|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : เป็นมีดใช้งานจริงหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณเอาเป็นมีดใช้งานจริง ๆ เขาทำไว้ใช้งาน เพียงแต่ครูบาอาจารย์ช่วยเสกช่วยลงให้ มีดรุ่นเก่า ๆ อย่างของหลวงพ่อเดิม จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลวงพ่อกวย ถึงเวลาท่านบรรจุเอง บรรจุด้าม ใส่ตะกรุด ใส่ผงวิเศษ ใส่เกศา ของหลวงพ่อกวยนี่ขนาดรุ่นที่สั่งทางพยุหะคีรีทำให้ ท่านก็ยังขอบรรจุด้ามเอง ข้างบนห้องของอาตมามีมีดหมอของหลวงพ่อกวยอยู่ ๒ เล่ม ฝีมือลุงคลี่ เจ้าของเขากำชับนักกำชับหนา "เล่มนี้ตาคลี่ทำไว้จะใช้เองนะ อาจารย์อย่าไปปล่อยให้ใคร" ก็ถ้าไม่จำเป็นนะ..! เดี๋ยวหลังเพลค่อยเอาลงมา เพราะว่าช่วงนี้หาเงินสร้างจุฬามณีให้หลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์อยู่ ทำด้ามรู้สึกว่าจะเป็นท้าวเวสสุวรรณ ปิดทองมาด้วย แต่ว่าฝีมือลุงคลี่จำง่าย ฝีมือลุงทรงนี่มือหนัก ตอกแต่ละทีนี่แทบจะทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง นั่นช่วยให้จำง่าย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2019 เมื่อ 14:42 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ฝีมือช่างแต่ละคนเหมือนกับลายมือประจำตัว ถ้าเรารู้จักฝีมือก็จะจำง่าย ถ้าไม่รู้จักก็จำยาก มีดหมอหลวงพ่อเดิมที่ปลอมส่วนใหญ่ช่างที่ปลอมจะดูของไม่เป็น ถ้าหากว่าดูของเป็นจะปลอมได้เนียนกว่านี้ อย่างของโยมที่ได้ไป ให้ดูร่องยาวใกล้สันมีด ถึงเวลาเขาจะใช้เหล็กเป็นสิ่วมาแซะ คราวนี้พอแซะจวนจะสุดปลาย ก็ต้องเบามือเพื่อจะให้สุดปลาย ช่วงนั้นจะเรียวและเหินขึ้นทุกเล่ม ถ้าดูเป็นทีเดียวแล้วต่อไปก็ง่าย รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ใช้ตอกลายเอา...มักง่าย ร่องหัวท้ายจะหนักเท่ากัน
ก่อนหน้านี้หลวงพี่ประทีปยังอยู่ที่วัดท่าซุงด้วยกัน งัดมีดหมอของหลวงพ่อเดิมขึ้นมาเล่มหนึ่ง...โอ้โฮ ถามว่า "เท่าไร ?" ตอนแรกพี่ท่านบอกว่า "ใบ ๙ นิ้ว" ถามว่า "๙ นิ้วทำไมใหญ่ขนาดนี้ ? ขอวัดหน่อย" ปรากฏว่า ๑๑ นิ้วเฉพาะใบ แล้วถามว่า "ไม่มีฝักหรือ ?" ท่านบอกว่า "ไม่มี..ได้มาเปลือย ๆ แบบนี้แหละ แต่ด้ามเป็นงา" หลวงพี่ทีปท่านเป็นคนแถวนั้น พวกนครสวรรค์ คนพิจิตร ส่วนใหญ่รุ่นเก่า ๆ เขาจะมีของหลวงพ่อเดิมกันแทบทั้งนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2019 เมื่อ 14:46 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ตอนหลวงพี่ทีปมรณภาพ อาตมาเองก็ไม่ได้ไปขอแบ่งสมบัติสงฆ์ ถ้าไปขอแบ่งจะขอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มนี้เล่มเดียว จะชำระหนี้สงฆ์ให้ด้วย ไม่ได้ขอเฉย ๆ
ส่วนใหญ่เวลาพระมรณภาพ เขาจะจัดการแบ่งปันกันในหมู่คณะสงฆ์ มีข้าวของกี่ชิ้น ถ้าพอกับจำนวนพระเณรก็แบ่งไปคนละชิ้น ถ้าไม่พอก็จับสลาก พูดง่าย ๆ ก็คือแบ่งกันฟรี ๆ แต่ถ้าเป็นมีดหมอเล่มนี้แล้วละก็...อาตมายินดีจ่ายเงินให้เลย แต่ว่าไม่ได้ไปร่วมวงกับเขา ก็เลยไม่รู้ว่าไปตกอยู่กับใคร นั่นก็ฝีมือของช่างฉิมเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 10:04 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าสงฆ์มรณภาพ สมบัติก็จะกลับคืนเป็นของสงฆ์ แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นส่วนตัวหรือไม่ส่วนตัวอยู่ละครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นส่วนตัว ท่านต้องมอบให้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ถาม : ถ้าส่วนตัว แต่ไม่ได้มอบให้ก่อนมรณภาพ ? ตอบ : เสร็จหมด ลงกองกลางหมด ถาม : ถ้าลงกองกลาง อันนี้สงฆ์ก็รับผิดชอบดูแลต่อ ก็คือเป็นของสงฆ์ ? ตอบ : เป็นของสงฆ์ คือเราเอามาก็เป็นของส่วนตัวไม่ได้ เพราะเราได้มาขณะที่เราเป็นสงฆ์ เป็นเรื่องอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก ถาม : แสดงว่าตรงนี้ไม่มีเป็นของส่วนตัวเลย ? ตอบ : ไม่มี...เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ถ้าจะให้ใครต้องให้ก่อนที่จะตาย แต่พระวินัยท่านก็ระบุเอาไว้ว่า ถ้าเป็นครุภัณฑ์ให้ไม่ได้ ครุภัณฑ์ตามพระไตรปิฎกระบุเอาไว้ก็มี อย่างเช่น พระพุทธรูป มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง...ฟังแล้วตลก คือเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง ใช้คำว่า ครุ คือ ของหนัก ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องมือช่างบางทีก็เบา แต่ท่านจัดเป็นครุภัณฑ์ เพราะว่าเป็นของหายาก ถ้าหากว่าตัวเองไม่มี ก็ต้องไปรบกวนโยมเขา ก็เลยระบุเอาไว้ว่า ของที่เป็นครุภัณฑ์นี่ห้ามให้ต่อ เพราะฉะนั้น..พวกเงินทองไม่ใช่ครุภัณฑ์ ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 10:08 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ถาม : มหัคฆภัณฑ์ ละครับ ?
ตอบ : มหัคฆภัณฑ์ หมายถึงพวกที่ใหญ่มาก ๆ อย่างเช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ ฯลฯ มหา-อัคคะ สุดยอดของความใหญ่ เพราะฉะนั้น..ของเกินครุภัณฑ์ ไม่มีใครแบกไปไหวหรอก อย่างเมื่อวานนี้ไป ท่านอาจารย์เอกลักษณ์สร้างศาลาหนึ่งไร่ นับเป็นมหัคฆภัณฑ์ แบกไหวที่ไหนเล่า ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 10:08 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : มีเพื่อนแม่คนหนึ่งเขาเพิ่งเสียไป วันนั้นหนูก็นั่งสมาธิไป รู้สึกว่าสมาธิเรายังทรงตัวอยู่ ก็เลยลองอาราธนาพระดูว่าเพื่อนแม่คนนี้ตายแล้วไปไหน ภาพขึ้นมา หนูก็เห็นอย่างหนึ่ง พอไปงานศพเขา ลูกเขาก็เล่าว่าพ่อเขาตายดีมีความสุข ตอนที่เราเห็นภาพก็ไม่ได้คิดไปเอง แต่ทำไมลูกเขาเล่าอีกแบบหนึ่ง หนูก็เลยสงสัยว่ามีข้อสังเกตอย่างไรคะ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเขาให้เชื่อความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น จะไป "เอ๊ะ" ไม่ได้เลย เป็นอย่างไรก็เชื่อตามนั้น แต่บางทีเรื่องของสังคมถ้าเราไปบอกเขาตรง ๆ ลูกหลานเขาจะเสียใจ อาตมาเองโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงห้ามบอกว่าคนตายไปไหน รู้เอาไว้ให้อกแตกตายไปคนเดียวก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2019 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : นั่งสมาธิไป เวลาภาวนาไป หลวงพ่อบอกว่าให้นั่งจนสมาธิเต็มที่แล้วค่อยมาพิจารณา แต่ทีนี้เวลานั่งไปก็เหมือนจิตแยกไปดูว่ามันก็ไม่เที่ยง พร้อม ๆ กับภาวนาได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ว่าต้องมีความคล่องตัวพอ ไม่อย่างนั้นแล้วช่วงนั้นอาจจะเฝือ ก็คือพอสมาธิเคลื่อนแล้วบางทีไปคนละทิศคนละทาง ฟุ้งซ่านไปเลยก็มี ต้องระวังให้ดี ถาม : เราจะมีวิธีการประคับประคองไม่ให้เฝือได้อย่างไรคะ ? ตอบ : เอาอานาปานสติคือลมหายใจเป็นหลักไปสักระยะหนึ่งก่อน ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ยังดี พอกำลังใจมั่นคงแล้วค่อยไปคิด ถ้าไม่มีลมหายใจค้ำไว้แล้วเดี๋ยวไปเลย เพราะว่าบางทีเราเองพอถึงเวลาสมาธิเริ่มทรงตัว อยากจะคิดอยากจะพิจารณาแทน แล้วเราก็ปล่อยกำลังใจไปคิดไปพิจารณา ลืมไปว่ากำลังสมาธิค่อย ๆ ลดลง พอกำลังค่อย ๆ ลดลงเมื่อเราเผลอก็ฟุ้งซ่านไปเลย ถาม : บางครั้งเรากำลังสร้างกำลัง แต่เราก็อยากจะคิด อย่างนี้คือเราฝืนไปก่อน ? ตอบ : ก็คิดได้ แต่ว่าให้ตั้งสติไว้ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มไปไม่ดี ไม่มีความคล่องตัว รู้ว่ากำลังเราตก ก็กลับมาหาลมหายใจใหม่ แล้วค่อยไปคิดอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2019 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ถาม : รู้ว่ามันคืออาทิสสมานกาย แต่เวลาภาวนาไป บางทีมันก็ใช่เรา บางทีมันก็ไม่ใช่เรา บางทีมันก็ด่าเรา มันคือใครคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมาร มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือถ้าเป็นฝ่ายดีมา ก็อาจจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านมาช่วยสงเคราะห์เรา ถ้าฝ่ายไม่ดีมาก็คือกิเลสตั้งใจที่จะมาแกล้ง มาหลอกเรา เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ถึงเวลาเราก็ทำตามแบบของเราไป อะไรที่พิจารณาแล้วว่าไม่ทำให้การปฏิบัติของเราเสียหาย จะน้อมใจตามไปบ้างก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้ารู้ตัวเมื่อไร ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเราจะปลอดภัยกว่า ถาม : ไม่ต้องไปสนใจ ? ตอบ : ยิ่งรู้เห็นชัดเจนโอกาสโดนหลอกยิ่งเยอะ ต้องระวังตัวให้มาก ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 10:13 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ในสติปัฏฐาน ๔ เรามองอย่างไรว่านั่นคือจิตตานุปัสสนาคะ ?
ตอบ : สภาพความยินดียินร้ายอะไรเกี่ยวกับสภาพจิตของเราทั้งหมด ถ้าหากว่าเรารู้เท่าทันจึงจะเป็นจิตตานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน แต่ถ้ารู้อยู่แล้วไปแบกเอาไว้เวลารู้สึกว่าทุกข์ หรือว่ารู้อยู่แล้วไปยินดีอย่างเต็มที่เลยเวลาที่มีความสุข อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นจิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ต้องรู้เท่าทันแล้ววางได้ เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถาม : ในเรื่องเวทนา เขาสอนมาว่าชอบกับไม่ชอบ สุขและทุกข์ แบบกลาง ๆ แล้วธรรมารมณ์ละคะ ? ตอบ : ธรรมารมณ์ก็คือสภาพของจิตที่เป็นไป อย่างเช่นว่า ยินดีกับรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ หรือว่าไม่ยินดี หรือว่าเป็นกลาง ๆ หรือไม่ก็สภาพจิตของเราเป็นอย่างไร กำลังพินิจแยกแยะอยู่ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนเหมาะ สิ่งไหนควรกับเรา สิ่งไหนไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรอะไรกับเรา อันนั้นก็คืออารมณ์ธรรมที่เกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้บางทีเราศึกษาไปแล้วเหนื่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๑ บรรพ คือ ๑ ตอน ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว ไม่ต้องไปศึกษาทั้งหมดหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 13:21 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราเกิดรู้สึกว่าพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านสอนไม่ได้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอก แต่เราไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงภัตตาหารท่านมาด้วยตั้งนาน ทีนี้ว่าเกิดอยากจะถอนตัว แต่ไปเห็นใจเจ้าของสถานที่ เราจะเป็นบาปไหมคะ ? ที่เราเหมือนไปช่วยเป็นฟันเฟืองให้ท่านสอนผิดเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : อย่าไปคิดอย่างนั้นสิ....เราคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน เป็นการสละออกเพื่อตัดความโลภในใจ ส่วนผู้รับจะเป็นใคร ทำอะไร เราไม่เกี่ยวกับเขาเลย ตัดขั้นตอนนี้ได้ก็ทำไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าไปสร้างบาปให้กับตัวเอง เพราะว่าใจเราไปคิดอยู่แล้ว ใจก็จะไปเศร้าหมอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 13:22 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ถาม : พ่อบุญธรรมเขาให้พระมาค่ะ ?
ตอบ : ก็เก็บเอาไว้สิ ถึงเวลาแค่มีหลวงพ่อวัดระฆังก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลวงพ่อวัดระฆังองค์หนึ่ง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคองค์หนึ่ง ท่านให้พรไว้ว่า "พระของท่านจะใหม่ จะเก่า จะจริง จะปลอม ให้นึกถึงท่านมีอานุภาพเหมือนกันหมด" ต้องพระโพธิสัตว์สายเก่ามาแท้ ๆ เลยนะ ถึงมีกำลังสามารถสงเคราะห์ขนาดนั้นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 13:22 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเมืองจีน ๑๐ วัน แต่ละวันเดินไกล ๆ ทั้งนั้น แต่อาตมาน้ำหนักขึ้นมา ๒ กิโลกรัม เพราะว่ากินกระจายทุกอย่าง บอกกับญาติโยมว่า ถ้าคิดว่าตามหลวงพ่อไปเที่ยวนั้นคิดผิด แต่ถ้าตามไปเพื่อฝึกหัด กาย วาจา ใจ ของตนเองนั้นใช่ แล้วต้องพยายามทำให้ได้
ญาติโยมกินอาหารของเขาไม่ได้ เพราะว่าขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา จะเอาแต่ของที่ตัวเองชอบไม่ได้หรอก อยู่ที่ไหนต้องกินของเขาได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเขากินได้เราต้องกินได้ เพราะฉะนั้น..คณะที่ไปก็เลยแบ่งเป็น ๒ ชุด เขาเรียกว่าสายแข็งกับสายอ่อน ชุดสายอ่อนก็จะมี ๙ คน ชุดสายแข็งมี ๖ คน แบ่งเป็น ๒ โต๊ะ สายแข็งนี่กินไม่เหลือซากเลย ส่วน ๙ คนนี่เหลือเกือบเต็มโต๊ะ ถ้าเราขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็จะกินเพื่อเอาอร่อย กินเพราะว่าชอบ ก็จะทำให้เสียผลการปฏิบัติ ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ต้องไปฝึกแน่ ๆ ก็คืออสุภกรรมฐาน ส้วมเมืองจีนนี่สุดยอดทุกแห่ง มีน้ำก็ไม่ราด อาตมาเข้าที่ไหนก็ต้องไปทำความสะอาดส้วมให้เขา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นพวกข้างหลังเข้าต่อไม่ได้ ถ้าเข้าต่อไม่ได้แสดงว่าขาดอสุภกรรมฐาน ไม่เห็นความเป็นธรรมดา พอถึงเวลาไปที่ลำบาก เพราะว่าพื้นที่เขาสูง ๔-๕ กิโลเมตรขึ้นไป อากาศจาง หายใจลำบาก แทนที่จะนึกถึงพระ แทนที่จะนึกถึงความตาย ไม่ได้นึกเลย ห่วงอยู่แต่ร่างกายว่าจะตายแล้ว อย่างนั้นถ้าตายก็ไม่แน่ว่าจะไปไหน เพราะว่าจิตสุดท้ายแค่แวบเดียวเท่านั้น ถ้าเกาะผิดนี่ก็เฮงเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2019 เมื่อ 20:11 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"ไปเพื่อไปฝึกหัดตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยว โดยเฉพาะสถานที่อันตราย ถ้าพลาดก็ถึงตาย ก่อนอาตมาไปอาทิตย์หนึ่ง บริษัทนี้มีลูกค้าสมองบวมไปหนึ่งคน เสียค่าส่งกลับไป ๗,๐๐๐ หยวน เพราะว่าไม่ได้ดูสภาพร่างกายตัวเอง ไม่ไหวแล้วก็ยังฝืนไป สภาพแบบนั้นไม่ไหวแล้วต้องหยุด อาตมาเองขนาดว่าฝึกจนแกร่งแล้ว ระยะท้าย ๆ แค่เดิน ๓ ก้าว ๕ ก้าว ยังต้องพัก เพราะว่าหายใจไม่ทัน
พื้นที่สูง ๔,๗๐๐ กว่าเมตร ยิ่งเดินขึ้นไปก็ยิ่งเหนื่อย ที่เขาเขียนเอาไว้ว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตรนั้นเชื่อไม่ได้ เพราะว่าโยมที่ไปติด Gadget ไปด้วย ปรากฏว่าระยะทางออกมา ๑๐ กว่ากิโลเมตร เขาขีดด้วยดาวเทียมตรง ๆ ก็ได้ ๖ กิโลเมตร คราวนี้เราไปขึ้น ๆ ลง ๆ กว่าจะถึงก็ตก ๑๐ กว่ากิโลเมตร อากาศหนาวระดับติดลบ ลมแรงชนิดพัดคนแทบปลิว แต่อากาศมีไม่พอหายใจ ร่างกายของเราพอคาร์บอนไดออกไซด์มีมาก ก็จะปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เพราะฉะนั้น..ไปพื้นที่แบบนั้นต้องระวังเป็นอย่างมาก หัวหน้าทัวร์เขาก็ดี เขาจับวัดออกซิเจนทุกคน แต่วัดอาตมาไม่ทัน เพราะว่าเดินนำหน้าไปลิบจนมองกันไม่เห็นเลย เห็นญาติโยมโดยเฉพาะคนจีนบางคน เดินขึ้นเนินแรกก็เปิดกระป๋องออกซิเจนแล้ว อีก ๑๐ กว่ากิโลเมตรที่เหลือนี่จะรอดไหม ? ขาไปนั่นเป็นช่วงขึ้นเขา อาตมาใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเศษ ๆ ขากลับแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ไม่ได้ใช้ออกซิเจนเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 19:48 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"จากบ้านเราความร้อน ๓๓ - ๓๔ องศาเซลเซียส ไปถึงเฉิงตูวันที่ ๑๖ ลดเหลือ ๑๗ องศาเซลเซียส พอรุ่งเช้าวันที่ ๑๗ ที่เฉิงตูเหลือ ๑๑ องศาเซลเซียส
เช้าวันที่ ๑๗ เขานัดสายนิดหนึ่งเพราะว่าเราไปถึงดึก ไปถึงประมาณเที่ยงคืนครึ่งของเขา ปกติเขาจะออกเดินทางประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็เลยเลื่อนให้นอนเพิ่มอีกชั่วโมงหนึ่ง ออกเดินทาง ๘ โมงครึ่ง เป็นรถมินิบัส คณะของเรา ๑๕ คน เขามีให้ ๒๐ ที่นั่ง มีที่เหลือให้วางของอะไรได้ด้วย วิ่งไปทางเมืองเฮยสุ่ย อยู่ในเขตปกครองตนเองชาวเชียงชาวทิเบต มณฑลเสฉวน เป้าหมายคืออุทยานแห่งชาติซื่อกู่เหนียงซาน บางคนก็เรียกว่าอุทยาน ๔ ดรุณี ซื่อกูเหนียงก็คือผู้หญิง ๔ คน ไม่รู้ว่าบนรถเขามีฮีตเตอร์ รู้สึกว่าอากาศสบาย ๆ พอไปถึงที่อุทยานอากาศ -๔ องศาเซลเซียส หิมะเพิ่งจะตก หลายคนลงไปมือสั่น ขาสั่น หน้าสั่น ปากสั่น แล้วก็ความสูงค่อนข้างจะสูงมาก ก็เลยทำให้เวลาเดินอากาศไม่ค่อยจะพอหายใจ มีอาตมากับน้องเล็ก ๒ คนที่ลงทุนเดินจนรอบอุทยาน คนอื่นเขาไม่ไป แค่ไปนั่งปั้นหิมะเล่นกัน การปฏิบัติกรรมฐานทำให้เรามีระบบหายใจที่ยาว แล้วก็ลึกกว่าคนอื่นทั่วไป เดินแล้วเหนื่อยช้าหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2019 เมื่อ 20:11 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
"อุทยานนั้นห่างจากเฉิงตู ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร เราจะผ่านจุดสูงสุดตรงช่องเขาเสี้ยวจิน ตรงนั้นสูงตั้ง ๖,๐๐๐ กว่าเมตร วิ่งไปพักไป โดยเฉพาะส่วนที่มีปัญหาคือเรื่องห้องน้ำ อย่างที่บอกว่าพวกเราขาดการปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน เจอห้องน้ำส่วนใหญ่ก็สะดุ้ง เข้าไม่ได้ คุณบีที่ไปเป็นช่างภาพประจำคณะเขาบอกว่า "อ่อนแอเกินไป" ถ้าอ่อนแอเกินไปจะเข้าห้องน้ำที่เมืองจีนไม่ได้
ต้องพักกลางทางกันเป็นระยะ ๆ แต่ว่าประเทศจีนจะมีป้ายบอกไปตลอดว่าที่จอดพักอยู่ห่างอีกเท่าไร จะได้กะระยะกันถูก ส่วนใหญ่ค่าเข้าห้องน้ำคนละ ๑ หยวน ประมาณ ๕ บาทไทย ถ้าหากว่าใครไปเมืองจีน ให้แลกใบละ ๑ หยวนไว้เยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเอาอย่างคณะของเรา ก็คือหยิบออกมา ๕ หรือ ๑๐ หยวน แล้วก็นับไปเลยกี่คน จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาไป พวกเรามีความสามารถพิเศษก็คือ เขาจอดให้เข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที แต่ส่วนใหญ่มีเวลาเหลือพอช็อปปิ้งกันทุกคน เก่งจริง ๆ...! แล้วอีตา Eric ไกด์ชาวจีน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วย พูดภาษาอังกฤษบางประโยคฟังยาก อย่างคำว่า “Fifteen minutes” ก็จะฟังเป็น “Fifty minutes” จะหยุดทำไมนานขนาดนี้วะ ? พอทักท้วงเข้าตอนหลัง เขาเลยใช้คำว่า “One Five minutes”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 19:52 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
"เราได้ยินจะไม่ใช่ Fifteen จะเป็น Fifty เรื่อยไป ที่ต่างชาติเขาออกเสียง “ตีน” นั่นใช่เลย แต่เราเองออกเสียงเป็น “ทีน” ประเภทออกเสียงไม่เหมือนเขา
อาตมาลงไปก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนเดิม มีแต่คนถ่ายรูป บางทียืนให้พวกเราถ่ายรูป กล้องแค่ ๑ ตัวแต่มีกล้องนักท่องเที่ยวมาแล้ว ๕๐ ตัว บางทีก็เรียก “เหล่าต้าซือ” บ้าง “เหล่าซือฟู่” บ้าง เออ...เหล่าก็เหล่า แก่แล้วเหมือนกัน เขามาขอถ่ายรูปด้วย คราวนี้จากซื่อกู่เหนียงซาน เวลาขาลงของเราจะมีแม่น้ำน้ำมนต์ ทะเลสาบกระจก จะสะท้อนเงาภูเขาท้องฟ้าลงไปเหมือนอย่างกับเราดูด้วยสายตา ตรงนั้นเขาชอบไปถ่ายรูปกัน เขาบอกว่าเสิ่นเจิ้นก๊อปฯ ทุกเรื่อง แม้กระทั่งบรรยากาศตรงนี้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ก็ก๊อปปี้มา ไปโทษอะไรกับเสิ่นเจิ้นวะ ? แล้วก็มีสถานที่ให้ดูเป็นระยะ ๆ แต่ว่าต้องดูเวลาด้วย เพราะว่ารถคันสุดท้ายที่ออกจากอุทยานเขามีเวลาแน่นอน ถ้าพลาดคุณก็หาทางเอาตัวรอดกันเองในอุทยานนั่นแหละ เพราะว่าจะไม่เหลือใคร ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คืออย่าให้เกินบ่ายสาม ต้องรีบออก เนื่องจากว่าพอเราซื้อตั๋วแล้ว รถทุกคันขึ้นได้หมด จะขาเข้าขาออกอย่างไรก็ตาม เต็มคันเขาก็ออก ไม่ต้องรอใคร เขาจะแวะให้ทุกที่ แม้กระทั่งลงไปก่อเจดีย์ก็ยังทำกัน คือเอาหินมาตั้งเรียง ๆ กันให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็ประชดชีวิต เอาหินแผ่นบาง ๆ ที่เป็นแบบหินชนวนบ้านเราไปตั้ง เออ...ก็ตั้งได้เหมือนกันนี่หว่า..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 19:55 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"วันแรกออกจากอุทยานซื่อกูเหนียงซานมาก็เกือบค่ำ มาพักอยู่แถว ๆ หมู่บ้านชิงเทียน หนาวเสียจนมือไม้ชาหมด อาตมาได้เปรียบเพราะว่าก่อนไปมีญาติโยมบางท่านที่รู้เรื่องเหล่านี้ ถวายสังฆทานให้เจ้าที่ล่วงหน้า อาตมาเจอเจ้าที่ก็เลยขอใช้บริการพิเศษด้วย จึงไม่ค่อยจะหนาวเหมือนกับคนอื่น
คราวนี้ทางการจีนเขาจะให้พักอยู่นอกเขตอุทยาน อาคารทุกหลังน่าจะเป็นรัฐบาลลงทุนสร้าง หน้าตาเหมือนกันหมด แปลนเดียวกันหมด แล้วก็ให้บรรดาชาวทิเบตชาวพื้นเมืองไปเช่าเพื่อทำกิจการ เปิดร้านอาหารบ้าง เปิดโรงแรมบ้าง เปิดร้านขายของที่ระลึกบ้าง ฯลฯ รัฐบาลที่สร้างก็เอาใจคนทิเบตมาก เพราะว่าตึกทุกหลัง โดยเฉพาะประตูหน้าต่างจะเป็นลายอัษฎมงคล ก็คือความเป็นมงคล ๘ ประการของเขา ซึ่งจะมีฉัตร มีธรรมจักร มีหอยสังข์ มีดอกบัว มีเงื่อนไร้ที่สุด มีหม้อน้ำมนต์ เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 20:01 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"เนื่องจากคณะคุณตั้วที่ไปนั้น เป้าหมายของเขาก็คือไปถ่ายรูป เขาก็เลยเลือกไปปลายฝนต้นหนาว เพราะว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสี แต่ปีนี้เมืองจีนหนาวเร็ว ในเมื่อเมืองจีนหนาวเร็วก็เลยทำให้ในบางแห่งใบไม้ไม่ได้เปลี่ยนสีอย่างเดียว แต่ร่วงหมดแล้ว เหลือแต่กิ่งก้านเท่านั้น
ไปพักที่โรงแรมก็ต้องบอกว่าโรงแรมเขาอยู่ในระดับดีใช้ได้ทีเดียว เพียงแต่ว่าเราอย่าไปตั้งความหวังไว้สูง แต่ว่า ๒ วันหลังนี่ดีมาก เพราะว่าเขาพาไปพักระดับ ๔ ดาว ๕ ดาวเลย ก็เลยสงสัยว่าเขาจะได้กำไรมากหรืออย่างไร เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าค่อนข้างจะน่ากลัว อาหารเช้าในโรงแรมเป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว กินกันไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ข้าวต้มส่วนใหญ่ก็ใส่ลูกเดือยบ้าง ใส่ถั่วแดงบ้าง เป็นข้าวฟ่างต้มบ้าง พวกเราไปส่วนใหญ่กินกันไม่ได้ ส่วนพระอาจารย์ซดไป ๓-๔ ถ้วยเป็นอย่างน้อย กับข้าวของเขาก็ผัดผักกาดขาว ผัดถั่วงอกเป็นหลัก จะมีไข่ต้มให้มื้อเช้าละ ๑ ฟอง ไข่ต้มเฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย แล้วรู้สึกจะเป็นคนข้างนอกเข้ามาขายด้วยนะ จะต้มไข่เข้ามา คุณต้องแสดงบัตรที่พักของตัวเองก่อน แล้วเขาก็จะให้ไข่ต้ม ๑ ฟอง แต่คราวนี้เสฉวนเป็นเขตที่มีคนไทยโบราณอยู่กันเยอะ กินเผ็ดกันมาก กับข้าวมาแต่ละจานนี่พริกท่วมมาเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 20:03 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
"วันแรกที่เมืองจีนอาตมาก็ท้องเสียเลย เพราะว่าอาหารทั้งเผ็ดทั้งมัน เขาใส่พริกมาก...ประเภทหมูผัดพริกกลายเป็นพริกผัดหมู แดงโร่หมดทั้งถ้วยเลย..! คาดว่าเป็นเพราะบ้านเขาหนาวมาก ต้องกินของเผ็ด ๆ เข้าไปช่วย ขนาดเต้าหู้อ่อนยังใส่พริกจนแดงไปทั้งถ้วย
คนไทยเราไม่ค่อยกลัวพริกหรอก ไปกลัวพวกหมาล่าหรือฮวาเจียว เพราะว่าพวกนั้นเวลาโดนเข้าไปแล้วชาทั้งปาก พอเคี้ยวโดนทีก็...เวรแล้วกู เนื่องจากว่าอาตมาเคยกินพริกกะเหรี่ยงมาแล้วก็พอสู้ไหว แต่ว่าวันแรกก็ท้องเสียเลย วิ่งส้วมเสีย ๒ รอบ ๓ รอบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-11-2019 เมื่อ 08:24 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
"ประเทศจีนกำลังเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกถนนหนทาง ทำให้เวลาดูจากแผนที่แล้ว มีหลายเส้นทางที่เราไปแต่ยังไม่ปรากฏในแผนที่ อย่างอุโมงค์ที่เราวิ่งเข้าไปกัน ลัดทางจากเมืองซินตูเฉียวไปเมืองเฉิงตูได้ ๓ ชั่วโมงกว่า แต่เข้าอุโมงค์ไปกันเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เข้าไปจนอยากจะหลับ เขาก็ต้องมีไฟประดับสีโน้นสีนี้ ถามว่าติดไปทำไม ? ไกด์บอกว่าเพื่อให้คนขับได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หลับ
น่ากลัวตรงที่ว่าจีนเขาทำอะไรทำทีเดียว ของเราเจาะอุโมงค์เป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเส้นเดียวก็ไม่ไหวแล้ว เขาเจาะทั้งไปทั้งกลับเลย เสร็จแล้วหัวท้ายเขาไปตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ หินที่เจาะได้ก็คือเอาไปทำปูนซีเมนต์ แล้วก็กลับมาใช้ในงานก่อสร้างใหม่ ทำได้รอบคอบมาก บางทีวิ่งไป ๑๒-๑๓ กิโลเมตรโผล่ออกมาเห็นท้องฟ้า เพราะว่าเป็นซอกระหว่างเขา ก็หายเข้าไปในภูเขาอีกแล้ว รวมแล้วเข้าอุโมงค์กันนับครั้งไม่ถ้วน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2019 เมื่อ 20:46 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|