได้เพียงเท่านี้ แค่นี้ล่ะ ถ้าหากว่าติดก็ติดแบบเจ้าของ ไม่มีความสนใจจะแก้ ไม่รู้ขนาดนั้นล่ะ ไม่รู้จนกระทั่งมันไปถึงไหนนั่นแหละ ติด ติดอยู่ตรงไหนนั่นแหละ ไม่รู้เลย ถ้าว่านอนตาย ก็นอนซะเลยเหตุเลยผลโน่นแหละ’ จากนั้นท่านก็พูดมา ท่านพูดเอาเฉพาะเคล็ดนะ ‘เออ.. การปฏิบัติทางจิตนี้ มันก็มี ๒ เคล็ดที่สำคัญ กามราคะ ๑ อวิชชา ๑ ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ท่านมหาก็พูดมาหมดแล้ว ไม่มีที่ข้องใจสงสัย เป็นอันว่าถูกต้องเข้ากันได้ทุกอย่าง’ ท่านก็เลยรวบเอาเลย ‘ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านมหา ไม่มีอะไรเป็นข้อขัดแย้งกัน อุบายวิธีพิจารณากว้างแคบนั้น มันเป็นแต่อุบายของแต่ละคน ๆ แต่ว่าสำคัญที่จิตที่รวมมันเหมือนกัน’ ท่านสรุปเอาอย่างงั้นเลย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 30-07-2020 เมื่อ 22:00 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (29-07-2020), สุธรรม (30-07-2020)
|
#554
|
|||
|
|||
พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้..นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น ‘มันใครนี่น่ะ’ ‘ดิฉัน’
‘ชื่อว่ายังไง’ ‘ยุวดี’ ‘มาตั้งแต่เมื่อไร’ ‘มาแต่สองทุ่ม’ โอย.. หมดตับเลย แล้วก็ไปโม้ข้างนอก ‘อู๊ย.. ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่’ ‘ใคร ๆ’ ‘ยุวดี’ ‘มาจากไหน’ ‘มาในงานนี้แหละ’ ‘มาแต่เมื่อไหร่มาที่นี่’ ‘มาแต่สองทุ่ม’ ‘หมดตับ’ เราก็ว่างี้ มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย.. ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ..ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจ ซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้..เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟังที่อำเภอแม่แตงหรืออะไร เชียงใหม่ ท่านบอกว่า ‘ไปเป็นอยู่ที่โรงขอด’ เราก็บอกตรง ๆ เลย.. เราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน.. รื่นเริงบันเทิงกันเพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติ.. ผิดที่ไหนจะรู้กันทันที ๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลยเวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่ เราก็ว่างั้น ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ.. ตายใจแหละ..ท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อ ๆ นิดหน่อย เพราะอะไร ๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อ ๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำ ไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเอง ๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้า ๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า ‘โรงขอด’ เราก็เล่าถวายท่านว่า ‘ที่วัดดอยธรรมเจดีย์’ เวลาท่านจะจากที่นั่นไป ‘มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น’ เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ‘เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์’ ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2020 เมื่อ 07:35 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (31-07-2020)
|
#555
|
|||
|
|||
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
หลวงปู่ฝั้นเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นที่องค์หลวงตาได้มีโอกาสเข้ากราบเยี่ยมและสนทนาธรรม ดังนี้ “... หลวงปู่ฝั้นท่านเตรียมพร้อมมาแล้ว ตั้งแต่หลังจากถวายเพลิงหลวงปู่มั่น เพราะท่านเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่นั่น คอยดูการงานทุกอย่าง ทุกข์ลำบากขนาดไหนก็ทนเอา ทนเพื่อครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พองานเสร็จแล้ว ท่านก็สลบไสล เราก็รีบมา ท่านก็เล่าให้ฟังต่อหน้าต่อตาเลยนะ พยายามจะเข้าหาท่าน โดยเฉพาะจะพูดอรรถพูดธรรม ให้ถึงเหตุถึงผลต่อกันโดยเฉพาะ.. ไม่มีเวลา เพราะท่านมีลูกศิษย์ลูกหาไม่มาก..ก็พระเณรอยู่นั่น เราจะพูดเฉพาะกับท่านในธุระอันสำคัญ ๆ ไม่มีเวลาจะพูด แล้วพอดีท่านพูดให้ฟังเอง ที่มันชัดเจนนะ ท่านเล่าให้ฟัง ท่านจะสลบไสลมาจากวัดสุทธาวาส พยายามอุตส่าห์ตะเกียกตะกายงานของหลวงปู่มั่นให้เสร็จ เจ้าของเป็นยังไงก็ทนเอา พองานเสร็จปั๊บท่านก็ออกเลย พอมานี้จิตมันเพียบเต็มที่แล้ว ทั้งอยากพักผ่อน ร่างกายก็เพียบเต็มที่ มาก็เข้าที่เลย ท่านเล่าให้ฟัง เวลานั้นมีพระอยู่สององค์ เวลาเราจะพูดกันแบบถึงพริกถึงขิง เหมือนกับว่าการตบการต่อยการหาความจริง..เข้าใจมั้ย เราก็ไม่อยากให้พระทั้งหลายได้ฟัง เพราะระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดกันเฉพาะสองต่อสอง ถ้าควรตำหนิก็เอากันตรงนั้น ควรชมกันตรงไหนก็เอากันตรงนั้น ทีนี้ก็มีพระอยู่นั่นสององค์สามองค์ จะคุยอะไรกับท่านโดยเฉพาะ ถามท่านโดยเฉพาะก็ไม่มีเวลา ท่านก็มาเล่าให้ฟังเสียเอง เหตุที่จำเงื่อนได้ ท่านมาเล่าขั้นที่มาถึงวัดแล้ว ‘มันจะสลบไสล จิตเข้าของมันเลย มันจะไป มันจะไม่อยู่ พอจิตรวมเข้ามาถึง เหลือแค่ความสว่างไสวจ้าอยู่ภายใน’ ท่านก็พูดตามเรื่องของท่าน แต่เราก็นั่งฟังอยู่นี่ เพราะตั้งตาอยู่แล้วที่จะต่อยกัน แต่นี่ไม่มีโอกาส ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นอาจารย์ เราก็เป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กับครูต่อยกัน..ฝึกซ้อมกันเป็นอะไรไป ตั้งแต่นักมวยเขายังฝึกซ้อมกันใช่มั้ย นี่ลูกศิษย์กับครู..เวลาจะเอากันถึงพริกถึงขิงก็ต้องเอากันอย่างนั้น พอท่านเล่าถึงนี่ให้ฟัง ถึงขั้นที่จิตมันจะไป จิตมันหดเข้ามาหมด ยังเหลือความสว่างไสวภายในใจจ้าอยู่นี้ สว่างจ้ามันจับได้แล้ว.. ทันทีทีเดียวไม่ต้องพูดมาก จะไปถึงจุดที่เราต้องการอยู่แล้ว.. ที่จะกราบเรียนถามให้ท่านเล่าเรื่องธรรมเหล่านั้นให้ฟัง พอดีท่านก็บอกว่า ‘จิตมันรวมเข้าไปแล้ว มันมาอยู่นี้ ผ่องใสแจ๋วอยู่ในนี้ แสงใสแจ๋วนี่ก็จ้าออกจากความผ่องใส จิตสว่างไสว’ ทางนี้มันก็ขึ้นทันที เห็นมั้ยล่ะ..นี่ละธรรม ไม่ได้พูดว่าเคารพหรือไม่เคารพ ธรรมเหนือกว่าความเคารพเป็นไหน ๆ พอท่านพูดทางนั้น ทางนี้ก็ขึ้นรับทันที พอท่านพูดว่าถึงจุดนี้เป็นความสง่าผ่องใสจ้าอยู่นี้เลย ทางนี้แทนที่จะชม ไม่ได้ชม ‘ยังตายอยู่นี่เหรอ นึกว่าผ่านไปถึงไหนแล้ว’ มันตอบกันภายในใจ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2020 เมื่อ 07:37 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#556
|
|||
|
|||
เราเสียดาย เราอยากจะพูดกับท่านสักคำ พอพูดอีกสักคำถวายธรรมะ ท่านจะขึ้นทันทีไม่นาน แต่มันก็เสียดายที่พระไปยุ่ง..ไม่ได้พูดถึงพริกถึงขิง แต่ยังไงก็ตาม เราก็ถือเอาความแน่นอนว่า จิตนี่เข้าถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ จะพุ่งเลย เป็นแต่เพียงช้ากับเร็ว แต่ที่เรื่องที่จะถอยไม่มี มีแต่เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ถ้ามีผู้แนะปั๊บจะเร็วนะ ผึงเลยทันที ถ้าไม่มีผู้แนะก็ไป ไปตามลำดับเอง นี่ก็ไปแต่จะช้า
นี่ถึงจุดนี้ที่ท่านว่าใสแจ๋ว สว่างจ้า แทนที่จะชมไม่ได้ชม ยังนอนตายอยู่นี่เหรอ ฟังสิ มันขึ้นรับกัน เสียดายไม่ได้ถวายเดี๋ยวนั้น พระก็อยู่ที่นั่น ทำยังไงนะ เวลาพูดกับสมาคมก็ต้องมีสูงมีต่ำธรรมดาอย่าพระจิตคุปต์นั้นน่ะ.. นี่ล่ะ ผู้ที่บอกตามหลักความจริงจะไม่ช้า ท่านเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น หลังจากที่พระจิตคุปต์ได้ฟังอุบายจากลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แนะเท่านั้น ท่านก็เข้าใจแล้ว ทางจะก้าวเดิน เห็นมั้ยล่ะ..ธรรมะ ถ้าผู้ไม่รู้เปิดไม่ได้นะ เราไม่ได้ยกตนข่มท่าน ครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ฝั้นนี่ เราเคารพเทิดทูนท่านมากที่สุด ทั้งรักทั้งเคารพท่าน แต่เรายังเสียดาย ยังมาพูดอย่างนี้ให้เราฟัง ‘จิตมันรวมเข้ามานี่.. มันสว่างจ้าอยู่ จุดผ่องใสแจ๋ว’ เท่านั้นจับได้แล้ว เพราะฉะนั้น มันต้องพุ่งออกมาทางนี้ มันไม่ได้ว่าธรรมดานะ การที่จะจมอยู่ในกองทุกข์ ที่จะดึงขึ้นมีคุณค่าขนาดไหน ทำไมจึงมาตายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นี่เราแน่นอน หลังจากนั้นมาอีก ตั้งแต่ ๒๔๙๒ – ๒๕๒๐ ปี ๒๔๙๓ เผาศพหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นมาเล่าให้ฟังตอน ๒๕๐๖ วันที่ท่านเล่ากับเรา เป็นวันที่เราไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา เราจึงถือโอกาสจะไปเรียนถามธรรมะท่านโดยเฉพาะ ... จาก ๒๕๐๖ มาถึงปี ๒๕๒๐ ปีที่หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เป็น ๑๔ ปีผ่านได้ เพราะอันนี้จะออก.. นี้จะพุ่งเลย ให้ไปทางอื่นไม่มี มีแต่จะพุ่งเลยถ่ายเดียว เป็นแต่ว่าชักช้าขาดผู้นำ คือผู้แนะ ถ้าผู้แนะมีความรู้เหนือกว่าแล้ว แนะแล้วพุ่งเลย.. ยังไงก็พ้นแน่ เราจึงเชื่อเลยว่า จากนั้นมา ๑๔ ปีท่านต้องผ่านได้แล้ว ทีนี้เขามาเล่า.. อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว เราเชื่อทันทีเลย ก็เป็นเวลา ๑๔ ปี เราพูดด้วยความเทิดทูน...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2020 เมื่อ 21:40 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
เด็กบางบัวทอง (31-07-2020), สุธรรม (31-07-2020)
|
#557
|
|||
|
|||
หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย
หลวงปู่คำดีเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่ง ที่น่าเคารพบูชากราบไหว้อย่างสูงสุด ในสมัยบำเพ็ญเพียรท่านก็เป็นพระที่มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลส สมัยต่อมาเมื่อท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีเมตตาสูง ไม่ถือเนื้อถือตัว ด้วยท่านเคารพบูชาในอรรถธรรมสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด ท่านมีอายุพรรษามากกว่าองค์หลวงตาหลายปี พระเณรลูกศิษย์ลูกหาของท่าน.. มักจะได้ยินท่านพูดปรารภถึงองค์หลวงตาอยู่เสมอ ๆ ถึงแม้ว่าหลวงปู่คำดีจะไม่ดุศิษย์คนใด แต่ท่านมักยืมองค์หลวงตามาพูดขู่ ขนาบพระเณรในวัดของท่านเองเสมอ ๆ ท่านเคยบอกกับองค์หลวงตาว่า “ผมไม่ดุใครนะ ถ้าว่าผมจะดุ.. ผมก็ยืมท่านมหามาดุ” และเวลาที่ท่านพูดก็จะพูดขู่พระเณรในวัดว่า “พระวัดนี้นะ ถ้ากับท่านมหาบัว พวกนี้แตกกระเจิงหมดเลยนะ อยู่กับท่านไม่ได้นะ” หรือ “อยู่อย่างนี้.. อยากให้ไปอยู่กับท่านมหาบัว อย่างมากไม่เลย ๓ วัน ถูกขนาบออกจากวัดหมดเลย ไอ้เพ่น ๆ พ่าน ๆ อยู่นี้น่ะ” เป็นต้น นอกจากนี้ท่านพูดถึงเสมอเวลาเทศน์สอนพระ วันไหนประชุมถ้าไม่ขึ้นต้นท่านก็เอาตอนปลาย มักจะยกเอาองค์หลวงตามาพูดเรื่อย ด้วยเหตุนี้เอง ลูกหลาน พระเณร ศิษย์ หลวงปู่คำดีจึงมีความรู้สึกเคารพ สนิทสนมและผูกพันกับองค์หลวงตา เสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกันโดยปริยาย และแม้สำหรับองค์หลวงตาเอง ท่านก็ให้ความเมตตาต่อลูกหลาน พระเณร ที่วัดถ้ำผาปู่นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อโอกาสอำนวยคราวใด ท่านไม่เคยลืมที่จะแวะไปเยี่ยมเยียน พร้อมขนเครื่องจตุปัจจัยไทยทาน ข้าวสาร อาหารต่าง ๆ ไปให้ และเทศนาสั่งสอนพระเณร เพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ๆ เป็นระยะ ๆ ไป ที่น่าแปลกใจคือ หลวงปู่คำดี ท่านจะกล่าวถึงองค์หลวงตาไม่เพียงเฉพาะกับพระเณรเท่านั้น ศิษย์ฆราวาสผู้หลักผู้ใหญ่กระทั่งอย่าง ฯพณฯ ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี หลวงปู่ก็ยังเคยปรารภฝากความระลึกถึงกับท่าน ดร.เชาวน์ไปถึงองค์หลวงตาด้วยว่า “ฝากความระลึกไปถึงท่านมหาบัวด้วยนะ ท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมานะ” มีเทศนาอบรมพระขององค์หลวงตาบางตอน ที่ท่านกล่าวพูดยกย่องถึงคุณธรรมและความกล้าหาญของหลวงปู่คำดีในสมัยปฏิบัติ คราวหนึ่งของการแสดงธรรม พูดถึงเหตุการณ์ในระยะก่อน ๆ นั้น ได้เคยพบกับหลวงปู่คำดีอยู่เรื่อย ๆ ในที่ต่าง ๆ ที่นั่นบ้านที่นี่บ้าง จากนั้นหลวงปู่คำดีได้กล่าวชมเชยท่านในการแสดงธรรมเรื่องการแจงขันธ์ ๕ ดังนี้ “การพบกับท่าน (หลวงปู่คำดี) เคยพบกันอยู่เรื่อย ๆ ท่านมาอยู่วัดหนองแซง นี่ก็เคยพบกันอยู่เรื่อย ท่านเลยพูดถึงเรื่องว่าการแจงขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีใครแจงได้ละเอียดลออมากยิ่งกว่าท่านมหา ท่านอ่านหนังสือ แว่นดวงใจ*๑ จบหมดเลย” ============================== *๑ “แว่นดวงใจ” เป็นหนังสือพระธรรมเทศนาโดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2020 เมื่อ 21:42 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#558
|
|||
|
|||
เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อองค์หลวงตาเดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ ซึ่งบังเอิญพอดีกับที่หลวงปู่คำดีได้จุดธูปนิมนต์ขอให้องค์หลวงตาเดินทางมา ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ ดังนี้
“... มันแปลกอยู่นะ คือท่าน (หลวงปู่คำดี) เดินจงกรมอยู่ ท่านอยู่กุฏิท่าน ๒ ชั้น พอดี ๔ ท่านลงมาเดินจงกรมอยู่ข้างใต้... ที่นี้เวลาเดินจงกรมอยู่ ติดปัญหาละซิ โอ๋ย.. มันเหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มลงไปเลย ปัญหามันขวางใจท่าน ‘เอ ! ทำยังไงก็แก้ไม่ตก ๆ มองหาใครไม่เห็น’ .. นี่ละ..ท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านพูดอย่างภาคภูมิใจท่านเสียด้วยนะ เวลาได้พบกันแล้ว.. ไม่มองเห็นใครเลยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเคยคุยธรรมะกันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยธรรมะกับท่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ละซิ ท่านไปติดปัญหาขึ้นทางใจของท่าน กำหนดหาครูบาอาจารย์องค์ใด.. พระองค์ใดไม่สัมผัสใจเลย จิตมันดิ่งหาแต่ท่านมหาองค์เดียว จิตมันดิ่งมาหาเรานี้องค์เดียว นอกนั้นไม่ไปไหน ดิ่งมาองค์เดียว แล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บออกจากทางจงกรมเลย ... มาจุดธูป มีแท่นพระอยู่ชั้นล่าง ข้างบนเราไม่ได้ขึ้นไป ท่านมาจุดธูปเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเสร็จแล้ว ... ก็กล่าวว่า ‘ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน’ เราว่า ‘โอ๊ย.. ทำไมครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้’ ท่านว่า ขอให้ผมพูดเต็มหัวใจผมเถอะ ว่าอย่างนั้น...” เรื่องนี้ภายหลังทราบจากคนรถที่คอยอุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงตาว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น แกได้รับคำสั่งด่วนจากองค์หลวงตา ให้รีบเข้าไปที่วัดป่าบ้านตาดในเวลา ๑๑ โมงวันนี้ องค์หลวงตาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “... พอดีตอนสายมา มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ พอเช้าวันนั้นขึ้นมาตอน ๑๑ โมง มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ เราก็สั่งให้ไปในตลาดเลย ร้านชวลิต ให้นายบุญขับรถมาหาเราเดี๋ยวนี้ ‘เราจะไปถ้ำผาปู่ ไปเดี๋ยวนี้นะ’ เขาก็บึ่งรถมาเลย มาก็ไปแบบรีบด่วนแต่ไปแบบรีบบ้าเราต่างหาก ตามประสาเรานะ พอไปก็ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่ง ยังเป็นห่วงเพราะท่านอาจารย์ชอบคุ้นเคยกัน เลยไปแวะวัดท่านอาจารย์ชอบเสียคืนหนึ่ง ออกจากนี้ก็ไปค้างที่อาจารย์ชอบคืนหนึ่ง เช้าวันหลังจึงไปหาท่าน... พอถึงวัดถ้ำผาปู่ พอทราบว่าท่าน (หลวงปู่คำดี) พักแล้ว เราบอกพระว่า ‘อย่าไปกวนท่านนะ วันนี้ผมจะพัก ไม่กลับ.. ผมจะค้างกับท่าน อย่าไปกวนท่านนะ ผมจะไปหาที่พักก่อน พอได้เวลาแล้วจะมาหาท่าน เวลานี้ท่านยังพักอยู่’ เขาปิดประตูเงียบ พอเรามานี่.. พระองค์นั้นแอบไปทางด้านหลังไปบอกหลวงปู่คำดี พอทราบท่านจึงรีบออกมาโดยเปิดประตูเหล็กเลื่อน เรียก ‘ท่านมหา ท่านมหาอยู่นี่เหรอ ?’ โบกมือเรียก เราเลยดุพระว่า ‘ไปรบกวนครูบาอาจารย์ทำไม ? ท่านองค์นี้น่ะ..ก็จะคุยอยู่แล้วนี่นะ’ พอไปถึงแล้ว ท่านพูดว่า ‘โฮ้..มาเร็วดีนะ’ ‘เร็วอะไร ? แล้วท่านอาจารย์จะมีเรื่องคุยอะไรกัน ?’ ‘เดี๋ยวมันจะได้คุยกันแหละ’ บทเวลาได้คุยกันแล้ว ท่านถึงพูดถึงเรื่องขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน คือว่ามาโดยด่วน พอผมนิมนต์เมื่อวาน.. วันนี้ท่านก็มา วัดนี้ท่านไม่เคยมาเลย ท่านมาจะให้แน่นอนขนาดไหน.. ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ไม่เคยไปจริง ๆ นะ ไม่เคย ก็ไปวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยแหละ แต่ค้างที่วัดอาจารย์ชอบคืนหนึ่ง วันหลังท่านก็ยังบอกว่าเร็วอยู่ นั่นละ..ที่นี่ ท่านปิดประตูหมดเลยนะ ๖ โมงเย็น เราเข้าหาท่าน ๒ ต่อ ๒ เลย.. คุยธรรมะกัน ท่านปิดประตูหมด ไม่ให้ใครเข้าไป คุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม ท่านเล่าวิถีจิตของท่านละเอียด เพราะเรากราบเรียนท่านว่า ‘ยังไงท่านอาจารย์ ให้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยนะ กระผมจะฟังตามทุกระยะ ขัดข้องตรงไหน ๆ จะได้คุยกันสะดวก ๆ’ เพราะฉะนั้น ท่านถึงเปิดของท่านออกเรื่อย ๆ เราก็ฟังไป พอไปถึงจุดนั้นละทีนี้ จุดที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงท่าน ท่านโดดขึ้นมาจุดธูปอาราธนาเรา พอมาถึงจุดนี้มันเป็นอย่างนี้ ๆ ๆ นี้ละจุดสำคัญมาก อกผมจะแตก..ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าไป เล่าละเอียด พอท่านเล่าจบลงแล้ว.. เราก็ถวายธรรมท่าน พอถวายปั๊บนี้ ขึ้นดัง..โอ้ก เลยทันทีนะ..เมื่อถึงจุดสำคัญ...เหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มนะ เหมือนกับว่าถอดหลาวออก ทีนี้ก็พุ่งเลย..รู้ช่อง ‘เออ ๆ ๆ มันต้องอย่างนี้ซิ ...’ มันสะดุดใจท่านมาก ‘เออ เอาละทีนี้ รู้ช่องแล้ว’ ทีนี้เปิดโล่งแล้วยังแต่จะเข้าเท่านั้น ท่านว่านะ มันต้องอย่างนี้ ๆ ขึ้นเลย ๒ ต่อ ๒ นะ เสียงสั่นเพราะอุทาน ท่านดีใจมาก พอท่านเล่าให้ฟังเราก็รู้นี่นะ พอเล่าไปถึงจุดนั้นปั๊บ เราก็ถวายธรรมท่านข้อนั้นปั๊บ.. ท่านก็เปิดโล่ง ท่านก็บอก เออ.. ทีนี้เปิดแล้ว ๆ ยังแต่จะก้าวเท่านั้นแหละ มันต้องอย่างนี้ ๆ อุ๊ย..เสียงสั่นเลยนะ ๒ ต่อ ๒ เท่านั้นนะ บทเวลาท่านขึ้นนี้เสียงสั่นเลย..นั่นละ ขั้นนั้นแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านก็พูดเข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถวายท่าน เปิดแล้วว่างั้นเถอะ.. ท่านก็เข้าใจแล้วหมายถึงว่า เปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นแหละ ท่านบอก ‘เปิดโล่งแล้ว’ หมายความว่าท่านเข้าใจแล้ว ถ้าก้าวปุ๊บนี่เข้าเลย ความหมายก็ว่างั้น จากนั้นท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านจุดธูปมานิมนต์เรา เราเลยตอบท่านว่า ‘ผมก็มาสะเปะสะปะ มาประสาบ้าของผมล่ะ’ ‘เอาละ ประสาอะไรช่างเถอะนะ สด ๆ ร้อน ๆ นี้เอาละ’ ทีนี้พอคราวหลังนี้ไปเยี่ยมท่านอีก ก็มีคนมีญาติโยมติดตามไปด้วยอีก เราเลยต้องเขียนจดหมายย่อ ๆ เอา เขียนจดหมายย่อ คือพูดง่าย ๆ ว่า ปัญหาที่ถามนี้ ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วปัญหาที่จะตอบนี้ ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ ต้องเป็นภาคปฏิบัติเท่านั้น ปริยัติเอามาพูดไม่ได้เลย เราก็ถามท่านย่อ ๆ ข้อที่ ๑ ว่าอย่างนั้น ๆ ข้อที่ ๒ ว่าอย่างนั้น ๆ เราก็ยื่นถวายท่าน พอท่านจับได้ ท่านอ่านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อ่านยิ้มเรื่อย ๆ ยกขึ้นแล้วยื่นมาให้เรา ท่านเขียนเสียก่อนนะ เขียนตอบเรียบร้อยแล้วยื่นมาให้เรา เราก็อ่าน พออ่านแล้วเราก็เขียนแล้วยื่นไปอีก ข้อที่ ๒ ท่านก็รับแบบเดิมนั่นละ แล้วท่านก็ยิ้มเลยเทียวนะ พอตอบข้อที่ ๒ เป็นอันว่าลงจุดแล้ว.. หมดปัญหาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้คุยกันอีก เพราะตอนนั้นท่านหูหนวกแล้ว พูดกระซิบ ท่านกระซิบกับเรา เราได้ยิน ตอนนั้นหูเราไม่หนวก แต่เราจะไปกระซิบกับท่าน ท่านจะได้ยินยังไง ตกลงต้องเขียนยื่นให้ท่านตอบมา ตั้งแต่นั้นท่านบอกเป็นอันว่าหายสงสัยแล้ว มันก็เข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถามไป ถามว่ายังไง ๆ ท่านตอบตรงนั้นแล้ว ถึงท่านไม่บอกว่าหายสงสัย มันก็เข้าใจแล้ว เข้าใจไหมละ ไม่นานนะ ท่านก็มรณภาพ ก็เรียกว่าเป็นอยู่กุฏิท่านนั่นแหละ ไม่เป็นที่ไหนเพราะตอนนั้นท่านไปไหนไม่ค่อยได้แล้วแหละ ท่านอยู่กุฏิท่านเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่นที่นี่เราไม่อยากพูด เราแน่ใจที่กุฏิท่าน เพราะธรรมะนี่เป็นธรรมะที่จ่อเข้าแล้วเปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นเอง” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2020 เมื่อ 18:20 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (01-08-2020)
|
#559
|
|||
|
|||
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต ป.ธ. ๙)
วัดนรนารถสุนทริการาม กทม. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ที่องค์หลวงตานำมาเล่าเป็นตัวอย่างสอนแก่พระเณรว่า ครั้งหนึ่งท่านกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ มีธุระไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ที่วัดนรนารถฯ เมื่อไปถึงกุฏิของเจ้าคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็ผลักประตูห้องเข้าไปตามแบบคนที่สนิทสนมกันมานาน พบว่าท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ กำลังนั่งสมาธิอยู่ เจ้าคุณสมเด็จฯ แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นว่าเจ้าคุณธรรมเจดีย์อุตส่าห์เมตตามาเยี่ยมเยียน จากนั้นจึงได้สนทนากันอยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์หลวงตารู้สึกประทับใจในคำกล่าวที่เป็นคติของเจ้าคุณสมเด็จฯ ดังนี้ “... ท่านเรียกเรา ‘อาจารย์’ เรียกให้เป็นเกียรติ หรือเรียกนำบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็ได้ ท่านแก่กว่าเราดูเหมือน ๖ พรรษาหรือไง แต่ท่านเรียกติดปากว่า ‘ท่านอาจารย์’ ข้อคิดอีกข้อหนึ่งก็คือท่านพูดถึงว่า ‘ผมนี้แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตามนะท่านอาจารย์ ส่วนมากไม่ได้ฉันอาหารแบบในกรุงเทพฯ นะ อยู่ที่นี่ผมไม่ได้ฉันอาหารดิบ ๆ ดี ๆ อะไรนะ ฉันอาหารแห้ง ฉันไปวันหนึ่ง ๆ เพราะถ้าฉันอาหารดี ๆ แล้วภาวนาไม่เป็นท่า ผมจะฉันอาหารแห้ง ๆ ถ้าฉันอาหารแห้ง ๆ แล้วภาวนาดี’ ท่านให้เหตุผลมันเข้ากันได้กับที่เราฝึกเรามาแล้วนะ ถ้าท่านไม่ทำแล้ว ท่านจะพูดไม่ถูก...” คำกล่าวของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ตรงนี้ทำให้องค์หลวงตารู้สึกถึงใจกับความเป็นนักภาวนาและนักต่อสู้ สังเกตใจของท่าน เพราะองค์หลวงตาท่านทราบดีว่าผู้บำเพ็ญจิตภาวนาจำต้องมีการระมัดระวัง และคอยควบคุมสิ่งที่จะทำให้ขัดขวางต่อการภาวนาได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้องค์หลวงตาให้ความเคารพต่อท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ เสมอมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2020 เมื่อ 19:52 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (01-08-2020)
|
#560
|
|||
|
|||
สำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เองก็เช่นกัน สังเกตว่าท่านก็ได้ให้ความเมตตา และให้เกียรติต่อองค์หลวงตาอยู่ไม่น้อย ทุก ๆ ปีหากมีการทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะต้องได้นิมนต์องค์หลวงตาไปแสดงธรรมอยู่เสมอ ทุกครั้งที่องค์หลวงตามีโอกาสไปกราบเยี่ยมเยียนเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีแม้ขณะป่วยอยู่โรงพยาบาลก็ตาม ดังนี้
“... สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนารถฯ ท่านพูดคำไหนออกมา มีเป็นคำสะดุดใจทุกประโยคนะ เราอดคิดไม่ได้ ท่านเป็นเปรียญ ๙ ประโยค ชื่อท่านชื่อสนั่น ... ท่านพูดคำไหนรู้สึกสะดุดใจกึ๊กเลยนะ พอเราเข้าไปหาท่าน ท่านรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นด้วยความดีใจ ท่านกำลังคุยกับโยมอะไร พอเราโผล่เข้าไป ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีเลยนะว่า ‘โอ๊ ! พระเศรษฐีธรรมมาแล้ว พระเศรษฐีธรรมนับวันจะหายากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระเศรษฐีเงินซึ่งนับวันเกลื่อนกลาดไปหมด เศรษฐีธรรมนี้นับวันจะหายากเข้าทุกวัน แต่เศรษฐีเงินนี้นับวันจะเกลื่อนเข้าไปทุกวัน’ นั่น.. น่าคิดไหมล่ะ เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย.. เศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน ท่านพูดคำไหนออกมาทำให้คิด อย่างท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชก็เหมือนกัน หมอทางศิริราชแหละ เขาไปบอกว่า ‘สมเด็จฯ’ ท่านมารักษาตัวอยู่ที่ศิริราช’ ทีนี้พอได้โอกาสเราก็ไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปก็พอดีเป็นเวลาที่.. ปกติก็ต้องนอนนั่นแหละ นั่งมันลำบาก นี่ไปท่านนอนหันหน้าไปทางฝาโน้น เราเข้าไปทางนี้ พระขึ้นไปเหมือนหนึ่งว่าจะไปปลุกท่าน เรารีบบอกพระ ‘ผมไม่ได้มากวนท่าน ให้ท่านอยู่สะดวกสบาย จะพบท่านเมื่อไรก็ได้ เวลานี้เป็นเวลาท่านพักผ่อน ไม่ให้กวน’ คือคุยกันเมื่อไรก็ได้ เราก็นั่งรอ ไม่นานนะท่านหันหน้ามา อันนี้ที่น่าคิดมากอีกนะ ตามธรรมดาต้องพยุงท่านขึ้นนะ เวลาท่านจะนั่งจะอะไรต้องพยุงขึ้น อันนี้พอท่านหันหน้ามามอง เห็นเรานี้ดีดผึงเลยเทียว แล้วก็มีอุทานออกแบบน่าคิด เราก็ลืม ๆ เสีย เพราะพบท่านทีไร.. ท่านจะมีคติธรรมให้เป็นที่ระลึกกับเราอยู่เสมอ คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน ท่านดีดผึงเลยนะ ลุกขึ้นเอง ‘พระหายากมาแล้ว พระหายาก..นับวันจะหาได้ยากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระหาง่าย..เกลื่อนตลาดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง’ เอาอีกแหละ แน่ะฟังซิ โอ๋ย.. ท่านคุยท่านรื่นเริงจริง ๆ นะ อีกสองวันหมอที่เขาบอกไปหาเราว่า ‘สมเด็จฯ ท่านกลับวัดแล้ว ท่านหายแล้ว’ ‘เหรอ’ เราก็ถาม ‘โอ๊ย.. เหมือนปาฏิหาริย์ พอหลวงพ่อไปเยี่ยม ท่านคึกคัก ขึงขังตึงตัง ยิ้มแย้มแจ่มใส พอวันหลังท่านออกจากโรงพยาบาลเลย’ ท่านว่า ‘ทีนี้ไปได้แล้ว’ ท่านไปแล้วจะออกแล้ว ท่านว่า ‘มันเป็นยังไงนะ อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยม มันเหมือนปาฏิหาริย์ เอายาอะไรมาชะโลมเรา’ ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดเอง เหมือนเอายาทิพย์มาชะโลมเรา ดีดผึงเลย มีกำลังวังชึ้นทันทีทันใด ท่านพูดคำไหนน่าคิดนะ สมเด็จฯ นี้ท่านมีความสนใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านไม่ได้ลืมตัวนะ เพราะเคยสนิทกันมานานแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมหาอยู่ พอเป็นสมภารเจ้าวัดท่านก็หนักแน่นในธรรมตลอดมา...” หลังจากวันนั้นไม่นาน ท่านก็หายอาพาธอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ให้การรักษา ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าควรปีติรื่นเริงในธรรม จัดว่าเป็นธรรมโอสถรักษาโรคชั้นเลิศทีเดียว องค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า “เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ ... นอกจากท่านจะเป็นนักปริยัติแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนา เวลาพบปะสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะสนทนาแต่เรื่องการปฏิบัติธรรม เกี่ยวกับสมาธิภาวนาด้วยทุกครั้ง ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องโลก ๆ ภายนอกอันเป็นสิ่งสกปรกโสมมเลย พระเณรเราควรที่จะประพฤติปฏิบัติ รักษาตามแบบอย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนี้สำคัญมากนะ เพราะว่าเป็นผู้นำคนปกครองคน” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2020 เมื่อ 20:28 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (02-08-2020)
|
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|