กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #181  
เก่า 03-06-2013, 17:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นรู้ พระจะตายอีก

ปี ๒๔๘๙ กลางพรรษา ท่านอาจารย์สอ สุมงฺคโล นักธรรมเอก พรรษา ๙ เป็นพระบ้านศรีฐาน จังหวัดยโสธร แต่ในสมัยนั้นขึ้นกับอำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นองค์ที่ ๒ ที่ถึงแก่มรณภาพ หลังจากป่วยเป็นไข้ป่าได้ประมาณ ๑ เดือน มีพระองค์หนึ่งพิจารณาเห็นเหตุการณ์ของท่านผู้ป่วย และในเย็นวันนั้น พระองค์นี้ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่น และสนทนาธรรมกันในแง่ต่าง ๆ จนเรื่องวกวนมาถึงท่านผู้ป่วย จึงได้มีโอกาสกราบเรียนเหตุการณ์ที่ตนปรากฏถวายท่านว่า

“คืนนี้ไม่ทราบจิตเป็นอะไรไป กำลังพิจารณาธรรมอยู่ดี ๆ พอสงบลงไป ปรากฏว่าเห็นท่านอาจารย์ (มั่น) ไปยืนอยู่หน้ากองฟืน ที่ใครก็ไม่ทราบเตรียมขนมากองไว้ ว่า ‘ให้เผาท่าน' ... ตรงนี้เอง ตรงนี้เหมาะกว่าที่อื่น ๆ’ ดังนี้


ทำไมจึงปรากฏอย่างนั้นก็ไม่ทราบ หรือผู้ป่วยจะไปไม่รอดจริงหรือ ? แต่ดูอาการก็ไม่เห็นรุนแรงนัก ที่ควรจะเป็นได้อย่างที่ปรากฏนั้น

พอพระองค์นั้นกราบเรียนจบลง ท่านก็พูดขึ้นทันทีว่า “ผมพิจารณาทราบมานานแล้ว อย่างไรก็ไปไม่รอด แต่เธอไม่เสียที แม้จะไปไม่รอดสำหรับความตาย เหตุการณ์แสดงบอกเกี่ยวกับจิตใจของเธอสวยงามมาก สุคติเป็นที่ไปของเธอแน่ แต่ใคร ๆ อย่าไปพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังเด็ดขาด เมื่อเธอทราบเรื่องนี้จะเสียใจ แล้วจะทรุดทั้งกายและเสียทั้งใจ สุคติที่เธอควรจะได้อยู่แล้ว.. จะพลาดไปได้ เพราะความเสียใจเป็นเครื่องทำลาย

พออยู่ต่อมาไม่กี่วัน ท่านอาจารย์สอก็เกิดปุบปับขึ้นในทันทีทันใดตอนค่อนคืน พอ ๓ นาฬิกากว่า ๆ ก็สิ้นลมไปด้วยความสงบ จึงทำให้คิดเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่า พออะไรผ่าน..ท่านคงพิจารณาไปเรื่อย ๆ ในทุกเรื่อง เมื่อทราบเหตุการณ์ชัดเจนแล้ว ก็ปล่อยไว้ตามสภาพของสิ่งนั้น ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2013 เมื่อ 03:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #182  
เก่า 05-06-2013, 11:33
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ลาหลวงปู่มั่นธุดงค์

พอออกพรรษาได้สักระยะ ก็เป็นวาระที่พระกรรมฐานผู้มุ่งความสงบจะออกธุดงค์ หาสถานที่วิเวกสงบสงัดทำความพากความเพียร สำหรับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น หลวงปู่หล้าได้กล่าวถึงการลาหลวงปู่มั่นออกวิเวกขององค์หลวงตาไว้ ดังนี้

“...พอตกถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ .. พระอาจารย์มหาบัวก็ดำริจะออกวิเวก โครงการขององค์ท่านจะไม่ไปไกล เพราะจะได้ฟังข่าวสุขทุกข์ของหลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่มั่น) ทุกประการ จะได้เป็นผู้กลับเข้ากลับออกอยู่ ไม่ไปแบบเตลิดเปิดเปิง และหวังว่าจะได้ธรรมะพิเศษมาศึกษากราบเรียนเพิ่มเติม เพราะอายุพรรษาก็มากเข้า ๑๓ พรรษาแล้ว และก็อาลัยหลวงปู่ เกรงผู้อยู่ข้างหลังจะปฏิบัติในสำนักบกพร่อง ทำให้หลวงปู่ไม่สะดวกธรรมะทุก ๆ กรณี แต่ลงท้ายก็เลยตกลงใจไป


ฝ่ายข้าพเจ้า (หลวงปู่หล้า) ก็นึกอยากจะไปกับองค์ท่านด้วย หลวงปู่ก็รู้จักแล้ว และหลวงปู่ได้เทศน์อยู่บ่อย ๆ ว่า ‘ใครออกวิเวกปีนี้กลับมา เมื่อถูกถามไม่ได้ความในด้านภาวนาจะไม่ให้อยู่จำพรรษาด้วย

ต่อไปในอนาคต ถ้าไปวิเวกจริง.. ถามก็ต้องได้ความแท้ ไม่น้อยก็ต้องมาก แต่ไปวิ่งวุ่นเสียเป็นส่วนมาก เพราะไปเที่ยวเล่นตามสำนักเฉย ๆ

การไปวิเวกในสมัยนั้นไปในดงในป่า ในโคก ในดอน ในภูเขาได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีสิ่งที่สงสัยกันในการเมือง ขอแต่กล้าหาญไม่กลัวเสือ สัตว์ป่านานาชนิดเท่านั้น การไปองค์เดียวเป็นชั้นที่หนึ่ง ไป ๒ องค์เป็นชั้นที่สอง ไป ๓ องค์เป็นชั้นที่สาม ไปมากกว่านั้นอยู่วัดดีกว่า เพราะถือกันว่าวุ่นวายไม่สะดวกได้

มีปัญหาว่า ‘พระอาจารย์มหาบัวนั้น หลวงปู่มั่นก็เกรงว่าจะไปเที่ยวเล่นดอกหรือ ! จึงปรารภอย่างนั้น ?’ แก้ว่า ‘ปรารภเพื่อพวกอื่น บุคคลอื่นต่างหาก เพราะปีนั้นจะออกวิเวกหลายพวกอยู่

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2013 เมื่อ 03:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #183  
เก่า 07-06-2013, 11:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ครั้นล่วงเวลามาอีก ๒ - ๓ วัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นว่า

‘เกล้าฯ นึกจะไปเที่ยววิเวกจะเป็นประการใด และการงานที่จะใช้เกล้าฯ พาหมู่ทำนั้นยังมีอะไรอยู่บ้างหนอ เกล้าฯ จะพาหมู่ทำเสร็จแล้วจึงจะไป ถ้ามีงานจำเป็นอยู่ เกล้าฯ จะรออยู่ก่อน’


หลวงปู่มั่นท่านตอบว่า ‘จีวรกาลเราก็เสร็จแล้ว ฟืนเราก็บริบูรณ์แล้ว แต่บูรณะกุฏิซ่อมแซมหลังคาและเอาฟืน ถึงเดือนกุมภาพันธ์จึงพากันจัดทำ วาระนี้จะไปก็ไปได้

พระอาจารย์มหาบัวกราบเรียนท่านว่า ‘ถ้าไปจะไปวันไหน และทิศทางใดหนอจึงจะวิเวกพอควร’

หลวงปู่มั่นตอบว่า ‘ถ้าสะดวกใจตนจะไปวันไหนก็ได้ ไปทางทิศตะวันออกก็มีที่วิเวกดี พอควรอยู่นะ’

แล้วพระอาจารย์มหาบัวก็กราบลากลับกุฏิของตน แต่ไม่ถึงวันจะไป เป็นเพียงไปกราบศึกษาให้หลวงปู่มีสิทธิ์ ถึงวันจะไปจริงท่านจึงจะไปกราบลาใหม่

ข้าพเจ้า (หลวงปู่หล้า) ได้สำเหนียกว่า ‘ลูกศิษย์ที่มีครูไปลาอาจารย์ เพื่อเที่ยวแสวงหาวิเวกเป็นธรรมะลึกซึ้ง เป็นเชิงปรึกษาให้เกียรติอาจารย์ ให้ความเป็นใหญ่ไว้เสมอด้วยเคารพ ไม่ตัดสินเอาแต่ตัวตามอัตโนมัติ เป็นเยี่ยงอย่างอันดีของฝ่ายปฏิบัติ ไม่ข้ามไม่เกิน ไม่อวดดีอะไร

อาจารย์ก็นักปราชญ์ ลูกศิษย์ก็บัณฑิต สมัยปัจจุบันนี้หาได้ยากแท้ ๆ หนอ เพราะโดยมากลูกศิษย์ตกลงเอาเองหมดแล้ว เป็นเพียงมาลาไปเฉย ๆ บางรายกรุ่นให้อาจารย์อย่างไม่อาย เวลาไปไม่มาลาซ้ำอีก กลายเป็นปฏิบัติแบบเปรต แบบผีไปอีก นึก ๆ แล้วก็น่าสังเวชมาก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2013 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #184  
เก่า 18-06-2013, 10:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่หล้าขอติดตามไปด้วย

หลังจากที่องค์หลวงตากราบเรียนปรึกษาเรื่องลาวิเวกกับหลวงปู่มั่น ประมาณ ๓ วัน หลวงปู่หล้าก็ไปเข้ากราบลาองค์ท่านเพื่อเตรียมออกวิเวกบ้าง หลวงปู่หล้าเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“...ข้าพเจ้าก็เตรียมพร้อมแล้ว เรียนท่านอาจารย์มหาว่า ‘กระผมจะต้องขึ้นไปกราบลาหลวงปู่หรือไม่หนอ ?’


พระอาจารย์มหาตอบว่า ‘ถ้าไปกราบลาแต่ผม มันก็ถูกแต่ผม ส่วนท่านก็ผิด เพราะเรื่องของใครของมัน

ข้าพเจ้ายิ่งเพิ่มเห็นความเป็นธรรมะ.. ระหว่างพระอาจารย์มหายิ่งขึ้นเป็นอันมาก แล้วก็ขึ้นไปกราบลาพร้อมกัน องค์ท่าน.. หลวงปู่ก็ใช้มารยาทอันละมุนละไมแบบเมตตา กราบลาแล้วเตรียมเดินทางไปทางทิศตะวันออกของวัด ตามทางคนบ้าง ทางเกวียนบ้าง มีป่าดงเป็นทิวแถว มีทุ่งนาสลับเล็กน้อย มุ่งตรงไปวัดป่าบ้านพระคำภูอันเป็นวัดร้างเป็นป่าเต็งรังสูง ๆ

ขณะนั้นกำลังหนาวจัดเริ่มเข้า ข้าพเจ้าก็ขอนิสัยกับพระอาจารย์มหา ท่านให้โอกาสสั่งสอนประทับใจว่า

‘เออ เดี๋ยวนี้เราออกมาวิเวกไกลจากครูบาอาจารย์ เราทำความเพียรขนาดอยู่วัด มันก็ไม่สมกับคำที่ว่ามาวิเวก เพราะการอยู่วัดก็เป็นธรรมดาของคนมาก ก็ต้องมีงานจุก ๆ จิก ๆ อันนั้นบ้าง อันนี้บ้าง


นี้สองคนเท่านี้ต้องตัดข้อวัตรให้น้อยลง เพื่อให้มีเวลาภาวนาติดต่อไม่ขาดวรรคไม่ขาดตอน ส่วนน้ำล้างบาตรและน้ำที่ผมจะสรงนั้น ให้คุณคอนมาไว้ที่ไหให้เต็ม ส่วนน้ำดื่มน้ำฉันนั้น ขอให้คุณไปตักมาไว้ใส่กาใส่ตุ่มให้เรียบร้อย ส่วนล้างบาตรนั้น โยมเขาตามมาล้างเอง แล้วผมเช็ดใส่ถลกเอง คุณจึงเอาไปผึ่งแล้วเก็บไว้ให้เรียบร้อย สรงน้ำก็ดี ปัดที่อยู่ปูที่นอนก็ดี ผมทำเอง ที่พักเราก็อยู่ไกลกันพอควรแล้ว คือกุฏิมุงหญ้า กั้นใบไม้ตองกุง ปูฟาก แคบ ๆ พอดีมุ้ง มอดเจาะมอดไชทั้งฟากและใบตองกั้น และขอให้คุณตั้งใจทำความเพียรนะ ไม่จำเป็นอย่าพูดกับผมนะ และอย่าเข้าใจว่าผมรังเกียจ ไปบิณฑบาต ผมไม่ให้ท่านรับดอก เพราะท่านสามสี่วันก็จับไข้ มันเป็นเรื้อรังมาแต่กลางพรรษา’

แล้วก็พักอยู่นั้นเกือบเดือน น้ำใช้น้ำฉันไปตักเอาที่ห้วย เขาทดไว้ไกลจากวัดประมาณ ๓ เส้น ข้าพเจ้าไปคอนมาไว้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนงมมืดไป ไม่ได้จุดไฟเลยเพราะโคมไฟไม่มี

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2013 เมื่อ 07:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #185  
เก่า 25-06-2013, 10:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านพาทำความเพียรไม่หยุดหย่อน ไม่มีกลางวันกลางคืน แต่ข้าพเจ้ามักจับไข้ตอนเที่ยงหรือบ่ายโมง หนึ่งชั่วโมงก็สร่าง แต่ปวดหัวอยู่มับ ๆ แต่ฉันได้ ไปได้ ไม่เพลียนัก ๒ - ๓ วันครั้งหนึ่ง แต่ตอนกลางคืนไม่ค่อยไข้

วันหนึ่ง พระอาจารย์มหาเอายาควินินเคลือบน้ำตาลให้ฉัน ก็เลยฉัน ๖ เม็ดทีเดียว หูดับอยู่ทั้งวัน เลยไม่ฉันอาหาร ปล่อยให้ยาออกฤทธิ์คุ้มได้ ๑๕ วัน.. ไข้อีกอยู่อย่างนั้น แต่ตักน้ำกวาดลานวัดอยู่ พาไข้เดินจงกรมอีก ไข้แบบนั้นก็มี (เป็น) ไข้รากสาด มุทะลุแบบนี้ก็คงจะตายกัน

ครั้นพักทำความเพียรอยู่นั้นประมาณเกือบเดือน พระอาจารย์มหาพาย้ายเข้าไปในดง ไกลจากที่พักเดิมประมาณ ๑๓ เส้น ส่วนน้ำนั้นมาตักเอาที่เก่า ไปบิณฑบาตบ้านพระคำภูตามเดิม เขามาทำร้านให้ ปูไม้กลมเล็ก ๆ กว้างพอดีกลด ไกลจากพระอาจารย์มหาประมาณ ๒ เส้น แต่กรรมบันดาลอีก เขาเอาไม้กลมเล็กมาปูต่างฟากให้นั้น มีไม้น้ำเกลี้ยงปนอยู่ ๒ - ๓ ท่อน พอพักได้ ๓ - ๔ วัน หน้าบวมขึ้นเห็นหน่วยตาลูกตาพอริบหรี่

พระอาจารย์มหาหัวเราะแล้วพูดว่า ‘ยิ่งขี้ร้าย ก็ยิ่งตื่ม (เพิ่ม) ตดเหม็น’

แล้วองค์ท่านไปตรวจดูร้าน ก็เห็นไม้น้ำเกลี้ยง ๒ - ๓ ท่อน เขาเอามาลาดปูนอนให้ปนกับไม้อื่นอยู่ จึงคุมให้โยมถอดทิ้งเอาใหม่แทน เมื่อพิจารณาแล้วเขาไม่ได้แกล้งทำ เพราะเป็นเวลาใบไม้ร่วง เขาไม่รู้จักว่าไม้อะไร เห็นเกลี้ยงกลมแล้วก็เอากัน ทั้งทำด่วนด้วย ไม่ได้กั้นไม่ได้มุงอะไรหรอก เช้ามามุ้งก็เปียก กลดก็เปียกตากกับที่เลย นี้การเที่ยวในสงสารแห่งชาติ ๆ ภพ ๆ มันเป็นอย่างนี้...”

หมายเหตุจากผู้ตรวจการณ์ : ไม้น้ำเกลี้ยง คือ ไม้รักเขา หรือ ต้นรักที่เอายางมาทาเพื่อปิดทอง ยางรักเป็นอันตรายมาก ถ้าโดนเข้าโดยตรงถึงกับกัดเนื้อแหว่งทีเดียว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2013 เมื่อ 17:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #186  
เก่า 04-07-2013, 11:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่หล้าพักปฏิบัติอยู่กับองค์หลวงตาได้ประมาณ ๒ เดือนแล้ว การจับไข้ก็ยังกลับคืนมา ไม่พอจะหายขาดแท้ เมื่อเป็นดังนี้ จึงจำเป็นต้องลาไปปฏิบัติคนละแห่ง องค์หลวงตาก็เห็นดีด้วยทั้งหัวเราะทั้งพูดว่า

“ให้ออกไปทุ่งทางสกลนคร ให้ไปกางกลดกางมุ้งอยู่กลางทุ่ง เดินจงกรมภาวนาตากแดดอยู่ ชะรอยธาตุขันธ์มันจะชอบอากาศโปร่ง”


ถึงจุดนี้ หลวงปู่หล้าได้กล่าวถึงความลึกซึ้งขององค์หลวงตา ตั้งแต่ครั้งยังศึกษาอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น แม้เพียงคำปรารภก็เป็นคติแก่ผู้ฟัง ดังนี้

“...ดูคำเทศน์ขององค์ท่าน (พระอาจารย์มหาในครั้งนั้น) ขันมาก เป็นคติไปแบบลึก ๆ ชวนให้หวนคิดพิจารณาจับใจ จึงได้จำไว้ไม่ลืมเลย เพราะธรรมดาองค์ท่านปรารภอะไรเป็นอุบายให้ผู้ฟังมีคติทั้งนั้น ไม่ใช่พูดแบบคติโลกล้วน ๆ มีลีลานัยอยู่ในตัว (เช่น)


แบบหยิกแกมหยอกแบบนี้ ถ้าผู้ฟังล้อเข้าไปแบบเลียปาก จะถูกศอกกลับหลัง เข่าพร้อมนับสิบไม่ลุก

แบบบรรจงตรงไปตรงมานี้ก็แบบหนึ่ง แบบนี้จะฝืนกระเบียดหนึ่งไม่ได้ เพราะได้ทุ่มเทแบบบรรจงแล้ว

แบบขู่ทำท่าทำทาง แบบนี้ต้องนิ่งฟังโดยเคารพ จะอุทธรณ์หรือพูดแก้ตัวในขณะนั้นไม่ได้ ต้องแก้ความประพฤติของตัวลับหลัง ท่านหากสังเกตเองว่า ท่านเทศน์เผ็ด ๆ ร้อน ๆ แล้วมันได้ผลไหม ท่านต้องสังเกตอยู่หลายวัน แต่ผู้ใดโง่ก็เข้าใจว่าท่านไม่สังเกต

แบบปลอบโยนนิ่มนวล แบบนี้มี ๒ นัย นัยหนึ่งหมดหวังหมดวิชาแล้ว ถ้าไม่นิ่มนวลไว้มันจะเพ่งโทษมาก มันจะเป็นบาป แต่ตัดทิ้ง ไม่ยอมสอนอีกต่อไป นิ่มนวลแบบหนึ่งยังจะสอนต่อไปอีกอยู่

แบบทำกิริยาขึงอยู่เป็นนิจ แบบนี้เราต้องทำท่าไม่สนใจว่าท่านขึงใส่เรา เราทำดีเรื่อยไป หากแก้ตกอยู่ในตัว

แบบหนึ่งวางเฉยไม่พูดด้วย แต่ไม่ขึงไม่บึ้ง แบบนี้เราแก้เราไปก็หาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2013 เมื่อ 14:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #187  
เก่า 09-07-2013, 17:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ผู้เขียนได้ยินกับหูที่หลวงปู่มั่นเทศน์ว่า “ลูกศิษย์ร้อยคนก็ต้องใช้อุบายร้อยนัย เพราะนิสัยต่างกัน...

เหตุการณ์ต่อจากนั้น เมื่อได้เวลาท่านทั้งสองจะแยกย้ายไปวิเวกคนละแห่งแล้ว พอบิณฑบาตฉันเสร็จแล้ว องค์หลวงตาก็เขียนจดหมายฝากหลวงปู่หล้าพร้อมกับจ่าหน้าซองว่า “ส่งท่านมหาผ่าน บ้านโพนงาม วัดปริยัติธรรม” มีเนื้อความในจดหมายว่า

ท่านมหาผ่านที่นับถือ

พระองค์ที่ถวายจดหมายนี้ ออกจากสำนักหลวงปู่มั่นมาวิเวก ต้องการพักวิเวกอยู่ในเขตบ้านนี้บ้างตามสมัยเท่าที่จะเป็นไปได้ และก็มิหวังจะกลับเข้าสำนักเดิมแห่งหลวงปู่มั่นอยู่ ฉะนั้น จงกรุณาให้โยมทำที่พักให้ ช่วยเท่าที่เห็นสมควรว่าแห่งใดจะวิเวกพอ

ขอแสดงมาด้วยความนับถือ

บัว ป.

เมื่อรับจดหมายจากองค์หลวงตาแล้ว หลวงปู่หล้าก็กราบลาออกเดินทางต่อไป หลวงปู่หล้าเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนี้อีกว่า

“...ตอนจะออกจากพระอาจารย์มหาบัว ได้กราบวิงวอนองค์ท่านว่า


‘เมื่อพระอาจารย์กลับถึงหลวงปู่มั่นก่อนกระผม กรุณากราบเรียนหลวงปู่ว่า คุณหล้าได้ลาเกล้าฯ ไปที่อื่น ด้วยเกรงใจเกล้าฯ เพราะ ๔-๕ วันจับไข้ อีกอันหนึ่งจะลองดีตนว่า จะกล้าเป็นกล้าตายต่อพระศาสนาเพียงไรดังนี้ หรือพระอาจารย์เห็นดีอันใดเหมาะสมตามเป็นจริง ก็แล้วแต่จะกรุณากราบเรียนเทอญ’

พระอาจารย์มหาย้อนถามคืนว่า ‘คุณเห็นประโยชน์ 'ยังไง' จึงให้ผมกราบเรียนหลวงปู่มั่นอย่างนั้น’

เรียนพระอาจารย์มหาว่า ‘เพราะเกรงหลวงปู่จะเขกว่า คุณหล้าไปวิเวกกับคุณมหา แล้วแตกหนีจากคุณมหาเพราะไม่ลงคุณมหา.. ทิฐิมากเหลือเกิน เราจะไม่ให้คุณหล้าอยู่กับเราอีกต่อไปด้วย ดังนี้ก็อาจเป็นได้ครับ’

พระอาจารย์ยิ้มแล้วพูดว่า ‘เออ คุณพูดมีเหตุผลดี ผมจะกราบเรียนหลวงปู่ตามคำสัตย์ของคุณนั้นเอง’...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2013 เมื่อ 19:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #188  
เก่า 17-07-2013, 12:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ลัดหมา

“...ท่านสมเป็นเพื่อนฝูงกันกับเรา นิสัยตรงไปตรงมา เคยกันมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส พอบวชมาก็ยังเคยกันอยู่ สนิทกันมาก องค์นี้แหละ.. องค์ที่เคยขู่เรา ... ท่านสมขู่เราจริง ๆ นะ คือทางจงกรม ท่านสมอยู่ทางนั้น ออกมาหาเรานี้ มันตรงแน่วนะ เราอยู่ที่นี่ ท่านสมอยู่ดูจะห่างขนาดนั้นละ ขนาดโรงไฟนั้นละ ทางนี้มันตรงแน่วกว้าง ๆ เราก็อยู่ทางนี้

ทีนี้ หมามันมาเที่ยวเพ่นพ่านกำลังค่ำมืด แถวนั้นก็มีเสือ แต่เราไม่คำนึงถึงเสือยิ่งกว่าการเล่นกับหมาเท่านั้น พอเห็นหมามาจุ้นจ้านค่ำ ๆ กำลังจะมืด ‘เอ๊ะ มันมา ยังไง มันมาเที่ยว ?’

เราไปก็ด้อม ๆ ไปจับพุ่มไม้ หมามันอยู่ทางนี้ เราไปหัวจงกรมนี้ จับพุ่มไม้เขย่านี้ หมามันก็วิ่ง ‘สม ๆ ๆ ลัด ๆ***

ท่านสมก็โดดออกมายืนจังก้าอยู่นั่น ‘ลัดอะไร ๆ’

หมามันก็วิ่งปั๊บ ๆ ๆ ไป วิ่งลอดรักแร้ท่านไป ท่านไม่สนใจกับหมา ยังเถ่ออยู่ เลยไม่ได้ดูหมา ว่าลัดอะไร ๆ ยืนเถ่ออ้าปากอยู่... หมามันก็วิ่งผ่านไปแล้วเราก็ยืนเฉย พอระลึกได้ว่า คงบอกให้ลัดหมาตัวนี้เลยว่า
‘หือ.. ลัดหมาตัวนี้นะเหรอ ?’


เราก็เฉย ท่านเลยว่า ‘อะไร ๆ ก็ไม่มีที่ต้องติท่านอาจารย์ แต่กับหมาไม่ทราบเป็น ยังไง การประพฤติปฏิบัตินี้หาที่ต้องติไม่ได้เลย แต่กับหมาไม่ทราบว่าเป็น ยังไง ท่านอาจารย์นี่’

ดุเรานะ ปุ๊บเข้าโน่นเลย เราก็เฉย ... ปุ๊บเข้าไปเลย คือโมโหให้เรา แต่เราก็เฉย.. เราไม่ได้โมโห ก็เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่ พอตื่นเช้าขึ้นมาทำท่าลักษณะจะขู่เรานะ มีลักษณะยิ้ม ๆ เราก็เฉย ไปบิณฑบาตคนละบ้าน

ตอนนั้นเราเที่ยวลงมา มาพักที่นั่น เป็นร้านเก่าเขา เราก็มาพักที่นี่ ท่านก็พักที่นั่น ลงมาจากภูเขาว่าจะไปหนองผือนั่นแหละ หากยังไม่ได้ไป....

คงจะโมโหให้เรา เราเฉยไม่สนใจ ก็เรากับหมาเป็นเรื่องของเรา ท่านสมเป็นบ้าก็เป็นเรื่องของท่านสมซิ เราไม่ได้เป็นบ้ากับคน เราเป็นบ้ากับหมาต่างหาก ตอนเช้าบิณฑบาตกลับมา.. ดูลักษณะเหมือนจะขู่แล้วมียิ้ม ๆ นิดหนึ่ง เราก็รู้..หมานั่นแหละ นึกในใจ.. ขู่เรานะ เราก็เฉยอีกเหมือนกัน ก็เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะให้ ‘ว่าไง’ ท่านว่าก็ถูกของท่าน ขบขันดี...


*** หมายเหตุ : แปลว่า ดัก , ขวาง หรือ สกัด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2013 เมื่อ 13:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #189  
เก่า 23-07-2013, 12:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ชีวิตพระกรรมฐาน

การหาสถานที่เที่ยวกรรมฐานของท่าน มักจะเสาะหาที่วิเวกที่ไม่ไกลจากหลวงปู่มั่นเท่าใดนัก เพื่อเข้าถึงได้เร็วหากมีปัญหาเกิดขึ้นจากการภาวนา การเที่ยวจึงอยู่ในแบบเทือกเขาภูพานเป็นส่วนมาก ดังนี้

“ภูพานนี้เที่ยวแหลกหมด ภูพานระหว่างสกลนครไปถึงกาฬสินธุ์ ภูเขาลูกนี้เราเที่ยวมากที่สุด เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ทางพรรณานิคม เราก็เที่ยวแถวนั้น อยู่สกลนคร บ้านโคกนามน เราก็เที่ยวแถวนั้น แล้วท่านมาอยู่ทางพรรณานี่ก็เที่ยว เที่ยวตลอดไปหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา เรียกว่ารู้จักภูเขาลูกนี้ไปทั้งนั้นละเรา”


หากกล่าวถึงความทุกข์ ที่ท่านและพระกรรมฐานผู้มุ่งธรรมต้องประสบเสมออย่างหนึ่งก็คือ ทุกข์จากฤดูกาล โดยเฉพาะอากาศในหน้าหนาวทางอีสานนั้น แทบจะนอนไม่ได้เลยทีเดียว ดังนี้

“... อากาศหนาวจริง ๆ เวลาออกวิเวก เพราะไม่นำผ้าห่มติดไปด้วย ใช้แค่จีวรกับผ้าสังฆาฏิพับครึ่งแล้วห่มพอกันหนาวได้บ้าง แต่ถ้าคืนไหนหนาวมากจริง ๆ คืนนั้นนอนไม่ได้เลย ต้องลุกขึ้นนั่งสมาธิภาวนาสู้เอา ตามหน้าตามตา แขน ขา รวมถึงริมฝีปากเหล่านี้.. แตกหมด ตกกระหมด


การอาบน้ำ ต้องรีบอาบตอนกลางวันหลังปัดกวาดใบไม้แล้ว อาบในคลองบ้าง ตามซอกหินซอกผาบ้าง หรือในห้วยในคลอง ที่ไหนพออาบได้ก็อาบ ถ้ากะเวลาก็ประมาณบ่าย ๓ โมง เพราะอาบค่ำนักไม่ได้ อากาศหนาวมากจริง ๆ น้ำก็เย็นมาก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังหนุ่มน้อยอยู่ แต่มันก็ยังหนาวถึงขนาดนั้น...”

สำหรับเรื่องกุฏิที่พักนั้น ท่านให้ชาวบ้านทำเพียงวันเดียวก็เสร็จแล้ว พอใช้หลบแดดหลบฝน ป้องกันชื้นหรือร้อนหนาวได้ก็เพียงพอแล้ว ลักษณะก็ทำเหมือนปะรำโดยเอาใบไม้มาวางทำเป็นร้าน เอาใบไม้วางข้างบน แล้วเอากลดแขวนข้างล่าง ท่านเคยเล่าถึงความหนาวเหน็บในระหว่างการวิเวกในป่าว่า

“...ช่วงหน้าหนาว แม้ว่าทำถึงอย่างนั้นก็ตาม.. น้ำค้างยังคงพัดปลิวเข้ามาถึงได้ เปียกเหมือนกับเราซักผ้านั่นแล เปียกทุกคืนทุกเช้า ดังนั้น พอฉันเช้าเสร็จถึงได้เอาออกไปตากแดด ถ้าตากเช้าไปแดดก็ยังไม่มี ต้องทิ้งไว้นั้นก่อน กางทิ้งไว้อย่างนั้น


พอฉันเสร็จแล้วก็เอามุ้งออกไปตากที่แดด แม้ตากอย่างนั้นทุกวัน ๆ มันก็ยังขึ้นราได้ เป็นจุดดำ ๆ ของรา มันเหมือนกับลายเสือดาวนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่มุ้งสะอาดอยู่ก็ขึ้นรา เนื่องจากมันไม่ได้แห้งตามเวล่ำเวลาของมัน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2013 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #190  
เก่า 29-07-2013, 12:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สำหรับบริเวณใกล้เคียงที่พักนั้น จะมีทางจงกรมหลายสายอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อเดินในเวลากลางวัน เพราะช่วงเช้าสายหรือเที่ยงบ่ายนั้น ต้นไม้จะให้แนวร่มต่างกันไป จึงต้องมีทางจงกรมไว้หลาย ๆ สาย สายไหนร่มในช่วงใดก็เดินจงกรมช่วงเวลานั้น

ส่วนในบางที่เป็นที่โล่ง ๆ แจ้ง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ มักใช้เป็นทางจงกรมไว้เดินตอนกลางคืน เผื่อว่าหากมีงู แมงป่อง หรือสัตว์มีพิษอื่น ๆ ผ่านมา ก็จะพอมองเห็นได้เป็นเงาดำ ๆ ท่านไม่ได้จุดไฟตอนเดินจงกรม เพราะในช่วงออกวิเวกนั้น ท่านพกเทียนไขไปนิดหน่อยเท่านั้น หากไม่จำเป็นที่จะต้องจุดจริง ๆ ท่านก็จะไม่จุด

เรื่องยารักษาโรค ท่านว่าไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่เคยได้พกไปด้วยเลย ถึงแม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเจ็บท้องปวดศีรษะก็ตาม ท่านมีแต่ใช้การทำภาวนาเท่านั้นเป็นยา เป็นธรรมโอสถอันเลิศ และแท้ที่จริงแล้วในยามปกติ ตอนที่อยู่ในวัดยังไม่ได้ออกวิเวก หากไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วท่านก็ไม่นิยมใช้ยาใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านเคยอธิบายเหตุผลว่า

เราไม่ปฏิเสธเรื่องยา แต่สำหรับเรื่องความกังวลจนเกินเหตุเกินผลของสมณะนั้น ผิดทางของพระพุทธเจ้า ผิดทางของผู้จะฆ่ากิเลส ผิดทางของผู้เรียนเพื่อรู้สัจธรรม


เรื่องหยูกยาก็ให้นำมารักษากันไปได้อยู่ แต่ไม่ให้หลงจนเกิดความกังวล อันเป็นเรื่องของกิเลส ท่านไม่ได้มารักมาสงวนชีวิตจิตใจยิ่งกว่าธรรม”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #191  
เก่า 09-08-2013, 14:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านเล่าถึงบรรยากาศและสภาพความเป็นอยู่ระหว่างออกเที่ยวกรรมฐาน ดังนี้

“... เราออกเที่ยวกรรมฐานไม่เคยเว้นแต่ละปี พอออกพรรษาแล้วก็ออกไปเที่ยวอยู่ตามป่าเสียก่อน ระยะเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ไม่ต้องแสวงหาที่มุงที่บังอยู่ตามเชิงเขา เพราะอากาศยังไม่ร้อน เที่ยวอยู่ตามร่มไม้


ถ้าเข้าหน้าร้อน เดือนมีนาคมจะก้าวถึงเดือนเมษายน ขึ้นเขาขึ้นถ้ำ ในถ้ำอากาศเย็น

บางทีเสือมากัดควายอยู่ข้าง ๆ มุ้งก็มีเสียงควายร้องเอิ้กอ๊าก ๆ เราก็เผิงผางออกไปจากมุ้ง ดูว่ามันมาทำอะไรกันอยู่ เสียงเราดังลั่นขึ้น มันก็เลยเงียบไป ลำน้ำอูนทางที่จะต่อเข้าไปหนองผือเป็นดง ฟังเสียงควายร้องข้าง ๆ ริมลำน้ำอูน เสือก็อยู่ทางนี้ ควายก็หากินอยู่ทางนี้ บ้านเขาอยู่ทางนั้น แล้วเราอยู่ฝั่งนี้ คือมันกัดกันใกล้บ้าน

กลางคืนพอฝนกระหน่ำลงมา เสือโคร่งเข้ามากัดควาย เราก็ร้องเวิ้กว้ากขึ้น ทีนี้ลูกควายมันวิ่งเข้าในบ้าน แม่มันถูกเสือกัด แล้วก็ตะเกียกตะกายลงไปริมน้ำอูน ไอ้เสือตัวนี้ก็ไม่กล้าจะตามลงไป

เจ้าของเขาเห็นท่าไม่ดี อ้าว!.. ลูกควายตัวนี้มันมา ‘ยังไง’ ไม่ใช่เสือกัดแม่มันหรือ ? เขาเลยรีบออกมา ออกมาก็พอดีมาเห็นเสือกัดอยู่ข้างนอกนี้ เขาก็เลยมาก่อไฟให้มัน ป้องกันไม่ให้เสือมากัดซ้ำอีก เพราะถ้าไม่มีไฟ เสือมันอาจมา ถ้ามีไฟก็แสดงถึงเครื่องหมายของคน มันก็ไม่มา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2013 เมื่อ 16:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #192  
เก่า 21-08-2013, 09:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เราอยู่ลำน้ำอูนฝั่งนี้ เสืออยู่ฝั่งโน้น เขาก่อไฟไว้ฝั่งโน้น เราไปพักอยู่บนยอดอูน จริง ๆ อยู่ภูเขาโน้น แม่น้ำอูนไหลออกไป เราไปอยู่ภูเขาเราก็ได้อาศัยน้ำทางน้ำอูน พอบ่ายสามโมงลงมาจากภูเขา มีกระบอกไม้ไผ่กับกาน้ำ กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำเขาเรียก “บั้งทิง”

กาน้ำก็กาไม่ใหญ่ แล้วกระบอกไม้ไผ่ก็ปล้องเดียว สะพายกระบอกน้ำ พอขึ้นไปถึงบนเขาก็ไปอาบเหงื่อเจ้าของนั่นแหละ ลงมาก็ไปอาบน้ำ.. ขึ้นไปก็อาบเหงื่อวันละหน ที่ไปอยู่นั้นเพราะทำเลภาวนาดี แต่น้ำสำคัญมาก ไปอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าขาดน้ำอยู่ไม่ได้นะ สถานทำเลถึงจะดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้ ตอนบ่ายลงไปอาบน้ำ แล้วสะพายกระบอกน้ำกับกาพอดีกับวันหนึ่ง ๆ

ไปอยู่ในที่เช่นนั้น จะว่าได้ชมนิสัยวาสนาบ้างก็น่าจะได้ชม ทุกข์ลำบากลำบนอยู่ในป่าในเขา ไม่มีผู้คน แทนที่จะมีความว้าเหว่กังวลเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน เงียบเลยนะ มีแต่สงัดกับธรรม ๆ นี่เราไปอยู่คนเดียว สงัดอยู่ด้วยธรรม ด้วยอารมณ์ของธรรม ไม่มีอารมณ์ของโลกมาเจือปนเลย มีแต่อารมณ์ของธรรม

กลางคืนเวลามันเงียบจริง ๆ อยู่บนหลังเขาสูง ๆ อากาศละเอียดมาก ร่างกายของเรามันอยู่ที่ละเอียด อากาศก็ละเอียดเหมือนกับว่าคลานเข้ามา มันซึมเข้ามาหาเรา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2013 เมื่อ 10:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #193  
เก่า 29-08-2013, 10:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เวลาภาวนาเงียบ ๆ เริ่มเข้าที่ภาวนา ได้ยินเสียงหัวใจทำงานตุบตับ ๆ ๆ ได้ยินชัดมาก พอจิตเริ่มเข้าที่ หัวใจทำงานก็หายเงียบไป.. จากนั้นแล้วกายก็หายเงียบไปเลย ยังเหลือแต่ความเวิ้งว้างหมด ร่างกายจะหายไปตาม ๆ กัน คือจิตมันหมดกังวลสิ่งเหล่านี้ มีแต่ความละเอียดของจิต ความละเอียดของจิตหาจุดหาหมายไม่ได้ ร่างกายเป็นส่วนหยาบพอจิตเข้าสู่ตัวเองโดยเฉพาะแล้ว ร่างกายหายเงียบ.. จิตก็เข้าละเอียดสุดขีด ไม่เกี่ยวกับเรื่องร่างกาย

นั่งภาวนากลางคืนหนาว ๆ เข้าสมาธิได้แล้ว.. ความหนาวไม่มีความหมาย ความหนาวหายหมด จนกระทั่งจิตมันได้เวล่ำเวลาของมัน เคลื่อนไหวออกมา พอเคลื่อนไหวออกมามันก็รับสิ่งภายนอกดินฟ้าอากาศ.. เริ่มหนาวอีก พอเริ่มหนาวแล้วจะนอนหนาวมันก็หนาวของมัน เราก็เริ่มนอน นอนไม่หลับสู้หนาวไม่ได้ แล้วกลับมานั่งอีก พอเข้าไปนั้นอีกก็หายเงียบเลย.. แล้วทั้งคืนมันจะตายคนเรา มันไม่ได้เดินมีแต่นั่ง กลางวันต้องกำหนดเวล่ำเวลาเหมือนมีโปรแกรมเชียว กลางวันเดินจงกรมมาก ๆ ...

ประการหนึ่ง คือว่าเราไม่มีผ้าห่ม มีเพียงจีวร สังฆาฏิ สังฆาฏิก็พับครึ่ง จีวรก็พับครึ่งห่มแล้วก็ผ้าอาบน้ำผืนหนึ่งสำหรับเช็ดบาตร มีเพียงเท่านั้น ... เวลาธุดงค์ น้ำท่าก็ไม่มี เจอวัดไหนก็เข้าไปซักผ้า เสร็จแล้วก็ออกมา

จะว่าขวนขวายน้อยหรือไม่ขวนขวายน้อยก็มีเท่านั้น อย่างเป็นของเหลือเฟือขึ้นไปก็มุ้ง กาน้ำ กลด มุ้งกับกลดเวลากางออกแล้วก็เป็นอันเดียวกัน บาตร สังฆาฏิ อะไร ๆ ใส่ในบาตร ไม้ขีดไฟใส่ในบาตรมีเท่านั้น เสร็จแล้วพอดีสะพายเลย...”

ความทุกข์ยากในชีวิตพระธุดงค์ ไม่เพียงต้องเผชิญกับสภาพอากาศและสัตว์ร้ายในป่าเท่านั้น มีไม่น้อยที่ปัญหาเกิดขึ้นจากเพศบรรพชิตด้วยกัน ดังนี้

“พูดถึงกรรมฐานนี้ไปไหนถูกไล่ตลอด พวกเจ้าคณะนี่ละ..ที่ไล่กรรมฐาน แต่เราไม่เคยโดนเลย เอาคำว่ามหาออกหน้า อย่างดีก็เฉียด ๆ ดู ถ้ากล้าก็เข้ามาสิ.. ว่าอย่างนั้นเลย ลองได้ขึ้นเวทีแล้วต้องเอาให้ตกเวที จะเอาธรรมวินัยข้อไหนมาไล่..?”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 19:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #194  
เก่า 03-09-2013, 09:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เสือ : หมูป่า ต่อสู้ดุเดือด

ประสบการณ์ธุดงค์ทำให้เห็นการต่อสู้ระหว่างเสือกับหมูป่า ทั้งคู่นอนตายอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน สภาพหมูป่าตามตัวแหลกหมด ส่วนเสือก็พุงทะลุหมด ด้วยเหตุเพราะไปเจอกันอย่างจังในช่องเขาดังนี้

“... มันเป็นร่องลงมา ภูเขามันมีช่องลง ช่องแคบ ๆ นะ ทางโน้นเป็นหลังเขา ที่จากหลังเขามันก็เป็นช่องแคบลงมา ทีนี้พอดีไอ้หมูก็ขึ้นช่องนี้ หมูใหญ่นะ... มันเห็นกันชัด ๆ อย่างนั้นนะ ไอ้เสือก็ลงมาช่องนั้น พอดีมาพบกันตรงกลางนั้นเลย ฟัดกันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ตายทั้งสองนะ หมูตายอยู่กับที่ เสือเสือกคลานขึ้นไปตายข้างบน ตายทั้งสองเลย นั่นแหละอย่างนั้น กำลังวังชามันฟัดกัน นี่ไปถูกที่คับขันด้วยแล้ว ต่างคนต่างก็ไม่ถอยกัน สู้กันเลย


สุดท้ายก็ตายทั้งสองเลย หมูตายอยู่กับที่ ส่วนเสือตะเกียกตะกายขึ้นไปนั้นก็ตายอยู่ที่นั่น พุงทะลุหมดเลย ลำไส้นี่ปลิวออกมาทะลุหมด ส่วนหมูก็ตามเนื้อตามตัวแหลกหมด เสือกัด ไอ้เสือก็พุงทะลุหมด หมูดัน.. มันทำอย่างนี้นะ หมูมันทำอย่างนี้ สมมุติว่ามันดันอย่างนี้ ไม่ใช่ตกง่าย ๆ นะ มันขวิด ขวิดตลอดเลยนะ นี่ก็ตาย อย่างนั้นแหละ มันไม่ถอยกันง่าย ๆ

ที่เสือกัดมันได้เฉพาะเวลามันเผลอ ถ้าเป็นหมูใหญ่หมูโทนอย่างนั้น เวลามันผ่านไปผ่านมาเราถึงฟังเสียงรู้ หมูนี้รู้สึกว่าไม่ขยาดครั่นคร้ามต่ออะไร เสียงดังโครมคราม โครมคราม โครมครามมา ไม่ได้เก็บเสียงนะ พวกหมูป่าเป็นฝูง ก็มีเสียงดังเหมือนกัน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2013 เมื่อ 17:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #195  
เก่า 06-09-2013, 13:09
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อาหารป่า

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ ทำให้ท่านไม่เห็นแก่การกินการนอนยิ่งกว่าการทำความเพียร เพื่อรบกับกิเลสภายในจิตใจ จริตนิสัยของท่านในเรื่องภาวนาถูกกับการอดอาหาร เพราะทำให้ธาตุขันธ์ร่างกายเบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย สติปัญญาในการแก้กิเลสมีความคล่องตัวกว่าการขบการฉันที่สมบูรณ์ ท่านจึงอดอาหารอยู่เป็นประจำจนร่างกายผ่ายผอม บ่อยครั้งในเวลาเดินบิณฑบาตหรือเดินจงกรมแทบจะก้าวขาไม่ออก แต่ผลการภาวนานั้นกลับเจริญขึ้น ๆ ท่านเคยพูดถึงสภาพจิตใจในระยะนั้นว่า

“จิตใจยิ่งเด่นเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ถ้าได้รับอาหารการกินดี มันก็มีแต่อยากนอน มันมีแต่ขี้เกียจขี้คร้าน การตั้งสติก็ยาก การพินิจพิจารณาทางด้านปัญญาก็ยาก...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-09-2013 เมื่อ 13:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #196  
เก่า 13-09-2013, 09:29
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สมัยปัจจุบัน หากท่านเห็นอาหารประเภทที่เคยขบฉันในสมัยหนุ่ม ซึ่งเคยต่อสู้กับกิเลสแบบสมบุกสมบันชนิดรอดเป็นรอดตายมา อาหารนั้น ๆ ก็ยังทำให้สะดุดกึ๊กในใจทุกทีไปเมื่อเห็นเข้า ด้วยรำลึกบุญรำลึกคุณนั่นเอง ดังคำกล่าวของท่านกับพระเณรว่า

“... พวกหน่อไม้ พวกผักอะไร ผักกระโดนกระเดน ผักเครื่องของป่านั่นแหละ มันสะดุด ๆ นะ มันเหมือนกับว่าเป็นคู่มิตรคู่สหาย คู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันมาแต่ก่อน มันเป็น มันไม่ได้ชินนี่ ทุกวันนี้ก็ไม่ชิน ผักอะไร เขาเรียกโหระพาระเพอ อะไรหอม ๆ นั่น นั่นก็มีอยู่บนเขานะ มีอยู่ตามน้ำซับน้ำครำ พวกนี้มีแต่มันเป็นเถาวัลย์ มันไม่ใช่เป็นต้นนะ คือมันเป็นเถาเกิดอยู่ตามน้ำซับน้ำครำ... พระกรรมฐานไปอยู่ที่ไหนต้องมีน้ำ ไม่มีไม่ได้ แล้วก็ผักมันมีหลายชนิด


ผักชนิดต่าง ๆ มีเยอะนะในป่า องค์หนึ่งรู้อย่างหนึ่ง นั่นแหละที่ได้กินผักหลายต่อหลายชนิด ก็เพราะองค์หนึ่งรู้อย่างหนึ่ง ๆ เวลาเอามากินน่ะ เคยพบกับเพื่อนกับฝูงหลายจังหวัดต่อหลายจังหวัดนี่นะ องค์นั้นชำนาญกินผักอันนั้น องค์นี้ชำนาญผักอันนั้น ๆ ... หลายองค์ต่อหลายองค์พบกันหลายครั้งหลายหน มันก็จำได้ซิ มันก็กว้างขวางไปเอง...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2013 เมื่อ 09:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #197  
เก่า 18-09-2013, 09:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บ้านไหนคนนับถือมาก ๆ ยุ่งมาก อาหารการบริโภคมาก เขากวน..ไม่ได้ภาวนา ก็เราหาภาวนาอย่างเดียวนี่ เพราะฉะนั้น ที่เห็นว่าเป็นความสะดวกในการภาวนา เราจึงชอบที่นั่น ก็ที่คนไม่ยุ่งนั่นเอง เมื่อคนไม่ยุ่ง อาหารก็ไม่ค่อยมีแหละ

และนอกจากนั้น ยังไปหาบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ๓ - ๔ หลังคาเรือนบ้าง ๙ หลัง ๑๐ หลังคาเรือนบ้างก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเราไม่ฉันกี่วันนี้ก็ไม่ได้พบคนละ พบแต่เราคนเดียวนี่ เขาก็ไม่มา มาหากันอะไร เขาก็ไม่ใช่เป็นคนยุ่งกับพระด้วย เราก็ไปหาที่เช่นนั้นด้วย ก็อยู่สบาย...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2013 เมื่อ 09:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #198  
เก่า 02-10-2013, 10:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กินแบบนักโทษ

ท่านเข้มงวดจริงจังมากกับการควบคุมเรื่องอาหารการขบฉัน เพื่อมิให้มาเป็นโทษ หรือเป็นพิษเป็นภัยต่อการภาวนา ถึงแม้จะทุกข์ยากเพียงใดท่านก็พยายามอดทน ดังนี้

“... ข้าวไม่กินภาวนาก็ยิ่งดี หลายวันกินทีหนึ่ง หลาย ๆ วันถึงกินทีหนึ่ง สมาธิก็แน่ว พอทางขั้นปัญญานี้ก็เหมือนกัน ปัญญาก็คล่องตัวถ้าอดอาหารนะ มันช่วยกันจริง ๆ นี่หมายถึงผมเอง จะว่านิสัยหยาบอะไรก็แล้วแต่เถอะ ... ถ้าฉันอิ่ม ๆ แล้ว โอ้โห .. ขี้เกียจมาก นอนก็เก่ง ราคะตัณหาก็มักเกิด ได้ระวังอันนี้ให้มากนะ


คือธาตุขันธ์เวลามันคึกคะนองมันเป็นของมันนะ เราไม่ได้ไปคึกคะนองกับมัน ไม่ได้ไปสนใจยินดีไยดีกับมันก็ตามนะ แต่เรื่อธาตุเรื่องขันธ์เป็นเครื่องเสริม มันแสดงออกมาเราก็รู้ อย่างอาหารดี ๆ ตามสมมุตินิยมนี้ด้วยแล้ว พวกผัด ๆ มัน ๆ โห..เก่งมากนะ ต้องระวัง..ผมไม่ได้กินแหละ ถึงจะไปในเมืองที่ไหนจำเป็นก็กินนิด ๆ ระวังขนาดนั้นนะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2013 เมื่อ 11:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #199  
เก่า 03-10-2013, 12:59
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อาหารสัปปายะ.. อาหารเป็นที่สบาย ในธรรมที่ท่านสอนไว้ว่า ที่สบายในการภาวนาต่างหาก นี่.. ไม่ได้สบายเพื่อราคะตัณหา เกี่ยวกับธาตุขันธ์นี่นะ... กินแล้วธาตุขันธ์ก็ไม่กำเริบ การภาวนาก็สะดวกสบาย... ท่านหมายเอาอย่างนั้นต่างหาก จึงต้องได้ระมัดระวัง โอ๊ย..กินแบบนักโทษนั่นแหละ พูดง่าย ๆ ...จะเห็นแก่ลิ้นแก่ปากไม่ได้นะ มันต้องมองดูธรรมอยู่ตลอดเวลา อยากขนาดไหนก็ไม่เอา ถ้าเห็นว่ามันเป็นข้าศึกต่อธรรมแล้ว ต้องได้บังคับกันอยู่ตลอด...

นี่ พูดถึงเวลาฝึกทรมานเจ้าของ อาหารจะต้องมี แต่อาหารอย่างว่าละ เช่น ข้าวเปล่า ๆ ไม่ต้องพูดละ..ว่าจนชิน เรื่องฉันข้าวเปล่า ๆ อยู่ในป่าในเขา บางทีถ้าสมมุติว่า เขาตำน้ำพริกมาให้ เขาก็ใส่ปลาร้าเสีย ปลาร้าก็เป็นปลาร้าดิบ อย่างนี้มันก็ฉันไม่ได้..เสีย.. จะว่า ‘ยังไง’ เพราะไม่ได้มีใครตามมานี่ เขาจะตามมาอะไร เราก็ไม่ให้เขาตามนี่ เราไม่ต้องการยุ่ง บางทีเขาก็ตำน้ำพริกให้สักห่อหนึ่งมา น้ำพริกถ้ามีแต่พริกล้วน ๆ เราก็ฉันได้ แต่นี้มันมีปลาร้านั้น ปลาร้าดิบนี่ เขาไม่ใช่ทำปลาร้าสุก ๆ มันก็เลยกินไม่ได้ ...

การอยู่การกินใช้สอย ไม่ได้มีอะไรมาเป็นอุปสรรค พอได้ยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่ง ๆ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาอยู่ภูเขา ได้ข้าวเปล่า ๆ มาสองสามก้อน บ้านใหญ่ไม่อยู่ เพราะอาหารการกินสมบูรณ์.. ธรรมะจม ถ้าอาหารการกินบกพร่อง ๆ ธรรมะดีด ๆ เพราะเราไป... เราไปเพื่อธรรมะ เราไม่ได้ไปเพื่ออาหาร จึงต้องไปหาอยู่ที่ขาดแคลนกันดารในป่าในเขา เขาได้อะไรเขาก็ใส่ ส่วนมากมักจะมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ได้กับก็กับอย่างว่าแหละ มีน้ำพริกบ้างอะไรบ้างนี้ดีหน่อย คือจิตมันไม่ได้อยู่กับอันนี้ อยู่กับมรรคผลนิพพาน ..

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2013 เมื่อ 15:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #200  
เก่า 08-10-2013, 10:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,201 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ฉันข้าวเปล่า ๆ มันฉันได้มากแค่ไหน ๒ - ๓ คำมันก็อิ่มแล้ว ... ทีนี้เดินจงกรมตัวปลิวเลย นั่งภาวนานี่เป็นหัวตอ ไม่มีโงกมีง่วง มันก็บ่งให้เห็นได้ชัด ๆ ว่า เพราะอาหารนั่นเอง มันทำให้โงกให้ง่วง ... ถ้ามีกับดี ๆ ก็ฉันได้มาก ฉันได้มากก็นอนมาก ขี้เกียจมากนะซี.. โงกง่วง นั่งสัปหงกงกงันไปละ ก็เคยเป็นอยู่แล้ว รู้อยู่ ไปอยู่อย่างนั้นมันไม่นี่ ฉันอาหารอย่างที่ว่านี่นะ ... เพราะฉะนั้นจึงอดบ้าง อิ่มบ้าง อยู่ไป ขอให้ใจได้สะดวกสบาย ...

นี่ละ.. เวลาหาธรรมเป็นอย่างนั้นแหละ มีแต่ความทุกข์ ความลำบากทั้งนั้น.. หาธรรม จะได้สะดวกสบายดูจะไม่ค่อยมีละ อยู่ในป่าในเขา บางทีก็ไปอาศัยเขา ๓ - ๔ หลังคาเรือน เขาอยู่ในเขา เขาไม่มีไร่มีนาทำ เขาก็หาของป่า อะไรเอาไปแลกทางชาวบ้านเขาขึ้นมากิน เราก็ไปพักกับเขา ก็ไปอย่างว่า.. มันไม่มีอะไรแหละ องค์เดียว สององค์ไป อาศัยกินเขาบ้าง ไม่กินก็ได้นี่ ก็เราเคยมาแล้ว

อยู่ในสกลนครนี่ละมากที่สุด เราเที่ยวแหลกเลย ภูเขาลูกนี้ไปหมด ตั้งแต่สกลนครถึงกาฬสินธุ์ ปีนี้เข้าทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้น ลงทางนั้น ขึ้นไปตลอดเลย ... เรื่องการอยู่การกินนี้ ความอดอยากขาดแคลนเป็นประจำล่ะ แต่เราไม่ได้ห่วงอันนี้มากยิ่งกว่าธรรม...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-10-2013 เมื่อ 18:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว