|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตัดผมไฟแล้วเสียของ เด็กถ้าหากว่าไม่ตัดผมไฟ ถึงเวลายังเป็นวัตถุอาถรรพ์ได้อยู่อย่างหนึ่ง คือผมสาวพรหมจารีที่ไม่ได้โกนผมไฟ เขาเอาไว้ทำบ่วงตัดเหล็กไหล เพราะฉะนั้น..โกนแล้วเสียของหมด
สมัยนี้อยากหาสาวพรหมจรรย์ต้องให้เจ้าแม่กวนอิมท่านตัดสิน งานแห่มังกรที่ปากน้ำโพ เขาจะหาสาวพรหมจรรย์มาเป็นร่างทรงของเจ้าแม่กวนอิม วิธีหาของเขาก็คือ มีสาวสมัครมากี่คนก็จัดส้มคูณ ๒ ไป อย่างเช่นมีอยู่ปีหนึ่งมีผู้สมัครเป็นร่างเจ้าแม่กวนอิม ๒๔ คน เขาก็เอาส้ม ๔๘ ลูก เขียนหมายเลขหนึ่ง ๒ ใบ หมายเลขสอง ๒ ใบ ไล่ไปเรื่อยจนถึง ๒๔ แล้วใส่ไว้ในตะกร้าหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็เขียนใส่อีก ๗ ตะกร้า รวมแล้ว ๘ ตะกร้า แปลว่าร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมจะต้องไปล้วงส้มแต่ละตะกร้า ตะกร้าละ ๒ ใบ รวมแล้วส้ม ๑๖ ใบต้องได้หมายเลขเดียวกันทั้งหมด มีโอกาสเป็นไปได้สักหนึ่งในล้านไหม ? แต่เขาก็ได้กันทุกปีนะ ใครที่ได้เป็นร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม เสร็จพิธีแล้วบรรดาเถ้าแก่วิ่งสู่ขอกันอุตลุด ไม่ต้องใช้แม่สื่อ ทุกคนมั่นใจว่าผ่านการรับรองจากเจ้าแม่กวนอิมแล้ว พวกเราล้วงตะกร้าหนึ่งจะให้ได้หมายเลขเดียวกัน ๒ ใบก็ยากแล้ว นี่ ๘ ตะกร้าต้องได้หมายเลขเดียวกันทั้ง ๑๖ ใบ ดูเหมือนจะยากกว่าออกเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่หนึ่งตั้งเยอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2019 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าจำไม่ผิด...เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ไปงานประจำปีที่วัดท่าซุง หลังจากเจริญพุทธมนต์แล้ว รับไทยธรรมเสร็จก็มีการให้ญาติโยมใส่ย่ามพระ อาตมาเอาย่ามไปก็วางให้โยมเขาใส่ สักพักหนึ่งทางวัดก็เอาถุงผ้าโปร่งใส่พานมาให้โยมใส่แทน อาตมาเองในเมื่อวางย่ามแล้วก็ไม่เอาออก วางไว้อย่างนั้นแหละ โยมที่มาก็เลยใส่ถุงผ้าในพานแล้วก็ใส่ย่ามอีก กลายเป็น ๒ เด้ง ก็เลยรับมาเยอะกว่าชาวบ้านเขาหน่อย ถ้ามัวรอถุงผ้าของทางวัดก็จะได้เด้งเดียว เงินจำนวนนี้อาตมาเอาลงหล่อพระทองคำไปเรียบร้อยแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2019 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
"อาตมาไปประชุมสัมมนากับศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ พอแนะนำตัวว่าอาตมาคือพระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ด็อกเตอร์ธาวิษ ถนอมจิตศ์ กระโดดเหยง “หลวงพ่อเล็กใช่ไหมครับ ?” “ใช่” “ผมเพิ่งจะโอนเงินไปร่วมหล่อพระกับหลวงพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง” แล้วเอ็งก็ไม่รู้จักข้าเลยนะ นั่งอยู่ติดกันแท้ ๆ ถ้าไม่แนะนำตัวจะรู้จักไหมนั่น ?
ท่านจบด็อกเตอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ พอดีว่าท่านจบจากนิด้า ส่วนอาตมามีอาจารย์ที่นิด้าหลายคน ก็เลยคุยกันถูกคอดี โดยเฉพาะอาจารย์ที่ลูกศิษย์ลงความเห็นว่าติ๊งต๊องอย่างศาสตราจารย์ด็อกเตอร์กฤษ เพิ่มทันจิตต์ คนไปว่าท่านติ๊งต๊องเพราะท่านมาถึงท่านจะบอกเลยว่า ในอดีตคุณเคยเป็นอะไร เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันมา ผมถึงต้องมาสอนคุณ เจออาจารย์แบบนี้เข้าลูกศิษย์บางคนรับไม่ได้ เลยว่าท่านอาจารย์ติ๊งต๊อง ส่วนอาตมาท่านอาจารย์เจอหน้าก็บอกว่า “ท่าน...เราเคยทำงานร่วมกันภายใต้เศวตฉัตรของในหลวงรัชกาลที่ ๕” ท่านอาจารย์ก็แม่นนี่หว่า..! เจอหน้ากันครั้งแรกก็บอกเลย คนเขาเลยว่าอาจารย์กฤษเป็นอาจารย์ติ๊งต๊อง แต่ความจริงที่ท่านพูดมาใช่ทั้งนั้นแหละ ต้องบอกว่านิด้านั้นเป็นแหล่งซ่อนเสือซ่อนมังกร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2019 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
"อาจารย์อีกคนก็คือรองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์สมพร แสงชัย ปัจจุบันนี้ท่านพกพระกริ่งพิชัยสงครามของวัดท่าขนุน ท่านบอกว่าท่านจับวัตถุมงคลมามากมายมหาศาล มีวัตถุมงคลชิ้นนี้พลังงานมากที่สุด อยากรู้ว่าใครเสก เพื่อนที่เอาพระกริ่งพิชัยสงครามไปให้ก็พามาเจอหน้าอาตมา ท่านอาจารย์ก็นั่งงง เพราะว่าสมัยที่ทำพระกริ่งพิชัยสงครามอาตมาเพิ่งจะอายุไม่เท่าไร
ตรงจุดนี้เป็นจุดได้เปรียบของลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะว่าเรารู้จักพระพุทธเจ้า พอถึงเวลาก็ขอบารมีท่านให้สงเคราะห์ ไม่ต้องเสกเอง ถ้าหากว่าคุณขอบารมีเป็น ทำได้ถูกต้อง ทำอะไรก็ขลัง เพราะฉะนั้น...ท่านอาจารย์จากนิด้า ๒ ท่านที่คุ้นเคยกัน ล้วนแต่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ทั้งคู่ ตอนอาตมาเรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์สมพรเป็นอาจารย์พิเศษ เขาเชิญท่านมาสอน เจอหน้ากันท่านอาจารย์ก็ประกาศเลย บอกว่า "ผมเองมาเป็นอาจารย์ แต่ในจำนวนลูกศิษย์ทั้งหมดในที่นี้ มีพระอาจารย์ของผมอยู่ด้วย" สรุปว่าทั้งสองคนผลัดกันเป็นอาจารย์ ผลัดกันเป็นลูกศิษย์ เรื่องพวกนี้ทำให้เห็นชัดว่า ในส่วนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าอภิญญาจะปรากฏเป็นสาธารณะเริ่มชัดขึ้น แต่ว่าสำคัญตรงที่ว่า ท่านที่รู้ก็มักจะโดนควบคุมว่าพูดได้แค่ไหน แสดงออกได้แค่ไหน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2019 เมื่อ 02:37 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา ขอให้ดำริของท่านจงเต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ จันโท ปัณณะระโส ยะถา ประหนึ่งพระจันทร์ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ...ฟังยาก พวกเราฟังไม่ออก ซ้ำยังแปลไม่ได้อีกต่างหาก
ยะถาก็คือฉันนั้น ตะถาก็คือฉันใด ประหนึ่งพระจันทร์เต็มดวงในวันขึ้น ๑๕ ค่ำฉันนั้น ลงท้ายด้วยยะถาต้องแปลว่าฉันนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2019 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับวัดท่าขนุนปีนี้ นักเรียนบาลีทำชื่อเสียงไว้มาก สอบประโยค ๕ ได้ ๒ รูป ประโยค ๑-๒ ได้ ๓ รูป ไปตกประโยค ๔ อยู่รูปเดียว ก็สู้ต่อไป
ปีนี้มีพระใหม่อาสาไปเรียนเพิ่มอีก ๒ ราย คือท่านอาจารย์พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีรูปที่ ๒ ท่านทำโครงการ ๑ อำเภอ ๑ มหาเปรียญ ก็เลยบอกท่านว่า "ทองผาภูมิไม่ต้องทำหรอกครับ ทองผาภูมินี่มหาเปรียญจะท่วมวัดท่าขนุนตายอยู่แล้ว" แต่ว่าปีนี้ก็ส่งให้ท่านไปรูปหนึ่ง ที่อัศจรรย์ก็คือหลวงพ่อมหาเอกชัย วัดหม่องกระแทะ ปีนี้สอบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ อัศจรรย์สุด ๆ คือว่าท่านอายุมาก การสอบประโยค ๙ ได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถามว่าทำไมไม่ใช่เรื่องง่าย ? เปรียญธรรม ๙ ประโยคในจังหวัดกาญจนบุรี ถ้ารวมท่านอาจารย์มหาเอกชัยก็เพิ่งจะนับได้ครบ ๒ มือ การเรียนบาลีต้องใช้ความอดทนมาก ๆ สมัยอาตมาเรียนอยู่ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เตือนอยู่เสมอ เจอหน้าเมื่อไรก็ “ท่านเล็ก...อย่าทิ้งสมาธินะ ทิ้งเมื่อไรจะท้อ สู้ไม่ไหวหรอก บาลีนั้นยาก” บาลีที่ยากเพราะว่าเขาบังคับให้เราจำอย่างเดียว โอกาสที่จะเข้าใจมีน้อยมาก ถ้าอยากจะเข้าใจบาลีจริง ๆ ต้องไปเรียนบาลีใหญ่ ที่เขาเรียกว่ามูลกัจจายน์ ทางโน้นเขาจะมีสูตรบอกให้รู้ว่าแต่ละอย่างมาจากไหน ที่มาที่ไปอย่างไร แล้วถ้าหากว่าเรียนบาลีทั่วไป เปรียญธรรม ๑-๒ ไม่ถึง ๙ ทน ๆ จำเอาก็แล้วกัน เป็นการวัดว่าสมองใครดีกว่า จำได้เยอะกว่า เขาไม่ได้วัดความเข้าใจ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2019 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
พูดถึงไม้ "เนื้อไม้มะเกลือกับไม้ชิงชันจะแน่นหนักชนิดไม่ลอยน้ำ โยนลงก็จมน้ำเลย ส่วนไม้อื่นนี่ยังลอยน้ำอยู่ ถ้าอยากรู้จักไม้มาก ๆ ก็ต้องเด็กบ้านนอกอย่างอาตมา เพราะว่าคลุกคลีตีโมงอยู่กับของพวกนี้ สมัยก่อนต้องตัดไม้มาทำบ้าน ทำศาลา ฯลฯ ถึงเวลาเขาเปิดปีกไม้ออกมา เนื้อข้างในเป็นอย่างไรก็จำเอาไว้
ตอนไปที่สังขละบุรี เจ้าของร้านเขาขายเฟอร์นิเจอร์ เป็นลูกกลึงที่เอาไว้นั่ง ๒ ลูก เห็นแล้วชอบใจมากเลย ถามเขาว่าราคาเท่าไร ? เจ้าของร้านบอกว่า ถ้าอาจารย์บอกถูกว่าไม้อะไรให้ฟรีเลย ก็เลยบอกแน่ใจนะ ? เขาบอกแน่ใจ อาตมาบอกว่า "ไม้ตะคึก เอามาเสียดี ๆ กูรู้จัก" ไม่อย่างนั้น ๒ ลูกนั้นต้องจ่ายเขาไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ บาท พวกเราแค่คำว่า ตะคึก ยังไม่รู้จักเลยใช่ไหม ? ต้นตะคึกจริง ๆ แล้วใบอ่อนสามารถกินได้ แต่ต้องต้มหรือไม่ก็ต้องย่างไฟก่อนจิ้มน้ำพริก เด็กบ้านนอกอย่างอาตมากินกระจายหมด ถึงเวลาถ้าไปกับคุณมงคลหรือพี่แดงของพวกเรา คุณแดงก็จะมองว่าต้นไหนขายได้ ส่วนอาตมาจะมองว่าต้นไหนกินได้ เดินผ่านป่าแต่ละทีต้นไม้เฉาเลย ไอ้นี่ก็จ้องจะกิน ไอ้นั่นก็จ้องจะขาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
"ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เขาใช้ไม้ชิงชันหรือไม้แดง แล้วก็ไม้จำปา ไม้มะม่วง แต่ร้านนั้นไม่รู้ว่าไปเอาไม้ตะคึกมาจากไหน ได้มาแต่แก่นล้วน ๆ เนื้อสีดำ สีสันออกคล้าย ๆ มะเกลือ เพียงแต่ว่ามะเกลือนี่ลายน้อย ตะคึกลายชัดกว่า คนที่เคยชินมองดูก็รู้ทันที
อย่างไม้พะยูงกับไม้ชิงชัน ถ้ากลึงติดกระพี้เหมือนกันจะดูไม่ออก ยกเว้นคนที่ชำนาญ ก็คือไม้พะยูงเนื้อจะละเอียดกว่า แล้วก็สีเข้มกว่า พอใช้ไปนาน ๆ ไม้พะยูงจะออกสีดำเลย แต่คนจีนเขาว่าสีม่วงดำ คนจีนเขาเรียกไม้จันทน์ม่วง เป็นไม้มงคลสูงสุดของจีน สำหรับคนจีนถ้าไม่ใช่แก่นต้นท้อ ไม้พะยูงเขาถือว่าเป็นไม้มงคลที่สุด ขายกันชนิดชั่งกิโลขาย ไม่ต้องสงสัยหรอก ในบ้านเราที่ขโมยตัดไม้พะยูงกันฉิบหายวายป่วง ก็ส่งไปจีนทั้งนั้นแหละ เพราะว่าราคาแพงมาก บรรดาวัดทางภาคอีสานสมัยก่อนนี่ ส่วนใหญ่จะมีไม้พะยูงอยู่มาก แต่ละต้นก็ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น วันดีคืนดีดึก ๆ ก็มีรถกระบะวิ่งเข้ามาพร้อมกับเลื่อยเครื่อง...แล้วตัดเลย หลวงพ่อออกไปไล่ก็บอกว่า หลวงพ่อกลับไปจำวัดเถอะ ถ้ามายุ่งตรงนี้เดี๋ยวจะตายเสียเปล่า ๆ แล้วหลวงพ่อที่ไหนจะกล้าไปยุ่ง ? เขาไม่ได้สนใจว่าเป็นของสงฆ์ของวัด เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าขายได้ราคาแพง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
"พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชของวัดท่าขนุน ด้ามทำด้วยไม้พะยูง ตอนแรกอาตมาตั้งใจจะเอาฝักไม้พะยูงด้วย แต่ปรากฏว่าไม้ที่หามาเป็นไม้สด ก็คือเขาโค่นแล้วผ่ามาเลย ไม้สดนี่ถ้าไม่รอหลาย ๆ ปีจนกระทั่งอยู่ตัว ถึงเวลาพอทำเป็นฝักซึ่งเป็นไม้แผ่นบาง ๆ พอแห้งแล้วก็บิดตัว เสียไม้ไปเยอะ ก็เลยต้องเปลี่ยนฝักเป็นไม้สักทอง ด้ามเป็นไม้พะยูง เพราะว่าไม้สักทองนั้นอาตมามีไม้สักเก่าอยู่
ใครที่ได้พระขรรค์โสฬสไปลองพิจารณาให้ดี ๆ จะเห็นว่าด้ามเป็นไม้พะยูง ส่วนฝักเป็นไม้สักทอง ก็คงหาดูยากสักหน่อย เพราะว่าทำแค่ ๘๔ เล่ม ทำถวายกุศลในหลวงรัชกาลที่ ๙ สามารถยืดให้ท่านอยู่ได้มาอีก ๕ ปี ๘๙ แล้วถึงได้เสด็จสวรรคต ปีที่พระองค์ท่าน ๘๔ พรรษา อาตมาเองก็ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรปีนั้นพอดี ก็เลยเป็นวัตถุมงคลชิ้นแรกที่มีชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรมจารึกอยู่ ยังไม่รู้ว่าชิ้นต่อไปคืออะไร น่าจะเป็นบาตรน้ำมนต์ฉลอง ๖๐ ปีกระมัง ? ใครที่จองก็ถือว่าเป็นวัตถุมงคลชิ้นที่ ๒ ที่มีชื่อของอาตมาจารึกอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณสว่าง เหมือนปอง ผู้ทรงคุณวุฒิสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ เพิ่งจะแต่งเพลงและร้องเพลงหลวงพ่อทองคำวัดท่าขนุน บันทึกวีดีโอเสร็จ ถ้าใครอยากฟังเข้าไปใน Facebook ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนนะ
อาตมาเรียก “พี่หว่าง” โยมต้องเรียกปู่แล้ว อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ได้ยินเสียงแล้วจะคิดว่าเด็กวัยรุ่น ถามว่าได้ดูแลร่างกายอะไรเป็นพิเศษบ้าง เขาบอกว่าไม่มีเลย กิน ๆ นอน ๆ ตามปกติ อาตมาเองก็แค่สนับสนุนข้อมูลแล้วก็สตางค์ ส่วนเนื้อเพลงกับคำร้องฝีมือพี่หว่างล้วน ๆ" ตามลิงค์นี้ค่ะ : https://www.youtube.com/watch?v=0u_w...ksAYDTVCNg-FvA
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
โยมมัวแต่ถ่ายรูป "จะรวยช้าก็ตอนถ่ายรูปนี่แหละ รีบยกมา...! ทำบุญ ทำให้ง่าย ทำให้ไว อย่าทำให้ยาก สมัยนี้เป็นธรรมเนียมนิยมใช่ไหม ? จะทำอะไรต้องลงโซเชียลให้ชาวบ้านเขารับรู้ก่อน
สักประมาณ ๓ เดือนที่แล้ว มีคลิปวีดีโอหนึ่งที่สาวกับหนุ่มเขาชอบกัน พอถามชื่อนามสกุลแล้วสาวค้นอะไรของหนุ่มคนนั้นไม่เจอสักอย่าง เพราะว่าเขาไม่เล่น facebook ความเครียดก็บังเกิด เพราะไม่รู้ว่าหนุ่มเป็นใคร ชอบอะไร มีการดำเนินชีวิตอย่างไร ท้ายสุดก็สรุปว่าผู้ชายน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาว ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็เป็นมนุษย์ต่างดาวมาตั้งนานแล้วเพราะว่าไม่เล่นเหมือนกัน เหตุที่ไม่เล่น Facebook เพราะอะไรรู้ไหม ? อันดับแรก...เล่นยาก ยังไม่เคยมีใครบอกว่าเล่นอย่างไร อันดับที่สอง...เวลาไม่มี เรื่องจะไปส่อง Facebook นั่งเขี่ยกันเป็นวัน ๆ ไม่มี ก็เลยไม่เล่น แต่บรรดาเพื่อนอาจารย์เขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กเป็นอาจารย์ที่ไม่เล่น Facebook แต่มีรูปลง Facebook มากที่สุดในโลก สรุปก็คือพอพวกเรามาทำบุญที่นี่แล้วถ่ายรูปไปลง ก็ติดอาตมาไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:02 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"Facebook เหมาะที่จะให้คนแก่อายุ ๖๐ ปีไปแล้วเล่น เพราะว่าตอนนั้นเกษียณอายุแล้วไม่มีอะไรทำ เพราะฉะนั้น..ใครมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายวัยเกษียณก็หาเฟซบุ๊ก หาไลน์ให้ท่านเล่น ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาหาให้ท่านเล่นแล้ว ท่านถามว่าจะให้ข้าสอนแกไหม ? เพราะว่าเล่นมานานแล้ว
เทคโนโลยีควรจะอำนวยความสะดวกให้กับเรา ถ้าทางโลกคืออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทางธรรมคืออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรมของเรา แต่อย่าให้เทคโนโลยีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเมื่อไรท่านจะลงแดงตาย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา วันที่ ๓ เมษายน เสียงหม้อแปลงไฟฟ้าในวัดท่าขนุนระเบิด...ตูม...! ไฟดับเกือบทั้งวัด พระท่านก็ไปดูสาเหตุกัน สักพักหนึ่งก็ไลน์มาบอกว่า “หลวงพ่อ...บ่างบินไปเกาะฟิวส์สายไฟแรงสูง ก็เลยระเบิด” อาตมาออกไปดู ปรากฏว่าไม่ใช่บ่าง แต่เป็นกระรอกบิน จึงบอกพระท่านว่า ถ้าบ่างปีกจะกว้างกว่านี้ ขณะเดียวกันหางก็มีติ่งอยู่นิดเดียว แต่หางฟู ๆ แบน ๆ แบบนี้เขาเรียกว่ากระรอกบิน
เป็นความซวยของเขาเอง เพราะว่าบินอยู่ทุกวัน อาตมาขอให้เขาหุ้มสายไฟ เพราะว่าถึงเวลาหน้าฝนลมแรง ถ้ากิ่งไม้แกว่งไปกระทบสายไฟเปลือย ๆ จะช็อตเอา หุ้มสายไฟหมด มีตรงฟิวส์ที่หุ้มไม่ได้ ทุกวันกระรอกก็ลงถูกที่ แต่วันนี้ลงผิด ไปลงไปโดนฟิวส์พอดี เกรียมได้ที่กำลังกินเลย ประมาณ Medium...! ที่พูดไม่ได้นึกถึงกระรอกบินปิ้งหรอก ที่พูดเพราะประมาณ ๓๐ นาทีที่ไฟดับ พระทั้งวัดออกมานอกกุฏิกันหมดเลย ไฟฟ้าดับไม่มีพัดลมใช้ มีแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั่งทำงานหน้าตาเฉย เพราะว่าเปิดพัดลมใส่ตัวก็เป็นไข้ ถ้าเปิดแอร์ก็คัน ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง จึงเคยชินกับอากาศปกติ คนอื่นร้อนกันแทบตาย แต่อาตมาห่มผ้านอน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
"เพราะฉะนั้น..ถ้าเราปล่อยให้เทคโนโลยีหรือเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นทุกอย่างในชีวิตของเรา ไม่ต้องอะไรหรอก แค่ไฟฟ้าดับเราก็แย่แล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว สำหรับอาตมา ถ้าไฟฟ้าดับ ไมโครเวฟใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน เตาไฟฟ้าใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน มีแก๊สก็หุงข้าวได้ ไม่มีแก๊สก็หุงด้วยถ่าน ไม่มีถ่านก็หุงด้วยฟืน ไม่มีหม้อ ไม่มีไห ก็หุงด้วยกระบอก ไม่มีกระบอกก็ห่อผ้าชุบน้ำฝังดิน เอาดินกลบแล้วก่อไฟเผาก็ได้กินเหมือนกัน
สรุปว่าถ้าโยมไปกับอาตมามีสิทธิ์ตาย เพราะทำอะไรไม่เป็น โบราณถึงบอกว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ความรู้ทุกประเภทถึงเวลาสามารถช่วยเราได้ ดังนั้น..พอมีงานอบรมแต่ละที ส่วนใหญ่แล้วอาตมาจะไปด้วยตัวเอง บางทีเขาถามว่า หลวงพ่อยังต้องมาด้วยตัวเองอีกหรือ ? ส่งตัวแทนมาก็ได้ ส่งตัวแทนไป พอเขียนรายงานมาก็ไม่ละเอียดเหมือนกับไปฟังเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
"ดังนั้นความรู้ต่าง ๆ หาใส่ตัวไว้ เขาเรียกว่า สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษาเรียนรู้ เรียนมาก ฟังมาก จำได้มาก หลังจากนั้นถ้าเอาไปขบคิดจนแตกฉาน นำไปใช้งานได้ เรียกว่า จินตมยปัญญา จำไว้นะ ไม่ใช่จินตา จินตานั้นบาลีผิด หลังจากนั้นถ้าหากเอาไปตรึกตรอง จนกระทั่งรู้เห็นตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นหลักธรรมที่แท้จริง เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ถ้าหากว่าได้ภาวนามยปัญญา สภาพจิตยอมรับนี่หากินได้ตลอดชาติ ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และอีกหลายชาติด้วยถ้ายังเกิดอยู่
ถามว่าทำไม ? อย่างเช่นว่าเราเห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ธรรมดาร่างกายเราต้องแก่ ธรรมดาร่างกายเราต้องป่วย ธรรมดาต้องหิว ธรรมดาต้องกระหาย ธรรมดาต้องร้อน ธรรมดาต้องหนาว ถ้าเราเห็นธรรมดาก็ไม่ไปดิ้นรน ถ้าไม่เห็น ไปดิ้นรนก็ทุกข์ คราวนี้การที่เราจะไม่ดิ้นรน ไม่ได้แปลว่าปล่อยวางแบบไร้ปัญญา พยายามหาทุกช่องทางแล้ว ถ้าทำไม่ได้ถึงจะปล่อยวาง สรุปว่ายังไม่ทันที่จะเริ่มปฏิบัติธรรมเลยก็ว่าไปยาวแล้ว เห็นเทคโนโลยีตัวเดียวจากการถ่ายรูปแค่นั้นก็บ่นไปครึ่งชั่วโมงแล้ว สรุปว่าฟังแล้วจำได้ไหมว่าเริ่มจากไหน ? ลืมไปแล้ว เอาประโยคสุดท้ายก็แล้วกัน การฟังต้องจับประเด็นให้ได้ว่าประเด็นหลักที่พูดคืออะไร แล้วแตกย่อยออกไปกี่สาขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2019 เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ประกาศให้เลื่อนรถที่จอดขวางหน้าบ้าน "มาทำบุญแล้วชอบไปขวางชาวบ้านเขา ระวังไว้..ถ้าชีวิตเกิดอุปสรรค อย่าไปบ่นใครนะ ส่วนใหญ่เรามักจะมีความคิดอยู่สองแบบ แบบแรกก็คือเราทำบุญมาดีเหลือเกิน มาแล้วมีที่จอด แบบที่สองคือ กูจอดตรงนี้แหละ มักง่ายเข้าว่า ใครจะเดือดร้อนช่างหัวมัน ระวังอย่าไปเจอป้า..! ถ้าเจอป้าถือขวานด้วย อย่าได้ไปจอดเชียว...!
เขาเรียกว่ากาลเทศะ กาละคือเวลา เทศะคือสถานที่ คนเราถ้ารู้กาลเทศะก็ไม่ทำอะไรผิดพลาด ตัวเองและคนอื่นไม่เดือดร้อน ลองนึกถึงที่อนาถปิณฑิกเศรษฐีสอนลูกสาว จงนั่งให้เป็นสุข จงนอนให้เป็นสุข นั่งให้เป็นสุขอย่างเช่นไม่นั่งขวางทางเดิน ใครจะเข้าใครจะออกก็ไม่ต้องขยับหลบเขา ถึงเวลานั่งก็เยื้อง ๆ อยู่ทางซ้ายหรือทางขวาของผู้ใหญ่ เวลาท่านเรียกหาอะไรจะได้ใช้ได้ง่าย นอนให้เป็นสุข เขาบอกว่าดูแลคนอื่นให้เรียบร้อย เขาพักผ่อนนอนกันหมดแล้วเราค่อยนอน จะได้ไม่มีใครเรียกจนกวนเราให้ตื่น นั่นคือกาละ...เวลาที่เหมาะสม เทศะ...สถานที่อันเหมาะสม กาละอย่างเช่นการนอน เทศะอย่างเช่นการนั่ง ฉะนั้น...จอดรถก็ต้องดูกาลเทศะด้วย ส่วนใหญ่พวกเรารู้จักกาลเทศะ แต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ถึงได้บอกว่าอายมาก ท่านอาจารย์ฌอน ชยสาโร เป็นฝรั่ง แต่ได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ส่วนพวกเรากาลเทศะแปลว่าอะไรยังไม่รู้ ฟังเข้าใจ แต่ไม่รู้หรอกว่าแปลว่าอะไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:38 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีข่าวที่เป็นมงคลคือ พบช้างที่น่าจะเป็นช้างเผือกคู่บารมีรัชกาลที่ ๑๐ แล้ว ก่อนพิธีบรมราชาภิเษกไม่กี่วัน ตอนนี้ชื่อเก่าคือพลายเอกชัย อายุ ๓๕ ปี น้ำหนักประมาณ ๓ ตัน งายาว ๒๘ นิ้ว งายาวมากนะ ถึง ๒ ฟุตกว่า
ตอนนี้เขาดูลักษณะแล้วเข้าเกณฑ์ช้างเผือกอยู่ ๗ ประการ ส่วนที่เหลือก็รอให้ทางกรมคชบาลส่งผู้เชี่ยวชาญไปตรวจซ้ำ ถ้าเป็นช้างเผือกประจำรัชกาล ช้างเผือกเชือกนี้จะสวยมาก เพราะรูปร่างลักษณะตลอดจนกระทั่งงาสมบูรณ์มาก ถ้าไม่ใช่ช้างเผือกเอกก็ต้องเป็นโท ไม่โทก็ต้องเป็นตรี เพราะเข้าลักษณะถึง ๗ อย่างแล้ว นับว่าเป็นข่าวดีที่เป็นมงคลของประชาชนคนไทยด้วยกัน ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ จะได้มีช้างเผือกคู่บารมีที่เกิดในรัชกาลของพระองค์ท่านเองจริง ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:39 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
ถาม : ผมจะทำทอดผ้าป่าสมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ รวบรวมบุญมาที่วัด ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ทางวัดไม่บอกบุญไม่เรี่ยไร ไม่ต้องไปทำ ประเภททอดผ้าป่าส่งเดชมาที่วัด โดนอาตมาไล่กระเจิงไปหลายรายแล้ว ทางวัดมีระเบียบห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร ดังนั้น...ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของวัดที่ดำเนินการอยู่ในเว็บวัดท่าขนุนแล้ว ที่เหลือให้คิดเอาไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวงกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:40 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
ถาม : (มีดหมอตีชื่อหลวงปู่ศุข) ของจริงหรือของปลอมครับ ?
ตอบ : ปลอม...จำไว้ว่าสมัยหลวงปู่ศุขสร้างวัตถุมงคล ยังไม่มีการลงชื่อของตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:40 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่ตายเสียก่อนวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ชีวิตนี้ของอาตมาจะได้เข้าพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๓ รอบแล้ว ตอนในหลวง ๖๐ พรรษานั่นรอบหนึ่งที่วัดท่าซุง ตอน ๘๔ พรรษาที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) อีกรอบหนึ่ง แล้วนี่มาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เป็นครั้งที่ ๓ ถ้ามีอีกรอบหนึ่งจะดีกว่านี้
ไม่ได้ตั้งใจเลยนะ เพราะโดยฐานะของอาตมา ในชีวิตนี้ไม่มีทางคิดว่าตัวเองจะได้รับอัญเชิญเป็นพระเกจิอาจารย์ไปนั่งปลุกเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมัยอยู่วัดท่าซุงก็เข้าร่วมในฐานะพระวัดท่าซุงเท่านั้นเอง เพราะว่าองค์เสกจริง ๆ ก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ไหนได้...พออยู่ไปไม่รู้ว่าดังขึ้นมาอีท่าไหน อยู่ ๆ ปีนั้นเมืองกาญจน์ฯ นิมนต์มาเป็น ๑ ใน ๑๐ รูป มางวดนี้ไม่รู้เป็น ๑ ในเท่าไร เพราะว่าพระเกจิอาจารย์เก่า ๆ รุ่นนั้นก็มรณภาพไปหลายรูปแล้ว แต่ว่างานนี้พิธีเขาระบุไว้เลยว่าให้ใช้พัดยศ พระเกจิอาจารย์พกพัดยศนี่ตลกนะ โดยปกติแล้วพระฝ่ายปฏิบัติเขาจะไม่สนใจเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง อันนี้ไป ๆ มา ๆ โดนบังคับให้เป็น แต่ถ้านับอย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ส่วนใหญ่พระที่ท่านตั้งเป็นพระสังฆาธิการ นั่นคือพระสายปฏิบัติทั้งนั้น อย่างหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ท่านเป็นยันเจ้าคณะมณฑล ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือเจ้าคณะภาค"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:44 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|