|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
"ในส่วนนี้เราจะเห็นว่า แม้กระทั่งสายการปฏิบัติเดียวกัน พอมีความต่างในแนวทางคำสอนก็แยกสายออกไปได้อีก เหมือนกับกิ่งไม้ มาถึงก็แตกง่าม เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ภาษานักวิชาการเขาเรียก อาจาริยวาท ก็คือถือคำสอนของอาจารย์เป็นใหญ่
แม้กระทั่งสายวัดป่าในปัจจุบัน ถ้าเราสังเกตก็จะมีสายหลวงตาบัว ก่อนหน้านี้มีหลวงปู่มั่นสายเดียว ตอนนี้จะมีสายหลวงตามหาบัว มีสายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ปัจจุบันนี้ยังมีสายท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพงอีก ไปกันใหญ่ แตกหลายกิ่งหลายก้าน ไม่ต้องแปลกใจว่าพระพุทธศาสนาของเราพอมาถึงยุคประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ เศษขึ้นมา แตกออกเป็นถึง ๑๗-๑๘ นิกาย นิกายที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดก็คือมูลสรวาสติวาท ซึ่งยังถือพระธรรมวินัย ๒๒๗ ข้ออยู่ แต่มีส่วนเสริมเข้ามา อย่างปัจจุบันนี้พุทธมามกะในประเทศอินเดียเขาไม่ได้ถือศีล ๕ เขาถือศีล ๒๒ มากกว่าเราเข้าไปอีก ๑๗ ข้อ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วพื้นเดิมเป็นฮินดู ก็จะต้องมีศีลที่ห้ามกลับไปยุ่งเกี่ยวกับฮินดูด้วย แต่เขาก็ยอมรับกันได้ เพราะว่าศาสนาพุทธของเราไม่มีการถือชั้นวรรณะ เห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น..ทางด้านอินเดีย ศรีลังกา ถ้าประกาศตนเป็นพุทธมามกะแล้วนี่ก็คือทั้งชีวิตเลย ไม่มีการชักเข้าชักออก เพราะว่าถ้าคุณย้อนกลับไป ฮินดูเขาก็ไม่รับแล้ว เพียงแต่ว่าอินเดียหรือศรีลังกาของเขาถ้าปฏิบัติก็คือทุ่มเทจริง ๆ พระไทยเคยไปแล้วไปสูบบุหรี่ให้เห็น คนอินเดียเขากระชากบุหรี่โยนทิ้งเลย “คุณเป็นนักบวช กิเลสแค่นี้ยังละไม่ได้แล้วจะไปสอนใคร” เขาเล่นแรงขนาดนั้น สูบบุหรี่บ้านเราที่ไม่มีความผิดตามพระวินัย แม้ว่าปัจจุบันนี้ถ้าหากว่าสูบผิดที่จะผิดกฎหมาย บ้านเขานี่เห็นความผิดพอ ๆ กับอาบัติปาราชิกเลย ปาราชิกบ้านเรานี่ขาดความเป็นพระไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2019 เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอบวชพระฉลองอายุ ๖๐ ปีเสร็จ อาตมากลายเป็นพระอุปัชฌาย์เป็ด คือ ไข่แล้วทิ้ง ไม่มีเวลาอยู่ดูแลท่านเลย แต่ละวันมีแต่งานข้างนอก วิ่งกันทีหนึ่ง ๒ งาน ๓ งานทุกวัน จนป่านนี้ ๑๐๘ รูปเหลืออยู่เท่าไรอาตมายังไม่รู้เลย ต้องรอกลับวัดไปก่อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2019 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
"มีพระรูปหนึ่งจะต้องอยู่..ไม่ได้สึก เพราะดันไปบนว่า ถ้าหงส์แดงชนะจะบวช นัดแรกโดนเขาหวดไป ๓-๐ ไม่มีโอกาสชนะอยู่แล้ว จำไว้ว่าอย่าบนส่งเดช บนส่งเดชก็เป็นความเฮงของคุณเอง สรุปแล้วลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะ ๔-๓ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่นัดเดียวลิเวอร์พูลจะยิงได้ ๔ ประตู แล้วอีกฝ่ายทำประตูไม่ได้เลย แต่ก็เป็นไปแล้ว สรุปแล้ว ๒ นัดเหย้าเยือนลิเวอร์พูลชนะ ๔-๓
อย่าไปบนพล่อย ๆ จะเดือดร้อนตัวเองด้วยประการฉะนี้ เขาจะไม่บวชก็กลัว ก็เลยต้องบวช อย่างน้อยก็บวชเพราะทีมฟุตบอล ดีกว่าอาตมาที่บวชเพราะหมาหน่อยหนึ่ง ตอนบวชหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบนเอาไว้ เพราะว่าช่วงนั้นหมาในวัดตายเยอะมาก ก็ขอพระท่านสงเคราะห์ ถ้าหากว่าหมาหยุดตายจะบวชพระให้ ๓ รูป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้ค่าเทอมออกก็ต้องจ่ายประมาณ ๑ ล้านบาท ที่ส่งเรียนไม่ใช่ของพระวัดท่าขนุนก็ ๑๘ รูปเข้าไปแล้ว บวกของพระวัดท่าขนุนเข้าไปอีกเป็นกี่รูป ? ตอนนี้วัดท่าขนุนรับภาระพระภิกษุสามเณรของอำเภอทองผาภูมิ ถ้าใครไปเรียน มจร. วัดใต้ ถวายค่ารถรูปละ ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน นี่แค่ค่ารถเท่านั้น แล้วเราลองคิดดูว่า ถ้าบวกค่าเทอมเข้าไปด้วยจะแค่ไหน ?
เรื่องพวกนี้จะไม่ช่วยท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านมีกำลังใจที่จะเรียน แต่ว่ารายได้ไม่แน่นอน ถ้าไม่มีกิจนิมนต์ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปเรียน แค่ค่าเดินทางก็แย่แล้ว เมื่อวานนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์พิเชฐ ทั่งโต ท่านไปบรรยายพิเศษในงานปฐมนิเทศและไหว้ครูประจำปี บอกว่าการสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีช่วยให้พวกท่านไม่ต้องเดินทางไกล สมัยหลวงพ่อเล็กท่านต้องไปเรียนถึงวัดไร่ขิง เดินทางครั้งหนึ่งเกือบ ๓๐๐ กิโลเมตร คราวนี้ ๓๐๐ กิโลเมตรอาตมาสู้ได้ เพราะกำลังใจที่จะเรียนก็มี ค่ารถก็มี แต่คนอื่นเขาไม่ได้อย่างนั้น แบบเดียวกับที่ส่งท่านกอล์ฟไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท ๓ ปีมีกิจนิมนต์ครั้งหนึ่ง ได้มา ๑๐๐ บาท ๓ ปีมีรายได้ตั้ง ๑๐๐ บาท..! เพราะฉะนั้น..ถ้าอาตมาไม่ตั้งเงินเดือนให้ท่านก็อยู่ไม่ได้ ก็อาจจะเป็นอานิสงส์ตรงส่งเขาเรียนนี่แหละ ก็เลยโดนถีบให้ไปเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ จะได้จ่ายให้ถนัดหน่อย เพราะว่าอยู่ในความรับผิดชอบแล้ว ตอนนี้การเรียนระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ก็แพง แล้วก็ยังมีหลักสูตรเสริมอีกเยอะ อย่างเช่นว่า ปริญญาโทต้องเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ MCU 003 และ MCU 004 ถ้าของปริญญาเอกก็ต้องต่อ MCU 005 และ MCU 006 อีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
"ในเรื่องการศึกษา เหมือนกับวิทยาลัยสงฆ์ของเราตอนนี้กำลังหลงทาง คำว่าหลงทางก็คือ การตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือมหามกุฎราชวิทยาลัย เป้าหมายแรกก็คือ ช่วยให้พระภิกษุสามเณรได้เรียนในระดับสูง แต่ปัจจุบันนี้แค่เรื่องค่าเทอมอย่างเดียว กลายเป็นเตะสกัดไม่ให้ภิกษุสามเณรเรียนกัน เพราะว่าราคาระดับไล่หลังมหาวิทยาลัยของรัฐบาลหรือเอกชนเลย
รุ่นอาตมาเรียนปริญญาตรีหน่วยกิตละ ๒๕ บาท แต่สมัยนี้ไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ? รู้แต่ว่าเรียนปริญญาตรีนี่ถ้าเทอมไหนค่าเทอมเกิน ๒,๐๐๐ บาท พวกอาตมาโวยแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เขามากกว่า ๓-๔ เท่า ปริญญาโทเทอมไหนถ้าเกิน ๑๘,๐๐๐ บาท พวกอาตมาก็โวยกันแล้ว แต่สมัยนี้ราคานี้ไม่ได้ครึ่งเทอม อาตมาเรียนปริญญาเอกค่าเทอม ๓๕๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้ได้ยินว่าจะเป็น ๔๕๐,๐๐๐ บาท ต่อไปจะเหลือสักกี่คนที่จบปริญญาเอกได้ เพราะว่าที่เรียนไม่ไหวออกกลางคันไปก็เยอะ รุ่นพี่ของอาตมาจนป่านนี้เรียนไม่จบก็เยอะ ถ้าดูอย่างหลวงพ่อโก๊ะ วัดดอนขมิ้น ต้องบอกว่าท่านมีความมานะสาหัสเลย เพราะว่าท่านเรียนก่อนอาตมา ๒ ปี แล้วจบทีหลัง ๓ ปี รวมเวลาแล้วท่านใช้ไป ๘ ปี ถามว่าหลวงพ่อโก๊ะจ่ายค่ารักษาสถานภาพไปเท่าไร ? ท่านบอกว่า “ผมเป็นพระครับ เขาเกรงใจเลยไม่คิดค่ารักษาสถานภาพ แต่บอกว่าให้รีบ ๆ จบหน่อย” ขนาดรีบจบใช้เวลา ๘ ปีเรียนปริญญาเอก แปลว่าท่านใช้เวลาทำวิทยานิพนธ์ประมาณ ๗ ปี..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
"ส่วนอาตมาใช้เวลา ๒ เดือนกว่า ๆ เพราะท่านอาจารย์บอกว่าไม่ครบ ๓ ปีไม่ต้องมายื่นขอสอบ อาตมาก็สบายใจ วิทยานิพนธ์คาอยู่แค่บทที่ ๓ ก็ไม่ทำต่อแล้ว...นอนรอ เหลือเวลาอีกตั้งเป็นปี ๆ ปรากฏว่าไป ๆ มา ๆ ท่านอาจารย์มาบอก “อาจารย์เล็ก..เร่งวิทยานิพนธ์หน่อยครับ ถ้าหากว่าเสร็จทันจะให้สอบเลย” ถามว่าทำไม ? “เข็นรุ่นพี่ไม่ไหว..เข็นไม่ไป”
คำว่าเข็นไม่ไป ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มาเรียนในระดับนี้ส่วนใหญ่ก็อายุมาก อายุมากมีข้อเสียอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือยึดติด อันนี้เป็นข้อเสียมหาศาลเลย การศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นการศึกษาอิสระ ยึดติดไม่ได้ ต้องเปิดรับของใหม่ ๆ โดยเฉพาะทฤษฎีและแนวความรู้ใหม่ ๆ ประการที่ ๒ คือ พออายุมากแล้วสมองไปไม่ไหว อาตมาเองไปยืนเข้าคิวกับท่านรออาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาอธิบายครั้งที่หนึ่งก็แล้ว สองก็แล้ว สามก็แล้ว สี่ก็แล้ว ห้าก็แล้ว ท่านไม่เข้าใจ ส่วนคนยืนฟังอย่างอาตมาเข้าใจทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ไม่ต้องให้อาจารย์อธิบายก็ได้ ต้องบอกว่าเพดานบินท่านไม่ถึง ในเมื่อเพดานบินไม่ถึงแต่พยายามบิน ก็จะเกิดสภาพอย่างนั้น อาตมาก็เลยใช้เวลาที่เหลืออยู่ประมาณ ๒ เดือนเร่งวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแล้ว บางที ๑๐ กว่าวันไม่ได้นอนเลย ถามว่าทำไมไม่ได้นอน ? ก็ตอนนอนลงไปดันคิดได้ว่าจะเขียนอย่างไร ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:12 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"สรุปว่ารุ่นของอาตมาที่ช่วยเหลือกัน รักกันจริง เป็นรุ่นเดียวที่จบได้ทั้งรุ่น แม้ว่าจะมีล่าช้าบ้าง แต่จนป่านนี้รุ่นที่ ๑ ยันรุ่นที่ ๘ ยังคากันอยู่เยอะแยะเลย ท่านยี้ต้องบอกว่าน่าเสียดายมาก เพราะว่าตอนนั้นท่านเป็นเลขานุการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน แล้วพื้นฐานภาษาอังกฤษของท่านดีมาก ปรากฏว่าพอเรียนวิชาการจบก็ทิ้งเลย ไม่เรียนต่อ ไม่ทำวิทยานิพนธ์ บอกว่าสู้ไม่ไหว อาตมาก็เสียดาย เพราะว่าเหลือแค่วิทยานิพนธ์อย่างเดียว
ท่านหนึ่งจบด็อกเตอร์แล้ว ตอนที่ขอเรียนจะบอกกับท่านว่ายากก็ไม่ได้ เพราะว่าคนอื่นเห็นพระอาจารย์เรียนพักเดียวก็จบแล้ว จึงปล่อยท่านไปผจญภัยเอาเอง ผ่านไป ๑ เทอม น้ำหนักลดไป ๒๐ กว่ากิโลกรัม ท่านมาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมรู้แล้วครับว่าปริญญาเอกยากโคตรขนาดไหน..!”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:14 เหตุผล: ! |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"ตอนนี้กาญจนบุรีมีพระภิกษุและแม่ชีจบปริญญาเอก ๑๒ รูป เป็นของวัดท่าขนุนไป ๔ รูป แล้วก็พระที่เคยเป็นเด็กวัดท่าขนุนอีก ๑ รูป รวมแล้วว่าไปเกือบครึ่งจังหวัด ตอนนี้ที่รออยู่ก็คือแม่ชีแก่ ๆ ไปเรียนปริญญาเอกที่ศรีลังกา ป่านนี้ ๖ ปีแล้วยังไม่จบเลย ถ้าเรียนเมืองไทยก็จบไปนานแล้ว
ที่ไม่จบเพราะว่า อันดับแรกต้องไปทดสอบภาษาอังกฤษว่าได้ระดับที่เรียนปริญญาเอกหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ระดับก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม และวิทยานิพนธ์ที่ทำเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องค้นคว้าจากตำราที่เขาเขียนเป็นภาษาบาลี-โรมัน ก็คือใช้ตัวภาษาอังกฤษ แต่เวลาเขียนแล้วมีการออกเสียงต่างออกไป ถ้าคนไม่เคยชินกับบาลี-โรมัน จะอ่านไม่ได้เลย อย่าง SACCA เขาอ่านว่าสัจจะ เพราะตัว C ในบาลี-โรมัน คือ จ.จาน ถ้าหากว่าเป็นเราก็ออกเสียงว่าสัคคะ แม่ชีก็ต้องไปเรียนบาลี-โรมัน สรุปแล้วที่ ๖ ปียังไม่จบนี่ไม่ใช่อะไรหรอก มัวแต่ไปเรียนเพิ่มอยู่ ก็เท่ากับว่าต้องไปเรียนเพื่ออ่านพระไตรปิฎกภาษาบาลี-โรมันให้ได้ เสร็จแล้วก็รวบรวมเนื้อหามาเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ ท้ายสุดแม่ชีใช้วิธีง่าย “หลวงพ่อช่วยเขียนเป็นภาษาไทยให้หน่อย เดี๋ยวหนูไปแปลภาษาอังกฤษเอง” “เออดี...ทำไมไม่ให้หลวงพ่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษไปเลยล่ะ..!”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"เมื่อวานนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์พิเชฐ ทั่งโต บอกว่าเรียนแล้วได้อะไร ? อันดับแรกได้ความรู้ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านพูดจนติดปากเลยว่า “นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้” เพราะว่าบ้านเราไม่ได้เชื่อความสามารถของคน ยังเชื่อในกระดาษแผ่นเดียว
ในเมื่อเชื่อกระดาษแผ่นเดียว เราก็ต้องหากระดาษไปยืนยันความสามารถตัวเอง คราวนี้ถ้าความรู้ของเราเพิ่มมากขึ้น จะขยายโลกทัศน์ ขณะเดียวกันวิสัยทัศน์ของเราก็กว้างไกลขึ้น โลกทัศน์นี่ก็คือมุมมองที่มีต่อโลกจะกว้างขึ้น วิสัยทัศน์ก็คือแนวความคิดของตัวเอง จะชัดเจนและกว้างไกลขึ้น เพราะฉะนั้น..ความรู้อันนี้จำเป็นมาก ถ้าเราไม่เข้าไปเรียน เราก็ไม่รู้ ข้อที่ ๒ ได้ปริญญา แน่นอนอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณพยายามตะเกียกตะกายจนจบ ก็ต้องได้ปริญญา ก็อย่างที่ว่า เอาไปเพื่อรับรองว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถ ตรงจุดนี้ต้องบอกว่ายังเป็นจุดบอดของประเทศไทย คนมีความสามารถแต่ไม่มีปริญญาบัตร ไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความรู้ ยังไม่ได้รับการยอมรับ ก็ต้องหางานทำเอง มีกิจการของตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปเข้าบริษัทที่อื่นหรือหน่วยงานองค์กรอะไร ก็ต้องการปริญญาบัตรหรือประกาศนียบัตรรับรองทั้งนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
"ข้อที่ ๓ เรียนแล้วได้เครือข่าย พรรคพวกเพื่อนฝูงที่รู้จักกันในระหว่างที่เรียน ในแต่ละระดับชั้น ในแต่ละรุ่น อย่างอาตมาเองปัจจุบันนี้ถ้าเดินอยู่ในเขตภาค ๑๔ ร้อยละ ๙๙ ที่ผ่านมาจะยกมือไหว้ เพราะว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่นก็จะเป็นลูกศิษย์ เนื่องจากว่าสอนมหาวิทยาลัยสงฆ์มา ๑๐ กว่าปีแล้ว
เครือข่ายตรงนี้มีคุณค่ามหาศาล ของบางอย่างที่เราทำเองแล้วจะยาก แต่ถ้ามีเพื่อนก็จะง่าย ถึงเวลาต้องการรู้เรื่องอะไร หรือว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังหาอยู่ รู้ว่าอยู่ใกล้ทางด้านจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ก็เรามีเพื่อนร่วมรุ่น มีเพื่อนรุ่นน้อง มีครูบาอาจารย์ สมัยนี้ก็ LINE บอก รบกวนหน่อย เดี๋ยวท่านก็ช่วยจัดการให้ ข้อสุดท้ายได้ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือสังคมนี้ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก แค่เราเดินทางไปเรียน ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ตกแก่ชาวบ้านทั้งนั้น ท่านพระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ.๓) ปัจจุบันก็คือรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีป้ายแดง เพราะว่าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งไล่ ๆ กัน วันก่อนเจอหน้ากันก็ “เฮ้ย...ยินดีด้วยอาจารย์เล็ก” บอก “เออ...ผมก็ยินดีกับคุณด้วย” ต่างคนต่างได้ตั้ง เพียงแต่ว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันท่านไปไกลกว่า ตำแหน่งท่านจะใหญ่กว่าเสมอ อาตมาขึ้นรองเจ้าคณะอำเภอ ท่านก็ไปเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดแล้ว แค่ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภออาตมายังกวดท่านไม่ทันเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
"ท่านพระครูวิบูลย์เจติยานุรักษ์ เรียนด้วยกันที่วัดไร่ขิงตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท พอจบโทท่านบอกว่า “อาจารย์เล็ก ผมไม่เอาแล้วนะ ผมไปหาเรียนที่ใกล้ ๆ วัดผมดีกว่า ผมเรียนมาจนจบปริญญาโทมานี่ เฉพาะค่ารถอย่างเดียวนี่เป็นล้านแล้ว” ลองคิดดูว่าต้องเติมน้ำมันเติมแก๊สไปล้านกว่าบาท แล้วเงินนี้ตกอยู่กับใคร ? ก็ตกอยู่กับชาวบ้านเขา
เพราะฉะนั้น..ตัวนี้ที่บอกว่าได้พัฒนาสังคมและท้องถิ่นก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันถ้าได้ความรู้ความสามารถมาแล้วไปทำงาน อย่างอาตมาเองไม่ว่าจะเป็นหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ไม่ว่าจะเป็นชุมชนคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็นสภาวัฒนธรรม ก็สามารถใช้ความรู้ในการพัฒนาท้องถิ่นของเราได้ ดังนั้น..เมื่อวานนี้ที่ท่านอาจารย์ด็อกเตอร์พิเชฐบอกว่า "ถ้าเป็นไปได้แล้วให้เรียน โดยเฉพาะถ้ามีเครือข่าย สมมติว่าคุณมาจากจังหวัดอื่นผ่านไปทางวัดท่าขนุน ไม่มีที่กิน ไม่มีที่นอน โผล่ไปหาหลวงพ่อเล็ก บอกว่าเป็นศิษย์ มจร. อยู่ที่นั่นที่นี่ ท่านก็คงจะไม่ไล่คุณออกจากวัดมาหรอก อย่างน้อยก็ต้องมีที่กินที่นอนให้ นี่คือเครือข่าย ท่านบอกสามารถช่วยเหลือเราได้ยามลำบาก ยามเดือดร้อน อะไรที่หนักเกินกำลังก็อาศัยเครือข่ายได้" ตรงนี้เป็นเรื่องจริง อย่างอาตมาปัจจุบันเป็นประธานองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ก็แปลว่า ๒๓ จังหวัดใน ๖ ภาค ไปไหนก็ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงได้หมด เป็นประธานศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ทุกสำนักก็ไปพึ่งพาเขาได้หมด เป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ก็แปลว่าสภาตำบลอีก ๗ ตำบลก็อาศัยเขาได้หมด เครือข่ายพวกนี้มีแต่จะกว้างออกไป ๆ มีบางคนส่งลูกเรียน หาโรงเรียนที่มีชื่อเสียง พยายามยัดเยียดลูกเข้าไปให้ได้ เขาบอกว่าไม่ได้ต้องการให้ลูกมีความรู้ แต่ต้องการให้ลูกได้รุ่น เราจะเห็นว่าถึงเวลาแล้วนายกรัฐมนตรี บรรดารัฐมนตรี เรียนรุ่นนั้นรุ่นนี้มาด้วยกัน เครือข่ายพวกนี้ทรงพลังกว่าที่เราคิด บางทีลูกหลานหรือคนรู้จักจะทำงานก็ฝากกันได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
"ปัจจุบันนี้มีกองงานพิธีการเกี่ยวกับศพที่ได้รับพระราชทาน อันนี้ต้องบอกว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ โดยตรง ข้าราชการหรือว่าผู้ที่มีความสัมพันธ์กับข้าราชการ ที่สร้างคุณความดีให้แก่แผ่นดิน ถ้าอยู่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณก็ลำบาก ปัจจุบันนี้พระองค์ท่านให้ตั้งกลุ่มงานพิธีการนี้ เกาะอยู่กับสำนักงานวัฒนธรรมทุกจังหวัด ปัจจุบันนี้บรรจุคนเข้าทำงานไป ๖,๐๐๐ กว่าตำแหน่งแล้ว และยังมีที่กำลังเพิ่มเติมมาเรื่อย ๆ
ส่วนนี้ที่กล่าวถึงเพราะว่ากลุ่มงานพิธีการของสำนักวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี มีเด็กที่เป็นอดีตมหาเปรียญสึกหาลาเพศไปสมัครงานอยู่ ๔ คน เขาก็มากราบ "หลวงพ่อเล็ก..ช่วยพวกผมด้วยนะครับ" เพราะเห็นว่าอาตมากับวัฒนธรรมจังหวัดสนิทสนมคุ้นเคยกันมาทุกรุ่น ทำงานร่วมกันมา ก็แค่แจ้งกับหัวหน้ากลุ่มงานเขาไปว่า ๔ คนนี้เป็นเด็กวัดเก่า รู้งานเกี่ยวกับทางด้านนี้ดี ถ้าหากว่ามีการบรรจุใหม่อะไรใหม่ ถ้าหากว่าสอบได้ก็ขอให้รับเด็กพวกนี้ก่อน งานยากของเขาก็กลายเป็นงานง่ายเพราะว่ามีเครือข่าย โดยเฉพาะที่เป็นครูบาอาจารย์คอยสนับสนุน ถ้าหัวหน้ากลุ่มงานมีเด็กของตัวเองอยากจะเอาเข้าไป ของเราเองก็ยังขยับขึ้นไปได้ เพราะว่าผู้อำนวยการหรือท่านวัฒนธรรมจังหวัดก็ยังสามารถที่จะชี้แนะช่องทางให้ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2019 เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงต้นเดือนมาจนถึงวันนี้ งานใหญ่ ๒ งานที่สำเร็จลงแล้ว ทำให้คลายความหนักใจไปมาก ก็คืองานศพของพระมหาสันติ โชติกโร เปรียญธรรม ๙ ประโยค อดีตรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา อดีตเจ้าอาวาสวัดท่ามะขาม ซึ่งพระผู้ใหญ่โดยเฉพาะพระเดชพระคุณพระพรหมโมลี กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองบาลีสนามหลวง รักษาการเจ้าคณะภาค ๕ ท่านชื่นชมว่าจัดได้สมเกียรติของผู้ตาย
แต่ตรงนี้ไม่กล้ารับเป็นความดีของตนเอง เพราะว่าได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ เจ้าคณะตำบลโกรกกราก เจ้าอาวาสวัดโกรกกราก จังหวัดสมุทรสาคร ที่บางคนคุ้นเคยเขาเรียก หลวงพ่อมหาสัมฤทธิ์ ท่านมอบเมรุลอยของวัดมาให้ ไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว แล้วรู้ด้วยนะว่าอาตมาอย่างไรก็ต้องแอบยัดให้ลูกศิษย์ท่าน ตามไปกำชับถึงวัดท่ามะขาม บอก “อาจารย์อย่าให้แม้แต่บาทเดียวนะ ถ้าพวกมันกล้ารับไป ผมรู้เมื่อไรจะให้มันนั่งรถเพื่อคืนให้อาจารย์ที่นี่” ท่านบอกว่าท่านตั้งใจช่วยงาน ถ้ารับแม้แต่บาทเดียวก็ไม่ใช่ช่วยงานแล้ว กลายเป็นทำเพราะผลประโยชน์ ก็ต้องบอกว่าเบาค่าใช้จ่ายไปมาก เพราะว่าปกติเมรุลอยลักษณะอย่างนั้นต่ำ ๆ ก็ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไปประกอบเป็นเจดีย์ ๕ ยอดอะไรประมาณนั้น แล้วท่านส่งลูกศิษย์ท่านมาทำให้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่ติดตั้ง ประกอบ ถอดเก็บ ฯลฯ แม้กระทั่งไฟฟ้าท่านก็ส่งรถของท่านมา เติมน้ำมันเอง ปั่นไฟเอง ไม่ให้ทางวัดเดือดร้อนเลย เพราะฉะนั้น...งานนี้ที่สำเร็จลงได้ ที่เรียกว่าสมเกียรติยศผู้ตายก็ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อมหาสัมฤทธิ์ วัดโกรกกราก ท่านชวนไปดูอุโบสถร้อยล้านของท่านอยู่ ยังไม่มีเวลาไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-07-2019 เมื่อ 12:32 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"และอีกส่วนหนึ่งที่ผ่านไปได้ด้วยดีก็คือ การเป็นตัวแทนรับตรวจงานหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ของจังหวัดกาญจนบุรี เขามาตรวจ ๒ แห่ง คือไทรโยคกับทองผาภูมิ
ทองผาภูมิ วัดท่าขนุน หมู่บ้านท่าขนุน เป็นตัวแทนรับการตรวจ ตรงนี้งานออกมาต้องบอกว่า ที่คณะสงฆ์เขาบอกว่าจัดได้ยิ่งใหญ่มาก ความจริงแล้วเกิดจากท่านนายอำเภอสืบสาย ศักดิ์โสภิษฐ์ ท่านทำหนังสือถึงส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สั่งเลยว่าทุกคนต้องไปร่วมงาน ถ้าไม่ได้ท่านนี่ทางราชการก็ไม่มาพร้อมเพรียงกันขนาดนั้น แต่ทางชาวบ้านของเราหาได้ คราวนี้การตรวจประเมินเขาไม่มีรายละเอียดให้เราว่าตรวจแบบไหน คุณเดาใจกรรมการก็แล้วกันว่าจะตรวจอะไรบ้างแล้วก็จัดไป หัวข้อนั้นคณะกรรมการท่านถือไว้ ถึงเวลาก็ให้คะแนนกัน ได้ยินว่าเต็ม ๕๐ คะแนน ถ้าตรวจประเมินผ่านก็เป็นชุมชนต้นแบบ แล้วก็ให้คนอื่นเขามาดูงาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2019 เมื่อ 21:31 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
"คราวนี้มีงานเป็นงานที่แทรกเข้ามา คือวันที่ ๑๓ มีคณะของวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรีมาขอดูงาน ว่าชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนจัดงานแบบไหน ? ทำงานแบบไหน ? ถึงเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ แล้วก็โดดขึ้นมาเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบที่มีความโดดเด่นภายในปีเดียว
วันที่ ๑๔ ของเราโกนหัวนาคบวชเณร วันที่ ๑๕ บวชพระ ๑๐๘ รูป วันที่ ๑๖ สืบชะตา วันที่ ๑๗ งานฉลองหลวงพ่อสามกษัตริย์ เขามาตรวจหมู่บ้านศีล ๕ วันที่ ๑๘ เจ้าคณะอำเภอท่านมั่นใจ แต่ทางภาคไม่มั่นใจ ท่านเจ้าคุณปัญญา เลขาฯ ภาค ท่านมาถึงตอนบ่ายทำหน้าไม่ค่อยดี “อาจารย์...จะทันไหมนี่ ? ไม่มีอะไรเลย” เรียนท่านไปว่า "เจ้าคุณไปนอนสบาย ๆ เดี๋ยวตอนเย็นมาดูใหม่ ขอเวลา ๒ ชั่วโมง ศาลาหลังนี้เป็นศาลาปาฏิหาริย์ ๓ วันมานี่เปลี่ยนโฉมทุกวันเลย" ตั้งแต่บวชพระ ๑๐๘ รูป มาทำพิธีสืบชะตา แล้วก็มาเจริญพุทธมนต์ฉลองหลวงพ่อสามกษัตริย์ พอตอนเย็นเจ้าคณะจังหวัดมายกนิ้วให้ทุกนิ้วที่มีเลยว่าอย่างนั้น บอกว่าทำไมเสร็จเร็วแท้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2019 เมื่อ 21:33 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
"พอพร้อมตรวจทุกฝ่ายก็สบายใจ แต่อาตมาไม่สบาย พอเช้าวันที่ ๑๘ พระครูศรีธรรมวราภรณ์ เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี มาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมไม่ได้สรุปกล่าวรายงานย่อมาให้ หลวงพ่อต้องว่าปากเปล่านะครับ” เฮ่อ...ก็เห็นใจว่างานท่านเยอะ แต่ถ้าท่านไม่บอกผมก็จะสรุปเอง แต่คราวนี้ท่านบอกว่าท่านจะทำให้ ผมก็ไว้วางใจ เลยใช้เวลา ๑๐ กว่า ๒๐ นาทีว่าปากเปล่าเพื่อสรุปงานตลอดทั้งปีให้คณะกรรมการท่านฟัง
อาตมาไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง ไม่รู้ว่ามีใครบันทึกเสียงไว้หรือเปล่า แต่บรรดาส่วนราชการที่มา ตลอดจนทางคณะสงฆ์ท่านบอกว่า อาจารย์เล็กแจกความดีความชอบให้ครบทุกหน่วยงานเลย ก็คือแต่ละงานที่ทำออกไป ใครให้ความร่วมมือ ใครให้งบประมาณ ใครช่วยเหลือด้านไหนบ้าง อาตมาก็ว่าไปตามนั้น อย่าไปเก็บความดีไว้คนเดียว ถ้าเก็บความดีไว้คนเดียวแล้วคุณดันทะลึ่งผ่านไปเป็นหมู่บ้านต้นแบบ ถึงเวลาเขามาดูงาน คนอื่นเขาจะไม่มาช่วย ตอนนี้แหละหนักเลย ในเมื่อเขารู้ว่าแต่ละส่วนงานที่มานี่อาตมากล่าวถึงทั้งหมด ใครที่ช่วยเหลืองานทางด้านไหนก็บอกหมด ต่อไปถึงเวลาเขาก็มา เพราะเขารู้ว่ามาแล้วเขาได้ผลงานด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2019 เมื่อ 21:35 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"ที่น่าสงสารที่สุดคือหน้าห้องของท่านนายอำเภอ นายอำเภอมาถึง ๖ โมงเช้า บอกว่า “หลวงพ่อ...ขอโทษนะครับ เลขาฯ ผมนิ่งนอนใจ เห็นว่าเป็นงานวัด ไม่รู้ว่าผู้ว่าฯ จะมาเป็นประธาน ผมให้ทำหนังสือแจ้งส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด เขาเพิ่งทำเมื่อวานเย็นนี้ครับ ผมเซ็นแล้วให้เขาวิ่งส่งเลย เอาให้เข็ด”
ปรากฏว่าพอตรวจประเมินเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ถวายของที่ระลึก อาตมารู้ว่าถ้ามอบให้เองนี่คณะกรรมการไม่รับแน่ เพราะว่าเหมือนกับรับสินบน ก็เลยให้ท่านผู้ว่าฯ นายอำเภอ กับหัวหน้าส่วนราชการช่วยกันมอบให้ เป็นกระเช้าเงาะทองผาภูมิ แล้วกระเช้านี้ก็เป็นเครื่องจักสานที่เป็นฝีมือของชุมชน ปรากฏว่าทางด้านคณะกรรมการฉันเงาะทองผาภูมิแล้วติดใจ ท่านบอกว่าเงาะทองผาภูมิชื่อเสียงสู้ทุเรียนไม่ได้ มีทุเรียนบ้างไหม ? ก็เรียนท่านไปว่า “ท่านมาผิดเวลาครับ ทุเรียนนั่นอยู่ในท้องของพวกผมหมดแล้ว ถ้าจะมาฉันทุเรียนต้องมาเร็วกว่านี้หนึ่งเดือนครับ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2019 เมื่อ 21:36 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"เสร็จงานก็จะตามลงไปช่วยหลวงพี่ต๋อง คือพระครูสุทธิสารโสภิต เจ้าคณะตำบลท่าเสาเขต ๑ เจ้าอาวาสวัดพุตะเคียน เพราะว่าท่านเป็นตัวแทนรับตรวจอีกแห่งหนึ่ง ก็คือเขามาตรวจของจังหวัดกาญจนบุรีแค่ ๒ แห่ง ปรากฏว่าพอน้องเล็กสตาร์ทรถ รถเต้นเป็นเจ้าเข้าเลย ลักษณะเหมือนกับวิ่งแค่ ๒ สูบ ทำอย่างไรก็ไปไม่ได้ เปิดเครื่องดูปรากฏว่ามีรอยหนูแทะ ขยะกองเป็นก้อนเลย "มึงเล่นสายไฟกูแล้วแน่นอนเลย" โทรไปหาศูนย์บริการโตโยต้า ทางศูนย์แม่นมาก บอกว่าหนูแทะสายไฟไม่ใช่ความผิดปกติของเครื่อง จัดเป็นอุบัติเหตุ ให้รีบติดต่อประกัน
บอกว่า "ยายบ้า... ! กูจะใช้รถ กูไม่ได้เคลมประกัน" ยายนั่นไม่ฟังเสียง เรียกประกันอย่างเดียว ถามประกันจะมาเมื่อไร ? อีก ๒ ชั่วโมงถึง เออ..เรื่องของมึงเถอะ อาตมาก็เรียกช่างในพื้นที่มาช่วยกันดู ช่างเขาจัดการต่อสายไฟให้เสร็จสรรพ ถามว่าค่าบริการเท่าไร ? "ไม่คิดครับหลวงพ่อ สายไฟเส้นเดียว" ก็เลยให้ไปพันหนึ่ง บอกว่าไปแบ่งกัน อาตมาเองก็วิ่งลงไปไทรโยคเพื่อไปช่วยงานหลวงพี่ต๋อง ไปถึงกลางทางประกันโทรมาถามว่าวัดท่าขนุนเข้าทางไหน ? บอกว่า "เอ็งกลับไปได้แล้ว ข้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ต้องการเคลมประกันโว้ย..! ต้องการใช้รถ" พอตัดสายไปอีกสักพักหนึ่งโทรมาใหม่ ตกลงว่าที่แจ้งไปนี่ไม่รับเคลมใช่ไหม ? ก็บอกไปว่ากี่หมื่นก็ไม่เอา กูบอกแล้วว่าแค่จะใช้รถ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2019 เมื่อ 21:38 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
"ท้ายสุดก็เลยไปเกือบไม่ทันงานของหลวงพี่ต๋อง เพราะว่าคณะกรรมการกำลังจะเดินทางเข้าไปตรวจในหมู่บ้านแล้ว ถามว่าทำไมของท่าขนุนไม่มีตรวจในหมู่บ้าน ? เพราะว่าท่าขนุนฝนตกมา ๓ วัน ๓ คืนแล้ว วันตรวจนั้นฝนก็ตก งานทุกอย่างอาตมาเอาเข้าไปอยู่ในศาลาเดียวเลย
อาตมาก็โดดขึ้นรถตู้ของวัฒนธรรมจังหวัดตามเข้าไปตรวจในหมู่บ้าน ปรากฏว่าฝ่ายพระเถระทุกรูปที่เจอหน้าถาม “อ้าว...ยังไม่นอนอีกหรือ ?” เพราะเขารู้ว่างานต่อเนื่องมา ๔ วัน นี่วันที่ ๕ แล้ว เรียนท่านไปว่า "นี่ยังไม่ใช่งานสุดท้ายของวันนี้ครับ" เพราะว่าหลังจากตรวจประเมินร่วมกับของทางไทรโยคเสร็จ อาตมายังต้องวิ่งกลับไปงานศพของพระมหาสันติที่วัดท่ามะขาม เป็นงานส่งท้ายของคืน ขอแจ้งให้กับทางญาติโยมทราบว่า ถ้าระยะนี้อาตมาวันไหนมีงานเดียว วันนั้นโคตรโชคดีเลย ตอนนี้อีก ๓ ศพที่รอคิวให้อาตมาจัดงานศพให้อยู่ กำลังรอว่าใครจะไปก่อน ก็มีตุ๊ป้อสิงห์ ๘๒ ปี หลวงพ่อมณฑล ๗๓ ปี หลวงพ่อสมคิด ๗๓ ปี กำลังดูว่าใครจะเลิกหายใจก่อน...ฝากกันดีนัก...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2019 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
"งานของท่านอาจารย์มหาสันติที่ฝากไว้ ตอนแรกกะว่าจะทำง่าย ๆ ๗ วันเลิก ปรากฏเจ้าตัวสั่งไว้ว่าให้ ๑๖ วัน เพราะว่าคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีมี ๑๓ อำเภอ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพอำเภอละวัน แล้วก็ให้ญาติตัวเอง ๓ วัน ถ้าตามนั้นวันเวลาก็จะลงโป๊ะ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทธิดาฯ พระบรมราชินี ขืนไปจัดงานวันนั้นก็หัวขาด
เรียนถามหลวงพ่อจังหวัด ท่านบอกว่า "ขยับเป็นอาทิตย์ถัดไป" "อาทิตย์ถัดไปผมไม่ว่างครับ" จำไม่ได้ว่าติดงานอะไร แล้วอีกอาทิตย์หนึ่งก็งานวันเกิด ก็ต้องเลื่อนมาอาทิตย์สุดท้าย เลยถามหลวงพ่อจังหวัดท่านว่าว่างไหม ? ท่านบอกว่าถ้ายาวขนาดนี้ท่านพอขยับได้ ก็เลยเลื่อนมาเผาวันที่ ๒๓ มิถุนายน อาตมาก็ได้แต่ถอนใจ รวมงาน ๓๖ วัน ค่าใช้จ่ายวันละเฉลี่ยประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะว่ามีพระสวดอภิธรรม มีพระเทศน์ พรรคพวกก็ง่ายเหลือเกิน เขียนระบุในพินัยกรรมให้พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นผู้จัดการศพ เรื่องเสียเงินนี่อย่าได้ทำบ่อยนักนะ เพราะว่าตอนนั้นเพิ่งจะจัดการศพให้คุณชยาคมน์ยังไม่ทันจะเสร็จดี คุณชยาคมน์เผาวันที่ ๑๙ อาจารย์มหาสันติมรณภาพวันที่ ๑๘ วันวิสาขบูชา กลายเป็น ๒ ศพต่อเนื่องกัน จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานศพไปแล้ว แต่ว่างานนี้ตรงจุดที่ได้กำไรก็คือ เอาพระวัดท่าขนุนไปฝึกงาน ๕ รูป ต่อไปถ้าในเขตอำเภอทองผาภูมิหรือจังหวัดกาญจนบุรีมีงานพระราชทานเพลิงศพ มีงานสวดอภิธรรม มีงานเทศน์หน้าศพ ๕ รูปนี้ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะว่าผ่านการอบรมจริงมา ๓๖ วัน ไม่มีหลักสูตรไหนยาวขนาดนี้หรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2019 เมื่อ 13:19 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|