กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-05-2022, 17:46
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,523
ได้ให้อนุโมทนา: 215,909
ได้รับอนุโมทนา 736,866 ครั้ง ใน 35,895 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-05-2022, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้ไปทำหน้าที่ของตน ในฐานะคณะกรรมการอำนวยการฝึกอบรมเจ้าอาวาสใหม่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องมาทำหน้าที่บันทึกเสียงตามระเบียบ

วันก่อนที่มีการบวงสรวงขออนุญาต สร้างวัตถุมงคลจากยาจินดามณีและสร้างยาจินดามณีนั้น ทางเจ้าภาพมีการขอให้กระผม/อาตมภาพกดพิมพ์นำฤกษ์พระเจ้าสัวเนื้อยาจินดามณี แต่ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพประมาณกำลังตนเองผิดไป จึงได้ใช้กำลังประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังปกติ ปรากฏว่าเครื่องพิมพ์ทั้งเครื่องล้มกระจายไปเลย..!

ตรงนี้ต้องขอบอกกล่าวกับทุกท่านว่า กระผม/อาตมภาพป่วยเป็นโรคมาลาเรียเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี ปีนี้อายุ ๖๓ ปีแล้ว ขอยืนยันว่ากำลังของตนเองนั้น เหลือประมาณแค่ ๑ ใน ๑๐ ของสมัยหนุ่ม ๆ เท่านั้น

เนื่องเพราะว่าในสมัยที่ยังอยู่กองโรงเรียน ฝึกวิชาทหารกับเพื่อน ๆ นั้น เมื่อโดนเพื่อน ๒ คนซึ่งน้ำหนักตัวคนละประมาณ ๖๐ กิโลกรัม ล็อคแขนซ้ายขวาอยู่ กระผม/อาตมภาพสามารถคว้าหัวเข็มขัดสนามของเพื่อน แล้วยกเพื่อนทั้ง ๒ คนลอยทั้งตัวได้..!

เมื่อมาถึงตอนนี้กลายเป็นคนแก่ แต่ก็ยังแปลกใจในความเป็นคนแก่ของตนว่า บางทีก็ยังแข็งแรงกว่าหนุ่ม ๆ สมัยนี้ เนื่องเพราะว่าในสมัยวัยรุ่นก็แบกข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัมเป็นปกติ

แม้กระทั่งตอนที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ซึ่งตอนนั้นก็อายุกาลผ่านวัยมาถึง ๕๐ ปีแล้ว มีการสร้างลานธรรมวัดท่าขนุน ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือจุดที่ทางวัดใช้ ในการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงถวายเป็นพุทธบูชา

ตอนช่วงนั้นก็มีพระภิกษุจำนวนมากที่อุปสมบทเข้ามาช่วยงานอยู่ กระผม/อาตมภาพเห็นทางโรงงาน นำเอาแท่งปูนซึ่งใช้ทำเป็นขอบลานธรรมมาส่ง แท่งคอนกรีตนี้หนักแท่งละ ๑๐๐ กิโลกรัม เมื่อเห็นว่ามีจำนวนมากมาย และพระภิกษุของเราหลาย ๆ รูปก็ช่วยกันยกแท่งหนึ่ง ด้วยความที่ลืมตัวไปว่าตัวเองแก่ อายุถึง ๕๐ ปีแล้ว ก็ไปยกกับเขาด้วย แต่ว่าพระที่ท่านยกอยู่นั้น ความแข็งแรงไม่เท่าคนแก่อย่างกระผม/อาตมภาพ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2022 เมื่อ 01:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-05-2022, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องนี้ถ้าต้องการสักขีพยานให้ไปถามจากทิดหนุ่ม (นายวัฏฏ์ชยุตม์ พฤกษถานนท์กุล) ซึ่งตอนนี้เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างอยู่ที่วัดท่าขนุน ตอนนั้นท่านอุปสมบทเป็นพระอยู่ เมื่อมายกแท่งคอนกรีตคู่กัน ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพลืมตัว ต้องการที่จะให้งานเสร็จเร็ว ๆ ดึงแท่งคอนกรีตมาได้ก็ยกเข้าที่ไปเลย แต่ปรากฏว่าที่ปลายแท่งคอนกรีตอีกด้านหนึ่ง มีของที่ถูกยกติดมาด้วยก็คือทิดหนุ่มนั่นเอง..!

เมื่อเห็นสภาพเช่นนั้นแล้ว ทิดหนุ่มบอกว่า "หลวงพ่อน่ากลัวจนเกินไป" กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าน่ากลัวตรงไหน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ตนเองทำได้เป็นปกติอยู่แล้ว

แม้กระทั่งสมัยที่ออกธุดงค์อยู่ ซึ่งตอนนั้นก็มีพระตามไปหลายรูป ที่ยังเหลืออยู่ก็คือพระครูปลัดปรีชา จิรนาโค, ดร. เจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ ส่วนที่สึกหาลาเพศไปก็มีทิดกอล์ฟ (นายศราวุธ วัฒนะโชติ) ทิดเค (ธีรวุฒิ) ฯลฯ ซึ่งตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่านามสกุลจริงคืออะไร แต่ที่บอกกล่าวเอาไว้เพื่อให้ทุกคนได้มีหลักฐานยืนยันไปสอบถามได้

เมื่อถึงสถานที่พัก กระผม/อาตมภาพก็ปล่อยให้ท่านอื่นจัดแจงกางกลด ทำความสะอาดพื้นที่ ตนเองนำบาตรไปตักน้ำสะอาดมา เพื่อเตรียมที่จะต้มน้ำร้อนแจกจ่ายให้กับทุกคน ด้วยความที่ว่ากลางคืนในป่านั้นหนาวมาก จึงต้องมีการก่อไฟกันเป็นปกติ กระผม/อาตมภาพเห็นไม้แห้งอยู่ท่อนหนึ่ง โตประมาณ ๑ โอบ ความยาวเกือบ ๆ ๔ เมตร ลอยน้ำมาติดชายฝั่งอยู่ ก็ยกติดมือมา พร้อมกับอีกมือหนึ่งก็ถือบาตรเบอร์ ๘ ครึ่งที่บรรจุน้ำเต็มมาด้วย

เมื่อบรรดาทิดกอล์ฟ ทิดชาย (นายอรรถพล ธรรมรัตน์) ทิดเคในสมัยนั้นเห็นเข้า ก็ปรี่กันเข้ามาช่วย ท่านหนึ่งก็ยกบาตรที่ใส่น้ำเต็มไป อีก ๒ ท่านก็มายกหัวท้ายของไม้ท่อนนั้น กระผม/อาตมภาพบอกว่า "เรียกพวกคุณมาให้มากกว่านี้" แต่ว่าทั้ง ๒ ท่านไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียกด้วย ? ในเมื่อหลวงพ่อแบกคนเดียว แล้วพวกเขาก็มาตั้ง ๒ คนแล้ว ในเมื่อเห็นเขามีความมั่นใจหนักหนา กระผม/อาตมภาพก็ปล่อยไม้ท่อนนั้น ผลก็คือทั้ง ๒ คนโดนไม้ถ่วงหัวทิ่มพื้นไปพร้อมกัน..!

ส่วนอีกครั้งหนึ่งนั้นอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นก็จะมีการก่อสร้าง ซึ่งการก่อสร้างช่วงนั้นจะใช้เสาสำเร็จรูป ก็คือเสาหน้า ๕ นิ้ว ยาว ๕ เมตร แต่ว่าเป็นเสาในลักษณะตีนช้าง ก็คือมีโคนใหญ่มาก กระผม/อาตมภาพจึงแบกด้านที่เป็นตีนช้าง ปล่อยให้ทิดกอล์ฟแบกทางด้านที่เป็นปลาย

เมื่อนับ ๑-๒-๓ ยกขึ้นพร้อมกัน กระผม/อาตมภาพเหวี่ยงด้านที่เป็นตีนช้างขึ้นบ่าได้ อีกด้านหนึ่งทางด้านหลังก็ทรุดฮวบลงไป กระผม/อาตมภาพหันไปมอง ปรากฏว่าทิดกอล์ฟโดนปลายเสาทับ คอพับติดพื้นอยู่..! จึงได้รีบวางด้านของตนเองลง แล้วไปช่วยยกออกให้ ทิดกอล์ฟบอกว่า "ระยะเวลาแค่ไม่กี่วินาที ทำไมคนใกล้ตายคิดอะไรได้มากขนาดนี้ ? ผมคิดเลยว่า หลวงพ่อแบกด้านที่ใหญ่กว่ามาก แล้วถ้าหลวงพ่อโดนทับอยู่อีกคนหนึ่ง ใครจะมาช่วยชีวิตผม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2022 เมื่อ 01:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-05-2022, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ถ้าหากว่าคนอื่นอาจจะเห็นเป็นของอัศจรรย์ แต่กระผม/อาตมภาพเห็นเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะได้พบได้เห็นจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมาจนเป็นเรื่องปกติแล้ว

อย่างเช่นว่า เมื่อท่านเลิกจากการรับสังฆทานที่ศาลานวราชบพิตร จะเดินทางกลับที่พัก ก็มีญาติโยมคุกเข่าอยู่ ๒ ฝั่ง ก้มศีรษะเป็นแถวยาว เพื่อให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเอาไม้เท้าเคาะหัวให้ ไม้เท้าของท่านนั้นเป็นไม้เท้าอะลูมิเนียมแบบปรับสูงต่ำได้ ปลายด้านหนึ่งหุ้มยางกันลื่นเป็นปกติ

ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยเห็น กระผม/อาตมภาพได้รับไม้เท้าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจากช่างเชียร ซึ่งเป็นลูกชายของช่างชิต แก้วแดงที่ทำหน้าที่ก่อสร้างในวัดท่าซุงมาเกือบทั้งตลอดชีวิต ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบไว้ให้ช่างชิตเป็นกำลังใจ เมื่อสิ้นพ่อไปแล้ว ช่างเชียรบอกว่า "ไม่เห็นว่าใครมีบารมีพอที่จะครอบครองไม้เท้าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไว้ได้ ก็เลยขอถวายหลวงพี่เอาไว้ก็แล้วกัน"

ดังนั้น...หากว่าท่านทั้งหลายไม่เคยเห็น ถ้ามีการสร้างพิพิธภัณฑ์เครื่องอุปโภคบริโภค คือเครื่องใช้ไม้สอยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ กระผม/อาตมภาพอาจจะนำออกมาแสดงให้ทุกคนได้เห็น

แต่ในตอนที่ทำไม้ถือ หรือว่าไม้ครูของทางวัดท่าขนุนนั้น กระผม/อาตมภาพเคยนำไม้ครูของครูบาอาจารย์มาเข้าพิธีด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือว่าขอกำลังจากครูบาอาจารย์มาอนุเคราะห์สงเคราะห์ ซึ่งก็ได้นำเอาไม้เท้าของหลวงพ่ออันนี้มาเข้าพิธีนั้นด้วย

เมื่อหลวงพ่อเคาะศีรษะทุกคนแล้วเดินผ่านไป มีโยมท่านหนึ่งเอามือคลำหัวทำหน้าพิกล กระผม/อาตมภาพกับหลวงตาวัชรชัยจึงถามว่า "เป็นอะไร ?" โยมแบมือให้ดู ปรากฏว่าเลือดติดมือมาด้วย..! หลวงพ่อท่านเคาะหัวด้วยความเมตตาแค่เบา ๆ แล้วปลายไม้เท้าก็หุ้มยางกันลื่น แต่ปรากฏว่าโยมบางคนหัวแตก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2022 เมื่อ 01:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 22-05-2022, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพี่มหาดำของพวกเราทั้งหลาย ปัจจุบันก็คือท่านเจ้าคุณดำ (พระราชสุวรรณเวที) วัดสุวรรณคีรีหรือวัดขี้เหล็ก ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นหลวงพี่มหาดำ หลวงพี่มหาวิจิตร หรือว่าหลวงพี่มหาชุบ ซึ่งตอนหลังหลวงพี่มหาชุบนั้นก็คือท่านเจ้าคุณชุบ (พระศรีวิสุทธิโมลี) วัดเลียบ (วัดราษฎร์บูรณะ)

ทั้ง ๓ ท่านได้ช่วยวิ่งเต้นงานต่าง ๆ ให้แก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อในกรุงเทพฯ เช่น การติดต่อประสานงานพระเถระต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาทำงานสำเร็จหรือไม่สำเร็จเป็นประการใด ก็จะต้องมารายงานถวายงานแก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังจะขึ้นสู่ตึกนนทา อนันตวงษ์ เพื่อเข้าไปพักในตึกอินทราพงษ์ ท่านทั้งหลายที่ไม่เคยอยู่วัดท่าซุง จะนึกไม่ออก แต่ว่าตึก ๒ หลังนี้สร้างแฝดติดกัน แล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจาะกำแพงด้านหนึ่ง ทำเป็นบันไดเตี้ย ๆ แล้วก็ติดประตูเพื่อให้เดินทางจากตึกนนทา อนันตวงษ์ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าตึกริมน้ำ บางทีตรงจุดที่กระผม/อาตมภาพเข้าเวรอยู่ ก็เรียกกันตามรหัสวิทยุว่า หน้าตึก เพื่อที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะได้เข้าไปทำงาน อย่างเช่นว่าเขียนหนังสือ บันทึกเสียงธรรม ทำบัญชี เหล่านี้เป็นต้น ที่ในตึกอินทราพงษ์ซึ่งอยู่ติดกัน

เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลงจากยานพาหนะเตรียมจะขึ้นตึก หลวงพี่มหาดำหรือพระมหาสันติ สันติญาโณในขณะนั้น ก็ปราดเข้าไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่หน้าอก เพื่อที่จะได้ถวายรายงาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เอามือตบศีรษะด้วยความเมตตา "เออ..มาแล้วหรือไอ้ดำ ?" ปรากฏว่าหลวงพี่มหาดำลงไปกราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "เดี๋ยวรอเอาไว้ก่อนเพลนะ" แล้วท่านก็เดินขึ้นตึกไปทำงาน

พวกกระผม/อาตมภาพก็ชื่นชมว่า "พี่กูเคารพพ่อเหลือเกิน กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าอีก" ปรากฏว่าหลวงพี่มหาดำคลำศีรษะตนเอง โงเงลุกขึ้นมา บ่นว่า "เกือบสลบ...!" พวกกระผม/อาตมาพก็ตกใจ ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นครับ ?" หลวงพี่มหาดำบอกว่า "ป๋ามือหนักอย่างกับตะลุมพุก ขนาดตบลงมาเล่น ๆ ยังรู้สึกเหมือนกับโดนฟาดด้วยไม้คมแฝก ร่วงทั้งยืนเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2022 เมื่อ 01:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 22-05-2022, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกงานหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพได้พบได้เห็นด้วยตนเองก็คือ วันนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าได้ยา ได้น้ำเกลือไป ท่านจึงลองออกกำลังกายตามที่หมอสั่ง ซึ่งมีผู้นำเอาเครื่องออกกำลังกายในลักษณะคล้าย ๆ จักรยานพร้อมกับกรรเชียงเรือ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าหากว่าถีบจักรยานแล้วกรรเชียงเรือไปด้วย โยกขึ้นหน้า ถอยหลัง ก็จะได้ออกกำลังทั้งร่างกาย โดยที่จุดโยกนั้นจะมีสปริงขนาดใหญ่ประมาณแขนผู้ใหญ่อยู่ด้านละ ๑ ตัว

พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า "เออ..วันนี้รู้สึกร่างกายดีว่ะ เล็ก..แกยกเครื่องออกกำลังมาหน่อยสิ" กระผม/อาตมภาพก็ยกเครื่องออกกำลังที่วางพิงไว้ข้างฝาเอาไว้มาติดตั้งถวาย เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านนั่งลง สอดเท้าเข้าที่ เอามือจับตรงเครื่องสำหรับกรรเชียง เพียงแค่ท่านดึงโยก ๒ - ๓ ทีเท่านั้น เสียงสปริงตัวใหญ่ขาดผางเลยทีเดียว..! แล้วท่านก็บ่นว่า "ทุด...เครื่องห่วย ๆ แบบนี้ก็เอามาขายกันได้..!" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่มองตาค้าง..!

กระผม/อาตมภาพมารู้ทีหลังว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็น "กำลังบุญ" กำลังบุญทั้งหลายเหล่านี้ในพระไตรปิฎกไม่มีบอกไว้ชัด แต่บอกเอาไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความแข็งแรงเท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก พระอานนท์ก็ดี นางบุญทาสีก็ดี นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับช้าง ๗ เชือก

กระผม/อาตมภาพก็แปลกใจว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วยชนิดที่แทบจะพยุงสังขารไม่ไหว แล้วทำไมถึงยังแข็งแรงขนาดนั้น ? ท่านได้เมตตาอธิบายว่า "รถ ๑๐ ล้อต่อให้วิ่งไม่เต็มสูบ แต่ถ้าชนกับ ๓ ล้อ จะเกิดอะไรขึ้น ?"
กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า อยู่ในลักษณะที่ว่า ถึงช้างจะไม่แข็งแรง แต่ถ้าเหยียบมด มดก็คงจะไม่เหลือซากเช่นกัน..!

ดังนั้น...บุคคลที่เกิดมามาก สร้างบารมีมามาก ถ้าหากว่าจะต้องมาเป็นผู้นำคน โดยเฉพาะผู้นำในสมัยเก่า ที่ต้องออกศึกออกสงครามอยู่เสมอ ถ้าไม่แข็งแรงกว่าคนอื่น ก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำเขาได้

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของวาระบุญ วาระกรรม เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าอยากได้แบบนี้ ก็เกิดให้มากอีกสักหน่อย แต่ถ้าหากว่าเข็ดแล้ว ทุกข์พอแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า เราทั้งหลายจะได้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ ล่วงพ้นจากสังขารที่เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ แล้วก็เข้าสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2022 เมื่อ 01:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว