|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปหมู่ใต้ "ช้างน้อย" ของเทพสมุทร..! “พระครูวิลาศฯ..ถ่ายรูปหมู่ด้านนี้ค่ะ” เสียงของ “หญิงใหญ่” ประจำคณะตะโกนจนบรรดาฝรั่งหันไปมองเป็นตาเดียว พรรคพวกไปรวมตัวกันบริเวณรูปน้ำพุเทพสมุทรกันแล้ว อาตมาก้าวยาว ๆ มาถึงก็นั่งลงที่แถวหน้าสุดระหว่างพระครูกุ้ยไฮ้กับท่านอาจารย์คณบดี ยังขาดพระครูวิสุทธฯ พระครูโจ และพระครูปรีชา แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็น ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ท่านอาจารย์ตู๋ คุณโอ๋และคุณโอเล่ ก็ไม่รอแล้ว จัดการถ่ายรูปเป็นการใหญ่... อีตอนจะลุกขึ้นนี่สิ สะโพกเจ็บแปลบจนแทบจะทรุดกลับลงไปนั่งใหม่ ต้องวางฟอร์มตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ เดินตามพรรคพวกไปแบบไม่มีอะไรกระโตกกระตาก “เฮ้ย..! พลั่ก..!” ที่ตะครุบกบจนพรรคพวกตกใจและฝรั่งหันมามองกันทั้งกลุ่ม กลายเป็นพระครูชินฯ ท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้องน้อย ที่สร้างโบสถ์จตุรมุขหลังมหึมา เครียดกับงานจนเส้นเลือดในสมองตีบ เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ออกมาก็ยังไม่ปกติ เวลาเดินจะลากขาเหมือนเป็นคนพิการ ไม่ทราบว่าเดินอีท่าไหนถึงได้ลงไปวัดพื้นหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ (Galleria degli Uffizi) จนทราบว่าขนาดกว้างยาวเท่าไร ดูท่าจะเจ็บไม่เบากว่าอาตมาเลยทีเดียว... พรรคพวกช่วยกันหิ้วปีกขึ้นมาแล้ว หลวงพ่อพระครูญารีบช่วยนวดขาให้ นับว่าเป็นวาสนาของท่านเจ้าอาวาส ที่ท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางบริการให้แบบไม่ถือเนื้อถือตัว “ขอบคุณมากครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่เดินสะดุดแต่ขามันไปไม่ได้อย่างใจก็เลยล้ม” เมื่อเห็นว่าท่านเดินได้ตามปกติ ก็คือขาลากหน่อย ๆ เหมือนเดิม พวกเราก็เบาใจ เดินเกาะกลุ่มกันตามมัคคุเทศก์รูปหล่อ ตรงเข้าไปในซอยที่เป็นอาคารยาวเหยียดสองฝั่ง แล้วมีตัวอาคารลอยฟ้าสกัดเป็นรูปตัว U มีนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เดินกันค่อนข้างแน่นทีเดียว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-02-2016 เมื่อ 08:46 |
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
หุ่นมีชีวิตขอถ่ายรูปด้วย “สะกู๊ซี่..โป๊สโซ่ สะกัตตาเร่ อูหนะ โฟ้โต้ ?” (Scusi...Posso scattare una foto ?) ชายสูงอายุที่แสดงเป็นหุ่นในชุดเสื้อคลุมร้อยจีบย้อนยุค ใส่หมวกจีบยกปีกที่เป็นสีทองทั้งชุดและร่างกาย เปลี่ยนจากหุ่นที่ยืนแข็งทื่อมาเป็นคนทันที ร้องถามมาด้วยเสียงค่อนข้างแหลม “เขาขอถ่ายรูปกับคณะของท่านครับ” ยังดีที่มี “เจ้าถิ่น” ช่วยแปลให้ เมื่อทุกคนทราบความก็ร้อง OK พร้อมกัน ทำเอาคุณโอ๋ต้องหันกลับมาดู แล้วตะโกนบอกว่า “ถ่ายรูปกับเขาต้องเสียเงินนะครับ”... พระครูวิสุทธฯ ที่มาสมทบตอนพระครูชินฯ ล้ม ร้องบอกว่า “งานนี้ดูท่าว่าเขาต้องเสียเงินให้พวกเราแล้วแหละ พระครูวิลาศฯ บอกว่าเขาขอถ่ายรูปกับคณะของเราเอง” มัคคุเทศก์รูปหล่อทำท่าแปลกใจ ส่งภาษาอิตาเลียนเร็วปรื๋อถามไป หุ่นมีชีวิตยืนยันว่าเป็นฝ่ายขอถ่ายกับพวกเราเอง “น่าแปลกนะครับ ปกติมีแต่คนไปขอถ่ายรูปกับเขา และต้องจ่ายเงินด้วย นี่เขากลับมาขอถ่ายรูปกับพระอาจารย์ทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นก็นิมนต์ตามสบายครับ” พวกเราจึงชักแถวอย่างรีบด่วน... หุ่นมีชีวิตเอามือขวาแนบอก มือซ้ายที่ถือดอกกุหลาบงอไว้เกือบกึ่งกลางอก ซึ่งเป็น “ท่าหากิน” ของเขา คุณโอ๋จัดการถ่ายรูปให้ โดยที่ขาดพวกเราซึ่งเดินล่วงหน้าไปหลายคน “เฮ้ย..! เฮ้ย..! No..! No..!” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของพระครูกุ้ยไฮ้ดังลั่น จนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ที่แท้พอถ่ายรูปเสร็จ หุ่นมีชีวิตก็เอื้อมมือจะจับหัวของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำสิงห์โตทอง ทำเอาลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะต้องรีบร้องห้ามขึ้นมาก่อน พวกเราหัวเราะกันครืน เล่นเอานายหุ่นทำท่าไม่ถูกว่าจับได้หรือไม่ได้ ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นจับมือกันแทน นายหุ่นบอกว่า “กราเซีย (Grazie)” คำขอบคุณนี้อาตมาฟังออก พวกเราหลายคนโบกมือให้ ก่อนที่จะเดินกันต่อไป... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2015 เมื่อ 11:26 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ศิลปวัตถุรูปมือเหล็ก ทางที่พวกเรามุ่งไปมีคนค่อนข้างหนาแน่น รถขัดพื้นของเทศบาลคันหนึ่งวิ่งชิดขอบถนน แปรงขัดพื้นแบบกลมขนาดใหญ่ปั่นจี๋ไปเรื่อย ถ้าไม่ใช่พื้นหินแบบนี้มีหวังสึกหมดในเวลาไม่นาน รถยนต์ทั้งรถส่วนตัว รถแท็กซี่ วิ่งเอื่อย ๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๓๐ ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดูแล้วคนน่าจะเดินได้เร็วพอกัน จักรยานก็มีแทรกมาเป็นระยะ ส่วนมากเป็นหญิงชายวัยกลางคน ไม่ใช่วัยรุ่นที่ชอบสนุกเหมือนกับบ้านเรา... เจ้าของหมาจูงหมามาเดินเล่น ในมือมี ถุงก๊อบแก๊บ สวมเอาไว้ด้วย พอหมาขี้เจ้าของก็เก็บ มิน่าล่ะ..ถึงได้มีการประชดว่า ทาสหมา หรือ ทาสแมว ริมถนนมีบรรดาศิลปินนำเอาภาพเขียนมาวางขาย ใครตาถึงก็ไปเล็งและต่อราคากันเอาเอง ถ้านานไปเกิดผู้เขียนดังขึ้นมาระดับมิเคลันเจโล คนซื้อมีหวังรวยไม่รู้เรื่อง ศิลปินรายหนึ่งมีหมาผูกอยู่ใกล้ ๆ ดูแล้วน่าจะเป็นพันธุ์ Jackal หรือ ที่บ้านเราเรียกว่าหมาไน เจ้าตัวนี้ยังเป็นวัยรุ่น ดูเชื่องน่ารักดี... หนุ่มสาวคู่หนึ่งเห็นอาตมากำลังถ่ายรูปเจ้าหมาไน จึงเข้ามาขอถ่ายรูปกับอาตมาด้วย ทั้งสองคนผลัดกันถ่ายคนละที กว่าจะ กราเซีย ก็เล่นเอาพรรคพวกเดินไปถึงริมน้ำแล้ว ตรงนั้นเป็นซุ้มโค้งของก้นตัว U คือสุดแนวตึกพอดี เมื่ออาตมาตามไปถึง เห็นมี มือเหล็ก ที่ไม่รู้ว่า Iron man ทำหลุดไว้หรือเปล่า ? ทุกคนกำลังผลัดกันถ่ายรูป อาตมาจึงเข้าไปนั่งส่งกล้องให้พระครูปรีชาถ่ายให้ด้วย ส่วนพระครูโจขึ้นไปนั่งบนขอบกำแพงที่กั้นริมแม่น้ำอาร์โน ขอให้เพื่อน ๆ ถ่ายรูปให้ เลยโดนแซวว่าถ้าหงายหลังลงไป มีหวังคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีขาดบุคลากรสำคัญไปคนหนึ่งเป็นแน่ ท่านเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดจึงรีบลงมาอย่างไวเลย... |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
สะพานดึกดำบรรพ์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ครั้นชะโงกข้ามกำแพงไปดู เห็นสายน้ำสีโอวัลตินของแม่น้ำอาร์โนกำลังไหลเอื่อย ๆ มีเรือกรรเชียงกำลังอยู่หนึ่งลำ ที่สองหนุ่มกำลังกรรเชียงเหมือนเพิ่งหัดใหม่ ริมแม่น้ำติดกับกำแพงมีที่ว่างค่อนข้างกว้าง ส่วนหนึ่งทางซ้ายมือกั้นตาข่ายทำเป็นสนามฟุตซอล ซึ่งคู่แข่งทั้งสองทีมกำลังวิ่งไล่เตะลูกหนังกันอย่างสนุกสนาน ส่วนที่เหลือมีทั้งรถตู้และมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ไกลออกไปมีสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ทอดข้ามแม่น้ำ พอมองมาทางขวามือก็เห็น สะพานตึก ที่มีตัวอาคารสีเหลืองสดบ้าง เหลืองซีดบ้างตั้งอยู่ข้างบน นั่นคือสะพานปอนเต เวคคิโอ (Ponte Vecchio) เป้าหมายของพวกเรา... มัวแต่ถ่ายรูปแม่น้ำและสะพาน เมื่อหันกลับมาก็ต้องเดินตามหลังท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ซึ่งงานนี้ทำตัวเป็นศิษย์วัดที่น่ารักมาก เพราะบริการเข็นรถเข็นให้ท่านพระครูด็อกเตอร์ตลอด ทางเดินช่วงนี้ค่อนข้างแคบ เป็นซอกริมกำแพงกั้นแม่น้ำขนานไปกับตัวตึก แบ่งออกเป็นสองช่วง ส่วนที่ติดกับตัวตึกเป็นถนนที่ให้รถวิ่งได้ด้วย ส่วนถัดมาติดกับแม่น้ำเป็นซุ้มโค้งแคบ ๆ ให้คนเดินพอที่จะตะแคงสวนกันได้ ที่เสาซุ้มหนึ่งมีจักรยาน รุ่นพระเจ้าเหา กับตะกร้าสานเก่า ๆ ที่ดูเข้ากันได้อย่างประหลาดจอดพิงอยู่... อาตมาหลบคนในซุ้มลงไปเดินด้านที่เป็นถนน จึงแซงทุกคนขึ้นหน้าไปถึงสะพานก่อนใคร สะพานปอนเตเวคคิโอแห่งนี้ เป็นสะพานแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการระเบิดทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นับเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์ สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคโรมันเรืองอำนาจ ยุคแรกเป็นสะพานไม้ ต่อมาถูกน้ำพัดพังไป จึงสร้างขึ้นใหม่ด้วยคอนกรีต โดย Giorgio Vasari ซึ่งเป็นทั้งสถาปนิกและจิตรกร ได้ออกแบบให้มีหลังคาคลุมอยู่ข้างบน ส่วนหลังคาเป็นทางเดิน (loggia) เชื่อมระหว่างวังอุฟฟิซี่ (Palazzo degli Uffizi) กับวังปิ๊ตติ (Pitti Palace) ในระยะแรกมีร้านขายเนื้อและผักผลไม้มาตั้งอยู่ แต่ทำให้สกปรกมาก จักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ ๑ แห่งจักรวรรดิโรมัน จึงสั่งให้โยกย้ายออกไป เปลี่ยนมาเป็นร้านขายทองและอัญมณีแทน มี เจ้าถิ่น บรรยายเองแบบนี้ มั่นใจได้ว่าข้อมูลไม่ มั่ว แน่นอน... |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
รูปหล่อ "อาจารย์ปู่" สุดยอดศิลปินอีกท่านหนึ่ง (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) อาตมาเลี้ยวซ้ายแทรกคนขึ้นไปบนสะพาน เห็นผู้คนส่วนมากไปยืนถ่ายรูปกันตรงช่วงกลางของสะพาน ที่ไม่มีร้านค้ามาบดบังทัศนวิสัยของแม่น้ำอาร์โน เมื่อรอจังหวะจนคนว่าง อาตมาก็รีบมุดเข้าไปทางซ้ายก่อน ถ่ายรูปแม่น้ำกับอาคารบ้านช่องทั้งสองฝั่งแม่น้ำอย่างรวดเร็ว แล้วย้ายมาฝั่งขวาที่มีรูปหล่อคนครึ่งตัว ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนที่มีลวดลายโลหะประดับฐานอย่างสวยงาม ล้อมด้วยรั้วลูกกรงที่มีแม่กุญแจคล้องอยู่เต็มไปหมด รอจนผู้คนที่ถ่ายรูปกับรูปหล่อหมดแล้ว ก็รีบเก็บภาพเอาไว้ก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของรูปหล่อนี้เป็นใคร... “นายคนนี้ชื่อ Benvenuto Cellini เป็นทั้งนักปั้น นักแกะสลัก นักวาดภาพและนักดนตรี แต่ที่มาตั้งอยู่ตรงนี้ได้ เพราะแกเป็นช่างทองระดับ Grand master บรรดาช่างทองและอัญมณีที่มาเปิดร้านค้าขายบนสะพานนี้ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ยกให้แกเป็นปรมาจารย์” โห..ถ้า “ท่านผู้นำ” ไม่บอกก็ไม่รู้นะนี่ ว่ามาเจอยอดฝีมือระดับ “อาจารย์ปู่” เข้าที่นี่ได้ “ท่านจะคุยกับแกสักหน่อยไหมครับ ?” เฮ้ย..จริงดิ..! “ แทนที่จะตอบ “ท่านผู้นำ” โบกมือครั้งหนึ่ง ก็มี “ตาเฒ่า” หนวดเคราขาวยาวรุงรังในเสื้อคลุมสีขาว มีไม้เท้าในมือโผล่มาอย่างกับเล่นกล... “บวนนาเซรา (Buonasera) ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ” อีกฝ่ายสวัสดีตอนเย็น เอ..ผีพูดอิตาเลียนตูดันฟังออก ทีคนพูดทำไมฟังไม่ออกวะ ? อีกฝ่ายหัวเราะ “ท่านได้ยินด้วยใจก็ฟังออกสิครับ ถ้าได้ยินด้วยหูถึงจะฟังไม่ออก” เมื่อถามว่าตอนนี้ “อยู่” ที่ไหน ? ด้วยอำนาจบุญอะไร ? อาจารย์ปู่ตอบว่า “ชั้นจาตุมหาราชครับท่าน เกิดจากอำนาจสมาธิในขณะสร้างสรรค์ผลงาน แต่ตอนตายจิตใจไม่มุ่งมั่นเหมือนกับตอนทำงาน สมาธิไม่เกิด จึงไปได้เพียงแค่นี้เอง” แค่นี้ก็สุดยอดแล้วปู่ อาตมาบอกให้อาจารย์ปู่แกโมทนาบุญทุกอย่างที่ทำมา “ท่านผู้นำ” ดันฉวยโอกาสโมทนาด้วย ชักจะค้ากำไรเกินควรแล้วเว้ย..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2015 เมื่อ 17:17 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
แค่ตู้เดียวก็ตาลายหมดแล้ว..! แล้วทำไมปู่ถึงโลภมากเป็นซะเยอะแยะไปหมด ไม่แบ่งคนอื่นเขาบ้างล่ะ ? อาจารย์ปู่ยิ้มฟันขาวลอดหนวดออกมา แกจัดว่าเป็นคนแก่ที่ หล่อมาก ทีเดียว ภาษิตจีนเขาว่า ชำนาญหนึ่งปรุโปร่งร้อย ผมก็แค่ชำนาญเรื่องเดียวเท่านั้นเองครับ แหม..โคตรจะถล่มตัวเลย แต่อีตอนนี้คนชักเขม่นที่อาตมายืนเกะกะไม่ยอมขยับเสียที โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่นะปู่นะ อาจารย์ปู่น้อมคารวะมือเดียวเหมือนนักบวชเส้าหลิน แล้ว หายหัว ไป ปล่อยให้อาตมาเดินต่อตามสบาย... โอ้แม่เจ้า..ร้านขายทอง ร้านขายเพชรพลอย เป็นสิบ ๆ ร้านเลย มีทั้งทองคำ 18K สีซีด ๆ ทองคำขาว เงิน ไข่มุก และอัญมณีที่ไม่รู้จักมากจนตาลาย อาตมาสนใจเทอร์คอยส์ที่แท้แน่นอน แต่ราคาก็แท้แน่นอนไปด้วย จึงได้แต่ถอยมาด้วยความเสียดาย บางร้านมีนาฬิกาไปครึ่งตู้ "สวิสเมด" แทบทั้งนั้น ราคาต่ำสุดก็เกือบห้าร้อยยูโร ระดับ ๔,๐๐๐ ยูโรถือเป็นราคาปกติ แสลงกระเป๋าเป็นบ้าเลย... เดินเรื่อยเปื่อยแบบซื้อของด้วยกล้อง ไม่ต้องเสียสตางค์ บางร้านมีของเก่าวางขาย แต่ดันเป็นวัตถุโบราณจากจีน ประเภท เครื่องหมิง มีทั้งจานลายคราม ชุดน้ำชาลายคราม ขวดยานัตถุ์ ฯลฯ บางร้านก็จำหน่ายภาพเขียน งานแกะสลัก รูปลอยตัวเลียนแบบของศิลปินชื่อดัง น่าจะได้ลิขสิทธิ์จากลูกหลานเจ้าของผลงาน ไม่อย่างนั้นมีหวังติดคุกหัวโต พระครูวิลาศฯ จะเดินไปถึงไหนคะ ? เสียง หญิงใหญ่ ถามขึ้น อาตมาถึงรู้ตัวว่าเดินมาไกลเกินพรรคพวกเสียแล้ว... |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ขอกินของแพงให้สะใจหน่อยเถอะ..! ในมือของ หญิงใหญ่ ถือไอศกรีมรสสตอเบอรี่โคนมหึมา บอกว่า ราคา ๖ ยูโรค่ะ ขอกินหน่อยเถอะ จะได้กลับไปอวดเขาว่า ของแพงขนาดนี้ก็กินมาแล้ว อือม์..ดูจากหุ่นแล้วถึงกินไปก็ไม่ได้สวยน้อยลงหรอก เชิญตามสบายเลย อาตมาว่าแล้วก็เดินดูของต่อไป แต่เพิ่งขยับไปได้ ๒ ร้าน เสียงของ หญิงใหญ่ ก็ดังมาแต่ไกล พระครูวิลาศฯ เขากลับกันหมดแล้วค่ะ เฮ้อ..มารความสุขจริง ๆ เล้ย..! เดินย้อนกลับมาทางหัวสะพาน แล้วมุ่งตรงไปตามถนนข้างหน้าที่เห็นจีวรพรรคพวกเด่นอยู่แต่ไกล พักเดียวก็แซงรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ เฮ้ย..หล่นจนได้ เสียง หญิงใหญ่ ที่เดินตามหลังรถที่เข็นโดยท่านอาจารย์ ดร.วันชัยบ่นแบบอารมณ์เสีย เพราะไอศกรีมโคนใหญ่ที่โปะมาจนบานเป็นดอกเห็ด ละลายหล่นไปมุมหนึ่งแล้ว ความห่วงกินมากกว่าห่วงสวย คุณเธอก็เลยงับไปคำเบ้อเริ่ม ถ้ากินแบบนี้แต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว... ตึกแถวสองฝั่งล้วนแต่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เนม ที่เห็นมีทั้ง Armani, Burberry, Dior, Fendi, Giorgio Armani, Gucci, Hogan, Tod's, Valentino เรื่องราคาไม่ต้องไปพูดถึง ถ้าไม่ใช่เงินถุงเงินถังจริง ๆ อย่าได้เฉียดเข้าไปใกล้เชียว เป็นอันตรายต่อสุขภาพของกระเป๋าเงินอย่างสาหัส บางร้านเปิดรับแลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้อยู่ที่ ๑.๒๐๗๖ ดอลลาร์ต่อยูโร เมื่อเดินไปอีกไม่กี่นาที ก็มองเห็นอาคารลักษณะเหมือนกับอาคารที่ตั้งรูปสลัก บริเวณหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ แต่ที่นี่มีข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด ส่วนมากเป็นเครื่องหนังประเภทกระเป๋าต่าง ๆ สารพัดสี... |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"อ้ายเขี้ยวตัน" ที่มีแต่คนมา "ขอพลัง" “เครื่องหนังบริเวณนี้ราคาถูกที่สุดครับ คุณภาพก็ดีด้วย กระเป๋าสะพายของกระผมก็ซื้อจากแถวนี้แหละครับ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านตามสบาย ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบชั่วโมง” คุณโอ๋ว่าจบพรรคพวกก็เดินลุยไปยังร้านค้าต่าง ๆ ทันที อาตมาเดินตามไปได้หน่อยเดียวก็สะดุดกึก “เฮ้ย..อ้ายเขี้ยวตัน..!” ตรงหน้าของอาคารติดกับร้านขายกระเป๋าหนังนั้น มีรูปหล่อหมูป่าตัวมหึมาในท่ายันสองขาหน้าลุกขึ้นจากปลักโคลน สองเท้าหลังยังพับเพียบสบายใจอยู่เลย ปากที่มีเขี้ยวยาวโง้งนั้นถูกคนลูบจนเงาวาววับเป็นสีนากสุกปลั่ง แหม่มหลายคนกำลังลูบ ๆ คลำ ๆ เพื่อ “ขอพลัง” คนหนึ่งพยายามเอาเหรียญยูโรวางให้อยู่ในปากหมูที่มีน้ำใสไหลริน ๆ แต่วางทีไรก็หล่นทุกที... อาตมาที่เคยเกิดเป็น “อ้ายเขี้ยวตัน” อยู่ ๆ มาเห็นรูปปั้นตัวเองรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอบรรดาแหม่มถอยออกไปแล้ว หลวงพ่อพระครูเลิศก็ส่งไอแพดของตัวเองให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ช่วยถ่ายรูปตัวเองกับหมูป่าให้ด้วย พระครูด็อกเตอร์กับใบฎีกาวรัญญูเข้าไปลูบ ๆ คลำ ๆ กันคนละฝั่งให้ "หญิงใหญ่" ถ่ายรูปบ้าง ถัดไปก็เป็นพระครูกล้าที่เอามือซ้ายยัดเข้าปากหมูไปเลย กับพระครูปรีชาที่แค่เอามือค้ำหัวหมูให้ท่านอาจารย์ช่วยถ่ายรูปให้... |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
มาหาซื้อ "อ้ายเขี้ยวตัน" ที่ "รถเข็น" คันนี้ มาถึงองปลัดที่จับแก้มหมูกับพระครูญาณฯ ที่คลำหูหมู อุตส่าห์ยืนฝั่งเดียวกันแล้ว กลับโดนแหม่มในเสื้อยืดลายขวางสีขาวเขียวตัดหน้า ยื่นมือคลำปากหมูบังองปลัดจนมิดไปทั้งตัว เรียกว่าบทจะซวยพระก็ช่วยไม่ได้ เมื่อถ่ายรูปให้คนอื่นตามคำเรียกร้องแล้ว ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็ส่งกล้องให้คุณโอ๋ แล้วไป ขอพลัง จากหมูทองแดงที่ฝรั่งเรียก Bronze Boar Statue บ้าง... เว้ยยย..! พลั่ก..! เสียงดังฟังชัดมาจากองปลัด สงสัยว่ารับพลังจากอ้ายเขี้ยวตันมากจนเกินไปหรือโดน หมูดีด ก็ไม่รู้ ? อยู่ดี ๆ ก็ร่อนลงจากร้านขายเครื่องหนัง ซึ่งสูงเสมอแท่นอนุสาวรีย์หมูทองแดง หน้าทิ่มลงพื้นไปท่ามกลางเสียงกรี๊ดของแหม่มหลายคน กลายเป็นซวยซับซวยซ้อน คงต้องไปรดน้ำมนต์สัก ๗ วัด พวกเรารีบช่วยกันพยุงเพื่อนนักบวชอนัมนิกายขึ้นมาดูอาการ อีกฝ่ายลูบเข่าตัวเองพร้อมกับสูดปากไปด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากเดินเขยกเล็กน้อยเท่านั้น... วงแตกเพราะองปลัด หรือบรรดาฝรั่งแห่ห้อมมา ขอพลัง กันมากขึ้นก็ไม่รู้ ? พวกเราจึงแยกย้ายกันไปดูข้าวของเครื่องใช้ที่ผลิตจากหนังสารพัดแบบ อาตมาเดินไปที่ รถเข็น คันหนึ่งซึ่งมีสารพัดข้าวของ ทั้งหนังสือ โปสการ์ด หน้ากาก พวงกุญแจ แม็กเน็ตติดประตูตู้เย็น รูปหล่อเลียนแบบศิลปินดัง แต่ที่อาตมาเล็งอยู่ก็คือตุ๊กตา อ้ายเขี้ยวตัน ที่มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก... |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
เอาไอ้ตัวเล็กมาถ่ายรูปกับไอ้ตัวใหญ่ ก๊วนโต้ ก๊อสต้า ? (Quanto costa ?) อาตมาหยิบตัวใหญ่ขึ้นมาถามราคา หนุ่มในเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์บอกว่า ตัวใหญ่ราคา ๑๒ ยูโร ตัวเล็กราคา ๖ ยูโร อาตมาต่อเหลือ ๑๐ ยูโร นายหนุ่มพยักหน้าให้ง่าย ๆ หยิบถุงมาใส่ให้ อาตมาควักกระเป๋าจ่ายไปแล้ว ถือถุงเดินกลับมาที่หมูทองแดง พอดีไม่มีใครเกะกะ จึงส่งกล้องให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย พร้อมกับล้วง อ้ายเขี้ยวตันน้อย ออกจากถุงมาถือไว้ นั่งลงบนแท่น อ้ายเขี้ยวตันใหญ่ ให้ท่านอาจารย์ช่วยถ่ายรูปให้ ท่านเลยถ่ายให้ทั้งกล้องของอาตมาและกล้องของตัวเอง... จากนั้นอาตมาก็เดินตามรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ ที่ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยบริการเข็นให้แบบมอบกายถวายชีวิต ตรงไปตามถนนที่มี ศิลปิน มาวาดผลงานด้วยชอล์กสีลงไป มีทั้งผลงานของตนเอง และเลียนแบบผลงานของศิลปินชื่อดัง มีคนรุมดูกันเป็นหมู่ ๆ ใครชอบใจก็โยนเงินใส่กล่องให้ เพื่อไม่ให้ ศิลปินไส้แห้ง เมื่อวาดเสร็จก็ลบทิ้ง แล้วเริ่มต้นวาดใหม่ เรียกว่าวาดจนหลับหูหลับตาก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว เป็นวิธีการหาความชำนาญที่ดีมาก... พ้นถนนมาก็เป็นลานกว้าง ที่ด้านหนึ่งมี ม้าหมุน เหมือนงานวัดบ้านเรา บนลานนี้มีทั้งศิลปินที่เอารูปวาดมาวางขาย มีทั้งศิลปินที่ร้องเพลงด้วยชุดเครื่องเสียงที่เตรียมมา ซึ่งอย่างหลังนี้บางคนเสียงดีจนเหลือเชื่อ นอกจากรับบริจาคเงินแล้ว ยังมีแผ่น CD ผลงานของตัวเองวางจำหน่ายอีกด้วย พรรคพวกของเราหลายรูปไปยืนดูและฟังเพลง โดยที่มีฝรั่งมายืนดูและถ่ายรูปพวกเราอีกทีหนึ่ง... |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ที่นั่งเต็มครับ โปรดบำเพ็ญตนเป็น "พระยืน" ไปก่อน ใกล้เวลาแล้ว ไปที่จุดนัดพบเถอะ หลวงพ่อพระครูเลิศที่รู้สภาพสังขารตัวเองดี อยากจะเดินแต่เนิ่น ๆ ร้องชวนเพื่อน ๆ ขึ้นมา เดี๋ยวซิ..ผมยังไม่ได้กระเป๋าซักใบเลย พระครูกล้าทักท้วง หญิงใหญ่ เดินมาถามว่า พระครูวิลาศฯ ซื้ออะไรมาคะ ? หนูช่วยถือให้ค่ะ พออาตมาล้วง อ้ายเขี้ยวตันน้อย ออกมาโชว์ หญิงใหญ่ เห็นเข้าก็กรี๊ดกร๊าดชอบใจ ว้าย..น่ารัก เขาขายกันที่ไหน ทำไมหนูไม่เห็นเลย ? ก็เล่นไปดูแต่กระเป๋ากัน คงจะได้เห็นอยู่หรอก... รถเข็นประจำคณะ ต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังตามเคย ส่วนหนึ่งเคลื่อนพลตามอาตมากลับไปยังจุดนัดพบ อีกส่วนหนึ่งติดตามพระครูโจที่โดนพระครูกล้าลากไปช่วยต่อราคาของ ความจริงแล้วพวกเขาอยากได้อาตมาหรือใบฎีกาวรัญญูมากกว่า แต่ทั้งสองรูปเป็นพวก เสือปืนฝืด ไม่ค่อยจะยอมซื้อข้าวของกับใคร ยุเท่าไรก็ยุไม่ขึ้น จึงเอาคอเดียวกันไปดีกว่า... เดินตรงไปไม่ถึงสามนาทีก็มาถึงหน้าหอศีลจุ่มด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับ ประตูสวรรค์ ซึ่งทางนี้ปกติตรงมุมตึกมีเสาร้อยโซ่กั้นเอาไว้ แต่ตอนนี้มี มือดี มาปลดโซ่ออก พวกเราก็เลยเดินผ่านไปแบบหน้าตาเฉย จะหาที่นั่งพักก็มีแต่บรรดาฝรั่งจับจองกันหมดแล้ว อาตมาจึงเดินหามุมใหม่เพื่อถ่ายรูปมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ และหอระฆังจิออตโต แต่ขนาดถอยจนชิดตึกแถวแล้ว ยังได้ไม่ค่อยจะเต็มหลัง ถ้าไม่เกรงใจว่าจะโดนฝรั่งที่เดินกันขวักไขว่เหยียบเอา อาตมาก็คงนอนลงกับพื้นเพื่อถ่ายรูป แบบที่เคยทำที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองมาแล้ว... |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
จอดรถแถวนี้ชั่วโมงละ ๓๖๐ บาท..! (ภาพฝีมือท่านอาจารย์ ดร. วันชัย) ถูกกระแทกจากข้างหลังพลั่กใหญ่ อาตมารีบก้าวหลบพร้อมกับตะครุบกระเป๋าจิงโจ้ไว้ หันไปดูนึกว่าเป็นพวก “Pickpocket” แกล้งกระแทกเพื่อล้วงกระเป๋า ที่ไหนได้...กลายเป็นฝรั่งตัวเท่าตึก ถอยหามุมเพื่อถ่ายรูปใบฎีกาวรัญญู ตาก็มองกล้อง มือก็ปรับเลนส์ เท้าก็ถอยให้ได้มุมที่ต้องการ เลยกระแทกอาตมาเข้า นี่ถ้านอนถ่ายรูปอยู่คงโดนเหยียบไปแล้วจริง ๆ... อาตมาเดินไปดูที่จอดรถแบบหยอดเหรียญ เล็งดูว่าราคาชั่วโมงละเท่าไร ? เจอคุณโอ๋เข้าพอดี มัคคุเทศก์ของเราบอกว่า “รอบจตุรัสฟลอเรนซ์ (Firenze Piazza Del Duomo) นี้ ค่าจอดชั่วโมงละ ๙ ยูโร (๓๖๐ บาท) ครับ” ถ้าเป็นเมืองไทยคงไม่ไหวแน่ จอดรถวันหนึ่งจนไปเป็นเดือนเลย เมื่อกลับมายังที่รวมพล ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นหลังหอศีลจุ่มโดยปริยาย มัคคุเทศก์รูปหล่อก็ประกาศรวมพล แล้วพาพวกเราเดินตรงไปยังถนนสายที่เข้ามาทีแรก เจอนายสันโดษนำรถมาจอดกลางถนนเลย จึงต้องรีบขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่ ? ถ้าเจอใบสั่งเข้าจะโดนเท่าไร ? คงจะจนไปอีกเดือนเป็นแน่แท้... รถของเราวิ่งกลับออกนอกเมือง ขณะที่พรรคพวกเอา “สมบัติบ้า” ที่รับคืนมาจาก “รถเข็นประจำคณะ” ออกมาอวดกัน ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐทำลายอารมณ์ด้วยการขอให้ทำวัตรเย็น “ผมรักอาจารย์ของท่านคนนี้จังเลย ฮ่า..ฮ่า..!” “ท่านผู้นำ” ที่รออนุโมทนาหัวเราะชอบใจ พวกเราจึงต้องทำหน้าที่กันอย่างแข็งขัน เพราะท่านอาจารย์เล่นถ่ายวิดีโอไปด้วย บอกว่าจะได้เอาไปให้ “บิ๊กสุ” ดูเป็นหลักฐาน ว่าพวกเราทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดจริง ๆ... |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
เฮ้ย..วิ่งวนแทบตายดันกลับมาที่เดิม..! สวดมนต์ไปก็เห็นนายสันโดษถามอะไรกับคุณโอ๋ไปด้วย สักพักมัคคุเทศก์รูปหล่อก็โทรศัพท์ถามใครก็ไม่รู้ ? แล้วนายสันโดษก็นำรถเปลี่ยนเส้นทาง น่าจะถามทางไปโรงแรมที่พักของคืนนี้ พออุทิศส่วนกุศลเสร็จ อาตมาก็ตาค้าง เฮ้ย..เรากลับมาที่เดิม..! เพราะด้านซ้ายก็คือ ALAMANNI STAZIONE สถานีรถรางแห่งเดิม ใช่หรือ..ท่านพระครู ? หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ถามขึ้น มั่นใจได้เลยครับหลวงพ่อ จากตึกแถวตรงหน้านั่น ถ้าเลี้ยวขวาก็เป็น บขส. ที่เราลงไปเข้าห้องน้ำ นั่น..เลี้ยวซ้ายแล้ว Grand Hotel นั่นเราก็ผ่านตอนเดินไปมหาวิหาร... โอ๋..หมายความว่าอย่างไรครับ ? พระครูวิสุทธฯ ตะโกนถามมา มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็ไม่ทราบครับ ปกติทุกครั้งเมื่อเที่ยวในเมืองแล้ว ก็จะไปพักกันนอกเมือง เพราะราคาที่พักถูกกว่า แต่ครั้งนี้บริษัทจองที่พักให้กับพระอาจารย์ทุกท่านที่ข้างมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์เลย ผมให้มาร์โควิ่งไปหาที่นอกเมืองแล้วไม่เจอโรงแรม จึงโทรไปถามทางบริษัท เขาบอกว่าโรงแรมอยู่ก่อนถึงมหาวิหารแค่ ๒ บล๊อกเองครับ..!... เมื่อเห็นยอดโดมมหึมาของมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ นายสันโดษก็นำรถจอดชิดซ้าย มัคคุเทศก์รูปหล่อวิ่งเข้าซอยไปไม่ถึง ๕๐ เมตร ก็วิ่งย้อนกลับมาบอกพวกเราว่า โรงแรมอยู่ตรงนี้เองครับ พระอาจารย์ทุกท่านไม่ต้องเอากระเป๋าเดินทางลงมานะครับ เดี๋ยวทางโรงแรมเขาจะมาขนไปส่งให้ที่หน้าห้องเอง ตามผมไปรับกุญแจห้องกันก่อนครับ อาตมาสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) ลงจากรถได้ก็ก้าวยาว ๆ ตามคุณโอ๋ไปได้ไม่กี่ก้าว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็เลี้ยวซ้ายเข้าประตูที่สองข้างมีกระถางต้นไฮเดรนเยีย (Hydrangea) สีชมพูเข้าไป... |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
รูปสลักที่ข้างบันไดหน้าห้องพัก อาตมาแหงนดูประตูที่ด้านบนเป็นซุ้มโลหะสัมฤทธิ์โค้งเป็นรูปโดม ฐานโดมเป็นชื่อโรงแรม ASTORIA ที่ผนังตึกสองฟากข้างของฐานโดมมี “มังกรฝรั่ง” ขนาดเล็กสองตัว ผงาดปีกยื่นคอยาวออกมา คาบโคมไฟทรงสี่เหลี่ยมเอาไว้ เมื่อเดินเข้าประตูไปก็เจอกับประตูไม้ครึ่งกระจกหนาหนัก มีที่จับเป็นทองเหลืองเงาวาววับ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เจอล็อบบี้ของโรงแรม ที่ทางขวามือมีเคาน์เตอร์รับแขกที่เป็นไม้หนาสูงประมาณหน้าอก มีชายรูปร่างล่ำสันศีรษะค่อนข้างเถิก หน้าตาเหมือน “แขกขาว” ยืนอยู่ ๑ คน ด้านหลังเป็น “ตู้ไม้” ที่มีช่องเล็ก ๆ เต็มไปหมด สำหรับใส่กุญแจห้องของโรงแรม... พรรคพวกที่ตามเข้ามาลุยเข้าไปนั่งที่ชุดรับแขกจนเต็มเอี๊ยด ที่เหลือยืนรอมัคคุเทศก์รูปหล่อกับคุณโอเล่ “เจรจาความเมือง” กับพนักงานต้อนรับ ผ่านไปพักใหญ่ก็เอากุญแจหอบหนึ่งมาแจกพวกเรา ของอาตมาเป็นห้อง ๑๕๐ แต่รหัส Wi-Fi มีไม่พอสำหรับทุกคน อาตมาจึงใช้กล้องถ่ายรหัสไปเลย จากนั้นเดินขึ้นบันไดไม้ “หนาตึ๊บ” ไปชั้นบน ตรงข้างบันไดมีรูปสลักที่ไม่รู้ว่าเป็นของแท้หรือทำเทียม ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหนุ่มบ้าพลังเฮอร์คิวลีส เพราะถือกระบองแบบมนุษย์หินฟลินต์สโตนอยู่ในมือด้วย รูปนี้ดีหน่อยที่มีผ้าพันแบบเสียไม่ได้อยู่ที่กลางตัว... “ฯลฯ...เดินหาจนปวดหัว ไม่ยักกะเจอคอกวัวที่ไหนเลย เดินไปตั้งหลายแห่ง เมื่อยล้าอ่อนแรงเสียจนเหลือเอ่ย..ฯลฯ” เพื่อน ๆ เข้าห้องไปหมดแล้ว เหลืออาตมากับหลวงพ่อพระครูเรืองยังร่อนเร่เป็นสัมภเวสีหาห้องพักไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องลงไปถามที่หน้าเคาน์เตอร์ โชคดีที่คุณโอเล่ยังอยู่ คุณเธอเลยพาไปที่ห้อง โธ่เว้ย..! ขณะที่ห้องอื่น ๆ เขาต้องเดินไปตามทางเดินยาว ๆ ห้อง ๑๕๐ ดันอยู่ตรงหน้าบันไดเลย อาตมาสอดกุญแจเข้าไปไขประตู แต่..ไขไม่ออก คุณโอเล่เห็นอย่างนั้นก็ช่วยไขให้..ไม่ออกอีก ในที่สุด “คุณแม่บ้าน” ที่กำลังถือชุดทำความสะอาดผ่านมาพอดี ช่วยไขให้โดยเอามือผลักประตูจนแน่นก่อน แล้วหมุนแกร๊กเดียวก็ออกแล้ว..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2015 เมื่อ 08:01 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ห้องสวยมาก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ตรงหน้าเลยมีบันไดลงไป ๓ ขั้น เป็นห้องแคบ ๆ พื้นที่ประมาณ ๓ X ๕ เมตร สมัยก่อนน่าจะเป็นห้องคนใช้ส่วนตัวของบรรดาเจ้าใหญ่นายโต มีเตียงตั้งชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีราวตากผ้าแบบตั้งพื้นและชุดโต๊ะเก้าอี้เล็ก ๑ ชุด บนผนังตรงข้ามเตียงมีโทรทัศน์จอประมาณ ๒๒ นิ้ว ๑ เครื่อง ทางขวามือเป็นประตูห้องใหญ่ เปิดเข้าไปเจอประตูห้องน้ำอยู่เกือบจะตรงกับประตูนอก เบี่ยงขวานิดหนึ่งเป็นห้องใหญ่มีเตียงแบบเตียงคู่ หัวเตียงและผนังมีภาพวาดสวย ๆ มีโคมไฟโบราณที่ใช้หลอดไฟแทนเทียนอยู่กลางห้อง ด้านขวาของเตียงเป็นโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้ มีกระจกกรอบไม้ลายโบราณสวยมาก ไม่รู้ว่าดูดคนเข้าไปได้แบบเดียวกับเรื่อง “ทวิภพ” หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ มี “มณีจันทร์” หลุดออกมาจะไม่แปลกใจเลย... “ยกห้องใหญ่ให้หลวงพ่อเลยครับ ผมจะไปนอนที่ห้องเล็กโน่น เวลาเปิดไฟพิมพ์หนังสือจะได้ไม่รบกวนเวลานอนของหลวงพ่อ แล้วนี่หลวงพ่อจะสรงน้ำก่อนไหมครับ ?” อาตมาบอกกล่าวและสอบถามหลวงพ่อพระครูเรืองในเวลาเดียวกัน “หลวงพ่อเร็วกว่าผมเยอะ นิมนต์สรงก่อนดีกว่าครับ” ท่านตอบมาพร้อมกับทิ้งตัว “เลื้อย” บนเตียงใหญ่แบบสบายใจ อาตมาจึงเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กไปไว้บนเตียงในห้องเล็ก แล้วมาเข้าห้องน้ำก่อน ถึงหัวก๊อกน้ำจะดูเก่าแก่คร่ำคร่า แต่ระบบน้ำร้อนเย็นดีมาก จึงปรับให้ได้อุณหภูมิปกติ จัดการสรงน้ำเปลี่ยนผ้าก่อน เสร็จแล้วเอาถุงเท้ามาซักกับสบู่โดยใช้น้ำร้อน บิดแห้งแล้วตากไว้ที่ราวตั้งพื้น... เดินหาปลั๊กไฟรอบห้องก็หาไม่เจอ ท้ายสุดก็เลยดึงปลั๊กโทรทัศน์ออก แล้วเสียบปลั๊กของโน้ตบุ๊กแทน แต่ไฟไม่ขึ้น ลองขยับแล้วเสียบใหม่ก็ไม่ขึ้น “พ่อคุณเถอะ..อย่ายืนมองเฉย ๆ ซีโว้ย..! ถ้าช่วยได้ก็ช่วยให้ไฟติดหน่อย” โดนอาตมาบ่นเข้า “ท่านผู้นำ” ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ? ไฟติดขึ้นมาเฉยเลย เออ..อย่างน้อยก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ชัด ๆ แบบนี้ได้เหมือนกัน จัดการเอารูปออกจากแผ่นความจำ ลดขนาดเหลือ ๖๐๐ X ๘๐๐ แล้วปิดเครื่องถอดปลั๊กออก เอาเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ของกล้องถ่ายรูปเสียบแล้วชาร์ตแบตเตอรี่ต่อ มีเสียงเคาะประตูจึงไปเปิด เจอกระเป๋าหลวงพ่อพระครูเรืองกับคุณโอเล่ที่มาเสนอขาย เอ๊ย..ถวายซองชากาแฟให้ไปชงเอง อาตมาเอาไปให้หลวงพ่อพระครูเรืองที่เปิดโทรทัศน์นอนดูทั้งที่ฟังภาษาเขาไม่รู้เรื่อง แล้วกลับมาห้องเล็ก ปิดไฟมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ภาวนา “กรณียเมตตาสูตร” หลับไปเกือบจะทันที... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-02-2016 เมื่อ 18:39 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|