|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#761
|
||||
|
||||
ทนฝืนสังขารเพื่อชาติ : ได้นกต่อ ผ้าป่าช่วยชาติต้นแรก
เมื่อธาตุขันธ์ของท่านหายขาดจากโรคมะเร็งแล้ว ความตั้งใจช่วยชาติก็ออกได้เต็มเหนี่ยวไม่มีอะไรมาสะดุดอีก ในเบื้องต้นองค์ท่านประกาศขอรับเงินสกุลดอลลาร์เข้าช่วยชาติ ก็ประจวบพอดีกับในวันนั้นคือวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ คุณสันติ วัฒนลี ลูกศิษย์คนหนึ่งขององค์หลวงตาก็ได้นําเงินดอลลาร์เข้าถวายสอดรับกับเจตนารมณ์ของท่านพอดี ดังนี้ "เราได้นกต่อแล้วนะ วันนี้มีท่านผู้ศรัทธาถวายเหรียญสหรัฐฯ ๒,๔๙๗ เหรียญ นี่เราได้นกต่อแล้ว เป็นห่วงเป็นใยมากจริง ๆ นะ เป็นห่วงเป็นใยชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ไม่ห่วง เพราะฉะนั้น..ถึงได้ออกขายตัว..ว่างั้นเถอะนะ หลวงตาบัวนี้ออกขายตัว ขอบิณฑบาตทั่วประเทศไทย ฟังซิ..เราไม่เคยเลยนี่ได้ออกขายตัวแล้ว ขอบิณฑบาตทั่วประเทศไทย..เงินเพื่อชาติเรา" ต่อมาในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นงานบุญประทายข้าวเปลือก ซึ่งในปีนี้มีประชาชนมาร่วมทำบุญประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน องค์ท่านจึงได้ถือโอกาสนี้ประกาศท่ามกลางพุทธศาสนิกชนว่า "เรารู้สึกสะเทือนใจมาก เมื่อทราบว่าประเทศไทยเป็นหนี้เขาอยู่แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่ก็เท่ากับนิวเคลียร์นิวตรอนนั่นเอง คนทั้ง ๖๒ ล้านคน เป็นสัตว์ไปหมด เขามาเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าอำนาจ ครองบ้านครองเมืองของเรา ด้วยการยึดสิ่งนั้น ยึดสิ่งนี้ สาระสำคัญซึ่งเป็นหัวใจของชาติไทยเรา เขาเป็นเจ้าของหมด เรามีแต่ลมหายใจ มันมีความหมายอะไร ในชีวิตเราจะไม่ยอมเห็นชาติล่มจมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเราต้องช่วยกัน วันนี้เป็นวันดี เป็นวันบุญข้าวเปลือก เราจึงขอรับบริจาคดอลลาร์เพื่อช่วยชาติ" เมื่อท่านพูดจบเสียง "สาธุ" ของพุทธศาสนิกชน ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นผู้มีจิตศรัทธาต่างเข้าถวายเงินบาท เงินสกุลต่างประเทศ ต่อองค์หลวงตากันเป็นแถวยาวเหยียด ต่อมาคณะศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เริ่มต้นจัดทำต้นผ้าป่าช่วยชาติในชื่อ "ผ้าป่าคนจนบ้านถ้ำกลองเพล" โดยใช้ต้นกล้วย สำหรับเสียบธนบัตรดอลลาร์ ๑๐๐ ใบ ๆ ละ ๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีผู้มาร่วมบุญเพิ่มเติมอีก โดยหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต รับเป็นประธาน พร้อมได้มอบหมายให้ชาวบ้านน้อยฯ เป็นตัวแทน อุ้มต้นผ้าป่าช่วยชาติเข้าถวายองค์หลวงตา ท่านกล่าวตอบรับในทันทีว่า "โอ้โห..! ท่านเพ็งเก่งกว่าเรา ท่านเพ็งไปหามาจากไหน เราหาแทบเป็นแทบตายยังไม่ค่อยจะได้ นี่ท่านเพ็งอยู่ในป่า ยังหาดอลลาร์มาได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2024 เมื่อ 10:03 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-10-2024), ชุณหพงศ์ (30-10-2024), ต้นบุญ (31-10-2024), ปราโมทย์ (29-10-2024), พี่เสือ (31-10-2024), มารวย๙ (29-10-2024), วุฒิชัย (04-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (20-11-2024), สุธรรม (29-10-2024), หนุ่มก่อสร้าง (29-10-2024)
|
#762
|
||||
|
||||
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ประชาชนจากที่ต่าง ๆ มักนิยมนําต้นผ้าป่าช่วยชาติทั้งเงินบาทและเงินสกุลต่างประเทศ มาถวายองค์หลวงตาอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว "ต้นผ้าป่าช่วยชาติ" จึงกลายเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งโครงการช่วยชาติและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีร่วมใจของชาวไทยสืบไป และสำหรับการรับบริจาคทองคํานั้น ต่อมาอีกระยะหนึ่งท่านก็เมตตาเปิดรับบริจาคทองค่าเข้าสู่คลังหลวงเพิ่มเติมจน "ทองคํา" กลายเป็นปัจจัยหลักของโครงการช่วยชาติเลยทีเดียว
การช่วยชาติในระยะนี้ดูเหมือนจะสะดวกราบรื่นดีงามทุกอย่างแล้ว แต่การณ์กลับไม่เป็นดังนั้นเสียทีเดียว หากมีอุปสรรคกีดขวางทางเดินอย่างหนักหนาสาหัส ในสายตาของลูกศิษย์ผู้รักเคารพห่วงใยสุขภาพขององค์หลวงตา กล่าวคือในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หลังฉันภัตตาหารเช้า องค์หลวงตาได้ขึ้นรถตู้ตามปกติ เพื่อไปแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้ง และบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลในอำเภอใกล้เคียง ในช่วงเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา ระหว่างการเดินทางบนถนนสายสว่างแดนดิน-เจริญศิลป์-วานรนิวาส เขตอำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร องค์หลวงตาได้ประสบอุบัติเหตุกะทันหัน รถตู้ตกลงจากถนน ไม่ถึงกับพลิกคว่ำ แต่ตกลงไปกระแทกบริเวณที่วางท่อข้างทางอย่างเรง จนทำให้ยางแตกเกือบทุกเส้น องค์หลวงตาซึ่งนอนอยู่บนเบาะรถแถวหน้า ได้กระแทกเข้ากับคอนโซลที่วางของหลังคนขับ จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ขวา ดังนี้ "แล้วข้างนี้ไปเกิดอุบัติเหตุ เลยไม่เป็นท่า แขนข้างเดียวก็ไม่เป็นท่า กระดูกแตกเหมือนกันนะ..ไปตรวจ ออกจากที่เกิดเหตุ รถเขาก็นําเป็นแถวยาวเหยียด ได้สัก ๕ กิโล รถทางหลวงมันมากต่อมาก เป็นแถวยาวเหยียดเลย ได้สัก ๕ กิโล ไปถึงก็เข้าโรงพยาบาล เอ้า..มีอะไรเอามาตรวจดู เขาบอก "กระดูกแตกตรงนี้" เขาเตรียมห้องเตรียมหับไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะให้เราพักอยู่ที่โรงพยาบาล เตรียมไว้หมด พอเราไปนี้ทั้งหมอทั้งพยาบาลเต็มหน้าโรงพยาบาลเลย ไปให้เขาตรวจดู พอตรวจเสร็จสรรพ แล้วมีอะไรล่ะ ? เอ้า..ว่ามา มีแต่จะเอาเฝือกแฝกมาใส่ "ไม่เอา เราไม่ใส่" แล้วเอาผ้าพันมาเลย จากนั้นลุกจะกลับ จะเอาให้เข้าพักโรงพยาบาล "ไม่พัก ไม่ใช่วัด" ไปเลย..เป็นอย่างนั้นน่ะเรา หมดท่า..โรงพยาบาลทั้งโรง ทั้งหมอทั้งพยาบาลเต็มหมด เดินไปต่อหน้าเลยกลับเลย เป็นอย่างนั้นน่ะเรา ไม่ได้เหมือนใครนะ "ถ้าสมควรจะอยู่ ไม่บอกก็อยู่ สมควรจะไป ให้อยู่ก็ไม่อยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2024 เมื่อ 10:06 |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-10-2024), ชุณหพงศ์ (30-10-2024), ต้นบุญ (31-10-2024), ปราโมทย์ (29-10-2024), พี่เสือ (31-10-2024), มารวย๙ (29-10-2024), ศุภชัยรู้แผน (20-11-2024), สุธรรม (29-10-2024)
|
#763
|
||||
|
||||
"เราพิจารณาของเราเรียบร้อยแล้วไปแล้ว มันก็ค่อยดี กระดูกอันนี้ก็ยังมีที่มันแตก แตกช่างหัวมันเถอะ ถ้าหากว่าเราไม่หลบนี้จะชนคน พอหลีกคนก็เลยตก คน ๆ นั้นมันเป็นอะไร มันกรรมอะไรไม่รู้ ? บทเวลาจะเป็นก็ขี่มอเตอร์ไซค์เก้งก้างเข้ามานี่เลยนะ ทางกว้าง ๆ ไม่ได้แคบนะ ทางกว้าง..ไม่มีรถมีราที่ไหน เราก็ไปสายของเราตามสายถูก เขาก็ไปทางนู้น เราก็ไปทางนี้ เวลาไปนั้นเก้งก้าง ๆ เข้ามาเลยนะ..หลบไม่ทัน ถ้าจะไปตามนี้รถคันนั้นพอดีชนแหลก คนจะตายทั้งคน หลบนี้ก็เลยตกไปนั้น เรื่องราวเป็นอย่างนั้นละ..!
คนขับมันก็จะเป็นกรรมอันหนึ่งกันละ มอเตอร์ไซค์ทางกว้าง ๆ เขาก็ขับมาทางนู้นแล้วอย่างไร มานี่เก้งก้างเข้ามาหานี่เลย รถเราก็ไปธรรมดา มันหลบที่ไหนไม่ได้ ตกลงก็หลีก หลีกก็ตกลง..คนนั้นก็รอดไป ถ้าหากว่าเราไม่หลีก..ตาย..! จะว่าอย่างไร นั่นละ..ที่เกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นกำลังเริ่มช่วยชาติอยู่ ทางไหน ๆ ลูกศิษย์ลูกหาถามมา จะงดไหมเรื่องการช่วยชาติ ไม่งด..เราบอก ช่วยตลอดไปเลย ช่วยชาติของเรา" ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ทำการรักษาโดยเข้าเฝือกอ่อนไว้ก่อน และจัดคณะแพทย์เฝ้าดูแลที่วัดอย่างใกล้ชิด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนกว่า ๒๐๐ นายมารักษาความปลอดภัย ส่วนพระติดตามที่นั่งบริเวณด้านเบาะหลัง กระดูกข้อต่อสันหลังเคลื่อน อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ไหล่ขวาของท่านต้องเยียวยาอยู่หลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ คณะศิษย์ต่างก็ห่วงใยในสุขภาพ จึงกราบขอร้องให้ท่านยุติการช่วยชาติ แต่ท่านปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ความเมตตาสงสารชาติบ้านเมืองมีน้ำหนักมากกว่า ดังนี้ "แม้หลวงตาจะประสบอุบัติเหตุ กระดูกแขนแตกพิกลพิการเช่นนี้ หลวงตายังไม่รู้สึกห่วงตัวเองยิ่งกว่าชาติไทยของเรา เราห่วงชาติไทยเราจริง ๆ นะ เราติดหนี้เขาจนถึงขนาดที่ว่าเมืองไทยเราจะจม ในปี ๔๐ เป็นปีที่ร้อนมากที่สุดสำหรับเมืองไทยเรา ร้อนเข้าไปถึงศาสนา ร้อนเข้ามาหาหลวงตา ถึงขนาดร้อง "โก้ก" เลย หลวงตาบวชมาก็ไม่เคยร้อง "โก้ก" แบบสะเทือนมากทั่วประเทศไทยนี้ มาคราวนี้ถึงกับร้อง "โก้ก" เชียว สิ่งที่จะร้องก็คือ ๑. เราติดหนี้เขาเวลานี้ เรียกว่าเราอยู่ใต้อุ้งเล็บเขา เขาจะกำเราเมื่อไรก็ได้ จ่ออยู่ฝั่งทะเลหลวงที่จะจม จนถึงขนาดได้พูดว่า นี่สงครามเศรษฐกิจ ให้ดูเอานะ เวลานี้ครอบเมืองไทยเรา พี่น้องชาวไทยเราเป็นยังไง อยู่ใต้อุ้งเล็บเขายังนอนหลับครอก ๆ แครก ๆ อยู่เหรอ..นี้อันหนึ่ง ๒. ดอลลาร์เขาดอลล์เดียวฟาดเงินไทยเราจากเดิม ๒๕ บาท เป็น ๕๖ บาท นี้อันหนึ่ง ๓. คนไทยเราคิดเฉลี่ยติดหนี้เขา ๖๒ ล้านคนนี้ ติดหนี้เขาคนละ ๕ หมื่นบาท ฟังซิ..ให้ลูกศิษย์ไปค้นคว้าเอาต้นมูลต้นเหตุมาจากข้างในโน้น ให้เราดูเรื่องราวมัน ก่อนที่เราจะขึ้นเวทีช่วยพี่น้องทั้งหลายนะ อะไรที่เป็นความจำเป็นมากที่สุด ที่ล่อแหลมต่อความล่มจมของชาติไทยเรา ก็ได้ความว่าติดหนี้ไอเอ็มเอฟ โห..ติดหนี้พวกนี้ไม่ใช่ของเล่น เรียกว่าหนูตัวหนึ่งอยู่ใต้อุ้งเล็บของเสือโคร่ง ใช่เล่นเมื่อไร ร้อง "โก้ก" เลยเทียวเรา คนไทยเราเคยเป็นใหญ่เป็นโตเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองมาสักกี่ดึกดำบรรพ์แล้วนะ นานสักเท่าไรแล้วเมืองไทยเรานี่ จะมาถูกเขาฮุบเอาเป็นบ๋อยคนใช้กลางบ้านกลางเรือนเขานี่ แหม..พูดได้คำเดียวว่า แหม..ออกอุทานว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นจึงต้องรีบ ให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัว เราทำเพื่อเมืองไทยเรา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2024 เมื่อ 10:11 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-10-2024), ชุณหพงศ์ (30-10-2024), ต้นบุญ (31-10-2024), บัวสวรรค์ (12-11-2024), ปราโมทย์ (29-10-2024), พี่เสือ (31-10-2024), พุทธภูมิ (29-10-2024), มารวย๙ (29-10-2024), สุธรรม (29-10-2024)
|
#764
|
||||
|
||||
หลวงตาให้อภัยทุกคน
วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. เจ้าคุณพระราชเมธากร (เจ้าคุณปาน) เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (ธรรมยุต) พร้อมด้วยคณะเดินทางมาเยี่ยมอาการอาพาธขององค์หลวงตาที่กุฏิ ซึ่งลูกศิษย์ได้ช่วยกันรักษาแบบพื้นบ้าน คือ "ย่าง" หรือ "ตั้งยา" สมุนไพรร่วมกับหมอชาวจีน ที่มีความชํานาญในด้านการรักษา ไหล่ขวาของท่านมีรอยช้ำเป็นบริเวณกว้าง แต่องค์หลวงตายังมีอาการปกติ และได้เทศน์โปรดท่านเจ้าคุณพระราชเมธากร ในขณะที่นอนรักษาไหล่ขวาอยู่ว่า "นี่ท่านเจ้าคุณ ผมเป็นมาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ แต่ละครั้งหนักทั้งนั้น ครั้งแรก ป่วยเป็นไข้เจ็บขัดในหัวอก ชาวบ้านตายวันละ ๗ - ๘ คน เป็นโรคติดต่อ เป็นหนักที่บ้านกาหม - โพนทอง อำเภอบ้านผือ ติดต่อกับอำเภอท่าบ่อ มีแม่น้ำทอนเป็นเขตแดน ต้นปี ๒๔๙๓ นึกว่าจะตายแล้ว แต่ก็ไม่ตาย ครั้งที่สอง เป็นโรคท้องร่วงถ่ายติดต่อกัน ๒๕ ครั้ง อาเจียนอย่างรุนแรง ๒ หน ร่างกายตายไปแล้ว ๙๙% เหลือเพียง ๑% ก็นึกว่าคงตายแน่ แต่ก็อยู่รอดมาได้ พอครั้งที่สาม คือครั้งนี้ ก็ไม่เห็นมันเป็นอะไร มันเป็นเรื่องของกรรมนะท่านเจ้าคุณ เรากําลังจะรับบริจาคดอลลาร์ช่วยชาติ ก็มาเป็นอย่างนี้ ขณะนี้ได้รับเงินบริจาค ๒ แสนดอลลาร์เศษแล้ว เพราะมีการป่าวประชาสัมพันธ์ไปทางทีวี หนังสือพิมพ์ คิดว่าคงจะได้เพิ่มขึ้นอีกเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งเงินไทยด้วย ได้มาเท่าไรก็ออกไปช่วยในสิ่งที่เดือดร้อนกันหมด โรงพยาบาลนาทม กิ่งอำเภอนาทม จังหวัดนครพนมนั้น ไม่มียา เพราะไม่มีงบประมาณ แม้แต่เงินเดือนหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รับมา ๒ - ๓ เดือนแล้ว เราต้องนําเงินที่ได้รับบริจาคไปแจกจ่ายให้ เราทำเพื่อโลกล้วน ๆ เจ็บป่วยคราวนี้คงไม่นานแล้วนะท่านเจ้าคุณฯ คิดว่าสิ้นเดือนนี้คงหาย เหลืออีกกี่วันนะ" ท่านเจ้าคุณฯ จึงตอบว่า "อีก ๑๓ วัน ครับหลวงตา" ต่อมาเวลา ๑๕.๐๐ น. นายวิชัย ทัศนเศรษฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี นําพุ่มพานดอกบัวมาถวาย และเยี่ยมอาการองค์หลวงตา ที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งองค์ท่านกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยว่า "การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ คิดว่าเป็นกรรมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกรรมของคนขี่รถจักรยานยนต์ กรรมของคนขับรถ หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่เว้น จะไปโทษใครไม่ได้ ทุกคนมีกรรมร่วมกัน จึงต้องช่วยเหลือกัน สำหรับอาการบาดเจ็บของหลวงตาไม่มากนัก หมอก็มาดูแลแล้ว ไม่น่าเป็นห่วง เมื่อคืนที่ผ่านมาเฝือกที่ใส่ไว้มันหดแน่น ทำให้เจ็บมาก จึงต้องให้หมอถอดออก ก็ไม่มีอาการเจ็บแล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรหนักใจ อีกไม่นานก็ไปรับบาตร และเทศนาได้เหมือนเดิมแล้ว ขอบอกผ่านญาติโยมทุกคนด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเดินทางมาเยี่ยมหรอก เดี๋ยวจะตายเพราะคนแห่มาเยี่ยมมากกว่า" แม้เจ็บปวดแขนสักเพียงใด ท่านก็ไม่บ่นไม่ว่า ไม่ติดใจถือเอาเป็นโทษเป็นความกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย ถือเป็นคุณธรรมและเมตตาธรรมอันสูงสุดเป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้ของศิษยานุศิษย์ได้อย่างสนิทใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2024 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (01-11-2024), ชุณหพงศ์ (01-11-2024), ต้นบุญ (01-11-2024), บัวสวรรค์ (12-11-2024), ปราโมทย์ (01-11-2024), พี่เสือ (02-12-2024), พุทธภูมิ (01-11-2024), มารวย๙ (01-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (20-11-2024), สุธรรม (01-11-2024)
|
#765
|
||||
|
||||
ฟ้าหญิงฯ... ประธานเปิดโครงการช่วยชาติ
องค์หลวงตาได้ประกาศช่วยชาติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เวลา ๐๗.๐๐ น. โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปทรงเป็นประธาน ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย ๓ กรุงเทพมหานคร ในวันเปิดโครงการช่วยชาตินั้น องค์ท่านอยู่ในสภาพผอมจนกระดูกและเส้นเอ็นปูดโปน แขนขวาที่กระดูกเดาะ ถูกสะพายไว้ด้วยผ้า หัวไหล่ขวาที่บวมเป่งสีดำคล้า นับเป็นนักรบกับความจนโดยแท้จริง "โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน" เป็นการปลุกจิตสํานึกของชาวไทย ในยามประสบทุกข์ให้รู้จักน้อมน่าหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ส่วนทางด้านวัตถุนั้น องค์หลวงตาเมตตาออกมาเป็นผู้นำในการรับบริจาคเงินทอง จากพี่น้องชาวไทยทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อนําทองคําเข้าสู่ "คลังหลวง" เป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคงปลอดภัยและเป็นหลักประกันชาติ สำหรับเงินบาทท่านได้นำไปช่วยสงเคราะห์เป็นสาธารณประโยชน์กระจายไปทั่วประเทศ ในระยะแรกของโครงการท่านนำเงินดอลลาร์เข้าสู่ "คลังหลวง" และในระยะต่อมาได้ประกาศจะนําเงินดอลลาร์ที่รับบริจาคไปทำประโยชน์กระจายทั่วประเทศเหมือนเงินบาท เนื่องจากมีโรงพยาบาล โรงเรียน หน่วยงานราชการ และสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ มาขอความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก องค์ท่านเมตตา กล่าวถึงเงินบริจาคเหล่านั้นว่า "เราเป็นผู้ถือบัญชี เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายและรับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นขอไว้วางใจได้ว่าเงินบริจาคเหล่านี้ปลอดภัยทุกบาททุกสตางค์" การเปิดโครงการช่วยชาติโดยองค์หลวงตา ท่านประกาศตนเป็นผู้นําในครั้งนี้ ก็เพื่อให้พี่น้องชาวไทยรับทราบกันโดยทั่วถึงและเป็นที่ลงใจในคุณธรรมของท่านว่า จะรักษาทรัพย์สินที่บริจาคมาด้วยความเป็นธรรมให้ลงสู่จุดหมายคือคลังหลวงได้อย่างปลอดภัย โดยพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศจะได้แสดงน้ำใจช่วยกันมากบ้างน้อยบ้างตามกําลัง เพราะเรื่องของชาติเป็นเรื่องใหญ่ มีความจำเป็นต้องได้ช่วยกันทุกคนครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งนี้ไม่ใช่วิสัยของคน ๆ เดียว หากเป็นวิสัยที่องค์หลวงตาทำได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียว ท่านจะไม่ยอมรบกวนผู้หนึ่งผู้ใดเลย ความเมตตาและเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่ภายในใจของท่านนี้ ทำให้ท่านถึงกับได้ออกปากว่า "เราช่วยโลกอย่างนี้ เราช่วยด้วยความเมตตาจริง ๆ ไม่ได้ช่วยเล่น ๆ นี่ถ้าหากว่าเรามีนะ เราจะไม่กวนชาวบ้านชาวเมืองเลย แต่ของเราคนเดียวพอแล้ว ตูมเดียวทั่วประเทศไทย ชั่วโมงเดียวหมด เรียบวุธหมดเลย แต่นี้เราไม่มีนั่นซี จึงได้เรียกร้องให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันช่วยกันเพื่อยก ถ้าเรามีแล้ว โอ๊ย...ไม่ยาก เราจะไม่ถามใครให้ลําบากเสียเวลํ่าเวลา ยกตูมเดียวเลยท่วมปุ๊บเลยเทียว ความจนลงทะเลหลวงมองตามหลังไม่ทันเลย มันจมไปเลย แต่นี้เพราะไม่มีนั่นเอง จึงได้ขอร้องจากพี่น้องทั้งหลายให้ช่วยกัน อันนี้ไม่ใช่กําลังของคนคนเดียวจะยกได้ มันกําลังของทุกคนที่จะยกชาติของตนขึ้นถึงถูก ถึงต้องได้พยายามอย่างนี้ เมื่อมันหนักมากก็พักไปเป็นระยะ ๆ เพราะเวลานี้แก่มากแล้ว เดินไปก็โซซัดโซเชแล้วกําลังวังชาไม่มี แต่จิตใจนั้นแข็งแกร่งตลอดเวลา ไม่งั้นไปไม่ได้นะ นี้เราไปด้วยอำนาจกําลังใจ กําลังความเมตตาต่างหาก ที่เราตะเกียกตะกายอยู่ทุกวันนี้ ใจเป็นสำคัญมากนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (04-11-2024), ชุณหพงศ์ (06-11-2024), ต้นบุญ (04-11-2024), บัวสวรรค์ (12-11-2024), พี่เสือ (04-11-2024), พุทธภูมิ (04-11-2024), มารวย๙ (04-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (13-11-2024), สัญญะจิตโต (04-11-2024)
|
#766
|
||||
|
||||
กองผ้าป่ามีสง่าราศีเพราะมีพระมหากษัตริย์
ต่อมาวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เวลา ๑๙.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทรงนมัสการองค์หลวงตาที่สวนแสงธรรม องค์ท่านกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญในขณะนั้นว่า "เวลาสนทนาอะไร ๆ กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่นั่งคุยไม่ใช่อะไรนะ ๙๐% เรื่องโรงพยาบาลล้วน ๆ เลย เราทูลถวายท่านด้วยเหตุด้วยผลทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านทรงสดับฝ่ายเดียว เราเป็นคนทูล เรื่องราวอะไร ๆ ไล่เข้าไปเลย เหมือนหนึ่งว่าเป็นนักวิชาการใหญ่ ไม่ใช่เล่นนะ ท่านไม่รับสั่งอะไรละ ทรงยิ้ม ๆ เราก็ทูลท่านเป็นลำดับลำดาขึ้นตลอดเลย ตบท้ายก็บอกว่าเราทุ่มเสียจริง ๆ กระทรวงทั่วประเทศไทยทุกกระทรวง ไม่มีกระทรวงใดที่มีความจำเป็นยิ่งกว่าสาธารณสุข" เราบอก... พระองค์ก็ทรงเห็นชอบด้วย รู้สึกว่าพระอัธยาศัยยิ้มแย้มแจ่มใสต่อการทูลของเรา เราทูลเรื่องโรงพยาบาล พระองค์ท่านพอพระทัยมาก พอออกไปไม่นานก็ตัดงบประมาณจากมหาดไทย ๒๐๐ ล้านมาให้สาธารณสุขโดยด่วนเลยนะ อย่างนั้นแล้ว เพราะเป็นความจําเป็น เราทูลท่าน ทูลแต่สิ่งที่จําเป็น ๆ จําเป็นตลอดเลยเกี่ยวกับโรงพยาบาล... วันหนึ่ง ๆ ส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลมากกว่าเพื่อนนะ เพราะเราเป็นห่วงมาก การช่วยโรงพยาบาลนี้เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งเต็มเลยเทียวนะ คือการช่วยโลกช่วยโรงพยาบาลรู้สึกจะเป็นอันดับหนึ่ง เพราะจิตใจเราเน้นหนักกับคนเจ็บไข้ได้ป่วย" ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงถวายทองคําพร้อมปัจจัยเข้า "โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" อีกด้วย ยังความปลาบปลื้มปีติแก่เหล่าศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาเป็นล้นพ้น นอกจากนี้ในเวลาประชาชนนำต้นผ้าป่าช่วยชาติมาถวาย องค์หลวงตาจะนำพระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ ประดับไว้ในกองผ้าป่าแต่ละกอง ๆ ด้วย ซึ่งองค์หลวงตากล่าวในเรื่องนี้ไว้ว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2024 เมื่อ 00:19 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (12-11-2024), ชุณหพงศ์ (13-11-2024), ต้นบุญ (13-11-2024), บัวสวรรค์ (12-11-2024), ปราโมทย์ (13-11-2024), พุทธภูมิ (12-11-2024), มารวย๙ (13-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (13-11-2024), สุธรรม (13-11-2024)
|
#767
|
||||
|
||||
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ ก็เท่ากับทั้งสองพระองค์อยู่ที่นั่นด้วย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่กองผ้าป่าแต่ละกอง ๆ ที่ไปตั้งไว้ที่ไหนก็ตาม..อยู่นั้นด้วย
แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ซึ่งเป็นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของเรา จะมาประทับเป็นคู่เคียงกับองค์ศาสดานั้นด้วย เพราะฉะนั้น..เรื่องการตั้งกองผ้าป่านี้จึงมีความสง่าราศีมาก คือเอาในนามของชาติไปตั้งลงกึ๊ก ๆ ให้ถือผ้าป่าเป็นมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทย เอ้า..จะไปตั้งที่ไหนไปตั้งเถอะ ตั้งแต่วงราชการสูงสุดลงมานี้คือผ้าป่าของชาติไทยเรา เป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์หนึ่ง เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ หนึ่ง มาประทับอยู่ที่กองผ้าป่าแต่ละกอง ๆ ให้พากันกราบ ถ้าเราไม่อยากกราบออกมาเป็นกิริยา ก็ให้นึกกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ด้วยความนอบน้อมทางใจ แล้วเอาเงินในกระเป๋าออกไปตั้งในผ้าป่า นี่เชิดชาติไทยของเราแล้ว ให้เป็นความเห็นอย่างนี้ทั่วหน้ากันนะ เพราะฉะนั้น..กองผ้าป่าไปที่ไหนไปเถอะ ไม่มีเสนียดจัญไร นี้กองมหามงคลที่จะอุ้มชาติไทยของตัวเองขึ้น จะเสียหายที่ตรงไหน ใครที่เห็นว่ากองผ้าป่าเป็นของเสนียดจัญไรคนนี้เป็นคนขวางโลก คนจะทำโลกให้จม อันนี้กองผ้าป่านี้จะยกชาติไทยขึ้นมา ไม่ได้ทำชาติไทยให้จม จะเสียหายที่ตรงไหน ? ผู้ที่ดูถูกเหยียดหยามกองผ้าป่าว่าเป็นเหมือนนรกหรือคนขอทาน นั้นแหละคนขอทานที่ยังไม่ตาย มันเป็นคนขอทานแล้ว..! นี่..เรามีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง พี่เบิ้มของเราก็มี ฟ้าหญิงฯ ท่านยังอุตส่าห์มาเป็นประธานเป็นมหามงคลแก่เราทุก ๆ ครั้งไป เราอบอุ่นมาก เรามีพ่อมีแม่ ในการดําเนินงานช่วยชาติของเรา สมบูรณ์พูนผลด้วยผู้นำ พวกเราทั้งหลายไม่ใช่ลูกกําพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ หรือมีแต่ลูกเต้าหยอมแหยมทำกันไปอย่างนั้น แต่เรามีหลักมีเกณฑ์ กษัตริย์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พ่อแม่ของชาติไทยทั้งชาติ เราจะต้องปฏิบัติให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมกับเรามีพ่อมีแม่คือวงศ์กษัตริย์ของเรา เป็นพ่อเป็นแม่ของเรา ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ขอให้ภาคภูมิใจในการดำเนินของตน เพื่อสนองคุณของพระพุทธเจ้า พระมหากษัตริย์ ให้เต็มภูมิของเรานะ ให้กตัญญูต่อชาติบ้านเมือง ผู้มีอุปการะต่อเราแม้น้อย พระพุทธเจ้ายังไม่ให้ลืมบุญคุณ นี้ชาติทั้งชาติมีคุณต่อชีวิตจิตเราหาประมาณไม่ได้ พวกเราจะไม่กตัญญูรู้คุณชาติให้เกิดอยู่เชียวหรือ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2024 เมื่อ 00:23 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (12-11-2024), ชุณหพงศ์ (13-11-2024), ต้นบุญ (13-11-2024), บัวสวรรค์ (12-11-2024), ปราโมทย์ (13-11-2024), พี่เสือ (22-11-2024), พุทธภูมิ (12-11-2024), มารวย๙ (13-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (13-11-2024), สุธรรม (13-11-2024)
|
#768
|
||||
|
||||
สายบุญชาวไทยในปางก่อน : ชะตากรรมชาติ
เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ เสด็จไปทรงเป็นประธานสดับพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตา ณ วัดป่าบ้านตาด มีพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นจำนวนมากร่วมในพิธีด้วย ในวันนั้นองค์หลวงตากล่าวถึงชะตากรรมบ้านเมือง ความเกี่ยวข้องโยงใยกับชาติบ้านเมือง และสายบุญสายกรรมของคนไทยที่เคยทำไว้ในอดีตกาล ดังนี้ "พวกเราชาวไทยทั้งหลาย ต่างก็เป็นสายบุญสายกรรมที่เคยร่วมสร้างสมอบรมคุณงามความดี มีความเกี่ยวโยงกัน เคยเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสายวงศ์ญาติ เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาแต่อดีตกาล จึงต่างมีบุญร่วมสร้างบารมีมหาทานอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยกัน เราจึงแน่ใจว่า สายบุญสายกรรมของพวกเราทั้งหลายนี้ ต้องมีความเกี่ยวโยงกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ไม่อย่างนั้นรวมกันเข้าไม่ได้ ลงใจต่อกันไม่ได้ เชื่อถือกันไม่ได้ บริจาคไม่ได้ ผู้นำเองก็ไม่ลงใจ ที่จะปลงใจเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายได้ นี่ทั้งสองฝ่ายต่างท่านต่างมีความลงใจบริจาค หมดไปมากน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่บริจาคด้วยความเชื่อถือ ด้วยความไว้วางใจ เพื่อความปลอดภัยแก่ชาติของเรา จึงเป็นบุญกรรมของพี่น้องทั้งหลาย ตลอดถึงผู้นำคือหลวงตานี้ด้วย ว่าจะเป็นธรรมที่เกี่ยวโยงกันในบุพเพชาติปางก่อน ซึ่งเคยได้สั่งสมอบรมคุณงามความดีและได้สร้างบารมีมาด้วยกัน จึงเป็นญาติพี่น้อง เป็นครูอาจารย์กันมาตลอดเวลานี้ หากไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จะเป็นไปไม่ได้ เรียกว่าทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายหลวงตาบัวซึ่งเป็นผู้นำก็พร้อมแล้ว พี่น้องทั้งหลายก็พร้อมแล้วในการบริจาคและบริจาคมาตลอด ผลแห่งการบริจาคของทั้งสองฝ่ายนี้ จะเป็นเครื่องอุดหนุน เป็นเครื่องค้าชูประเทศไทยเรา ให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นโดยลำดับ ขอให้พี่น้องทั้งหลายมีความภาคภูมิใจในบุพเพวาสนา คือเราเคยสร้างความดีมาตลอด เราก็ได้พบความดีมาเรื่อย ๆ เวลานี้เราก็ได้พบความดีที่จะได้ช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ด้วยการบริจาคทานให้เป็นมหากุศล เพราะกุศลอันนี้หาได้ยาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2024 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (13-11-2024), ชุณหพงศ์ (14-11-2024), ต้นบุญ (16-11-2024), ปราโมทย์ (14-11-2024), พี่เสือ (22-11-2024), พุทธภูมิ (13-11-2024), มารวย๙ (14-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (13-11-2024), สุธรรม (14-11-2024)
|
#769
|
||||
|
||||
"ชะตาของเมืองไทยมีเราเป็นผู้นำ ดวงชะตานี้มันมีอยู่ ๓ จุด
จุดที่ ๑ ชะตาของประเทศไทย จุดที่ ๒ ชะตาของหลวงตาบัว คือ ต้องตายแต่กลับไม่ตาย หมอโรงพยาบาลมาเอ็กซเรย์ที่วัดป่าบ้านตาด ว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ขั้นสุดท้าย เพื่อความแน่ใจจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ก็ยืนยันเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นได้เดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ คณะหมอก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่า อีกไม่นานจะต้องตาย ให้เตรียมตัวไว้ อย่างช้าต้องตายก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๔๑ จุดที่ ๓ ชะตาของลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่จะร่วมกันทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ชาติและพระศาสนา ดวงชะตา ๓ อย่างนี้รวมกันแล้วจะช่วยยกเมืองไทยขึ้นได้ หลวงตาเป็นผู้นํา ให้ทำตามที่ผู้นำบอกทุกอย่าง หลวงตาเด็ด ลูกศิษย์ต้องเด็ด พร้อมใจกันเสียสละ แม้คอขาดก็ต้องยอม ดวงชะตายังพอมีพอเป็นไปได้อยู่ ต้องสำเร็จ" และเมื่อมีค่าถามจากลูกศิษย์ลูกหาถามว่า งานยกชาติบ้านเมืองครั้งนี้จะสำเร็จได้ด้วยคุณธรรมข้อใด ท่านก็กล่าวตอบทันทีว่า "ด้วยธรรมะข้อ "สู้ไม่ถอย" สู้ไม่หยุดไม่ถอย เดี๋ยวชนะเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2024 เมื่อ 01:44 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (13-11-2024), ชุณหพงศ์ (14-11-2024), ต้นบุญ (16-11-2024), ปราโมทย์ (14-11-2024), พี่เสือ (22-11-2024), พุทธภูมิ (13-11-2024), มารวย๙ (14-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (20-11-2024), สัญญะจิตโต (15-11-2024), สุธรรม (14-11-2024)
|
#770
|
||||
|
||||
สละชีวิตพิชิตสงครามเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย
องค์หลวงตากล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านสองครั้ง ซึ่งต้องยอมทุ่มเทเสียสละถึงชีวิต และความจริงจังในการต่อสู้เพื่อให้งานสำคัญดังกล่าวสำเร็จลุล่วงผ่านพ้นไปได้ ดังนี้ "นี้เป็นสงครามที่หนักมากในขั้นเริ่มแรกขั้นหนึ่ง นี่เรียกว่าขั้นหนึ่งของเรา สงครามในตัวเองของเรา ระหว่างเรากับกิเลส ทีนี้สงครามครั้งที่สองนี้ เราจะรบกับความจนในประเทศไทยของเรา อันนี้ก็สละเลือดเนื้อทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความอิ่มพอภายในใจแล้ว เราไม่เสาะแสวงหาธรรมหาอะไรอีกแล้ว ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว เราจึงลงจากเวทีมา ทีนี้ก็มาเสียสละชีวิตเลือดเนื้อของตัวเองเพื่อชาติของเรา จึงได้ออกสนามรบ ว่าหลวงตาบัวเป็นผู้นำ ประกาศออกมาอย่างอาจหาญชาญชัยอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีความบกพร่องในการนำพี่น้องทั้งหลาย เพราะฉะนั้น..จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย สู้สงครามจนของเมืองไทยเรา สละครั้งแรกสละฆ่ากิเลส ผ่านมาแล้ว สละครั้งที่สองนี่สละเพื่อรบกับความจนของเมืองไทยของเรา เพื่อจะเอาชัยชนะมาสู่เมืองไทยของเรา จึงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตจิตใจมอบไว้กับเมืองไทยเราทั้งนั้น ด้วยความเมตตาสงสารเต็มหัวใจ คราวนี้เป็นคราวประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ถ้าคราวนี้ขึ้นไม่ได้แล้วก็ไม่ทราบว่าคราวไหนจะขึ้นได้ จะมีแต่ความจมโดยถ่ายเดียว ความจมกับความขึ้นได้เราจะเอาทางไหน ? ความขึ้นได้ความชนะ นี่..เราเอาทางนี้ ให้ต่างคนต่างเสียสละ อย่าถอยหลังนะ มีห้าบาทแบ่งสองบาทหรือสิบสลึง เสียสละลงไป นี่..เรียกว่าเราสร้างมหาทาน ทานเพื่อชาติ เราไม่เคยทาน ทานเพื่อคนนั้นคนนี้อะไร ๆ เราทานมา ต่างคนต่างทานมาด้วยกันแล้ว แต่ทานนี้เป็นทานมหากุศลอย่างยิ่ง ทานเพื่อชาติของเรา เรายังไม่เคยได้ทำ ขอให้ต่างคนต่างสร้างมหากุศลขึ้นสู่เมืองไทยของเรา เราก็จะมีกุศลชุ่มเย็นมากที่สุด จนกระทั่งวันตายเราก็ตายด้วยความชุ่มเย็น ตายด้วยความสง่างามในเมืองไทยของเรา นี่เรียกว่าเราสร้างมหากุศล มหากุศลอันยิ่งใหญ่ ทำเมืองไทยของเราให้ร่มเย็นทั้งชาติเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 17:52 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#771
|
||||
|
||||
สมเด็จพระเทพฯ กับหลวงตา..เท่านั้น
วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ องค์หลวงตาได้รับนิมนต์ให้เข้าชมสถานที่เก็บทองคำของชาติ ณ ห้องมั่นคง ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงมีโอกาสได้สอบถามถึงปริมาณทุนสำรองทองคำกับบุคคลผู้รับผิดชอบโดยตรง คำตอบในตอนนั้นถึงกับทำให้ท่านรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ดังนี้ "นี่ทองคํา..เก็บเล็กผสมน้อยไปตลอดนะ ฝนตกทีละหยดละหยาด สามารถทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้ นี่น้ำใจของพี่น้องชาวไทยที่รักชาติพากันเสียสละคนละหยดละหยาด เท่ากับเม็ดฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า จะทำพื้นแผ่นดินให้เต็มได้ อันนี้ก็เหมือนกัน คลังหลวงของเราบกพร่องมากนะ เราเป็นผู้ไปดูเอง คลังหลวงทองคำนี้ไม่มีใครดู เรียกว่าห้ามกันเด็ดขาด ได้ทอดพระเนตรเฉพาะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เท่านั้น แล้วก็หลวงตาเป็นองค์ที่สอง ตอนที่เราไปมอบทองคำ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบมานิมนต์เราเข้าโดยเฉพาะเลย เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า "นี้ทรงทอดพระเนตรเฉพาะสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น แล้วกับหลวงตาเป็นองค์ที่สอง" เขานิมนต์เราเข้าไปทุกห้องทุกหับ ทุกซอกทุกมม บรรดาที่ทองคำเก็บไว้ตรงไหนบอกหมดละเอียดลออ เราก็เป็นผู้ถาม ถามเพื่อรู้เหตุผลกลไก ความบกพร่องหรือสมบูรณ์อย่างไรบ้างในคลังหลวงของเรา เพื่อประเทศชาติของเรา ไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วรู้สึกว่าใจเสียว ๆ เสียววาบอยู่ คือไปดูทองคำของชาติ แล้วรู้สึกว่าตกใจอยู่ "ทั้งชาติมีแค่นี้หรือ ? ทั้งชาติมีเท่านี้หรือ ?" ใจหายอยู่นา เราจึงได้เตือนพี่น้องชาติไทยทั้งหลายให้เห็นความสำคัญให้มาก ให้เป็นหลักของชาติ หัวใจของเมืองไทยอยู่ตรงนั้นแหละ เราไปดูที่หัวใจของไทยเลย เพราะเขาเห็นว่าเราช่วยชาติ อยู่ ๆ เขาก็นิมนต์เราไปดูทองคำ ทองคำนี้อยู่ใต้ดินนะ ลงลิฟท์ไปแล้วก็ไปดู อยู่ในลูกกรง เป็นลูกกรงเหล็กใหญ่ ๆ มองเห็นทองคําชัดเจน จึงได้ประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบว่า ทองคำเราในคลังหลวงเรามีน้อยมาก ให้พากันพินิจพิจารณา คลังหลวงคือหัวใจของเราทุกคน ในประเทศไทยนี้หัวใจเราอยู่ที่คลังหลวง ทุกคน ๆ ให้พยายามหาทองคำให้ได้สืบทอดลมหายใจ ต่างคนต่างพยายามคนละเล็กละน้อย เพิ่มลมหายใจในคลังหลวงของเรามากขึ้น ๆ เราจะได้มีความอบอุ่นแน่นหนามั่นคง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2024 เมื่อ 00:33 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-11-2024), ชุณหพงศ์ (30-11-2024), ต้นบุญ (30-11-2024), ปราโมทย์ (01-12-2024), พี่เสือ (01-12-2024), พุทธภูมิ (29-11-2024), มารวย๙ (30-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (29-11-2024), สุธรรม (30-11-2024)
|
#772
|
||||
|
||||
"เมืองไทยเราทองคำไม่ได้มีมากนะ ก็เราไปดูเอง พอไปดูเราออกมาก็ประกาศป้างทันทีเลยเรื่องทองคำ จะไม่มีเป็นลมหายใจให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้หายใจนะ ทองคำจะไม่มีเหลือแล้ว ทำอย่างไรกันจึงได้ฟื้นขึ้นมาได้ ทองคำขนาดนี้แหละ พอหายใจได้บ้าง ประเทศไหน ๆ เราสอบถามหมด
เห็นไหมล่ะธรรม ? ธรรมไม่ต้องหา คุ้ยเขี่ยขุดค้นที่ไหน ไปเรียนที่ไหนมา พูดมันก็พูดได้ถูกต้อง เช่นเราสืบถามว่าทองคำในเมืองไทยเรานี้ ที่ไปฝากในประเทศนั้นประเทศนี้เพื่อประกันตัว เวลาติดหนี้ติดสินเขาจะได้เอาทองคำเป็นเครื่องยืนยัน เราคิดไว้เรียบร้อยแล้วก็ถาม ไปฝากเมืองไหนบ้างล่ะทองคำ ? เมืองนั้นเท่าไร ? เมืองนี้เท่าไร ? บอกตรงเป๋งเลยนั่น เราไม่ยุ่งอะไรเกี่ยวกับใคร แต่เรื่องของธรรมละเอียดนี้ ถามเข้าไปก็ถูกเป๋ง ๆ เช่นอย่างสหรัฐตั้ง ๕๓ ตัน ทองคำของเราไปอยู่ในสหรัฐตั้ง ๕๓ ตัน ในอังกฤษ ๕ ตัน ปรากฏว่ามีสองประเทศเท่านั้นละ คือเราไปถามจริง ๆ เหตุที่ได้ถามก็เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่เราเอาทองคำและดอลลาร์เข้าไปมอบคลังหลวง หัวหน้าคลังหลวงก็นิมนต์เราไปตอนนั้นละ เพราะมีหวัง เมื่อเชิญเราเข้าไปแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นในทางผลบวก คิดว่าอย่างนั้นละ ไปก็เป็นจริง ๆ พอเข้าไปดูเรื่องเรียบร้อยออกมาแล้วก็ออกล่ะ เป็นผลบวกขึ้นมาเรื่อย ๆ คุ้ยเขี่ยหาทองคำได้มาเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ ถ้าไม่ได้ไปดูก็ไม่ได้อะไร หากได้ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้รุนแรงเหมือนเราไปเห็นเหตุการณ์มาแล้วพูดได้เต็มปาก ส่วนได้ส่วนเสียพี่น้องชาวไทยเราทราบทั่วหน้ากัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2024 เมื่อ 00:35 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (29-11-2024), ชุณหพงศ์ (30-11-2024), ต้นบุญ (30-11-2024), ปราโมทย์ (01-12-2024), พี่เสือ (01-12-2024), พุทธภูมิ (29-11-2024), มารวย๙ (30-11-2024), ศุภชัยรู้แผน (29-11-2024), สุธรรม (30-11-2024)
|
#773
|
||||
|
||||
ทองคำ หลักประกันชาติ
ในการรับบริจาคเงินดอลลาร์และทองคำเข้าโครงการช่วยชาติขององค์หลวงตานั้น ท่านให้ความสำคัญกับ "ทองคำ" มากกว่าประเภทอื่นด้วยเหตุผล ดังนี้ "เมืองไทยเรานี้คราวนี้เป็นคราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าทรงตัวได้เอาตัวรอดได้ก็เป็นคราวนี้ ถ้าคราวนี้ไม่ได้แล้วไม่มีหวัง..ว่างั้นเลยนะ ไม่ทราบว่าใครจะสามารถมายกเมืองไทยทั้งประเทศขึ้นได้ นี่ลงศาสนา พระมหากษัตริย์ พี่น้องชาวไทยเรายกไม่ขึ้นแล้ว ไม่มีใครยกขึ้น..ว่างี้เลย เราเอาตรงนี้ตรงสำคัญ ทองคำสำคัญมากทีเดียว เพราะทองคำเป็นหัวใจของชาติ ชาติไหนก็ตามที่มีทองคำมาก ชาตินั้นสง่างาม เป็นที่เกรงขามของโลกทั่ว ๆ ไป ถ้าชาติไทยมีทองคำน้อยและไม่มีทองคำ ชาตินั้นเหลวไหล ไม่มีศักดิ์ศรีดีงามอะไร ศักดิ์ศรีทั้งหลายมันไปขึ้นอยู่กับสมบัติเลย เครื่องประดับชาตินะ เหล่านี้เป็นเครื่องประดับชาติเรา อยู่แต่ตัวเฉย ๆ ก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ มนุษย์เรามีคุณค่าเพราะเครื่องประดับประจำชาติมนุษย์ และศีลธรรมเป็นของสำคัญมากทีเดียว นี่ละ..ที่เราเห็นทองคำเข้ามาสู่คลังหลวงของเรา ไหลเข้ามาเรื่อย ๆ จากความรักชาติของเรา ความรักชาติและความสามัคคี ฟังเสียงหัวหน้า หัวหน้าคิดเป็นธรรม พาก้าวเดินอย่างไรให้เดินตามนั้น เราเป็นลูกชาวพุทธ หัวหน้าของเราคือพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกนำธรรมที่ประกาศธรรมสอนโลกอย่างถูกต้องแม่นยำมาสั่งสอนพวกเรา ให้พยายามเดินตามธรรม เดินตามอย่างอื่นแล้วไม่ค่อยแคล้วคลาดปลอดภัยนะ ส่วนเดินตามธรรมนี้สงบร่มเย็นเป็นลำดับ นี่เราไม่ได้ว่าจะเอาน้อย ๆ นะ คราวนี้ทองคำจะเอาเป็นตัน ๆ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ ไม่งั้นไม่เหมาะกับชาติไทยของเรา ซึ่งเป็นชาติใหญ่โตกว่าหกสิบล้านคน ทองคำได้ไม่กี่ตันเป็นประโยชน์อะไร ? ไม่สมชื่อสมนามกับเมืองไทยของเรา ให้มันเข้มแข็งซี ให้เขาได้เห็นความสามารถของคนไทยเราคราวนี้ เป็นยังไงเมืองไทยคราวนี้ มีพระนำหน้าด้วย ศาสนา พระมหากษัตริย์ นำหน้า เป็นยังไงเวลานี้ ? เขาก็ยิ่งจะจ้องมากละ เอากันให้เต็มยันทุกคนนะ อย่าถอยหลัง ถอยไม่ได้ เวลานี้ถอยไม่ได้ ฟังแต่ว่าถอยไม่ได้ ให้ก้าวหน้าเรื่อยไป คนทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น เวลากระเทือน กระเทือนทั่วประเทศไทยเหมือนกันหมดเลย เวลาชุ่มเย็นก็ชุ่มเย็นทั่วกันหมด เพราะฉะนั้น..จงให้พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าถอยหลัง แล้วมีพระนำหน้าเสียด้วย ศาสนานำหน้า พระมหากษัตริย์นำหน้าด้วย เป็นมหามงคลอย่างยิ่งแก่ชาติไทยของเรา แก่โครงการของเราแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2024 เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (30-11-2024), ชุณหพงศ์ (02-12-2024), ต้นบุญ (01-12-2024), ปราโมทย์ (01-12-2024), พี่เสือ (01-12-2024), พุทธภูมิ (30-11-2024), มารวย๙ (01-12-2024), ศุภชัยรู้แผน (30-11-2024), สุธรรม (01-12-2024)
|
#774
|
||||
|
||||
รวมใจชาวไทย เป็นหนึ่งเดียว..เพื่อชาติ
เมื่อพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศได้รับรู้ข่าวสารในโครงการช่วยชาติแล้ว ต่างมีน้ำใจอยากร่วมบริจาคช่วยชาติกับองค์หลวงตา หน่วยงานจากจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาครัฐเละเอกชน ทั้งฝ่ายบรรพชิตเละฆราวาส จึงขานรับด้วยการเป็นตัวแทน ขออาราธนานิมนต์องค์หลวงตาไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ ทำให้องค์หลวงตาในวัยชรากว่า ๘๕ ปี ต้องอดทนตรากตรำเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ เพื่อรวบรวมหัวใจชาวไทยเป็นหนึ่งเดียวเพื่อชาติ ดังนี้ "ขอให้พี่น้องทั้งหลายผู้รักชาติ จงรวมน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเทิดทูนชาติไทยของเรา ด้วยการบริจาคอุดหนุนชาติไทยของเรา ให้กระเตื้องขึ้นโดยลำดับ เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน แล้วงานที่หลวงตาเป็นผู้นำนี้ ไม่มีก๊กมีเหล่า ไม่มีคู่แข่ง ไม่มีกรรมมีเวรต่อผู้ใด ไม่ได้นำด้วยมีโลภเข้ามาแฝงเลย จึงไม่มีคู่กรรมคู่เวร ไม่มีคู่แข่ง ไม่มีข้าศึกศัตรู ไม่มีก๊กนั้นก๊กนี้ มีแต่ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันล้วน ๆ ที่พร้อมเพรียงกันบริจาคเพื่อชาติไทยของเรา น้ำใจเป็นของสำคัญ อันนี้แหละที่จะหนุนเมืองไทยของเราให้สง่างามขึ้นไปโดยลำดับ ก็คือความรักชาติ ความสามัคคีซึ่งกันเละกัน และด้วยความต่างคนต่างเสียสละช่วยกัน ใครอยู่บ้านนอกในเมืองที่ไหน ก็คือคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน มีสิทธิ์ที่จะหนุนเมืองไทยเราได้ทุก ๆ คน เราจงพากันหนุนเมืองไทยของเราขึ้นให้ได้ สมบัติที่จะมาหนุนเมืองไทยนั้น ตั้งไว้ตามโครงการก็มี ทองคํา ดอลลาร์ เงินสด โดยปกติแล้วเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับเงินกับทองแต่ไหนแต่ไรมา แต่มาคราวนี้ได้เป็นเจ้ากี้เจ้าการ เจ้าอำนาจเกี่ยวกับการเงินการทอง การเก็บการรักษาเสียแล้ว เพราะเรารักษาความแคล้วคลาดปลอดภัยในสมบัติเหล่านี้ ไม่ให้รั่วไหลแตกซึมไปสถานที่ใด นอกจากจะให้เข้าสู่จุดมุ่งหมายคือความปลอดภัยเท่านั้น จึงต้องได้เข้มงวดกวดขัน" ความเสียสละมีน้ำใจเฉลี่ยเผื่อแผ่ เป็นธรรมพื้นฐานที่อยู่ในจิตใจชาวไทยมา แต่รุ่นปู่ย่าตายายดั้งเดิมนานมาแล้ว ดังนั้น..เมื่อถึงคราวยากของบ้านเมืองมีความจำเป็นต้องช่วยกัน พี่น้องชาวไทยจากทุกภาคทุกภาษาทุกท้องถิ่น ซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อถึงคราวจําเป็นก็สามารถร่วมไม้ร่วมมือได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีศาสนาเป็นผู้นำ จึงไม่มีทิฐิมานะ ไม่แบ่งกลุ่ม ไม่มีก๊กมีเหล่า อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนี้ "งานคราวนี้เป็นคราวที่ใหญ่โตมาก เรียกว่างานของชาติเลยเทียวนะ งานนี้ไม่มีก๊กไม่มีเหล่า ไม่มีฝักมีฝ่าย เมืองไทยเราทั้งชาติ รวมเป็นหัวใจดวงเดียวกันยกขึ้น ยกชาติบ้านเมืองของเราขึ้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น งานนี้เป็นงานของศาสนา เป็นงานของธรรม มีพระสงฆ์เป็นผู้นําของพี่น้องทั้งหลาย รวมหัวใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ยกชาติของเราให้ขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลานี้กำลังตกอับมาก จึงต้องได้ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย มิหนำซ้ำศาสนาต้องนำ ศาสนานี้ไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ใด ศาสนาไม่เป็นภัยต่อผู้ใด เป็นแต่คุณล้วน ๆ นำประเทศไทยของเราให้ขึ้น ด้วยคุณธรรม ด้วยความสามัคคี ด้วยความรักชาติ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นความเสียสละทั้งนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2024 เมื่อ 03:51 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (01-12-2024), ชุณหพงศ์ (02-12-2024), ต้นบุญ (02-12-2024), ปราโมทย์ (วันนี้), พี่เสือ (02-12-2024), พุทธภูมิ (01-12-2024), มารวย๙ (02-12-2024), ศุภชัยรู้แผน (01-12-2024), สุธรรม (02-12-2024)
|
#775
|
||||
|
||||
"ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ร่วมมือร่วมใจกัน อย่าคิดว่านั่นเป็นของคนนั้น นี่เป็นของคนนี้ นั่นเป็นของคณะนั้น นี่เป็นของคณะนี้ ไม่ถูกกับความมุ่งหมายของศาสนา ที่รวมประสานกันเข้าไปให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่ทำความแตกแยกต่อกัน ด้วยโครงการที่ช่วยชาติคราวนี้ไม่มีอย่างนั้น"
องศ์หลวงตาเคยกล่าวถึงสาเหตุที่คนไทยมีความกลมเกลียวเข้ากันได้ง่าย ก็เพราะมีหลักธรรมฝังลึกอยู่ในใจเป็นพื้นฐาน เมื่อมีน้ำใจต่อกันแล้วจึงเข้ากันได้สนิทใจ ดังนี้ "โลกเราอยู่ด้วยกันได้ด้วยอำนาจแห่งการเสียสละ คือการให้ทานต่อกัน ความช่วยเหลือกัน มีแต่การเสียสละทั้งนั้น โลกถ้าไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการให้ทาน เฉลี่ยเผื่อแผ่กันแล้ว ไม่มีความหมาย โลกมีความหมายมากน้อยอยู่ที่การเฉลี่ยเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อกัน ความมีน้ำใจต่อกันนี้สำคัญมาก ผู้มีน้ำใจต่อกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่กัน ความเสียสละก็ย่อมมีได้ ถ้าไม่มีน้ำใจ ไม่มีแก่ใจแล้ว อะไร ๆ ก็หลุดมือออกไปไม่ได้ ทีนี้อยู่กันเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่มีความหมาย คนหนึ่งจะตายดิ้นอยู่นี่ ก็ไม่มีใครดูแลกัน นี่แหละ..ความไม่มีแก่ใจ เพราะฉะนั้นจึงว่า มีมากเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่มีความเสียสละ ไม่มีแก่ใจแล้ว ไม่มีความหมายทั้งนั้นแหละ มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน จะอยู่ใกล้อยู่ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่น้ำใจที่มีต่อกัน อันนี้สำคัญมาก ชาติชั้นวรรณะมันตั้งไปตามลักษณะเฉย ๆ มันก็คนนั่นแหละ แต่โดยหลักธรรมแท้คือคน เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ด้วยกัน ไม่ได้เกิดมาจากท้องเทวดาที่ไหน มาเกิดเป็นคนแล้วก็ว่าชาตินั้น ชนนั้น วรรณะนี้ไป ว่ากันไปเฉย ๆ ดีไม่ดี เอาสิ่งเหล่านี้มากระทบกระเทือนกัน ไม่ใช่ของดี ความไม่ถือกัน มีน้ำใจ อันนี้สำคัญมาก ใกล้ไกลไปไหนไม่อดอยากไม่ตาย คนเรามีความเสียสละต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน คนเราย่อมสนิทกันได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นจะต้องเกิดมาในพ่อแม่เดียวกัน แม้แต่พ่อแม่เดียวกัน ยังทะเลาะกันได้ เอาถือเป็นความสนิทติดจมจริง ๆ ไม่ได้ มันสำคัญอยู่ที่น้ำใจ ถ้ามีน้ำใจแล้ว คนเราย่อมเข้ากันได้สนิท ต่างคนต่างเสียสละกันอย่างนี้แหละดี มนุษย์เราจะได้มีคุณค่า มีความชุ่มเย็นเป็นสุข มนุษย์นี้เท่านั้นที่มีน้ำใจต่อกันได้มากยิ่งกว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะมนุษย์นี้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2024 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (01-12-2024), ชุณหพงศ์ (02-12-2024), ต้นบุญ (02-12-2024), ปราโมทย์ (วันนี้), พี่เสือ (02-12-2024), พุทธภูมิ (01-12-2024), มารวย๙ (02-12-2024), ศุภชัยรู้แผน (01-12-2024), สุธรรม (02-12-2024)
|
#776
|
||||
|
||||
ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้นำ เสียสละเพื่อชาติ
ความร่วมไม้ร่วมมือของผู้น้อย โดยมีผู้ใหญ่ในหน่วยงาน ในจังหวัด หรือในประเทศออกมาเป็นผู้นำ ร่วมแรงร่วมใจยกชาติไทยของเรา เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีได้อย่างชัดเจน ดังนี้ "ดังพี่น้องทั้งหลายได้นำเครื่องบริจาคประเภทต่าง ๆ มาวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ออกจากน้ำใจแห่งความรักชาติของพี่น้องทั้งหลาย ได้มาช่วยเหลือกัน ปรากฏสง่างามอยู่ที่ศาลาและที่อื่น ๆ ในบริเวณนี้เต็มไปหมด ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพี่น้องทั้งหลาย เพราะผู้ใหญ่สำคัญมากที่สุด ในครอบครัวเหย้าเรือน ก็มีพ่อบ้านแม่เรือนเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเด็กลูก ๆ หลาน ๆ ในสกุลนั้น ๆ ถ้าผู้ใหญ่ไม่มี ผู้ปกครองไม่มี ก็หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ นี่บ้านเมืองของเราก็ต้องมีผู้ใหญ่ เช่น จังหวัด..ก็มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นผู้นำ มาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นหลักอันใหญ่โต เป็นความอบอุ่นของพี่น้องทั้งหลาย วันนี้จึงมีความสง่าราศีมากในงานของเรา เพราะมีท่านผู้ใหญ่มาประดับเกียรติแก่จังหวัดและชาติไทยของเราให้สง่างาม ถ้ามีตั้งแต่เด็กเล็กเด็กน้อยตาสีตาสาขวนขวายทำกัน โดยผู้ใหญ่บกพร่อง ผู้ใหญ่ไม่สนใจ อย่างนี้เรียกว่าเสียความงาม เสียความสง่าราศี ไม่มีคุณค่าประการใด ดีไม่ดีเขายังตำหนิผู้ใหญ่อีกด้วย หาความร่มเย็นให้ประชาชนพลเมืองไม่ได้ อย่างนี้เขาก็อาจยกโทษได้ ต่อเมื่อมีผู้ใหญ่มาเป็นผู้นำแล้ว ทำไมใครจะไม่อบอุ่น ต้องมีความอุ่นทั่วหน้ากัน ตั้งแต่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และรองลงมาตามลำดับลำดา ข้าราชการทุกหน่วย ตำรวจ ทหาร ประชาชน ข้าราชการทุกหน่วยพร้อมเพรียงกันมา ให้ความสนับสนุนและความร่มเย็นแก่พี่น้องชาวไทยและชาติไทยของเราแล้ว ต้องเป็นงานที่มีสง่าราศีมาก" ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ต่างก็เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ ทำหนังสือนิมนต์องค์หลวงตาไปแสดงธรรมช่วยชาติไม่เว้นแม้จังหวัดเดียว ซึ่งท่านก็เมตตาเดินทางไปเยือนแทบทุกหนทุกแห่งจนทั่ว มีเพียงภาคใต้ที่ท่านตั้งใจแน่วแน่ว่า จะต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนและรับผ้าป่าช่วยชาติด้วยตนเองให้ได้ เพราะท่านให้ความสำคัญกับภาคใต้มาก ถือเป็นภาคใหญ่ เมื่อถึงเวลาก็จะเดินทางไปในคราวเดียวกัน แต่ในระยะต่อมาสุขภาพของท่านกลับทรุดโทรมลงมาก การเดินทางจึงสะดุดลงด้วยความอาลัยอาวรณ์ยิ่ง ดังนี้ "พี่น้องทั้งหลาย จังหวัดนราธิวาสนี้ไกล หลวงตาเคยไปแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ ทางภาคใต้ก็ไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ส่วนมากไปธุระ ก็เหมือนกับเป็นผู้ต้องหาไป ต้องจองจำไปตามวันตามเวลาที่นั่นที่นี่ ไม่ได้เป็นอัธยาศัยของตัวเอง จึงไม่ค่อยสะดวกสบาย ไปหลายครั้งเหมือนกัน ไปทางเครื่องบินก็ไป ไปทางรถยนต์ก็ไป จากนั้นมาแก่แล้วยังรู้สึกเสียใจ ยังประกาศออกให้พี่น้องทางภาคใต้เราทราบทั่วถึงกันอยู่ว่า เราตั้งโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั่วประเทศไทยนะ คือในการช่วยชาติคราวนี้ เราจะไปเทศน์ทุกภาคเลย กำหนดไว้เรียบร้อยนะ ภาคใต้เป็นภาคใหญ่ เรากำหนดไว้วาระสุดท้าย พอไปภาคนั้นภาคนี้เสร็จแล้วก็จะลงภาคใต้ จนกระทั่งทั่วถึงหมดแล้วค่อยขึ้นมา ทีนี้เวลาเที่ยวไปเทศน์ไป ๆ อ่อนลง ๆ สุดท้ายภาคอื่น ๆ ก็ยังไม่หมด ภาคใต้เลยไปไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้เองนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:10 |
#777
|
||||
|
||||
"เราเคยไปพังงา พักพังงาคืนหนึ่ง ไม่ได้พักนาน แล้วก็ไปภูเก็ตคืนหนึ่งแล้วกลับมา ไม่ได้เที่ยว ไปพักวัดท่านอาจารย์เทสก์ พอตื่นเช้าก็มาเลย ไม่ได้เข้าไปในเมืองนะ ไม่ได้ไปทั้งสองแห่ง ไปพังงา ภูเก็ต ไม่ได้เที่ยวเลย ไม่ได้เที่ยวทั้งนั้น
ส่วนที่หาดใหญ่หลวงตาเคยไปพักแล้วที่วัดควนจง พอถึงสถานีควนจงก็ขึ้นเขาเลย ไปพักภาวนาอยู่นั้น อยู่ไหล่เขา อยู่ที่นั่นสบายหน่อย เพราะได้ภาวนา สบายดี สงัดเงียบ ไปพักอยู่หลายวัน ท่านมหาจิตอยู่ที่นั่น คุ้นกันมานานแล้วแหละ ท่านอยู่ที่นั่น อยู่ไหล่เขา กุฏิขึ้นไปตั้งข้างบน ส่วนมากพระท่านชอบอยู่ตีนเขา ไม่ค่อยชอบขึ้นหลังเขา ก็ดีอยู่ สงบสงัด ไปบิณฑบาตตามสวนเขา (วัดนี้อยู่อำเภอนาหม่อมค่ะหลวงตา) วาสนามีแค่นั้น กุดด้วนเลย ไม่ได้ไปอีก ไปสงขลา หาดใหญ่นี้ ดูว่าตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ลูกศิษย์ทางหาดใหญ่ เขาก็มาเยี่ยมอยู่นี้ มาพักภาวนาอยู่นี่นาน เขาเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เดิมจริง ๆ เป็นลูกศิษย์อาจารย์เม้า (หลวงปู่เม้า พลวิริโย) แต่อาจารย์เม้าเสียไปนานแล้วแหละ เขาเป็นลูกศิษย์ท่านเรื่อยมา เขามาต่อว่า ว่าเราไปแล้วไม่ไปอีกเลย..! คิดถึงอยู่ตลอดเวลา คิดถึงบรรดาลูกศิษย์ลูกหา เพราะได้กำหนดไว้แล้ว ก็เคยบอกออกทางวิทยุก็ออกแล้วนี่ เราไม่ได้พูดมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีสันมีคมอะไร เราพูดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรมล้วน ๆ เรากำหนดกฎเกณฑ์ไว้หมดเลยทั่วประเทศไทย คือวาระสุดท้ายจะเอาทางภาคใต้ของเรา กำหนดไว้นะ เป็นภาคใหญ่..ใช่ไหมล่ะ ? พอกลับมาทีนี้ก็ทิ้งตูมเลย หงายว่างั้นเถอะนะ ยังไม่ถึงไหน เอ้า..มันเริ่มหงายไปแล้ว ๆ เอ้า ยังไง ๆ สุดท้ายก็เลยต้องยอมรับ ไปไม่ได้แล้ว อย่างนี้แหละ จึงได้ประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ เฉพาะอย่างยิ่งคือทางภาคใต้ของเรา ซึ่งผิดความมุ่งหมายของเราที่ตั้งไว้แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ธาตุขันธ์มันพาให้ล้มไปเลย นี่ละ..เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น จึงได้ประกาศออกให้พี่น้องทั้งหลายทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของเรา อย่าเสียอกเสียใจ อย่าน้อยอกน้อยใจ อาจารย์นี้เป็นอาจารย์ของคนทุกคน ของคนทุกภาค ของเมืองไทยทุกชีวิต..เราบอกนะ เมื่อมันไปไม่ได้มันก็ต้องยอมรับว่าไปไม่ได้ ก็บอกอย่างนี้ เอ้า..ทีนี้ต่างคนต่างอุตส่าห์พยายามก็แล้วกัน..ก็บอกอย่างนี้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:13 |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|