กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-01-2022, 20:17
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,083 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 16-01-2022, 22:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ไม่ใช่วันหวยออก แต่ว่าเป็นวันครูแห่งชาติ ก็ต้องถือว่าทางรัฐบาลยังมีจิตสำนึกที่ดี เลื่อนวันหวยออกไปไม่ให้ตรงกับวันครู

คำว่า ครู รากศัพท์มาจากคำว่า ครุ แปลว่า หนักมาก ก็คือภาระในการสั่งสอนอบรมศิษย์ ซึ่งถ้าหากว่าทำได้ดี ศิษย์ก็จะถอดแบบความรู้ความประพฤติของครูบาอาจารย์ไป ถึงได้มีการใช้คำว่า "แม่พิมพ์" โดยเฉพาะเปรียบว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติ แล้วก็มีพวก "ปัญญานิ่ม" ไปใช้คำว่า "พ่อพิมพ์ของชาติ" สำหรับครูผู้ชาย ซึ่งคำนี้ไม่มีปรากฏในพจนานุกรม เนื่องจากว่าต้นแบบที่เอาไว้สำหรับผลิตสิ่งของต่าง ๆ เขาเรียกว่า "แม่พิมพ์" ทั้งสิ้น เป็นคำกลาง ไม่มีการแยกเพศ

บางอย่างในเรื่องของการเข้าใจผิดทางภาษา ก็ทำให้เกิดศัพท์ประหลาด ๆ ขึ้นมา อย่างเช่น "อนุโมทนา" คำว่า อนุ เป็น อุปสรรค คือ คำนำหน้า แปลว่า น้อย แปลว่า ภายหลัง แปลว่า ตาม เป็นต้น อย่างเช่นว่า อนุภรรยา ก็คือ เมียน้อย, อนุชน = คนรุ่นหลัง, อนุจร = ผู้เดินตาม พอไปคำว่าอนุโมทนา โมทนา ก็คือ ยินดี ดังนั้น...อนุโมทนาคือ ยินดีตามไปด้วย แล้วก็ดันมีพวกประเภทที่คิดว่าตัวเองเก่ง เห็นว่าคำว่า อนุ แปลว่า น้อย ก็เลยใช้คำว่า "มหาโมทนา" ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!" ต้องบอกว่าแหกกฎทั้งบาลี ทั้งภาษาไทย

คำว่าครูนั้น ต้องประกอบไปด้วยกัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ก็คือ ๑. ปิโย ซึ่งถ้าแปลตรง ๆ ก็คือน่ารัก ก็แปลว่าครูนั้นต้องมีส่วนที่ชวนให้ศิษย์ชิดใกล้ อยากที่จะศึกษาวิชาการนั้น ๆ ด้วย

๒. ครุ ตรงตัวเลยคือหนัก ในที่นี้ก็คือความหนักแน่นทางอารมณ์ ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ประมาณว่า "ไบโพลาร์" เพราะถ้าหากว่าขาดความหนักแน่น ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของลูกศิษย์ได้ ใครอยากจะไปเรียนด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-01-2022 เมื่อ 07:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-01-2022, 22:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๓. ภาวนีโย เป็นผู้แสวงหาความเจริญอยู่เสมอ ก็คือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดชีวิต เพราะว่าความรู้นั้นมีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ถ้าขาดการศึกษาเพิ่มเติมก็ตามโลกไม่ทัน ในเมื่อตามโลกไม่ทัน จะสอนลูกศิษย์ให้เท่าทันโลกก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ข้อต่อไป ๔. วัตตา ตามรากศัพท์เขาบอกว่ารู้จักพูด คำว่ารู้จักพูดก็คือ เป็นผู้ประกอบไปด้วยเหตุด้วยผล สามารถที่จะชี้แจงทุกอย่างอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผลทุกประการ

๕. วจนักขโม แปลตรง ๆ ว่าอดทนต่อถ้อยคำได้ ก็คือใครจะด่า จะว่า จะตำหนิติเตียน จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผู้เป็นครูต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว เหมือนบาลีที่ว่า ศิลาที่เป็นแท่งทึบย่อมไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด ครูก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวฉันนั้น ถ้าหากว่าเป็นปุถุชนอยู่ ยังหวั่นไหว ก็ต้องเก็บอาการให้อยู่

๖. คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา อธิบายเนื้อหา ข้อธรรมต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งชนิดรู้แจ้งเห็นจริง ถ้าหากว่าเป็นวิชาการก็ต้องทำเองได้ แล้วถึงจะไปสอนคนอื่นต่อ จะได้บอกทางที่ถูกต้องและตรงของวิชาการนั้น ๆ

ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด ๗. โน จัฏฐาเน นิโยชะเย ไม่ชักนำศิษย์ไปในทางเสียหาย ไม่ใช่ชักนำให้ประท้วง ชักนำไม่ให้รับปริญญาบัตร ชักนำไม่ให้ถวายการต้อนรับผู้เป็นประธานในการพระราชทานปริญญาบัตร เป็นต้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ แปลว่าขาดคุณสมบัติความเป็นครูอย่างแรง เพราะว่าศิษย์ย่อมเป็นไปตามที่ครูสอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2022 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 16-01-2022, 22:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในความเป็นครูนั้น ได้รับการยกย่องเป็นทุลลภบุคคล บุคคลที่หาได้ยากอย่างยิ่ง ๒ ประเภท ประเภทแรกคือบุรพการี แปลว่าผู้ทำคุณให้ก่อน ประเภทที่สองคือกตัญญูกตเวที เป็นผู้ที่รู้คุณท่านแล้วทำการตอบแทน

บุรพการีประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ? พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระมหากษัตริย์ พระพุทธเจ้า

พ่อแม่เลี้ยงลูก ต้องบอกว่าเป็นความรักโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ จากลูก ใครจะบอกว่าเลี้ยงดูเพราะหวังผลตอบแทน อยากให้ดูแลตอนแก่อะไรก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากพรหมวิหารอย่างแท้จริง โกรธขึ้นมาแล้วเอาขี้เถ้ายัดปากเสีย เอ็งก็ไม่มีโอกาสโตขึ้นมาตำหนิพ่อแม่แล้ว..!

ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้ความรู้ หลายท่านก็ดูแลลูกศิษย์อย่างกับพ่อแม่เลย เพียงแต่ว่าในปัจจุบันนี้ จริยธรรมความเป็นครูลดน้อยถอยลงไปตามระบบการศึกษาในบ้านเรา

ระบบการศึกษาในบ้านเราปัจจุบันนี้ต้องบอกว่าเป็นระบบเศรษฐกิจเต็มตัว ก็คือเปิดการเรียนการสอนขึ้นมาก็มีการเก็บเงิน มีการแข่งขัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเพื่อชัยชนะ หรือว่าเพื่อความสำเร็จของสถาบันนั้น ๆ ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จของลูกศิษย์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตวิญญาณความเป็นครูบาอาจารย์จึงลดน้อยถอยลง การที่จะทุ่มเทสั่งสอนลูกศิษย์ด้วยความหวังดีปรารถนาดีไม่มี ความคิดที่จะตอบแทนก็เลยน้อยลงไปด้วย ทำให้เด็กรุ่นหลัง ๆ ตำหนิติเตียนเอาได้

แต่ว่าครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูก็ยังมีอยู่มาก หลายท่านเรียนจบแล้วก็เข้าป่าขึ้นเขา ไปสอนสั่งเด็ก ๆ ตามป่าตามเขา โดยไม่ได้คิดที่จะสอบบรรจุเป็นครู แต่ว่าไปในลักษณะของครูอาสา สอนเป็นธรรมทานไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-01-2022 เมื่อ 06:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 16-01-2022, 22:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระมหากษัตริย์ ต้องบอกว่าปกป้อง ปกปักรักษา โดยเฉพาะรักษาแผ่นดินมา จนบรรพบุรุษและตัวเราได้มีที่อยู่ ที่อาศัย ที่ทำกิน อย่างชนิดที่ไม่ต้องลำบากเดือดร้อน ทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อแลกไว้ซึ่งแผ่นดินนี้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

พวกเรามีแผ่นดินให้อยู่ในทุกวันนี้ (แม้ว่าจะมีรัฐบาลที่ไม่ได้อย่างใจ) ก็เกิดจากบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในอดีต สละเลือดเนื้อและชีวิตปกปักรักษามา พวกเราถึงได้พูดด้วยความภูมิใจว่า เป็นประเทศเดียวที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ต่อให้เคยถูกพม่ายึดไป ๒ ครั้ง ก็สามารถที่จะกู้เอกราชคืนมาได้ นั่นคือการเสียสละของสถาบันพระมหากษัตริย์ การเสียสละของบรรพบุรุษไทยเรา ที่ทุ่มเทเอาเลือดเนื้อและชีวิตแลกมาซึ่งแผ่นดินที่เราอาศัยเป็นสุขอยู่ทุกวันนี้ แล้วเราก็ไปประท้วงว่าไม่ควรที่จะมีสถาบันกษัตริย์ ไปประท้วงว่าพระองค์ท่านไม่ควรที่จะมีสิ่งที่มาปกป้อง ก็คือมาตรา ๑๑๒ ในรัฐธรรมนูญ

กระผม/อาตมภาพก็สงสัยเหมือนกันว่า ครูบาอาจารย์ของพวกคุณคือใคร ? ทำไมถึงได้ตื้นเขินมองแค่ปัจจุบัน ? ไม่ได้มองยาวไปถึงในอดีตว่า การที่ตัวของคุณที่เป็นครูบาอาจารย์ ตลอดจนโคตรเหง้าศักราชทั้งหมด มีแผ่นดินอาศัยจนทุกวันนี้ ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงพิทักษ์รักษาเอาไว้

และท้ายที่สุดของบุรพการีคือพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนหลักธรรมที่ใช้ความยากลำบากมานับชาติไม่ถ้วนกว่าที่จะตรัสรู้ ชี้ทางพ้นทุกข์ซึ่งบุคคลทั่วไปเห็นได้ยากที่สุดให้แก่บรรดาสาวกสาวิกา ให้แก่บรรดาพุทธบริษัท พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่า ต้องเคารพบูชาพระองค์ท่าน แม้กระทั่งก่อนจะปรินิพพาน ก็ทรงแสดงว่า ให้พระธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาต่อจากพระองค์ท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2022 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 16-01-2022, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่เป็นบุรพการี ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี พระมหากษัตริย์ก็ดี ตลอดจนกระทั่งพระพุทธเจ้าก็ตาม ที่ได้ชื่อว่าบุรพการี คือผู้ทำคุณก่อนโดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน ตัวเราจะเป็นบุคคลที่หาได้ยากหรือไม่ก็อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติของเราเอง ว่าเราจะรู้คุณท่านและตอบแทนหรือไม่ ?

พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาด้วยความเหนื่อยยาก เรามีความคิดที่จะเลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทนให้มีความสุขในบั้นปลายชีวิตหรือไม่ ?

ครูบาอาจารย์ให้ความรู้ ให้วิชาการที่เราเอาไปทำมาหากิน เลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัวได้จนทุกวันนี้ เราเคยคิดที่จะตอบแทนอะไรท่านบ้างหรือไม่ ?

พระมหากษัตริย์ที่เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต ปกป้องแผ่นดินไทยนี้เอาไว้ให้พวกเราอยู่มาจนชั่วลูกชั่วหลาน เราคิดที่จะปกปักรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง อยู่คู่ประเทศไทยของเรา หรือว่าเราจะประท้วงทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ? ตรงจุดนี้จะแยกแยะอย่างชัดเจนว่าท่านเป็นกตัญญูบุคคลหรืออกตัญญูบุคคล..!

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหลักธรรมที่จริงแท้ ป้องกันบุคคลไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว คือ อบายภูมิ ๔ ให้บุคคลไปสู่สุคติ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม หรือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เราเห็นคุณของพระองค์ท่านแล้วตอบแทนหรือไม่ ?

การตอบแทนที่ดีที่สุดของอุบาสกอุบาสิกาก็คือ การปฏิบัติธรรมให้เห็นผล เมื่อถึงเวลาจะได้เป็นผู้ยืนยัน ผู้แก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา จะได้พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พระพุทธศาสนาเป็นของจริง เป็นของแท้ ท้าพิสูจน์ได้

วันนี้เป็นวันครูแห่งชาติ อย่าให้ปีหนึ่งเราระลึกถึงครูแค่วันเดียว คนจีนมีภาษิตว่า "เป็นครูวันเดียวเท่ากับเป็นบิดามารดาตลอดชีวิต" เพราะว่าชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของเรานั้น ก็คือการที่สามารถอยู่รอดได้ด้วยความรู้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นบุรพการี คือทำคุณแก่เราแล้ว เราทั้งหลายก็เลือกเอาเองว่าเราจะกตัญญูรู้คุณแล้วตอบแทน หรือว่าจะอกตัญญูแล้วก็ทำลาย ?

สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว อันดับแรก...สังคมจะเป็นผู้ชี้ขาด อันดับที่สอง...กฎของกรรมจะเป็นผู้ชี้ขาด

วันนี้ก็ขอฝากไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายไว้แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2022 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:03



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว