กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-01-2023, 19:50
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,086 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-01-2023, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อากาศช่วงเช้าที่อำเภอทองผาภูมิอยู่ที่ ๑๕.๕ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพออกบิณฑบาตตามปกติ ซึ่งการบิณฑบาตนั้นถือว่าเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพอยู่วัดแล้ว ถ้าไม่ใช่ป่วยจนลุกไม่ขึ้น อย่างไรเสียก็ต้องเจริญกรรมฐาน ทำวัตรและบิณฑบาตตามปกติ

อยากจะบอกกับทุกท่านด้วยความภาคภูมิใจว่า จากการที่บวชมา ๓๗ ปี ย่างปีที่ ๓๘ แล้ว กระผม/อาตมภาพเคยขาดการบิณฑบาตด้วยความจำเป็นจริง ๆ ก็คือเจ็บไข้ได้ป่วยจนลุกไม่ขึ้นแค่ ๔ ครั้งเท่านั้น และใน ๔ ครั้งนั้น เมื่อวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พอประคองตัวลุกได้ ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ

แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาการไข้หนักมาก จนไม่ค่อยจะรู้สึกตัว เดินไปสะดุดก้อนหิน จนกระทั่งเล็บเท้าหลุดไปทั้งอัน มารู้สึกตัวว่าเล็บเท้าหลุด ก็ตอนที่ยืนรอให้ทุกรูปที่รับบาตรแล้ว มายืนเรียงกันจนกระทั่งพร้อมเพรียงค่อยเดินต่อ ตอนนั้นเองถึงได้รู้สึกว่าบริเวณเท้าของตนมีอะไรเปียก ๆ อยู่ เมื่อมองลงไป ถึงได้เห็นว่าเล็บเท้าหลุดไปทั้งอัน เลือดนองพื้นเป็นกองอยู่ตรงนั้น..!

หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมกระผม/อาตมภาพดื้ออะไรได้ใจขนาดนั้น..! เจ็บไข้ได้ป่วยแทนที่จะนอนรักษาตนเอง กลับไปทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเจริญพระกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ หรือว่าบิณฑบาต ?

เรื่องนี้ต้องบอกว่า อยู่ที่ท่านทั้งหลายเองว่า รักตัวเองมากกว่าหรือว่ารักพระธรรมวินัยมากกว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรักพระธรรมวินัยมากกว่า ก็จะปฏิบัติในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ โดยไม่คิดถึงชีวิตของตนเอง แต่ถ้าหากว่ารักตนเองมากกว่า ก็จะละทิ้งในกิจวัตร ตลอดจนกระทั่งพระธรรมวินัยเพื่อตนเอง กำลังใจแค่นี้ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะวัดได้ว่า ตนเองควรแก่มรรคแก่ผลสักเท่าไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 03:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-01-2023, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประการหนึ่งก็คือ กิเลสนั้นมีมายามาก ถ้าหากว่าเราไปตามใจเมื่อไร กิเลสก็จะมีข้ออ้างว่า คราวที่แล้วยังได้เลย คราวนี้ก็ควรที่จะได้ด้วย เรายิ่งทำตามกิเลสมากเท่าไร เราก็ยิ่งห่างไกลจากความดีมากเท่านั้น

ดังนั้น..บุคคลที่ประกาศว่าตนเองเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ก็ควรที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม มากกว่าที่จะกระทำสิ่งที่คล้อยตามกิเลส

ดังนั้น..ถ้าหากว่ากิเลสมารเอาไม่อยู่ พยายามให้ขันธมารมาเล่นงานเรา แล้วเราไปยอมพ่ายแพ้ต่อขันธมาร ไม่ยอมประกอบกิจหน้าที่อันสมควรแก่ความเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ท่านทั้งหลายก็ไม่สมควรที่จะประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา

เพียงแต่ว่าวันนี้หลังจากบิณฑบาตและฉันเช้าเรียนร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้เดินทางไปยังโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา เพื่อที่จะได้ร่วมงานประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานสำหรับโรงเรียนมัธยมขนาดกลาง แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงแล้ว ทางโรงเรียนเงียบเชียบเรียบร้อยมาก บรรดาครูอาจารย์ที่เจอหน้าก็เข้ามาสอบถามว่า "หลวงพ่อเดินทางมา มีงานอะไรหรือครับ ?" จึงได้บอกไปว่า "มาร่วมงานประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทาน"

บรรดาครูทั้งหลายก็งงมากว่า งานประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานนั้นไม่ใช่วันนี้ กระผม/อาตมภาพจึงเปิดไลน์ให้ดูว่า ทางท่านยงยุทธ สงพะโยม ผู้อำนวยการโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ส่งกำหนดการมาให้ เมื่อคุณครูเห็นดังนั้น ก็รีบโทรหาท่านผู้อำนวยการ แต่อีกฝ่ายน่าจะติดธุระจึงไม่ได้รับสาย เมื่อโทรไปหารองผู้อำนวยการ ทางด้านรองผู้อำนวยการแจ้งว่า งานประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานนั้น จะเป็นวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ เลื่อนไปจากวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า ทำไมมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่สำคัญ แต่ว่าไม่มีการแจ้งให้ทราบอีกแล้ว..?!

ดังนั้น..จึงได้ลาจากโรงเรียนแล้ววิ่งยาวกลับไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) แปลว่างานนี้กระผม/อาตมภาพเสียเวลาวิ่งกลับมา ๓ ชั่วโมงครึ่ง วิ่งกลับไป ๓ ชั่วโมงครึ่ง โดยที่ได้แค่ปฏิบัติตามกิจวัตรประจำวันของตนเท่านั้น ไม่ได้งานอะไรขึ้นมาเลย สงสารแต่น้องบัว (นางสาวอัจฉานันท์ วงศรีรัตนชัย) ซึ่งเป็นผู้เข้ารับงานประเมิน ถ้าหากว่ารู้ว่าหลวงพ่อมาเพื่อร่วมงานของคุณเธอ แล้วพลาดไปในลักษณะนี้ ก็คงไม่ใช่แค่ "น้ำตาจิไหล" แต่คงจะน้ำตาไหลจริง ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 03:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-01-2023, 01:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อมาถึงวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) กระผม/อาตมภาพก็ต้องเข้าไปตรวจปัญหาซึ่งบรรดา "ว่าที่พระอุปัชฌาย์" ได้ทำมา แล้วก็พบแต่ปัญหาเดิม ๆ อันดับแรกก็คือ ขาดความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ปัญหาข้อหนึ่งถามมา ๒ คำถาม ก็ตอบคำถามเดียวบ้าง ให้บังคับทำ ๒ ข้อ ไม่บังคับ ๕ ข้อ แทนที่จะทำมารวม ๗ ข้อ ก็ทำมาแค่ ๕ ข้อ..!

ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าไปสอบภาคปฏิบัติ บรรดาว่าที่พระอุปัชฌาย์นั้น ส่วนใหญ่ก็มีความเคยชินในการที่ตนเองสวดตนเองท่องมาก่อน ในสมัยที่เป็นพระกรรมวาจานุสาวนาจารย์ ก็คือเคยผิดมาอย่างไร ก็ผิดต่อไปอย่างนั้น อย่างเช่น ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง ก็มักจะออกเป็น ยะถิ เป็นต้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าเกิดขึ้นที่วัดท่าขนุน บรรดาพระภิกษุสามเณรจะโดนกระผม/อาตมภาพดุว่าเดี๋ยวนั้นเลย อย่างเช่นว่า นะหิ ชาตุ คัพภะ เสยยัง ในบทกรณียเมตตาสูตร มีผู้ออกเสียงเป็น นะหิ ชาตุ ขับภะ เสยยัง ซึ่งในลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพจะให้แก้ไขทันที ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน ก็มักจะออกเสียงเป็น ถิดถินจะ บ้าง

ถ้าหากว่าไม่แก้ไขสิ่งที่ผิดก็จะกลายเป็นถูก แล้วถ้ามีการเลียนแบบทำตาม เพราะว่าท่านบังเอิญขึ้นไปเป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก ก็จะกลายเป็น "อาจาริยวาท" ก็คือการยึดวาทะรูปแบบของอาจารย์เป็นใหญ่ แล้วก็จะผิดตาม ๆ กันมา

ดังที่หลายท่านเคยสวดมนต์แล้ว ในบทอุทิศส่วนกุศลที่ว่า

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ

อุปัชฌายา คุณุตตะรา

อาจาริยูปะการา จะ

มาตาปิตา จะ ญาตะกา ปิยา มะมัง

สุริโย จันทิมา ราชา ฯลฯ
เป็นต้น

แต่ปรากฏว่า มีหลายวัดหลายสำนัก คำว่า ปิยา มะมัง ไม่มี

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าจดจำต่อ ๆ กันมาในลักษณะที่หลงลืมกระโดดข้ามไป แล้วครูบาอาจารย์ท่านเคยชิน ท่านก็จะสวดแบบไม่มีคำว่า ปิยา มะมัง บรรดาลูกศิษย์ก็สวดตามไป เมื่อถึงเวลาไปเจอวัดที่ท่านมี ก็ยังคิดว่าของเขาผิดเสียอีก..!

ดังนั้น..ในเรื่องของความเคยชินนั้น แม้ว่าจะแก้ไขได้ยากก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็มีความเคยชินบางอย่าง ที่เคยผิดเคยพลาดมาก่อน แล้วก็เพียรพยายามที่จะแก้ไข ถ้าเราเป็นผู้มีสติ เราก็จะระลึกรู้ได้ว่าตรงนี้เคยผิดมาก่อน เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดอีก สำหรับท่านผู้มีสติน้อย ก็จะผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ แต่ท่านที่มีสติมาก ก็จะสามารถระมัดระวัง แล้วในที่สุดก็จะแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-01-2023, 01:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพได้กำชับกำชาว่าที่พระอุปัชฌาย์ผู้เข้ารับการสอบภาคปฏิบัติว่า "หลวงพ่อต้องไปแก้ไขตรงจุดนี้ ต้องไปแก้ไขตรงจุดนี้" เป็นต้น

อย่างเช่นว่า การบอกอนุศาสน์ ปิณฑิยาโล ปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ท่านก็อ่านแบบความเคยชินในภาษาไทย เห็นว่าเป็น ฑ.นางมณโฑ ก็ไปอ่านว่า ปิน-ทิ-ยา-โล ปะโภชะนัง เป็นต้น กระผม/อาตมภาพต้องยกให้ดูว่า บัณฑิต มณฑป ดังนั้น...คำว่า ปิณฑิ (ปิน-ดิ) จึงต้องใช้เสียง ด.เด็ก ไม่ใช่เสียง ท.ทหาร แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าฝังรากลึกจนกลายเป็นความเคยชินแล้วก็จะแก้ไขลำบากมาก

แบบเดียวกับอนุสัยกิเลส ซึ่งนอนเนื่องฝังลึกอยู่ในจิตในใจของเรามากัปกัลป์อนันตชาติ เกิดแล้วเกิดอีกนับไม่ถ้วน ก็จะทำให้ความเคยชินในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ฝังอยู่ในใจของเรา ถ้าไม่พากเพียรพยายามในการขัดเกลา ก็ไม่มีวันที่จะเบาบางลง

ถ้าหากว่าเบาบางลง เราก็จะลดในเรื่องของการตามใจกิเลสลงไปได้บ้าง

ถ้าหากว่าขัดเกลาไปในระดับปานกลาง เราก็จะละในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง บางส่วนลงไปได้

แต่ถ้าเรามีความสามารถ ขัดเกลาได้หมดสิ้นจริง ๆ เราก็จะเลิก ก็คือไม่กระทำตามในสิ่งที่กิเลสบังคับบัญชา เพราะว่าสภาพจิตพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปสักแต่ว่าเป็นกิริยา มายาไม่มี สิ่งที่ทำจึงไม่นับว่าเป็นกรรม เหตุเพราะว่าจิตไม่ได้ปรุงแต่งไปในด้านของ รัก โลภ โกรธ หลง

เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายที่ไปถึงระดับนี้นั้น สติของท่านสมบูรณ์มาก เรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตามที่ทำไปแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากมีผู้เลียนแบบทำตาม ท่านก็จะระมัดระวังไม่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น สามารถละอนุสัยกิเลสได้โดยเด็ดขาดแล้ว มักจะอยู่ในลักษณะของผู้มีสติวินัย ก็คือมีสติควบคุมกาย วาจา ใจของตนเอง ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 03:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 28-01-2023, 01:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,126 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นไปตามวาสนาเดิมที่สั่งสมมา นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บรรดาอัครสาวกก็ดี มหาสาวกก็ดี ปกติสาวกก็ตาม ไม่สามารถที่จะละได้ ท่านทั้งหลายก็จะระมัดระวังในส่วนของพระธรรมวินัย ส่วนจริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม ก็ยังคงปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเดิมของตน

ถ้าเป็นบุคคลในยุคพุทธกาล ก็ต้องยกตัวอย่างพระสารีบุตรมหาเถระ องค์อัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา ถ้าหากว่าท่านเดินข้ามสถานที่เป็นร่อง เป็นราง เป็นขอนไม้อะไรก็ตาม ท่านก็จะกระโดดข้ามไปเลย ทำให้บรรดาพระปุถุชนที่ไม่รู้เหตุผลต้นกรรม ตำหนิและไปฟ้องร้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตรัสว่า พระสารีบุตรนั้นเคยเกิดเป็นวานร คือลิง มานับเป็นร้อย ๆ ชาติ ความเคยชินจึงทำให้เผลอเมื่อไรก็กระโดดโลดเต้น แต่ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ก่อให้เกิดโทษอะไรมาก นอกจากเสียจริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

ถ้านับในยุคปัจจุบัน ก็จะมีหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท (พระครูสุทธิธรรมรังษี) พระครูบาอาจารย์ในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งท่านมีวาสนาอันตัดไม่ขาด มีกายวาจาที่ไม่เรียบร้อย แต่ว่าสภาพจิตของท่านนั้นเด่นดวงเป็นอย่างยิ่ง ก็คือขาวสะอาดผ่องใสทั้งดวง

ดังนั้น..สิ่งที่ท่านทำ ไม่ว่าจะเป็นการตีมีดตีขวานก็ดี การขุดดินฟันหญ้าก็ตาม ตลอดจนกระทั่งการที่มีจริยาโผงผางเหมือนอย่างกับนักเลงนั้น ก็เป็นเพียงวาสนาที่ตัดไม่ขาด เราต้องมองให้ลึกเข้าไปถึงในจิตในใจ ไม่เช่นนั้นแล้วความเคยชินทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อท่านแสดงออกมา เราเองอาจจะพลาดจากบรรดาพระเถระ ผู้ทรงคุณงามความดีไปอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 04:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว