|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมายังทำงานอยู่ ช่วงตรุษจีนกับสงกรานต์ กรุงเทพฯ เกือบจะเป็นเมืองร้าง ขึ้นรถแท็กซี่เขาบ่นเลย “พี่...ทำไมถึงน่ากลัวอย่างนี้” ถามว่า "น่ากลัวตรงไหน ?" เขาบอก "วังเวงมากเลย"
สมัยนั้นตรุษจีนเขานิยมหยุดกัน ๖ วัน ก็คือหยุดตั้งแต่ชิวอิดจนถึงชิวลัก หลัง ๆ ความบีบคั้นทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น การหยุดก็น้อยลง พอสองค่ำก็คือชิวยี่เปิดงานกันแล้ว พอมาระยะหลัง ๆ ก็ไม่หยุดด้วย ก็คือสมัยก่อนเจ้านายหรือเถ้าแก่ส่วนใหญ่เชื้อสายจีน การหยุดก็จะหยุดช่วงตรุษจีนเป็นหลัก มีการแจกโบนัสที่เรียกกันว่า "แต๊ะเอีย" พอมาระยะหลัง ๆ เจ้าของกิจการมีมาก คนไทยมีมากขึ้น ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบธรรมเนียมอย่างจีน เถ้าแก่รุ่นเก่า ๆ ก็ล้มหายตายจากไป ช่วงหลัง ๆ ไม่กี่ปีมานี้ความสำคัญของตรุษจีนก็หายไป รู้อยู่อย่างเดียวว่าพอถึงตรุษจีนก็จะมีซองแดงแจกกัน แต่ว่าเป็นการแจกตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่ใช่โบนัสเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับสมัยก่อน บางกงสีก็คือบริษัทใหญ่หน่อยก็แจกทองคำเลย สมัยนี้ก็ให้กันเพราะเป็นธรรมเนียม และไม่ได้หยุดมากมายเหมือนสมัยก่อน ตรุษจีนก็แทบจะไม่มีคนรู้สึกถึงความต่าง นอกจากว่าพอวันจ่าย - วันไหว้ก็รู้ว่าแถวเยาวราช จักรวรรดิ อย่าได้เข้าไปเพราะว่ารถติดมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
"สมัยนี้ก็เหลือความสำคัญอยู่ที่สงกรานต์ พอรัฐบาลประกาศให้สงกรานต์หยุดได้ ๓ วันติดกัน ถ้ามีคาบเกี่ยวเสาร์-อาทิตย์ด้วยก็ได้เกิน ๓ วัน ส่วนใหญ่แล้วตอนนี้บรรดาผู้ใช้แรงงานก็มักจะเป็นชาวอีสาน ซึ่งจะพากันกลับบ้านตอนช่วงสงกรานต์ จึงทำให้รถติดหนักตอนสงกรานต์
ส่วนประเพณีจีนที่ยังทำให้รถมีปัญหาก็คือเช็งเม้ง เพราะส่วนใหญ่บรรดาฮวงซุ้ยต่าง ๆ ที่เหมาะจะทำหลุมฝังศพบรรพบุรุษ มักจะอยู่แถวสระบุรี แถวชลบุรี สระบุรีนี่จะได้ภูเขา ชลบุรีนี่จะได้ทะเล แนวเขาทุกแนวเขาถือว่าเป็นมังกร ถ้าหากว่ามังกรลงทะเลได้ก็แปลว่าเจริญรุ่งเรืองสุด ๆ ก็เลยทำให้ถึงเวลาลูกหลานจีนไปไหว้ฮวงซุ้ย ซึ่งจริง ๆ ก็คือหลุมศพ ฮวงซุ้ยหรือเฟิงสุ่ยของจีนจริง ๆ เป็นศาสตร์ในการดูภูมิประเทศว่า ที่ไหนดี ที่ไหนไม่ดี ซึ่งเรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้วก็มีในทุกชาติทุกภาษา เพียงแต่ว่าถือกันมากบ้างน้อยบ้าง ในเมื่อแห่กันไปพร้อม ๆ กัน ส่วนใหญ่ก็ลูกหลานเชื้อสายจีน แม้จะมีความเป็นไทยมากแล้ว ไล่ขึ้นไปก็ยังมีอากงอาม่ากันอยู่ดี ปีหนึ่งก็ถือว่าไปรวมญาติกันทีหนึ่ง ก็ไปไหว้สุสาน ทำให้รถราติดกันแหลกลาญ ไม่ว่าจะสายตะวันออกหรือว่าสายตะวันออกเฉียงเหนือ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
"บ้านเราเมืองเราคนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาอาศัย ก็ได้รับความสุขความสบาย ทำมาหากินสะดวก เพราะว่าเจ้าของแผ่นดินไม่ได้รังเกียจ แต่มาระยะหลังนี้ที่มีปัญหาก็คือบรรดาอิสลามิกชน หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่ามุสลิม ซึ่งบรรดามุสลิมทั้งหลายไปอยู่ที่ไหนก็ตาม จะทำตัวแปลกแยกจากสังคมนั้น ไม่มีวันที่จะยอมเข้ากับเจ้าของพื้นที่เลย
ปัจจุบันนี้รัฐบาลของเราก็พยายามจะใช้ข้อมูลด้านพหุวัฒนธรรม เอามาเพื่อที่จะให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเหมือนสมัยก่อน แต่ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ก็ได้ไปรับการปลุกระดมแล้วก็ฝังหัวด้วยความเชื่อว่า แผ่นดินทุกตารางนิ้วในโลกนี้ พระอัลเลาะห์สร้างมาสำหรับมุสลิมเท่านั้น คนอื่นมาแย่งชิงทรัพยากรต่าง ๆ ที่พระเจ้าสร้างให้คนมุสลิม เมื่อได้รับการปลูกฝังความเชื่อที่ผิด ๆ ถึงแม้ว่าเราจะเห็นเขาเป็นคนไทยด้วยกัน แต่เขาเองไม่เคยเห็นว่าตัวเองเป็นคนไทย โดยเฉพาะบรรดา ๓ จังหวัด ๕ จังหวัดปักษ์ใต้ ได้รับการปลูกฝังแบบฝังหัวไว้เลยว่า ‘เราเป็นมาลายู คนอื่นเป็นซีแย’ ซีแยก็คือสยาม ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนี้ ก็ไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้ โดยเฉพาะปัจจุบันมุสลิมทำตัวแปลกแยกจากสังคมเด่นชัด การแต่งตัวก็ต้องเป็นแบบของเขา ไม่ว่าสากลจะนิยมอย่างไรก็บังคับว่ามุสลิมต้องแต่งตัวแบบนี้ ขนาดปิดหน้าปิดตาจนไม่เห็นอะไรเลย ก็ยังอุตส่าห์ไปทำบัตรประจำตัว อุตส่าห์ไปทำหนังสือเดินทาง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าใต้ผ้าคลุมนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร อาหารการกินก็ต้องฮาลาลเท่านั้น สมัยก่อนคนไทยขายอาหารให้มุสลิมได้ มุสลิมขายอาหารให้คนไทยได้ ปัจจุบันนี้มีแต่มุสลิมขายให้คนไทย คนไทยขายให้มุสลิมไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งกล้วยทอดข้างถนนยังจะเอาฮาลาล มึงบ้าหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
"การเรียนหนังสือเขาก็ไม่ยอมเรียนหนังสือไทย ต้องเข้าปอเนาะ ต้องเข้าตาดีกา เรียนแต่หนังสือของเขา ก็แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพยายามจะทำให้กลมกลืนกันในลักษณะของพหุวัฒนธรรม มุสลิมปฏิเสธเอง แต่พอถึงเวลามีปัญหาก็จะอ้างว่าต้องอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม
ดังนั้น...ในส่วนนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า มุสลิมทั้งหมดไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้กลมกลืนกับเราเลย เพราะว่าได้รับการปลูกฝังจนมีอคติต่อชนชาติอื่นทั้งหมด ตัวเองไม่ว่าจะไปอยู่อาศัยที่ไหนก็ตาม ก็พยายามที่จะขยายฐานอำนาจของตน โดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะกระทบกระทั่งกับเจ้าของพื้นที่เท่าไร อาตมาฟันธงได้เลยว่า ถ้ายังมีมุสลิมอยู่ ปัญหาที่ปักษ์ใต้ของเราจะไม่มีวันสงบอย่างเด็ดขาด เพราะว่าบุคคลที่ไม่ยอมสงบจริง ๆ ก็คือฝ่ายมุสลิมไม่ใช่คนไทย สรุปว่าทุกวันนี้คนไทยของเราไม่ว่าจะเป็นพระ หรือเป็นฆราวาส เป็นข้าราชการ เป็นฝ่ายโดนกระทำมาตลอด แต่พอทำทีไรมุสลิมก็จะอ้าปากโวยวายขึ้นมาเมื่อนั้น ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากการรังเกียจกันทางชาติพันธุ์ ซึ่งตนเองเป็นฝ่ายทำเองแท้ ๆ แต่ไปโยนความผิดให้กับเจ้าของประเทศ..! ก็ขอให้ทุกคนพิจารณาดูว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เราต้องการความรัก ความสามัคคี การอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ว่ามุสลิมทั้งหลายเคยต้องการความสงบ ต้องการความรักความสามัคคีกับคนไทยบ้างหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
"ปัจจุบันนี้มีกระแสต่อต้านมุสลิมทั้งทางยุโรปและเอเชียบางส่วน ถ้าหากว่ามุสลิมยังทำตัวในลักษณะอย่างนี้ต่อไป นอกจากไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว อาจจะถึงขนาดมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันก็ได้
ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือมุสลิมโรฮิงญาในพม่า ทำตัวแปลกแยก ไม่ยอมเข้ากับเจ้าของพื้นที่ พอถึงเวลาขัดใจขึ้นมาก็ประท้วง ทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง พอโดนตอบโต้เขาก็โวยวายออกไปสู่โลกภายนอกว่า ตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม บรรดาองค์กรมุสลิมต่าง ๆ ทั่วโลกก็ช่วยกันตีข่าว ทำให้พม่ากลายเป็นผู้ร้ายทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของบ้าน แต่ว่ามีโจรเข้ามาทำตัวแปลกแยก เจ้าของบ้านขับไล่โจร กลับโวยวายว่าทำไมไม่ยอมให้เขาอยู่บ้านด้วย ? ก็ต้องบอกว่าปัจจุบันนี้พม่ากลายเป็นประเทศที่น่าสงสาร ก็คืออยู่ในลักษณะม้าอารีที่รู้ตัวแล้วว่าโดนมุสลิมรุกราน จึงพยายามต่อต้าน แต่ว่ามุสลิมทั้งโลกประสานเสียงกันเป็นเสียงเดียว กดดันองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ และประเทศที่มีอำนาจให้ช่วยกันคว่ำบาตรพม่า ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมาถึงเมืองไทยในไม่ช้า ถ้ารัฐบาลของเรายังคงโดนมุสลิมจูงจมูกอยู่ลักษณะอย่างนี้ คาดว่าอีกไม่นานบ้านเราจะมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีผลกระทบจากฝุ่นบ่ายสองครึ่งบ้าง ? เขาบอกว่า PM ๒.๕ อาตมาก็เลยเรียกบ่ายสองครึ่ง เพราะว่าถ้าเช้าก็ต้อง AM"
ถาม : ฝุ่นนี้เกิดจากอะไรคะ ? ตอบ : ก็สารพัดอย่างที่ทำให้เกิดฝุ่น ทำไมต่างประเทศโดยเฉพาะทางยุโรปอากาศเขาดี ? เพราะว่าเขาล้างกระทั่งพื้นถนนทุกเช้า ตี ๔ อาตมาไปเดินดูขณะที่คนอื่นนอนอยู่ เห็นเขาล้างพื้นถนนกันแล้ว มีทั้งฉีดน้ำ มีทั้งใช้รถขัด พูดง่าย ๆ ก็คือไม่เหลือฝุ่นเอาไว้ให้ปลิว แล้วรถขนข้าวของทุกอย่างจะต้องหุ้มผ้าใบมิดชิด ถ้าเข้าเขตเมืองก็ต้องล้างล้อก่อน เรื่องของการปล่อยควันไอเสียต่าง ๆ ของเขาเองก็ไปถึงมาตรฐานยูโร ๕ ยูโร ๗ ส่วนของเราเองยังยูโร ๒ อยู่เลย พูดง่าย ๆ ว่าเครื่องยนต์บ้านเขาแทบจะไม่ปล่อยควันพิษออกมา ขณะนี้เขาก็พยายามปรับเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า คือเขามีจิตสำนึกเพื่อบ้านเกิดตัวเอง ฝรั่งตัวใหญ่กว่าเราเป็นเท่า แต่ยอมอัดเข้าไปอยู่ในรถไฟฟ้าคันเล็ก ๆ เพื่อให้อากาศสะอาด ลูกหลานจะได้อยู่กันอย่างสบาย อย่างมีความสุข แต่บ้านเราไม่ใช่...บ้านเรานี่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขเฉพาะหน้าของตัวเอง จอดรถยังไม่ดับเครื่องเลย บอกว่าเดี๋ยวรถร้อน ติดเครื่องปล่อยไอเสียไปเรื่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ของเราต้องบังคับโดยเฉพาะพวกงานก่อสร้างต่าง ๆ ทำอย่างไรที่จะให้เขาลดฝุ่นละอองลง รถต่าง ๆ ต้องมีการจำกัด บอกแล้วว่าบ้านเราแก้ไขปัญหาจราจรไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบริษัทรถยนต์มักจะเป็นผู้อุปถัมภ์หรือสนับสนุนพรรคการเมือง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องทำให้เขาขายรถให้ได้มากที่สุด ไม่มีการจำกัดจำนวนรถยนต์
ปัญหาหนักที่สุดก็คือรถยนต์ โรงงานก่อสร้าง การเผาป่าเผานาแบบไม่บันยะบันยัง การเผานาเป็นความมักง่าย สมัยก่อนเขาใช้วิธีไถ ไถดะ ไถแปร แล้วก็ตีเลนให้เป็นตมจะได้หว่านข้าว พวกตอซังข้าวต่าง ๆ ก็กลายเป็นปุ๋ยไป สมัยนี้ใช้เผาทิ้ง บางทีเผากันแต่ละทีควันขึ้นมาท่วมถนนจนมองทางไม่เห็น ทำให้รถชนกันอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ส่วนอีกพวกหนึ่งที่อุบาทว์ที่สุด ก็คือเผานาเพื่อที่จะกินปลาไหล..! พอถึงเวลาหน้าแล้งก็เผานา พอฝนมาก็พาน้ำขี้เถ้าลงไปในรู ปลาไหลก็ต้องเผ่นขึ้นมาอยู่ข้างบน เพราะว่าปลาไหลโดนน้ำขี้เถ้าไม่ได้ เมือกจะเสียหายหมด ถ้าเป็นคนก็เหมือนกับโดนลวกด้วยน้ำร้อน ขึ้นมาก็ไม่รอด เขาเก็บกันทีเป็นหาบ ๆ อาตมาเห็นมากับตายังสลดใจ กินล้างกินผลาญกันขนาดนี้ ตัวเล็กตัวน้อยขึ้นมาหมด บางทีก็เลือกเอาแต่ตัวใหญ่ ตัวเล็กก็ปล่อยให้ตายอยู่ในนาอย่างนั้น
หน้าแล้งบรรดาปลา กบ หอย จะคุดอยู่ในโพรง รักษาชีวิตให้รอดไปจนถึงฤดูฝนใหม่ กำลังคุดอยู่ในโพรงดี ๆ น้ำมา ต้องเรียกว่าน้ำกรด เพราะว่าน้ำขี้เถ้าโดนนี่ก็เหมือนกับเราโดนลวกด้วยน้ำร้อน ดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นมาเขาก็เก็บใส่หาบไป กลายเป็นผัดกระเพราบ้าง เป็นต้มเปรตบ้าง บ้านเราใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่ระมัดระวัง การเผาป่าเผานาบ่อย ๆ ดินจะแข็งลักษณะกลายเป็นอิฐ ซับน้ำไม่ได้ พอถึงเวลาน้ำมา ก็กลายเป็นว่าดินไม่สามารถจะดึงดูดน้ำเอาไว้ จึงเกิดน้ำท่วม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
บรรดาฝุ่นละอองต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศส่วนมากเกิดจากการกระทำของพวกเราทั้งนั้น ถ้ามีสำนึกไม่ไปสร้างหรือกระทำให้เกิดผลในลักษณะอย่างนั้น หรือพยายามลดลงก็จะทำให้ฝุ่นน้อยลงได้
แต่ไม่ใช่ไปฉีดน้ำ ฉีดน้ำนั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบเด็กปัญญาอ่อน..! ฝุ่นอยู่ในชั้นบรรยากาศแล้วก็ลอยสูง พอกลางคืนอากาศเย็นถึงจะกดต่ำลงมา แต่ก็ไม่ต่ำพอที่คุณจะฉีดน้ำถึง อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่าบรรดาเจ้าใหญ่นายโตบ้านเรา โดยเฉพาะเหล่ารัฐมนตรีมีปัญญาความคิดแค่นั้นหรืออย่างไร ? แล้วการที่จะไปจำกัดคน อย่างเช่นแท็กซี่นั่งคนเดียวไม่ได้ แล้วโชเฟอร์จะขับไปหาเงินอย่างไร ? ใช้หัวแม่เท้าข้างไหนตรองดูก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ก็แปลว่าเราต้องทำขนส่งสาธารณะให้พอเพียง ให้ถึงจุดหมายปลายทางตามเวลา และราคาอยู่ในระดับที่ชาวบ้านรับได้ ถ้าอย่างนั้นคุณจะจำกัดจำนวนรถชนิดไม่ให้เพิ่มเลยก็ไม่มีปัญหา
ต่างประเทศบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ถึงเวลาถ้าคุณจะซื้อรถใหม่ต้องเอาคันเก่าไปให้เขายุบเป็นเศษเหล็กก่อน แล้วเอาทะเบียนเก่าไปทำประวัติใหม่ หรือไม่ก็บางประเทศอย่างญี่ปุ่น ถ้าจะซื้อรถต้องมีที่จอด ถ้าไปจอดเกะกะแถวข้างทางเดี๋ยวบริษัทขายรถจะซวย เขาไม่เล่นงานคนซื้อนะ เขาเล่นคนขาย ที่จอดรถที่ญี่ปุ่นนี่แพงหูดับ อาตมาไปดูมา ชั่วโมงแรก ๘๐๐ เยน จอดตลอดคืนชั่วโมงละ ๒๐๐ เยน ๒๐๐ เยนปาเข้าไป ๗๐ บาทไทย ชั่วโมงละ ๗๐ บาท คืนหนึ่งจอดกี่ชั่วโมง ? ตีเสียว่า ๘ ชั่วโมง คืนหนึ่งค่าจอดรถปาไป ๕๐๐ กว่าบาท มีปัญญาก็ซื้อรถไปสิ อาตมาจ้างรถไป พลขับเขาก็บอกว่า "รถยนต์ที่เห็นวิ่ง ๆ อยู่ ส่วนใหญ่เป็นของหน่วยราชการหรือบริษัทครับ น้อยคนที่จะใช้รถส่วนตัว เพราะว่ารถส่วนตัวไปช้า แต่ถ้าหากว่าไปรถไฟฟ้านี่ถึงตรงเวลาและเร็วมาก " เขามีวลีเด็ดของเขาว่า ถ้าอยากเร็วให้ไปรถไฟฟ้า ถ้าอยากช้าให้ไปรถส่วนตัว เนื่องจากว่าประเทศญี่ปุ่นจำกัดความเร็วไม่เกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วต้องเว้นห่างจากคันหน้า ๒๕ เมตร ก็ต้องคลานตามกันไป ประเทศฮ่องกงไม่ห้าม อยากมีรถมีไป แต่เก็บค่าจอดรถโหดร้ายกว่าญี่ปุ่นอีก แน่จริงก็ซื้อรถมาเลย...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-02-2019 เมื่อ 07:27 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
การแก้ไขมลพิษทางอากาศต้องเป็นวาระแห่งชาติ ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ยุโรปเขาแก้ไขทั้งปัญหาเรื่องมลพิษในอากาศ เรื่องของอาหาร เรื่องของน้ำ เรื่องของป่า เขาแก้ไขพร้อมกันหมดทุกหน่วยงาน เขาก็เลยทำได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ...อยู่บ้านเขาก็ราคาแพง
โดยเฉพาะหลายประเทศเก็บภาษีระดับ ๖๐-๗๐% แปลว่าทำงานได้เงิน ๑๐๐ บาท ต้องจ่ายค่าภาษี ๖๐-๗๐ บาท แต่เขาก็คืนให้คุ้ม เพราะว่าไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา เรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการช่วยเหลือเมื่อยามชรา เขามีให้เต็มที่ แต่ละปีมีตั๋วเครื่องบินให้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วย แต่นั่นหมายความว่าต้องจ่ายภาษีอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี แล้วแต่กติกาที่เขากำหนด ส่วนบ้านเราก็ยังเกรงใจอยู่ จ่ายภาษีร้อยละ ๗ ร้อยละ ๙ ปกติแล้วยิ่งคนรวยหาเงินได้มาก อัตราการจ่ายภาษีก็ต้องยิ่งทบทวีไป แต่บ้านเราไม่มี บ้านเราเกรงใจคนรวย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พูดเรื่องของบ้านของเมืองแล้วก็ลำบาก ต้องบอกว่าคนของเราไม่ใช่ไม่มีวิสัยทัศน์ มี...แต่ไม่มีโอกาสทำงาน ส่วนคนที่มีโอกาสทำงานก็ทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ ก็เลยทำให้บ้านเราพิกลพิการอย่างที่เห็น
แต่ละหน่วยงานเวลาทำงานไม่มีการมาประชุมปรึกษากันว่าใครมีโครงการจะทำอะไร ถึงเวลาไฟฟ้าขุดฝังท่อเสร็จสรรพเรียบร้อย ประปามาขุดใหม่ ประปากลบเสร็จโทรศัพท์มาขุดต่อ...เจริญ..! ทำไมไม่ตั้งโต๊ะคุยกันว่าคุณมีโครงการที่จะทำอะไรตรงนี้ ถึงเวลาก็ทำพร้อม ๆ กัน ก็เพราะว่าถ้าทำพร้อมกันแล้วใช้งบประมาณน้อย เงินทอนก็น้อย ในเมื่อเงินทอนน้อยไม่พอกิน ก็เลยต้องต่างคนต่างทำ บ้านเราสามารถคอรัปชั่นได้ทุกหัวระแหง เป็นอะไรที่น่าเกลียดน่าชังมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:34 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"แม้กระทั่งรัฐบาล คสช.ที่เข้ามา บอกว่าจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น จะสร้างจิตสำนึกให้เด็กโตไปไม่โกง ก็โกงกันตั้งแต่ต้นยันปลาย ในเมื่อตัวเองเป็นพ่อปูแม่ปูแล้วจะไปเดินตรงทางให้ลูกปูตามได้อย่างไร ? โดยเฉพาะจริยธรรมหรือสามัญสำนึกเพื่อส่วนรวมไม่มี เป็นรัฐมนตรีโดนด่าทั่วบ้านทั่วเมืองว่าไปสังกัดพรรค ถึงเวลาอาจจะใช้อำนาจหน้าที่อำนวยประโยชน์ให้พรรคใดพรรคหนึ่ง ก็ไม่สนใจ อ้างว่าต้องทำงาน พอโดนเขาด่าไปทั่วโลกค่อยลาออก บอกว่าสร้างบรรทัดฐานให้กับคนอื่นเขา บรรทัดฐานบิด ๆ เบี้ยว ๆ แบบนี้จะไปอวดชาวบ้านเขาได้ที่ไหน ?
ต่างประเทศอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น เป็นเอเชียด้วยกัน ถึงเวลามีอะไรผิดพลาด รัฐมนตรีลาออก นายกรัฐมนตรีลาออก ผู้นำหน่วยงานลาออก ผู้จัดการบริษัทลาออก เพื่อรับผิดชอบ บ้านเราเคยเห็นใครลาออกบ้างไหม ? จนกระทั่งโดนด่าทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วค่อยขยับลาออก เรื่องของคุณธรรมจริยธรรมต้องบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ แต่ปัจจุบันพ่อแม่ไม่สามารถที่จะดูแลลูกได้ อยู่ในลักษณะสถาบันครอบครัวล่มสลาย เพราะว่าพ่อก็ไปทำงาน แม่ก็ไปทำงาน ต้องเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์กับเงิน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:36 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"อย่าฝากความหวังให้พระอบรมลูก เพราะว่าจากพ่อแม่ ๓ ขวบครึ่งก็เริ่มเข้าชั้นอนุบาล ก็เป็นหน้าที่ของครู กว่าจะพ้นเกณฑ์การเรียนตามที่รัฐบาลกำหนดก็คือ ๑๒ ปี ก็ต้องจบ ม. ๖ อายุเท่าไร ? เต็มที่ก็ไม่เกิน ๑๘ ปี ก็ยังไม่ถึงมือพระ เพราะว่ากว่าจะบวชได้ต้องอายุ ๒๐ ปี แล้วบวชได้เฉพาะผู้ชายอีก ถ้าคิดว่าเป็นหน้าที่พระนี่โปรดทราบว่าคิดผิด เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ก่อน ถัดไปก็คือครูบาอาจารย์ กว่าจะมาถึงมืออาตมานี่แก่เกินแกงแล้ว เป็นไม้แก่ดัดไม่ไหว
บางคนมาถึงก็ “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอิฉันเกเหลือเกิน บวชแล้วช่วยดัดสันดานมันให้เป็นคนดีกับเขาบ้างเถอะ” “แล้วโยมให้ลูกบวชนานเท่าไร ?” “เจ็ดวันเจ้าค่ะ” แม่งเหอะ...! เลี้ยงมา ๒๐ กว่าปีดัดสันดานไม่ได้ ให้พระแค่ ๗ วันต้องดัดสันดานได้ อาตมาไม่ใช่ผู้วิเศษนี่หว่า..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:38 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
"แต่ครูบาอาจารย์บ้านเราก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก ทุกวันนี้จะโดนงานเอกสารท่วมตาย จะเอาเวลาที่ไหนไปสอนเด็ก เดี๋ยว มคอ.๒ เดี๋ยว มคอ.๓ เดี๋ยว มคอ.๕ เดี๋ยว มคอ.๗ เดี๋ยวต้องทำ SAR ต้องทำผลงานทางวิชาการ ไม่ทำก็ไม่ได้...เพราะว่าระเบียบบังคับ ต้องมีงานวิจัยอย่างน้อยปีละ ๑ เรื่อง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลเด็ก ? แค่งานเอกสารอย่างเดียวก็กินเวลาไปหมดแล้ว
ถึงเวลาเด็กปิดเทอมครูได้ปิดไหม ? จะไปปิดอะไร ถึงเวลาก็ต้องมาตัดเกรด ต้องมากรอกคะแนน ต้องให้เด็กเข้าไปประเมินได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ แล้วสมัยนี้ถ้าเด็กเข้าไปดูเกรดไม่ได้ก็เริ่มฟ้องแล้ว กลายเป็นความซวยของครูบาอาจารย์อีก ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน โดยเฉพาะเงินเดือนไม่พอใช้ เราก็เลยเห็นครูหลายท่านต้องขายประกัน ต้องขายสินค้าขายตรง ถ้าเอาในอาเซียนของเราด้วยกัน อย่างสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาก เงินเดือนครูสิงคโปร์อย่างต่ำ ๆ ๑๒๐,๐๐๐ บาท บ้านเราทำได้อย่างนั้นไหม ? ถ้าเอาในเอเชียด้วยกันก็เกาหลี เงินเดือน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ถ้าบ้านเราเงินเดือนครูได้ขนาดนั้น เราจะได้คนเก่งไว้สอนคนรุ่นใหม่เยอะมาก แต่ว่าบ้านเราเงินเดือนครูน่าสงสารมาก ส่วนที่น่าสงสารสุดคือครูพระ ครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนเงินเดือน ๒,๕๐๐ บาท ต้องทำรายงานส่งต้นสังกัดทุกเดือนว่าสอนที่ไหน สอนอะไร สอนไปกี่ชั่วโมง มีเนื้อหาอะไรบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:41 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
"เราลองคิดดูว่าเงินเดือนยังไม่พอค่ารถไปโรงเรียนเลย อาตมาเองทุกวันนี้ถ้าอย่างของ มจร.วัดใต้ ไปบรรยายเช้าบ่ายได้เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท อาตมาไปเดือนหนึ่งอย่างน้อยก็ ๔ ครั้ง ครั้งหนึ่งไปกลับเฉพาะแค่ค่าแก๊สอย่างเดียวก็ตก ๑,๐๐๐ กว่าบาท แปลว่าเขาให้อาทิตย์ละประมาณ ๑,๐๐๐ บาท เราจ่ายไปอาทิตย์ละ ๑,๐๐๐ กว่าบาท ยังไม่ต้องนับถึงเอกสารอะไรต่าง ๆ ที่จะต้องให้กับเด็กหรือส่งตามลำดับ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะเยอะมาก ถ้าหากว่ามาถึงวัดไร่ขิง ค่าใช้จ่ายก็หนักกว่านั้นอีก
ฉะนั้น...ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเรางานหนัก เงินเดือนก็ไม่จูงใจ หนี้สินก็มาก กู้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูบ้าง กู้นอกระบบบ้าง หนี้ท่วมหัวแล้วจะเอากำลังใจที่ไหนมาสอนเด็ก ? แล้วทำไมถึงสงสัยว่าเงินเดือนครูน้อย อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน เพราะว่ากระทรวงศึกษาธิการได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุดในจำนวนกระทรวงทั้งหมด มากกว่ากระทรวงกลาโหมอีก แล้วหายไปไหนหมด ? ลองฝากให้บรรดาผู้มีอำนาจในบ้านในเมืองขบคิดดูบ้างว่า ทำไมเงินเดือนครูของบ้านเราถึงได้น้อยนิดจนน่าเวทนา ขณะเดียวกันก็งานท่วมหัว แล้วทำไมประเทศอื่นเขาสามารถจัดสรรงบประมาณจ่ายเงินเดือนครูเป็นแสน ๆ ได้ ถ้าจะหาว่างบประมาณรั่วไหลไปทางไหน อาตมาอยากจะเชื่อว่ากระทรวงศึกษาคงต้องหาข้าราชการใหม่ทั้งหมด แตะไปตรงไหนก็ใช่ตรงนั้นแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:42 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"สมัยอาตมาเด็ก ๆ ครูถามอยากจะเป็นอะไร ? อยากจะเป็นหมอ อยากจะเป็นทหาร อยากจะเป็นตำรวจ สมัยนี้ลองไปถามเด็กดูสิอยากเป็นอะไร ? อยากเป็นดารา อยากเป็นนักร้อง ตูจะบ้า...! อนาคตไกลมาก ดาราบ้านเรามีอนาคตสักกี่ปี ? ถึง ๕ ปีไหม ? พอรุ่นน้องมาคุณก็แก่ ต่อให้อายุเพิ่ง ๒๐ ปีก็แก่ พอเริ่มแก่ก็ตกงาน มีเวลาในการที่จะทำเงินสั้นมาก
นักร้องก็เหมือนกัน พอถึงเวลาไม่มีอัลบั้มออกมา ไม่มีท่าเต้นที่ยั่วยวนกวนราคะก็ไม่ดัง ทำอย่างไรที่จะนุ่งน้อยห่มน้อยเพื่อเป็นข่าวให้มากที่สุด บ้านเราเขาต้องการแค่เป็นข่าวไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านร้าย เพื่อที่จะได้ไม่สูญหาย ยังเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่เพื่อที่จะได้มีงาน แล้วลองคิดดูว่าทำไมเด็กของเราถึงคิดแต่ในเรื่องฉาบฉวยแบบนี้ ? อยากเป็นดารา อยากเป็นนักร้อง ก็เพราะว่าอยากดังอยากเด่น แล้วทำไมไม่คิดจะดังจะเด่นในทางที่ถาวร ในทางที่ดี ที่ยอมรับของสังคมทั่วไปบ้าง ? ก็เกิดจากสังคมพิกลพิการของเรานี่แหละที่ทำให้เป็นอย่างนั้น สมัยนี้เขามีเน็ตไอดอล ภาษาจีนว่า "โอเซี่ยง" ภาษาอะไรก็ตามไปถึงประเทศจีน มีภาษาจีนหมด อาตมาเองก็งงมาตั้งแต่เด็ก รองเท้ายี่ห้อนันยางคืออะไร ? ความจริงคือหนานหยาง ทะเลจีนใต้ คนไทยอ่านตามภาษาอังกฤษว่า “นันยาง”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:44 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมประเทศจึงมีคอร์รัปชันทุกหัวระแหง ?
ตอบ : ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก ก็ต้องให้หัวเลิกส่ายหางจะได้ไม่กระดิก แล้วเป็นไปได้ไหมเล่า ? ขนาดหน่วยงานที่มีหน้าที่ปราบปรามคอร์รัปชันยังหูหนวกตาบอด อยู่ ๆ มีนาฬิกาเรือนละล้าน ๒๒ เรือนบอกว่ายืมเพื่อนมายังเห็นเป็นเรื่องปกติ ยืมเพื่อนคนไหนเพื่อนคนนั้นตายหมดแล้วก็บอกปกติ แล้วก็ไม่คิดจะคืนลูกคืนหลานของเพื่อนเลยก็ยังบอกว่าปกติ ถาม : ที่บิดเบี้ยวทุกวันนี้ก็คือตำรวจ ? ตอบ : ทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ใช่เฉพาะตำรวจ อาตมาเจอตำรวจดี ๆ เยอะแยะ วงการไหนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่ปลาตายตัวเดียวแล้วเน่าทั้งข้อง ปัจจุบันนี้ปลาตายเกือบทั้งข้อง ปลาดี ๆ ก็เลยพลอยเหม็นไปด้วย อาตมาเองได้รับคำเตือนด้วยความหวังดีจากตำรวจจราจร เพราะว่ารถไปติดแถวยาวเหยียดที่เขาตรวจ เขาบอก “อาจารย์ครับ เดือนธันวาคมไม่จำเป็นอย่าไปไหนนะครับ พวกผมต้องหาเงินส่งนาย ต่อให้ไม่ผิดผมก็ต้องเอาจนผิด” นี่คือคำเตือนจากตำรวจที่มีให้กับพระนะ ปีใหม่ต้องหาเงินส่งนาย เขาบอกเอง ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะว่าบ้านเรากินกันตั้งแต่หัวยันท้าย ต้องบอกว่าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ อาตมาเองที่ออกมาบวชนี่เพราะไม่ยอมกินกับเขา ไปขวางทางก็เลยโดนเขาแซะออกมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:45 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
เริ่มจากตัวเรา ถ้าตัวเราไม่ทำก็จบ คนอื่นไม่ต้องไปหวัง อาตมาลาออก ปรากฏว่าคุณหมอนพพรไม่ออก คุณหมอนพพรฉลาด มีปัญญา ไม่เอาแต่อารมณ์อย่างอาตมา คุณหมอแก้ไขปัญหาแค่ในอำนาจตัวเอง สูงขึ้นไปไม่แตะ ตอนที่หมอนพพรเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลทหารราบที่ ๙ กองพันเสนารักษ์มีรถประจำตัวนายทหาร ๒๒ คัน ก็คือจัดหาให้ตามงบประมาณ ก็ในเมื่อเจ้านายไม่กินก็ถึงลูกน้อง กองพันอื่นอย่างเก่งก็มี ๒-๓ คัน ที่เหลือหายไปไหนก็ไม่รู้ ?
ในเมื่อมีอำนาจแค่ไหนแก้ไขปัญหาภายใต้ขอบเขตอำนาจตัวเอง ก็ไม่ไปแตะเจ้าใหญ่นายโตข้างบน ส่วนอาตมานี่เพื่อนด่าตลอด “มึงนะเก่งจริง กูไม่เถียงหรอก แต่มึงรู้อะไรทำไมต้องพูดด้วย” พูดแล้วเจ้านายก็เดือดร้อน แต่บังเอิญว่าอาตมาเลือดร้อนมาแต่เกิด เรื่องจะไปทำไม่รู้ไม่ชี้ให้เขาโกงให้เขากินก็ทำไม่ได้ ท้ายที่สุดขนาดผู้บังคับกองพันที่ไม่โกงไม่กินก็อยู่ได้แค่ ๒ เดือนกว่าเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:47 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ตอนนั้น.......ขึ้นมาเป็นผู้บังคับกองพัน อาตมาเองก็แปลกใจ ทำไมวันนี้อาหารโรงเลี้ยงดีแท้วะ ? น้ำพริกปลาทู มีปลาทู ๒ ตัวใหญ่ ๆ เลย ต้มจืดวุ้นเส้น เต้าหู้อ่อนหมูสับ ผัดผักรวมมิตรใส่เนื้อหมูมาเพียบเลย ความจริงก็คือพอผู้พันเขาขึ้นเป็นผู้บังคับกองพัน เขาก็ตรวจสอบรายการที่สูทกรรมส่งมา “มึงเขียนรายการมาอย่างไร มึงทำอย่างนั้นนะ บ่าย ๒ โมงต้องมีกาแฟให้ทหารด้วย”
ปรากฏว่าบรรดานายสิบนายร้อยต่าง ๆ วิ่งไปขอร้องผู้พัน “อย่าถึงขนาดมีกาแฟบ่ายสองเลยครับ ถ้ามีนี่ทหารไม่เป็นอันทำอะไรกันหรอก ถ้าผู้พันต้องการอาหารตามนี้ก็ว่าตามนี้ แต่กาแฟขอเถอะครับ...อย่าให้มีเลย” ก็ตอนเช้ารายการเขาลงมา มีกาแฟไข่ลวก มีข้าวต้มกุ้ง มีข้าวต้มหมูสับ “มึงทำมา...ก็ในเมื่อมึงเขียนเบิกงบอย่างนี้ก็ต้องทำตามนี้” อยู่ได้ ๒ เดือนก็โดนย้าย เพราะว่าจากที่ปกติเขากินอาหารที่มีแต่วิญญาณหมู วิญญาณไก่ แต่ละงวดก็มีข้าวแกงทั้งกาก ผักบุ้งทั้งราก ฯลฯ อยู่ ๆ กลายเป็นอาหารขึ้นเหลา ส่วนที่จะพึงถึงคนอื่นก็ไม่เหลือ ในเมื่อไม่เหลือก็อยู่ไม่ได้ อยู่ได้ ๒ เดือนกว่าโดนย้าย ๒๔ ชั่วโมง เก็บข้าวของยังไม่ทันเลย นั่นอนาถกว่าอาตมาเยอะ ท่านเป็นระดับผู้บังคับกองพันแล้วนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 12:49 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|