กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 08-08-2021, 15:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การทำความดีนั้นเป็นเรื่องที่ค่อย ๆ สะสมไปครับ เหมือนน้ำทีละหยด ๆ ตอนที่เราไปมองก้นโอ่งใบใหญ่ ๆ แล้วน้ำหยดลงไป ไม่มีอะไรเลย แต่เผลออีกทีหนึ่ง ผ่านไปสัก ๒ วัน ๓ วัน ไปมองใหม่สิครับ ขึ้นมาเป็นเซ็นติเมตร ขึ้นมาเป็นนิ้วแล้ว

พอสั่งสมไปถึงระดับหนึ่ง คนจะเริ่มเห็นความดีครับ เขาจะศรัทธา คราวนี้จัดการยากมากครับ จัดการยากตรงที่ว่า ญาติโยมหลายท่านเห็นพระเป็นสมบัติส่วนตัว "หลวงพ่อของกู" "พระอาจารย์ของกู" แล้วคราวนี้ก็เลยเริ่มบัญชาการ ให้พระทำอย่างโน้น ให้พระทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำก็น้อยใจ เสียใจ บริหารจัดการยากสุด ๆ เลยครับ

เรื่องพวกนี้เป็นทั้งศาสตร์คือความรู้ และเป็นทั้งศิลป์ ก็คือวิธีการเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ พอเราเติบโตไปข้างหน้าก็จะรู้ครับ ยิ่งอยู่ไปเขี้ยวก็จะงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ ครับ เพียงแต่ว่าอย่าเผลอให้โยมเขามาขี่คอเราได้ก็แล้วกัน

บรรดาวัดต่าง ๆ ที่มีปัญหามากที่สุดในปัจจุบันนี้คืออะไรครับ ? ก็คือกรรมการวัดและมัคคนายกมักจะมีอำนาจเหนือเจ้าอาวาส ถ้าว่ากันตามกฎหมายจริง ๆ การแต่งตั้งเจ้าอาวาส ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโยมเลยครับ กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เจ้าคณะอำเภอกับเจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสในเขตนั้นรวม ๓ รูป ร่วมกันพิจารณาว่าผู้ใดเหมาะสม ก็ยกขึ้นเป็นเจ้าอาวาส

แต่ตรงนี้ติดตรงข้อสุดท้ายที่เราใช้พิจารณา ก็คือจารีตประเพณีครับ ไอ้ตรงนั้นโยมเขาเห็นด้วยไหม ? ทำอย่างไรตอนที่เราพิจารณาแต่งตั้งให้โยมเขามีส่วนตรงนั้นด้วย ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมจริง ๆ เราค่อยยกข้อกฎหมายมาให้เขาฟังว่า จริง ๆ แล้วโยมไม่มีสิทธิ์มีเสียงหรอก แต่อาตมาเองให้เกียรติ โยมเป็นเจ้าของพื้นที่ โยมดูแลพระมาโดยตลอด ก็เลยให้โยมมีสิทธิ์มีเสียงที่จะร่วมด้วยช่วยกัน เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว ก็ต้องยอมรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องก็จะจบง่ายครับ

ผมเจอมากับตัวเองครับ เจอเพื่อนเจ้าคณะตำบลท่านหนึ่ง ก็อย่างว่าละครับ มีอำนาจอยู่ในมือ รายงานหลวงพ่ออำเภอร่วมพิจารณา รายงานหลวงพ่อรองอำเภอร่วมพิจารณา เอ้า..มี ๓ คนเพียงพอแล้วตามกฎหมายแล้ว ไม่ต้องหาเจ้าอาวาสในเขตนั้นก็ได้ ไม่ต้องบอกโยมก็ได้..ตั้งเลยครับ พอญาติโยมมาประท้วงว่าท่านนี้ความประพฤติไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านก็อ้างว่ากฎหมายให้อำนาจท่านเอาไว้ ไม่ได้ให้อำนาจญาติโยมนะครับ

โยมเขาตอบได้ประทับใจมากครับ เขาตอบว่า "หลวงพ่อ..กฎหมายของหลวงพ่อจะใหญ่กว่าขันข้าวในมือฉันไหม ? ถ้าฉันไม่ยอมเอาขันตักข้าวไปใส่บาตร หลวงพ่อจะมีฉันไหม ?" ฟังดูประทับใจนะครับ...แต่น่ากลัวครับ ก็คือถ้าหากว่ารอบวัดไม่สนับสนุนนี่
วัดไหนก็ไปยากครับ เราต้องอดทนทำความดีปีแล้วปีเล่านะครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-08-2021 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 08-08-2021, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการตั้งเจ้าอาวาสใหม่นี่ เป็นอะไรที่ผมใช้คำว่า "วงจรอุบาทว์" ครับ ถ้าเจ้าอาวาสใหม่เก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้นี่ วัดโทรมทันตาเลยครับ เพราะว่าญาติโยมไม่เข้าวัด ถึงแม้ว่าเจ้าอาวาสใหม่เก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าได้ คนก็ยังไม่สนับสนุนครับ เพราะคิดถึงแต่เจ้าอาวาสเก่าที่เป็น "หลวงพ่อของเขา"

พวกเราก็ต้องอดทนทำความดีไปเรื่อยครับ ทำไปเดือนเล่าเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งท้าย ๆ ชีวิตของเราครับ ญาติโยมเริ่มเห็นความดี หันมาสนับสนุนกัน ไม่กี่วันเราก็ตายครับ ย้อนกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว คนใหม่มาต้องกลุ้มใจอีกแล้ว ผมถึงได้เรียกว่า
"วงจรอุบาทว์" ครับ

ดังนั้น...ในเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าวัดไหนที่ในปัจจุบันนี้ เรื่องทั้งวัดตกอยู่กับเจ้าอาวาสคนเดียว ไปไม่ไหวนะครับ ถ้าเจ้าอาวาสปุบปับเป็นอะไรไป คนที่อยู่จะไม่ได้รับความเชื่อถือเลย ทำอย่างไรที่เราจะแบ่งสันปันส่วนหน้าที่ต่าง ๆ ให้กับพระเณรในวัดรับไปทำได้ครับ ?

เมื่อถึงเวลาแล้ว ญาติโยมเขาเห็นความสามารถก็จะค่อย ๆ ยอมรับว่า หลวงพี่ท่านนี้ หลวงน้าท่านโน้น หลวงลุงท่านนั้น ท่านเก่งทางด้านนี้ ๆ องค์โน้นรับสังฆทานดี โอ๊ย..ให้พรอยู่ ๑๐ นาทีไม่จบ ไพเราะเหลือเกิน อยากจะไปถวายอีก องค์นั้นถึงเวลาบิณฑบาตก็มนุษยสัมพันธ์ดีเหลือเกิน นอกจากถามถึงทุกข์สุขของตัวเราแล้ว ยังถามไปถึงครอบครัว ถึงลูกถึงหลาน ถึงเหลน ๗ ชั่วโคตร..ถามถึงหมด..!

ทำอย่างไรที่จะให้โยมเขาเห็นความสามารถของพระในวัดเราครับ ? หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลาย ถ้าไม่สามารถจะให้เขาเห็นความสามารถของพระในวัดเรา ทำอย่างไรจะให้เขาเห็นความสามารถของตัวเราเองครับ เราจะมีอะไรดีให้ญาติโยมเขาดู มีอะไรดีให้ญาติโยมเขายอมรับ ?

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นพระสังฆาธิการ ท่านทราบหลักการอยู่แล้วว่าบริหารวัด ต้องสะอาด สว่าง สงบ วัดไม่ต้องรวย วัดไม่ต้องหรูครับ อันดับแรก...สะอาดไว้ก่อน ถ้าหากว่าวัดสะอาด คนจะยอมรับเองครับ

ลำดับต่อไปก็คือ เรื่องของความสว่างครับ เข้าไปแต่ละที ถ้ากลัวผีหลอก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไร โยมก็ไม่กล้าเข้าวัดกัน ไม่ต้องอะไรมากหรอก วัดของผมเองครับ มาใหม่ ๆ จนถึงหน้าโบสถ์แล้ว ผมยังมองโบสถ์ไม่เห็นเลยครับ ท้ายสุดอยู่ไปจนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาส ผมถึงได้รื้อไอ้ที่รก ๆ รอบโบสถ์ออกไปหมดเลย

ข้อสุดท้าย..สงบครับ วัดของผมปัจจุบันนี้มีพระ ๔๐ กว่ารูป โยมมาถามว่ามีพระเท่าไร ? ผมบอก ๔๐ กว่ารูป เขาตกใจ บอกว่าไม่เห็นพระเลย ก็บอกกับโยมว่า "เห็นไม่ได้ ถ้าโผล่หัวออกมาเกะกะ เดี๋ยวเจ้าอาวาสงับหัวขาด...! มีงานอะไรก็ทำไป ถ้าไม่มีก็ภาวนาไป"

"สะอาด สว่าง สงบ" ครับ ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ทุกวัด คนจะเข้าวัดเองครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-08-2021 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 09-08-2021, 17:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนนี้ที่ผมชื่นชมคือประเทศพม่าครับ ผมไปสร้างวัดอยู่ที่นั่น ๖ ปี กฎเกณฑ์การสร้างวัดบ้านเราเยอะมากครับ อย่างน้อยต้องมีที่ดิน ๖ ไร่ ต้องห่างจากวัดอื่น ๒ กิโลเมตร ต้องมีญาติโยมให้การสนับสนุนไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ คน ต้องมีเงินทุนสำรองอย่างน้อย ๕๐,๐๐๐ บาท ต้องมีเสนาสนะที่มั่นคงพอสมควรแก่การใช้งาน

ไปพม่าสิครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย นึกอยากสร้างตรงไหน ถ้าโยมเขาให้ที่ก็สร้างได้เลยครับ ผมไปเจอ ๓ วัดอยู่ในพื้นที่เดียวกันครับ กั้นกันด้วยถนนที่กว้างประมาณ ๒ ศอกเท่านั้น ตอนแรกผมคิดว่าวัดเดียวกันแต่คนละกุฏิ แต่ไม่ใช่ครับ..คนละวัดกัน เพราะว่าเขาไม่มีกฎเกณฑ์กติกาแบบนี้ครับ คือญาติโยมมีศรัทธาสร้าง เขาก็มีปัญญาดูแลครับ

ในส่วนนี้ไม่ว่าเขาจะสร้างไว้ในป่าในเขา ลึกแค่ไหนก็ตาม ถึงเวลาจะมีคนไปทำความสะอาด มีคนไปดูแล ไปใช้งาน สร้างเจดีย์ไว้บนยอดเขาสูงลิบ ๆ เลย ผมขึ้นไปดู..สะอาดสะอ้านมากครับ คนแย่งกันกวาด แย่งกันทำความสะอาด เขาถือว่าการกวาดลานเจดีย์ได้บุญมากครับ

ดูตัวอย่างจากใครครับ ? จากพระนาคเสนกับพระยามิลินท์ครับ พระนาคเสนกวาดลานเจดีย์ พระยามิลินท์เป็นเณรอยู่ เมื่อถึงเวลาพระนาคเสนก็สั่งให้พระยามิลินท์ที่มัวแต่เล่นอยู่ให้เอาขยะไปทิ้ง สามเณรมัวแต่เล่นสนุกอยู่ก็มาช้า พระนาคเสนจึงหวดด้วยด้ามไม้กวาด ร้องไห้ร้องห่ม หอบขยะไปทิ้งแม่น้ำ เห็นระลอกคลื่นในแม่น้ำไหลตามกันไม่รู้จักจบจักสิ้น อธิษฐานเลยครับ ผลบุญที่เอาขยะมาทิ้งในครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าเกิดมาใหม่ มีปัญญามากเหมือนอย่างกับลูกคลื่นในแม่น้ำนี้ สามารถสอบถามปัญหาใครก็ตาม โดยที่ไม่ถึงคราวอับจนด้วยปัญหานั้นเถิด พูดง่าย ๆ ก็คือให้ถามได้ตลอดครับ

พระนาคเสนกวาดลานเจดีย์เสร็จ จะลงไปสรงน้ำ ได้ยินแล้วตกใจครับ โอ้โห...ขอขนาดนี้ ต่อไปคนจะเดือดร้อนอีกเท่าไรวะ ? แค่เอาขยะมาทิ้งยังขอขนาดนี้ เราเป็นคนกวาดขยะ ก็ต้องขอได้มากกว่าสิวะ..! พระนาคเสนอธิษฐานทับเลยครับว่า ถ้าเกิดชาติไหนก็ตาม เจอสามเณรรายนี้ถามปัญหา ขอให้ตอบได้ทุกเรื่อง จึงมาเกิดเป็นพระนาคเสนกับพระยามิลินท์ เป็นคู่ปรับกันครับ ใครไปอ่านมิลินทปัญหาสิครับ ปัญหาแต่ละข้อ ถามมาชวนตีชัด ๆ..!

ในเมื่อเขานิยมว่า การกวาดลานเจดีย์มีบุญมาก ก็เลยแย่งกันกวาดครับ บนป่าบนเขาก็กวาด เขาขึ้นไปใช้งานครับ เจดีย์สูง ๆ บนยอดเขาตะเกียกตะกายขึ้นไป แต่บ้านเรานี่สร้างเสร็จแล้วทิ้งให้รกไปหมด

ทำอย่างไรที่เราจะทำให้วัดของเราสะอาด ไม่รกรุงรัง มองไปทางไหนก็ดูสงบ น่าเข้าวัดครับ เข้าไปแล้ว ต่อให้ร้อนขนาดไหนมาวัดแล้วจะต้องเย็น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2021 เมื่อ 19:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 09-08-2021, 17:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราสามารถทำตรงนี้ได้ จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เราสามารถสร้างความมั่นคงให้เกิดกับพระพุทธศาสนาของเราได้ ช่วยกันแบก ช่วยกันหามคนละส่วน เมื่อท่านทั้งหลายมีความมั่นคงแล้ว วัดของท่านเข้มแข็งแล้ว ก็สามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นต่อไปได้ ถ้ามีอะไรสงสัยยกมือประท้วงได้เลยนะครับ ไม่ต้องเป่านกหวีดและอย่ายกสามนิ้วก็พอ..!

คราวนี้ถ้าหากว่าเรามีศรัทธาญาติโยมมาก ให้การสนับสนุนค้ำจุนวัดของตนจนมั่นคงแล้ว พยายามช่วยเหลือวัดอื่นด้วยครับ อย่างทุกวันนี้ ผมเองจัดโครงการทอดกฐินปลดหนี้ ปีละวัดเดียวนะครับ ญาติโยมก็บ่นว่ากฐินทำแล้วได้บุญมาก ทำไมหลวงพ่อไม่ทอดกฐิน ๗ วัด ? ทำไมหลวงพ่อไม่ทอดกฐิน ๙ วัด ? ผมบอกว่า ๗ วัด ๙ วัด ถ้าเฉลี่ยแล้วได้เงินวัดละแสนสองแสน สร้างส้วมยังไม่เสร็จเลยโยม แต่ถ้าทั้งหมดเราเทไปวัดเดียว จะเห็นหน้าเห็นหลังไปเลย

ตั้งแต่ผมทำโครงการมา เจ้าประคุณเอ๊ย..รายชื่อยาวเป็นกิโลเมตรเลยครับ ผมคาดว่าผมต้องอยู่ไปถึงอายุ ๓๐๐ ปี ถ้าทอดปีละวัดกว่าจะจบ แต่ให้เราได้ทำนะครับ ก็คือช่วยประคับประคองวัดอื่น ถ้าหากว่าเราเป็นเจ้าคณะ ก็ประคองลูกวัดในคณะของเราก่อน

อย่างทุกวันนี้ ผมเองถึงเวลาก็ส่งพระเณรของอำเภอทองผาภูมิเรียนทุกรูป จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มากมายนะครับ ถวายค่ารถท่านรูปละ ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน แต่เราลองนึกถึงพระลูกวัดสิครับ ทางด้านผมนี่ พระลูกวัด ถึงเวลาสวดมนต์แทบตายนี่ ได้ ๒๐ บาทเป็นหลักนะครับ ถ้า ๓,๐๐๐ บาทของท่านนี่ จำนวนมหาศาลมากเลยครับ ถ้าเราไม่ได้ช่วยตรงนี้ ถึงแม้ท่านอยากเรียน ก็คงจะเรียนไม่ไหว ถ้าเราไม่ช่วยท่าน ท่านก็เรียนไม่ไหวครับ ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีโอกาส โปรดช่วยเขานะครับ

การที่เราเข้าไปช่วย พยายามเอาหลักวิชาเข้าไปนิดหนึ่ง ช่วยผู้ใหญ่ช่วยอย่างไร ? ช่วยเด็ก ๆ ช่วยอย่างไร ? การช่วยเด็กเป็นการวางรากฐานตั้งแต่เล็กครับ ไม้อ่อนยังดัดง่ายอยู่ อย่างของผมทำโครงการใหญ่มหึมามากเลย ก็คือจะให้ทุนการศึกษาครบทุกโรงเรียนของทองผาภูมิ ซึ่งมีทั้งโรงเรียนประถมและมัธยม ๓๓ โรงเรียน ผมเพิ่งให้ไปได้ ๒๐ โรงเรียน ปีหน้าจะเพิ่มเป็น ๒๕ โรงเรียน โรงเรียนละ ๒๐ ทุนครับ ถ้าเป็นโรงเรียนประถมก็ทุนละ ๒,๐๐๐ บาท ตกโรงเรียนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นโรงเรียนมัธยม ทุนละ ๓,๐๐๐ บาท ก็ตกโรงเรียนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ลองคูณเข้าไปดูครับ ๒๐ - ๓๐ โรงเรียนนี่เป็นตัวเลขอัศจรรย์มากนะครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2021 เมื่อ 19:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 09-08-2021, 17:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การช่วยเด็กนั้น ผมช่วยเด็กดีนะครับ ระดับประถมและมัธยม ผมกำหนดไว้เลยว่าต้องมีความประพฤติดี ต้องเรียนดี และมีฐานะยากจน ข้อสุดท้ายไม่ต้องมีก็ได้ครับ จนทุกบ้านเลย..! แต่ถ้าหากว่าเป็นระดับปริญญาตรี ผมให้เด็กเก่งครับ ก็คือให้เด็กมาสอบชิงทุนกัน ปริญญาตรีนี่ผมให้เด็กเก่ง ต้องให้เขาสอบแข่งกัน ถ้าหากว่าสอบชิงทุนของผมได้ ผมมอบให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท ถ้าหลักสูตร ๔ ปีก็ให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาทจนครบ ๔ ปี ถ้าหลักสูตร ๕ ปี ก็ให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาทไปจนครบ ๕ ปี แปลว่าสอบครั้งเดียว ได้ทุนตลอดจนกว่าจะเรียนจบ

เหตุที่ต้องให้เด็กเก่ง เพราะว่าเด็กเก่งโอกาสเรียนจบมีสูงกว่าครับ แล้วผมเองก็ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์กติกานะครับ ว่าต้องกลับมาทำงานให้กับท้องถิ่น ต้องกลับมาพัฒนาบ้านเรา ไม่มีครับ แล้วแต่ใจเขาเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะรักบ้านเกิดครับ ท้ายสุดก็จะขอย้ายกลับมาเอง

ในส่วนของผู้ใหญ่นี่ ผมช่วยในเรื่องของการทำมาหากินครับ ท่านทั้งหลายลองดูสิครับว่ารอบ ๆ บ้านเรามีอะไรดีบ้าง ? ของผมมีอะไร ? มีกรองแฝก มีสานเสื่อลำแพน มีจักสาน กระบุง ตะกร้า มีทอผ้า มีทำอาหารพื้นบ้าน เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเรารวบรวมเอาไว้ จะขายได้ทั้งหมดนะครับ

โดยเฉพาะสนับสนุนให้เขาทั้งหลายได้ทำ แล้วต้องมีตลาด เรารู้จักใครที่เขาต้องการของพวกนี้ หรือสนับสนุนให้เขาจำหน่ายได้ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ทำหรอกครับ เขาทำแล้วเขาต้องขายได้ ในเรื่องของอาชีพ ถ้าเราสนับสนุนผู้ใหญ่ให้มีอาชีพ มีเงินมีทอง อยู่ดีกินดีขึ้นมา เขาจะเข้าวัดเองครับ ผู้ใหญ่เราจะไปแก้ปัญหาตั้งแต่พื้นฐานไม่ได้ครับ แต่เด็กเราเริ่มจากพื้นฐานได้

ดังนั้น..ผมถึงได้บอกว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยืนจนมั่นคงแล้ว จะช่วยเหลือญาติโยม ไม่ต้องช่วยขนาดผมนะครับ ช่วยปีละทุนสองทุนก็ได้ เราจะให้สัก ๕๐๐ บาท สัก ๑,๐๐๐ บาทก็ได้ เด็ก ๆ จะมีกำลังใจมากครับ ผมเองบอกได้เลยว่า ที่ผมเรียนมาจนทุกวันนี้ได้ ผมรอดมาได้ด้วยทุนการศึกษาครับ แล้วทุนการศึกษาสมัยโน้น..เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ.. ก่อนปี ๒๕๒๐ ทั้งอำเภอมีทุนเดียว ๖๐๐ บาท ผมต้องไปสอบชิงทุนกับเขาทุกปี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเงินเรียนครับ บังเอิญว่าผมค่อนข้างเรียนเก่ง ก็เลยชิงทุนได้ คนอื่นก็ต้องผิดหวังไป

ในส่วนที่เราให้นี่ จะให้มากให้น้อยไม่ว่ากันครับ กติกาของคณะสงฆ์เราบอกไว้แล้วว่าทุนละ ๓๐๐ - ๕๐๐ บาทก็ได้ เด็กที่ได้รับจะดีใจครับ ดีใจว่าสิ่งที่เขาอุตส่าห์อดทนเรียนมา ช่วยให้เขาได้รางวัล มีกำลังใจที่จะเรียนต่อ แล้วบางที ๓๐๐ - ๕๐๐ บาทที่เราให้ไป เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตเขาได้พอดีครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2021 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 09-08-2021, 17:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ของผมเองนี่ชัดเจนที่สุด ผมเรียนมัธยม สมัยนั้นค่าเทอม ๒๒๐ บาทครับ เชื่อไหมครับว่าผมต้องผัดผ่อนจนวันสุดท้าย เขาจะไม่ให้สอบอยู่แล้ว กว่าที่จะหาได้ครบ ถ้าได้มา ๓๐๐ - ๕๐๐ บาทนี่เป็นฟางช่วยชีวิตของเราเลยครับ ไม่ต้องถึงขนาดเป็นท่อนซุงลอยน้ำมาให้เราเกาะหรอก เป็นฟางเส้นเดียวก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน

ดังนั้น..ส่วนนี้ที่เรียนถวายให้ท่านทั้งหลาย และบอกกล่าวให้แก่ญาติโยมที่เข้ามาฟังเราจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วพระพุทธศาสนาของเราเพิ่งจะกึ่งพุทธกาลนะครับ ๒๕๖๔ ปีเท่านั้น ยังมีระยะเวลาเหลืออีก ๒,๐๐๐ กว่าปี

พระพุทธศาสนานี้ฝากพวกเราไว้ครับ ไม่ได้ฝากใครไว้เลย ฝากทุกท่าน ทั้งพระทั้งเณร ทั้งญาติโยมหญิงชาย พระพุทธเจ้าตั้งองค์กรที่วิเศษที่สุดขึ้นมา คือ องค์กรพุทธบริษัท ๔

พุทธบริษัท ๔ นี่แบ่งเป็น ๒ ส่วนครับ คือส่วนของนักบวชกับส่วนของฆราวาส บาลีเขาเรียกว่า อนาคาริกะ คือ ผู้ไม่ครองเรือน ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อาคาริกะ คือ ผู้ครองเรือน ได้แก่ อุบาสก อุบาสิกา สมัยนี้ภิกษุณีไม่มี ให้สงเคราะห์แม่ชีเข้าไป ก็เท่ากับว่าฝ่ายอนาคาริกะก็คือภิกษุ สามเณร แม่ชี ฝ่ายอาคาริกะผู้ครองเรือน ก็ญาติโยมทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่นั่นแหละครับ

เหตุที่บอกว่าพระองค์ท่านตั้งองค์กรได้วิเศษที่สุด ก็เพราะว่าองค์กรนี้สนับสนุนซึ่งกันและกันครับ ฝ่ายอาคาริกะคือผู้ครองเรือน ทำมาหากินตามปกติ มีส่วนเหลือก็เจือจุนภิกษุสามเณรด้วยปัจจัย ๔ ทุกวันนี้ท่านทำหน้าที่ได้ดีแล้วครับ แต่การทำหน้าที่ดีแล้วนี่ก็คือมีแค่ไม่กี่ท่านนะครับ

มีใครบ้างไหมครับ ? ที่ใส่บาตรทุกวัน สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน หายากนะครับ เท่าที่ผมเจอมากที่สุดก็คือ ใส่บาตรปีละครั้ง โอ้โห..ถ้าหากว่าใส่บาตรปีละครั้ง กระผม/อาตมภาพลืมแน่นอน แต่นี่เขาไม่ลืมครับ วันเกิดตัวเองใส่บาตรทีหนึ่ง อีก ๓๖๔ วัน พระไม่ต้องฉัน..! เอ๊ะ...ใช่หรือเปล่า ? ไม่ใช่สิ..คนอื่นก็ต้องใส่บ้างแหละครับ

ส่วนใหญ่แล้ว พวกเรายังให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาน้อยมาก ไม่เหมือนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา สมัยนั้นถ้าหากว่าถึงเวลาพระขาดแคลนอะไร เรียกหาได้เลยครับ หลวงปู่หลวงพ่อใกล้บ้านผม พอถึงเวลาก็ให้ลูกศิษย์วัดวิ่งไปบอก วันนี้
จะมีพระอาคันตุกะมา ๒๐ รูป ขอให้พวกเรามาช่วยกันเลี้ยงหน่อย ผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นคนนำ ทำอะไรเลี้ยงดี ขนมจีนแกงเขียวหวาน ไอ้โน่นก็ไปโขลกลูกแป้ง คนนี้ก็ไปหามะเขือมา หาไก่มา หาเครื่องแกงมา ช่วยกันทำครับ แต่สมัยนี้ของเราตรงจุดนี้มีน้อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2021 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 09-08-2021, 18:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..พุทธบริษัท ๔ ของเรา ในส่วนของอุบาสก อุบาสิกา ให้การสนับสนุนวัดไม่เหมือนก่อน เพราะว่าสภาพสังคมเปลี่ยนไปครับ สมัยกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ ท่องอยู่ครับ สินค้าออกของไทยเราประกอบไปด้วย ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ไม้สัก ดีบุก นั่นเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมครับ

สมัยก่อนญาติโยมสร้างวัดถวายพระนะครับ ต้องการกุฏิ ต้องการศาลา ต้องการโบสถ์ มีเจ้าภาพ แล้วเขามาทำกันเองครับ พระมีหน้าที่แค่ไปยืนดูว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจเท่านั้น แต่พอมาเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม สินค้าส่งออก ในเมื่อส่งออกต้องมีมากถึงจะพอส่ง ก็มีแต่ไม้สักอย่างเดียวครับที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะว่าสมัยนั้นยังไม่นิยมปลูก ก็ปลูกข้าวโพด ปลูกอ้อย ปลูกข้าว ขุดดีบุก ปลูกยางพารา สมัยนี้ปลูกยางพารากันทั่วประเทศ

ญาติโยมมัวแต่ทำงานอยู่ครับ ถึงเวลาอยากจะทำบุญ อยากจะสร้างศาลา อยากจะสร้างเมรุ อยากจะสร้างห้องน้ำ ก็เอาปัจจัยไปถวายหลวงพ่อครับ ช่วยรับแล้วก็ไปดำเนินการให้กระผมด้วย ให้ดิฉันด้วย ไป ๆ มา ๆ สภาพก็เลยเป็นอย่างในปัจจุบันนี้ครับ ก็คือกลายเป็นพระต้องสร้างเอง โดยมีโยมเป็นเจ้าภาพ

แล้วหลายคนก็บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ พระเราต้อง ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง นอนนั่งในที่อันสงัด อะธิจิตเต จะ อาโยโค หมั่นประกอบกำลังใจของเราให้นิ่ง ให้สงบ ปราศจากกิเลส ลองไม่สร้างดูสิครับ..ว่าจะอยู่ได้ไหม ? ญาติโยมเขาอุตส่าห์มีศรัทธานะครับ เอาเงินมาถวายถึงที่ ก็ต้องกัดฟันทำไปแหละครับท่านทั้งหลาย

คราวนี้ในเมื่อญาติโยมเขาสนับสนุนเรา ส่วนของอนาคาริกะคือผู้ไม่ครองเรือน เราทำอะไรบ้างครับ ? ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ไม่ใช่แล้วนะครับ เราต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ ก็คือถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเรียนให้รู้ ถึงเวลาญาติโยมขัดข้อง ต้องเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าไปเสริมให้เขาได้ แล้วถ้าญาติโยมปฏิบัติธรรมติดขัดตรงไหน เราเคยปฏิบัติมา ต้องชี้แนะแก้ไขให้เขาได้ คนที่เคยทำมา พูดอะไรจะง่ายครับ แต่ถ้าไม่เคยทำมา พูดอะไรก็ยากไปหมด

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าอนาคาริกะคือผู้ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุ สามเณร แม่ชี มีเวลามากกว่า ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติได้แล้ว ก็นำไปสั่งสอนบอกกล่าวแก่ญาติโยม ญาติโยมตั้งใจทำมาหากิน มีส่วนเหลือก็สละเข้ามาช่วยเหลือพระพุทธศาสนา ช่วยค้ำจุน
ให้พระพุทธศาสนาของเราไปต่อได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2021 เมื่อ 19:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 10-08-2021, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พุทธบริษัท ๔ ของเราก็เลยกลายเป็นหลักสำคัญ แต่คราวนี้การที่พุทธบริษัท ๔ ของเราจะสำคัญถึงขั้นไหน ให้ดูที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ครับ พญามารมาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ตราบใดที่พระภิกษุ ภิกษุณี ตลอดจนกระทั่งสาวกของตถาคต ยังไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมจนเกิดผล แก้ไขปรัปปวาทที่ศาสนาอื่นเขากล่าวตู่จาบจ้วงพระพุทศาสนาได้ ตถาคตจะไม่ปรินิพพาน

พูดง่าย ๆ ก็คือปฏิบัติแล้วต้องสำเร็จ สำเร็จแล้วใครมาว่ากล่าวอะไร เราต้องสามารถชี้แจงได้ครับ อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นชั่วโมง ว่าทำอย่างไรที่ท่านทั้งหลายศึกษาแล้ว พอถึงเวลาเกิดปัญหาขึ้นมา เราจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนได้ และเป็นความชัดเจนโดยหลักธรรม โดยกฎหมาย โดยจารีตประเพณี ไม่ใช่เถียงข้าง ๆ คู ๆ ครับ ดังนั้น..พุทธบริษัท ๔ ของเราจึงต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันครับ พระพุทธศาสนาของเราถึงจะเจริญ

ในปัจจุบันนี้ ขออนุญาตเอ่ยชัด ๆ เลยนะครับ ธรรมยุติกนิกายเจริญรุ่งเรืองกว่าเรามาก ไม่ใช่เพราะเขามีพระสังฆราชเป็นธรรมยุตนะครับ แต่เพราะธรรมยุติกนิกายเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแก่บุคคลที่ด้อยกว่า สังเกตสิครับ วัดธรรมยุตจะอยู่ในป่าในเขา ลึกแค่ไหนก็ตาม จะต้องมีเชื้อพระวงศ์เสด็จ จะต้องมีในหลวงราชินีเสด็จ..!

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ ? ก็เพราะพระผู้ใหญ่ครับ พระผู้ใหญ่ระดับสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ ระดับกรรมการมหาเถรสมาคมทูลเชิญเอง ในเมื่อทูลเชิญเอง เมื่อมีกำหนดการของสำนักพระราชวังลงมา ท่านก็ช่วยไปเป็นประธานในงานให้ ผู้ใหญ่เอื้อเฟื้อผู้น้อยขนาดนั้น ก็เลยทำให้เกิดเกียรติประวัติที่สูงส่งขึ้นมาว่า วัดธรรมยุตทุกวัด จะใหญ่จะเล็ก จะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะต้องมีเจ้าเสด็จ มหานิกายเรามีไหมครับ ?

แค่นั้นยังไม่พอนะครับ ไม่ว่าจะวัดเล็กวัดใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เขาจะมีกองทุนครับ เขียนหนังสือประวัติของครูบาอาจารย์ สรรเสริญในส่วนความดีที่ครูบาอาจารย์ทำมาครับ ท่านทั้งหลายมีห้องสมุดเหมือนวัดท่าขนุนไหมครับ ? หนังสือพวกนี้จะท่วมตายอยู่แล้วครับ ประวัติครูบาอาจารย์มีทุกวัด มหานิกายเรามีไหมครับ ? (ไม่ค่อยมีครับ) ไม่มีเอาเสียเลยมากกว่า ผู้ใหญ่ของเราก็ไม่สนับสนุนอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2021 เมื่อ 11:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 10-08-2021, 09:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีวัด ๆ หนึ่ง อย่าให้บอกเลยครับว่าชื่ออะไร ทูลเชิญพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นกรมหมื่นสุทธนารีนาถนะครับ มาเป็นประธานกฐิน ผมได้ยินพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งพูด ผมสะอึกเลยครับ ท่านบอกว่า "จะเชิญมาทำไมวะ ? ยุ่งฉิบหายเลย..!" ต่างกับธรรมยุตไหมครับ ?

ธรรมยุตนี่ผู้ใหญ่เชิญเอง แล้วไปเป็นประธานให้ มหานิกายของเรา แค่ท่านไปนั่งปั้นหน้านิ่ง ๆ เฉย ๆ รอเวลาเสด็จ ถึงเวลาท่านก็มาประเคนปัจจัยไทยธรรมให้ เป็นเกียรติยศแก่เราเสียอีก แต่บ่นว่ายุ่งฉิบหาย..! แล้วอย่างนี้ไม่ต้องคิดเลยนะครับว่าธรรมยุตหรือมหานิกายจะเจริญกว่ากัน

เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเจอ ผมถึงได้บอกว่า เมื่อเรายืนได้แล้ว ต้องเอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่นเขา โดยเฉพาะเอื้อเฟื้อต่อพระเณรของเราด้วยกัน ช่วยกันประคับประคองไป ไม่ใช่เวลาของการเด่นคนเดียว หล่อคนเดียวครับ โบราณเขาบอกว่า "หากสิ่งใดนั้นเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม" อะไรที่หนักเกินกำลังก็ขอคนอื่นเขาช่วยได้

พระพุทธศาสนาของเราตอนนี้หนักเกินกำลังครับ ถ้าต่างคนต่างแบก แบกไม่ไหวครับ แต่ถ้าช่วยกันแบกจะไหว คนละมุม คนละนิด คนละหน่อย แล้วเราก็จะไปได้เองครับ เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายต้องยอมเหนื่อย ยอมเสียสละ แต่ยอมเหนื่อยแล้วได้ฝากชื่อไว้ในพระพุทธศาสนาครับ ผมยืนยันตรงนี้เลยครับว่า ถึงคนไม่เห็น ผีก็เห็น เทวดาก็เห็น

ดังนั้น...สิ่งที่ท่านเรียนไปในวันนี้ อย่าเรียนเปล่าครับ สิ่งใดก็ตามที่ท่านคิดว่าเป็นประโยชน์ และสามารถนำไปใช้งานได้ เอาไปใช้เลยครับ แล้วถ้าหากว่าไม่เข้าใจ ไม่ชัดเจนตรงไหน สามารถสอบถามผมได้ หรือสามารถสอบถามท่านอาจารย์ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ได้

ผมเองก็ว่ามาเป็นระยะเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ๔๐ นาทีแล้ว ประมาณ ๒๐ นาทีสุดท้าย ท่านใดมีอะไรสงสัย หรืออยากฟังเรื่องอะไร สามารถกดไมค์ฯ ถามมาได้เลยนะครับ..เชิญครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2021 เมื่อ 11:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 10-08-2021, 10:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แล้วเราจะได้อะไรครับ ? ทำไมเราถึงสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ?

ตอบ : ตรงจุดนี้เราต้องเข้าใจ ๒ อย่างด้วยกันครับ ว่าการสร้างพระนั้น โบราณเขาถือว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้า จะมีเดชมีอำนาจมาก เกิดใหม่ชาติไหนก็เป็นแต่ผู้นำเขา กับเรื่องของการชำระหนี้สงฆ์นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

เรื่องของหนี้สงฆ์ก็คือ เรื่องที่เราอาจจะนำสิ่งหนึ่งประการใดออกไปจากวัด โดยที่ทั้งรู้และไม่รู้ และทำให้ตัวเราเป็นหนี้ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น เอาแค่สมัยผมเด็กครับ ไม่ต้องโบราณมาก เวลาพ่อแม่ไปวัด หาบข้าวปลาอาหาร เพื่อที่จะไปถวายหลวงปู่หลวงพ่อ ก็จะให้หยิบดินก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ตรงข้างประตูวัด

ผมก็สงสัยว่าทำไมถึงเวลาต้องเอาดินไปโยนไว้ในวัด ? ก็ปรากฏว่า คนโบราณใจละเอียดครับ เพราะเวลาเราเดิน อาจจะมีเศษดินเศษฝุ่นอะไรติดเท้าจากวัดไปบ้าน เดี๋ยวจะกลายเป็นเอาของสงฆ์เข้าบ้านแล้วเป็นหนี้ ก็เลยชิงคืนเอาไว้ก่อน

แล้วก็ยังมีประเพณีในการที่ถึงเวลาก็งมทรายมาถวายวัด ก่อพระเจดีย์ทราย สมัยผมเด็ก ๆ นี่เขาดำน้ำงมทรายกันนะครับ โดยเฉพาะหนุ่มสาวสนุกมากเลย ไอ้หนุ่ม ๆ ก็โชว์สาวครับ ถึงเวลาใครดำน้ำได้นานกว่า ใครโกยทรายมาได้เยอะกว่า ส่วนสาว ๆ บางคนก็แก่นแก้วมากครับ กูกระโจมอกได้ก็โดดลงไปช่วยเขาเลย หนุ่ม ๆ ก็เฮกันสิครับ...ชอบ เขาขนทรายเข้าวัดเพื่อชำระหนี้สงฆ์ครับ

เรื่องนี้พอผ่านมาถึงสมัยของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านนี้ ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติท่าน ท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถติดต่อกับผีกับเทวดาได้ ก็ไปเจอคนที่เผลอเอาของสงฆ์ไปครับ แต่ท่านทำความดีไว้มากแล้วจะลงนรก ท่านก็เลยถามพระ ถามพระยายมราชว่าจะแก้ไขอย่างไร ท่านบอกว่าต้องชำระหนี้สงฆ์

คราวนี้การชำระหนี้สงฆ์นั้น แบ่งเป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ถ้าหากว่ารู้ว่าสิ่งที่เราเอาไปนั้น ราคาเท่าไร ให้ชดใช้ในราคาปัจจุบัน อย่างเช่นว่า สมัยก่อนเอาช้อนไปหนึ่งคัน ราคา ๒ บาท แต่สมัยนี้ช้อนคันนี้ราคา ๒๐ บาท เราต้องจ่าย ๒๐ บาทในปัจจุบันนะครับ คือใช้ในราคาปัจจุบัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2021 เมื่อ 12:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 10-08-2021, 10:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการที่ ๒ ก็คือ ท่านที่ไม่รู้ว่าตัวเองเอาไปเท่าไร ท่านบอกว่า ให้แก้ไขด้วยการสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกคืนให้กับสงฆ์ไป ก็คืออาศัยบารมีพระพุทธเจ้าที่ว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต นั่นแหละครับ หรือว่าพุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ชดใช้หนี้ที่เราเคยทำเอาไว้ทั้งหมด

ท่านบอกว่าถ้าสร้างอย่างเดียว โดยไม่ได้ปิดทอง ใช้หนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าสร้างพระแล้วปิดทอง สามารถชดใช้ได้ทั้งหมู่คณะ ใครร่วมสร้าง ๑๐ คน ๒๐ คน ๕๐ คน ๑๐๐ คน มีสิทธิ์ในการชำระหนี้สงฆ์ของตนเองได้ทั้งหมด แล้วท่านถามพระยายมราชว่า "หนี้สงฆ์มีโทษหนักไหม ?" พระยายมราชบอกว่า "คนที่เป็นหนี้สงฆ์ ลงอเวจีอย่างเดียว" ครับ

ผมเองก็สงสัยว่ามีอะไรบ้างที่เป็นหนี้สงฆ์ ท่านบอกว่าข้าวของในวัด ดอกไม้ ผลไม้ หรือแม้กระทั่งข้าวปลาอาหารที่พระยังไม่ได้ฉัน คนก็โกยกลับบ้านแล้ว ถ้าเรารู้ราคาปัจจุบันว่าเท่าไร ต้องใช้คืนเท่านั้นได้ครับ แต่ถ้าไม่รู้ ก็ต้องสร้างพระเพื่อเป็นการชำระหนี้ สร้างไม่ได้ปิดทอง ชำระได้เจ้าภาพคนเดียว ถ้าสร้างแล้วปิดทอง ชำระได้ทั้งคณะครับ รายละเอียดมีดังที่ว่ามา


ถาม : ถ้าหากว่าวัดมีญาติโยมน้อย นอกจากหลักสะอาด สว่าง สงบแล้ว มีหลักการอื่น เพื่อช่วยดึงญาติโยมเข้าวัดไหม ?

ตอบ : กรรมฐานครับท่าน ดีที่สุดเลย แรก ๆ ก็อาจจะคนสองคน สอนเขาปฏิบัติไป ยุบหนอ..พองหนอ ไปเถอะครับ เดี๋ยวเขาบอกกันปากต่อปากไปก็จะมากขึ้นเอง แล้วก็จะมากจนกระทั่งไม่มีปัญญาที่จะดูแลโยมเสียด้วยซ้ำไป เอากรรมฐานนะครับ ในการดึงโยมเข้าวัด

(นิสิตกราบขอบพระคุณ) สาธุ..ขอให้เจริญในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกรูปทุกนามครับ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
พระพุทธศาสนากับสถานการณ์ปัจจุบัน
วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2021 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว