กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-01-2022, 23:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔

อาตมาเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้วันรู้คืน เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่สักที ปกติคนอื่นอายุ ๖๓ - ๖๔ ปี ก็เริ่มกระย่องกระแย่งแล้ว เป็นคนลืมวันลืมคืน ก็เลยนึกว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่ จึงทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ใช่การ "เมาวัย" เมาวัยคือรู้สึกว่าตัวเองหนุ่มสาวแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ยินดีกับการที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวแบบนี้ มองไม่เห็นความแก่ที่มาเยือนอยู่ทุกชั่วลมหายใจ อย่างนั้นเขาเรียกว่า เมาวัย

ถ้าหากว่า "เมาชีวิต" ก็ดำเนินชีวิตสำมะเลเทเมา กินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เรื่องดี ๆ อย่างการงานก็ไม่ค่อยจะทำ อันนี้เมาชีวิต ไม่คิดว่าตัวเองจะตาย เพราะฉะนั้น...ต้องเลิกเมาได้แล้ว ถ้าหากว่ายังเมาอยู่ จะเอาตัวไม่รอด

ส่วนอาตมานี่ "เมางาน" ตอนนี้เฉพาะตำแหน่งที่เป็นทางการก็ ๓๐ กว่าตำแหน่งเข้าไปแล้ว ประชุมอย่างเดียวก็ไม่เหลือเวลาอะไรแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นเขาคิดได้อย่างไร ว่าเราจะทำงานไหว ? ถึงได้เอาตำแหน่งมาให้เยอะขนาดนี้

ตำแหน่งล่าสุดคือพระวิปัสสนาจารย์ ของกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย ได้รับแต่งตั้งโดยไม่ต้องผ่านการอบรม โคตรเท่เลย..! พวกที่อบรมกัน ๓ เดือนนี่หน้ามืดเลย บ่นกันกระอุบกระอิบว่า "ทำไมหลวงพ่อเล็กไม่เห็นต้องอบรมเลย ?" จะไปอบรมอีท่าไหนวะ ? ให้อาตมาไปเป็นอาจารย์พวกคุณเองยังไหวเลย..!

ในเมื่อตำแหน่งมา หน้าที่การงานก็มาด้วย คราวนี้การที่เราจะทำหน้าที่การงานให้เต็มที่ ก็ต้องอาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คืออิทธิบาท ๔

ฉันทะ จะต้องมีความพอใจ และมีความยินดี ที่จะทำหน้าที่การงานนั้น ๆ
วิริยะ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ไปอย่างเต็มที่
จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เคลื่อนไม่คลายไปไหน ทำไม่เสร็จไม่เลิก แต่นิสัยนี้ไม่ค่อยดี เมื่อไม่เสร็จไม่เลิก บางทีดึกดื่นเที่ยงคืนก็ทำไปเรื่อย จนขาดการพักผ่อน
แล้วก็วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไรกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ ?

บางท่านก็แต่งเป็นโคลงเป็นกลอนเอาไว้ว่า
พอใจ พอใจ ใฝ่ความรู้
เพียรอยู่ เพียรอยู่ ไม่ท้อถอย
จดจ่อ จดจ่อ เฝ้ารอคอย
ทวนบ่อย ทวนบ่อย กันหลงลืม


อิทธิบาท แปลว่าพื้นฐานของความสำเร็จ
อิทธิ แปลว่าความสำเร็จก็ได้ แปลว่าฤทธิ์ก็ได้
แบบเดียวกับคำว่า กฤต
กฤต..เป็นภาษาสันสกฤต อิทธิ..เป็นภาษาบาลี
ผู้หญิงชื่อ กฤติยา แปลว่าผู้หญิงผู้ประสบความสำเร็จ ณัฐกฤต..นักปราชญ์ผู้ประสบความสำเร็จ ธนกฤต..สำเร็จด้วยเงิน..อันนี้ดีแต่ซื้อเขา..! บ้านเราแปลกตรงที่พื้นฐานจริง ๆ มาจากบาลี แต่ใช้สันสกฤตเสียเยอะมากเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-01-2022, 23:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มิติเป็นลูกสาวที่หลวงพ่อภูมิใจมาก เก็บมาจากดอย เป็นชาวมูเซอ ส่งเรียนจบปริญญาโทแล้ว บอกให้ต่อเอก มิติบอกว่าขอพักก่อน เป็นธรรมดาของคนแก่ ถ้าหากว่าเห็นลูก เห็นหลาน เห็นญาติ เห็นโยมที่ตนเองสนับสนุน มีความเจริญก้าวหน้าก็ดีใจ ตรงนี้ถึงได้บอกว่าพ่อแม่เป็นพรหมของบุตร เพราะว่ามีแต่ยินดีด้วย ไม่มีอิจฉาริษยา รัก เมตตา สงสาร อยากช่วยเหลือ ยินดีเมื่อเห็นเขาได้ดี

แต่ถ้าเข็นไม่ไหวก็ต้องอุเบกขา อุเบกขานี่เขาเอาไว้กันพวกเราบ้านะ..! รู้ไหม ? พวกเราหลายคนนิสัยไม่ดี ไม่มีอุเบกขา ช่วยคนอื่นไม่ได้ แล้วเครียดแทน จะไปเครียดทำไม ? เป็นตัวเราซะที่ไหน ? แต่ละคนมีอะไร ? กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย..ไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้

เพราะฉะนั้น..รู้จักปล่อยวางบ้าง ไม่ใช่ว่าเข็นเท่าไรก็เข็นไม่ไป แล้วเราก็ไปนั่งร้องไห้ร้องห่มแทน บางคนก็เครียด บางคนก็ซึมเศร้า จะเศร้าไปทำอะไร..? ไหวไม่ไหวก็เรื่องของเขาสิ..เราเต็มที่แล้วนี่

ถ้าหากว่าพร้อมด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เข็นเขาทุกวิถีทางแล้ว เข็นไม่ไหวก็อุเบกขาบ้าง เพียงแต่ว่าให้เป็นอุเบกขาในเมตตา อุเบกขาในกรุณา ก็คือปล่อยวางแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็พร้อมที่จะช่วยอีก ถ้าหากว่าทำทุกวิถีทางแล้วไม่รอดจริง ๆ ก็อุเบกขาในอุเบกขา ปล่อยวางกองไว้ตรงนั้นแหละ บ๊ายบาย..ถ้าหากว่าไม่ไปนิพพานเสียก่อน ก็เจอกันข้างหน้าโน้น กี่ชาติไม่รู้นะ..วันหนึ่งก็ต้องเจอกันจนได้

เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก ก็แค่เปลี่ยนใหม่ เมื่อรู้ว่าวิธีไหนถูกก็ทำใหม่ อย่าไปถือทิฐิแบบพระเจ้าปายาสิ พระกุมารกัสสปะเถระเทศน์โปรด พระเจ้าปายาสิบอกว่า "อย่างไรโยมก็เปลี่ยนไม่ได้หรอก" ถามว่า "ทำไม ?" พระเจ้าปายาสิตอบว่า "ทุกคนเขารู้ว่าโยมเป็นอย่างนี้" โอโห..น่าตายมากเลย..! ก็คือต่อให้เป็นทางถูกก็ไปไม่ได้หรอก เพราะมาทางผิดตลอดแล้วนี่..!

คนฉลาดอย่างนี้ก็มีนะ อย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนทาง พระกุมารกัสสปะบอกทางถูกให้เท่าไร พระเจ้าปายาสิก็ "สาธุ..พระคุณเจ้าอุปมาอุปไมยได้ดีเหลือเกิน แต่โยมคงทำไม่ได้หรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้แล้วว่าโยมเป็นอย่างนี้" แล้วจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อใคร ๆ ก็รู้ว่าลุงตู่เป็นอย่างนี้ แต่ลุงตู่ไม่รู้ตัวเลย..เอ๊ย หยุด...! ไม่พูดต่อ..เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรานะ..!

สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่น่ากลัวเท่ากับภัยธรรมชาติ ปี ๒๕๖๕ เป็นปีเสือ เสือดุมาก ค่อย ๆ ดูแล้วกันว่าพลาดแล้วเสือจะกินใครไปบ้าง ? สงสารแต่ต่างประเทศ ประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีการทำความดี ถึงเวลาแล้วไม่สามารถที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-01-2022, 23:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แปลกใจว่าคำว่า อี นี่หยาบคายตรงไหน ? สมัยอาตมาก็มีอีเก้ง อีแอ่น อีเก้งสมัยนี้เหลือแต่เก้งคำเดียว อีแอ่น กลายเป็นนางแอ่น เพราะบรรดาผู้ดีเขารู้สึกว่าระคายหู เขาก็เลยเปลี่ยนเป็นนางเก้ง เปลี่ยนเป็นนางแอ่น

ปรากฏว่านางเก้งไปไม่รอด ฟังแล้วทุเรศกว่าเดิม ก็เลยเหลือแต่คำว่าเก้งเฉย ๆ ส่วนคำว่านางแอ่นพอไปได้ นกอีแอ่นก็เลยกลายเป็นนกนางแอ่น ถ้าหากว่าทันรุ่นอาตมา ก็ต้องได้ยินเพลง "นกอีแอ่นเกาะบนยอดสะเดา นกอีเปล้าเกาะบนยอดมะรุม" สมัยนี้นกอีเปล้ากลายเป็นนกเขาเปล้าไปแล้ว

ทำไมต่างจังหวัดเขายังเรียก "อีพ่อ อีแม่" กันอยู่เลย แล้วทำไมไม่เปลี่ยน..? คือคนเราไม่ได้ดูความนิยมสิ่งที่เขาใช้มาแต่โบร่ำโบราณ ก็แบบเดียวกับหลวงพ่อคูณ คำหนึ่งก็กู สองคำก็มึง แต่ไม่เห็นหลวงพ่อคูณพูดหยาบเลย ฟังดูก็รู้ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่พูดด้วยความเมตตา

เพราะฉะนั้น..อยู่ที่กิริยาอาการของเราที่แสดง ประกอบไปเป็นภาษากายด้วย คำพูดเป็นภาษาเสียง กิริยาประกอบเป็นภาษากาย แต่ว่าก็ยังสามารถปรุงแต่งหลอกกันได้ ก็เหลืออันสุดท้ายคือภาษาใจ

ตอนนี้คนเราอย่างเก่งก็ได้ภาษากาย กับภาษาเสียง ภาษาใจไม่ค่อยได้กัน แต่หมายังได้อยู่ หมานี่ภาษากายเขาชัดเจนมาก ถ้ากระดิกหางมาก็มาดีนะ แต่ถ้าประเภททำขนพองแยกเขี้ยวก็ไปห่าง ๆ เลย..! โดยเฉพาะตอนที่หมายื่นหน้ามาดมแก้มเรา แล้วคิดว่าหมาหอมแก้ม อุ๊ย..น่ารัก ! ความจริงหมาถามว่ามีอะไรกินไหมเจ้านาย ? หมาดมมุมปาก ไม่ได้ดมแก้ม นั่นภาษาหมา เดี๋ยวเปิดคอร์สสอนภาษาหมาดีกว่า พวกเราจะได้คุยกับหมารู้เรื่อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 11-01-2022, 07:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔

เรื่องของจักรวาล พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนมากว่า มีจักรวาลขนาดเล็ก จักรวาลขนาดกลาง จักรวาลขนาดใหญ่ ขนาดเล็กมีหนึ่งพันโลกธาตุ ขนาดกลางมีหนึ่งหมื่นโลกธาตุ ขนาดใหญ่มีหนึ่งแสนโลกธาตุ

ในศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียนจบมาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชาย มีวิชาดาราศาสตร์อยู่ด้วย มีวิชาพิชัยสงคราม มีโหราศาสตร์ มีดาราศาสตร์ มีการปกครอง มีการรบ ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือมีวิชายิงธนู วิชายิงธนูนับเป็นวิชาหนึ่งต่างหากออกไปเลย แสดงว่าศาสตร์ของการยิงธนู เอาระดับไหนดี ? ระดับมู่หยงฉุยไหม..? ที่ใช้พลังจิตล็อคเป้า แล้วยิงธนูไล่ตามไป อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรให้ไปอ่านในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือด

แต่มือธนูที่เก่งที่สุดน่าจะเป็นโทรณาจารย์ในมหาภารตยุทธ เด็กทำผลไม้ตกลงก้นบ่อ ลงไปเอาไม่ได้เพราะลึก โทรณาจารย์ชะโงกไปดู หยิบธนูออกมา ยิงลูกแรกติดผลไม้ ลูกที่สองติดลูกแรก ลูกที่สามติดลูกที่สอง ทำแบบนี้จนลูกธนูยาวขึ้นมาถึงปากบ่อ แล้วก็ดึงผลไม้ขึ้นมา อะไรจะเก่งขนาดนั้น..! แต่โทรณาจารย์ก็ตายในการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร เขาถึงได้บอกว่าเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าเจอกำลังคนเป็นหมื่น ๆ บี้เข้าไปก็ตายจนได้ น่าจะยิงธนูจนแขนล้า..!

มหาภารตยุทธเป็นส่วนหนึ่งในคัมภีร์ภควัทคีตา คัมภีร์ภควัทคีตาเกิดจากฤๅษีวยาส เขียนตามคำบอกของท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งคนอื่นก็คงจะเขียนไม่ทัน เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ ฤๅษีต้องเข้าสมาบัติสูงสุด แล้วเขียนตามคำบอก เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าเวลาของพรหมกับเราต่างกันกัน เวลาของพรหมบอกเล่าแค่ไม่นาน แต่ของเราผ่านไปเป็นหลายปี ถ้าไม่ได้บรรดาท่านทั้งหลายที่ทำสมาธิสมาบัติถึงในระดับรักษาร่างกายตัวเองได้โดยไม่ต้องกินไม่ต้องนอน ก็ตายกันหมดพอดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 11-01-2022, 07:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มหาภารตยุทธเป็นเรื่องที่แทรกอยู่ในภควัทคีตา เล่าถึงตอนพระกฤษณะอวตารลงไปช่วยรบกับทุรโยธน์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็พี่น้องกันนั่นแหละ ตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณมีเมียมาก ถึงเวลาพี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งราชสมบัติกัน เขาถึงได้ใช้คำว่า ภารตะ หรือ ภราดา ที่แปลว่าพี่น้อง มหาภารตยุทธคือการรบใหญ่ระหว่างพี่น้อง

มหาภารตยุทธแทรกปรัชญาในการดำเนินชีวิตเอาไว้ แต่ว่าปรัชญาพวกนี้ถ้าหากว่าเราเข้าไม่ถึงจริง เอาไปใช้ผิดจะอันตรายมาก ออกไปในแนวฆ่าเพื่อระงับการฆ่า ฆ่าพี่น้องตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้แก่ชาวโลก ถ้าหากว่าคนชั่วอยู่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจำนวนมาก

แต่เรื่องนี้ยังไม่หนักเท่า กามนิต-วาสิฏฐี ที่วาชศรพสอนตอนกามนิตไปอยู่ในหมู่โจรว่า เรื่องการฆ่าก็ไม่มีอะไร แค่อาวุธมีคมแหวกผ่านอณูของร่างกายไปเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรเลย เอิ่ม..ฟังดูดีมากเลย..! ที่ตายก็เป็นเรื่องของเขา อาวุธแค่แหวกผ่านไป แล้วเขาดันตายเอง จะไปโทษใครได้..? แนวคิดหรือปรัชญาประเภทนี้ถ้าหากว่าใช้ผิดแย่แน่ แต่ถ้าหากว่าใช้ถูกแล้วมีประโยชน์มาก เพราะเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรายังไม่พอ ร่างกายของคนอื่นก็ไม่ใช่ของคนอื่นเขาอีกด้วย

แต่อย่างพวกวาชศรพหรือว่าบรรดาเทพทั้งหลายอย่างพระกฤษณะที่มาให้สติอรชุนก็เหมือนกัน อยู่ในลักษณะของการที่กำลังใจต่ำก็ตีความต่ำ ประมาณว่าฆ่าคนชั่วแล้วไม่บาปอะไรทำนองนั้น แต่อย่าลืมว่าทุกคน แม้แต่มดปลวก ก็รักชีวิตตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จะบอกว่าฆ่าคนชั่วไม่บาป..ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่จะบาปมาก บาปน้อยเท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนที่สุดว่า
ปาโณ สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่
ปาณะสัญญิตา เรารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่
วะธะกะจิตตัง มีใจคิดจะฆ่า
ปะโยโค พยายามในการฆ่า
มะระณัง สัตว์นั้นตายลง

ครบ ๕ ข้อนี้ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เรารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าสำเร็จ ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป อย่างเช่นว่าเดินไปแล้วเหยียบลูกเขียดตายคาเท้าเลย เราไม่รู้ว่าลูกเขียดอยู่ตรงนั้น สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่เราก็ไม่รู้ เจตนาฆ่าเราก็ไม่มี ความพยายามฆ่าก็ไม่มี ก็เหลืออยู่แค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็คือฆ่าแล้วเขาตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 11-01-2022, 07:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้นเป็นเรื่องที่พระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริง ถ้าเป็นพวกเราก็อาจจะมีการตัดสินใจผิดบ้างถูกบ้าง แล้วแต่กิเลสมากหรือน้อย แต่ของพระองค์ท่านรู้แน่ รู้รอบ รู้จริง เพราะว่ามีสมันตจักษุ คำว่า สมันตะ..คือรอบด้าน สมันตจักษุ..ก็คือดวงตาที่เห็นได้โดยรอบ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งโลกนี้ ทั้งโลกอื่น มีสัพพัญญุตญาณ..เครื่องมือในการรู้ทุกสิ่ง

มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่มี ท่านอื่น ๆ แม้จะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั่วไปก็ไม่มี มีได้แค่ทิพจักขุญาณ พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องสอนใครก็เลยไม่มีสัพพัญญุตญาณ พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่จะรู้รอบ รู้แจ้ง รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้า จึงมีแค่พระองค์เดียว

มีคนเคยตั้งคำถามว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาสร้างคุณประโยชน์แก่โลกอย่างมหาศาล แล้วทำไมไม่เกิดมาหลาย ๆ พระองค์พร้อมกัน ? โคตรจะโลภมากเลย..! ทำอย่างกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์นั้นง่ายอย่างกับไปซื้อผักในตลาด ในความคิดของเขาก็คงประเภทว่ายากไม่เกินกว่าไปซื้อคะน้ามาผัดปลาเค็ม..!

สร้างบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป และเป็นช่วงปรมัตถบารมีด้วย หาได้ง่าย ๆ หรือ..? และอีกอย่างหนึ่ง ความมหัศจรรย์คือมีพระองค์เดียวนั่นแหละ มีสองพระองค์ขึ้นไปเมื่อไร ความอัศจรรย์ก็ลดลง แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ เดี๋ยวพวกลูกศิษย์กิเลสท่วมหัวก็จะบอกว่าพระพุทธเจ้าของกูเก่งกว่า แบบนั้นก็ได้ตีกันตาย..!

เพราะฉะนั้น..เพื่อความรอบคอบด้วยประการทั้งปวง พระองค์ท่านก็เลยมาเกิดทีละองค์เดียว มาตามวาระ มาตามเวรตามกรรมของพวกเรา ที่ว่ามาตามเวรตามกรรมของพวกเราก็คือ อย่างน้อยต้องเคยสร้างบารมีร่วมกันกับพระองค์ท่านมา ถึงได้เกิดมาทันยุคของท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 11-01-2022, 07:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างของพวกเรานี่ถือว่าไม่เสียทีที่เกิดมา ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ท่านปรินิพพานแล้ว ให้พระธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาแทนพระองค์ท่าน ไม่ได้ให้ตัวคนนะ..ให้คำสอน ถามว่าทำไม ? พระองค์ท่านบอกว่า "ตราบใดที่คำสอนนี้ยังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ ตราบนั้นสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็ยังมีอยู่" คำว่าสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และก็พระอรหันต์

ในเมื่อเราเกิดทันในยุคที่พระธรรมวินัยที่ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ก็สำคัญที่ตรงความพากเพียรของเรา ว่าตั้งใจทำจริงกันแค่ไหน ? ไม่ใช่ถึงเวลาก็ โน่น..โฆษกประกาศปาว ๆ ไปครึ่งค่อนวันกว่าจะค่อย ๆ ย่องมา เราต้องตะกายมาเองเลย ไปนั่งรอคนอื่น ถ้าลักษณะอย่างนั้น วัดได้ชัดเจนว่าบารมีของเรามากพอ

เปรียบเทียบง่าย ๆ ถ้าสมมุติว่าอาสนะคือที่นั่งในการปฏิบัติธรรมตรงนี้มีไม่พอ คนที่มาก่อนคือคนที่ได้นั่ง คนที่มาทีหลังมัวแต่ช้าอยู่ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะว่าไม่ได้เอาของมาวางจองไว้ได้นี่ เอาน้ำขวดหนึ่งวางไว้ เอายาดมแท่งหนึ่งวางไว้ เปล่า..เรื่องการบรรลุมรรคผล ใครเขาเอายาดมไปวางจองได้ล่ะ ? ก็ต้องอยู่ที่เราทำ สิ่งที่เราแสดงออกจะเห็นชัด ๆ ว่าสมควรแก่ธรรมหรือไม่ ?

คำว่า สมควรแก่ธรรม ในที่นี้ก็คือ สมควรที่จะเป็นผู้ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรมได้หรือไม่ ? ไม่ใช่ทำอะไรก็ช้าตลอด ประมาณว่ามีเวลาเยอะ คนมีเวลาเยอะแปลว่าเกิดได้อีกนาน เกิดกี่ชาติก็ทุกข์เท่านั้นชาติ เชิญลำบากไปเถิด ทุกวันนี้อาตมาเองจะประสาทกินตาย ร่างกายอาละวาดอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ไปฉีดไฟเซอร์เข็มสามมานี่ ป่วยทุกวัน ไข้ขึ้นทุกวัน เข้า "หมอพร้อม" ไปเมื่อไร เขาบอกอย่างเดียวว่าให้ติดต่อโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ถ้าบอกได้แค่นี้ก็ไม่ต้องบอกหรอก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 11-01-2022, 07:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...พวกเราต้องเข้าใจว่าชีวิตเป็นของน้อย คำว่าเป็นของน้อยนี่ต้องดูใน อารกสูตร (อรกานุสาสนีสูตร) สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระสุตตันตปิฎก ศาสดาชื่ออรกะ สอนลูกศิษย์ว่า

ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ต่อมน้ำก็คือฟองอากาศ..ผุดขึ้นมาแล้วก็แตกโป๊ะไป
เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ..เกิดขึ้นวูบเดียวก็หายไปแล้ว
เหมือนลำธารที่ไหลลงจากภูเขา น้ำไหลจากที่สูง..พรวดเดียวก็ผ่านหน้าเราไปแล้ว
เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ..เอาเนื้อไปเผาไฟ ก็หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว
เหมือนก้อนเขฬะที่ปลายลิ้น..เหมือนกับน้ำลายจะโดนถ่มทิ้งเมื่อไรก็ไม่รู้
เหมือนโคที่เขานำไปฆ่า..ตายแน่ ๆ ไม่รอดหรอก


นั่นศาสดานอกศาสนานะ สอนลูกศิษย์ได้ชัดเจนขนาดนั้น ดังนั้น...เมื่อชีวิตเป็นของน้อย เราต้องพากเพียรพยายามสร้างความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไม่ถึงที่สุดก็คือยังเข้าพระนิพพานไม่ได้ ก็ให้ทางที่เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้วชาตินี้ลำบาก ชาติหน้าลำบาก ชาติโน้นลำบาก ก็ลำบากกันไม่รู้จบ

อันดับแรกเลยให้ตั้งเป้าไว้ว่าเราต้องไปให้ได้ในชาตินี้ แต่คราวนี้ตั้งเป้าไว้แล้วต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้ถึง ไม่ใช่ "ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง" วัดตัวเองดูว่าใน ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนารักษาใจได้กี่ชั่วโมง มีใครทำได้สัก ๕ ชั่วโมงไหม ? หรือ ๕ นาทีถึงพอลุ้น ?

สมมุติว่าเราทำได้ ๕ ชั่วโมง แล้วอีก ๑๙ ชั่วโมงล่ะ ? การปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำไป ๕ ชั่วโมง อีก ๑๙ ชั่วโมงไหลตามน้ำไป ขาดทุนไปกี่ชั่วโมง ? ขาดทุนไป ๑๔ ชั่วโมง เดี๋ยวรุ่งขึ้นว่ายมาอีก ๕ ชั่วโมง ปล่อยลอยตามน้ำไปอีก ๑๙ ชั่วโมง สองวันขาดทุนไป ๒๘ ชั่วโมง รวมดูก็ขาดเกินหนึ่งวันไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 11-01-2022, 07:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีข้อบกพร่องตรงที่ว่า ปฏิบัติธรรมได้แล้วไม่รู้จักรักษาอารมณ์ไว้ ลุกเมื่อไรก็ทิ้งหมดเลย ทำอย่างไรที่จะให้เราประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ตั้งสติประคับประคองเอาไว้ ใหม่ ๆ ก็ได้สัก ๒ นาที ๓ นาทีก็หลุดไปแล้ว หันไปคุยกับเพื่อนทีเดียวหล่นหายเกลี้ยงไปแล้ว..! แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ เดี๋ยวก็ได้นานขึ้น ได้เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง

จิตใจของเรายิ่งสะอาดปราศจากกิเลสมากเท่าไร ความสุขจะมีมากเท่านั้น เหตุที่เราปล่อยแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ด้วยสาเหตุหลายประการ

ประการที่หนึ่ง ก็คือยังไม่เห็นคุณค่าในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ในเมื่อยังไม่เห็นว่ามีประโยชน์อย่างไรจริง ๆ จึงถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง

ประการที่สอง ก็คือไม่นึกว่าตัวเองจะต้องตาย ถ้าคิดอยู่เสมอว่าเราจะตายในวันนี้ เราจะไม่ประมาท เพราะว่าเวลาไม่มีแล้ว ต้องเร่งทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ประการที่สาม เป็นความโง่เฉพาะตัว พลาดกี่ครั้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน ลุกขึ้นมาอารมณ์หลุดหาย เออ..หายก็หายละวะ ถ้าลักษณะอย่างนี้ ทำแล้วจะก้าวหน้ายาก เพราะฉะนั้น...อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเราต้องพยายามกำจัดให้หมด ถึงเวลาทำแล้วจะได้ก้าวหน้า เห็นหน้าเห็นหลังเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่กี่ปี กี่ปี ก็เหมือนเดิม บางทีก็แย่กว่าเดิมอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 12-01-2022, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕

ถ้าเจองานแบบอาตมาทุกวันคิดว่าพวกเราจะรับไหวไหม ? ถ้าสมาธิทรงตัวก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว เราจะสังเกตว่าบางงานเราทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดลงไปกับงาน พอเลิกงานก็หงายผลึ่งไปเลย บางคนอยากนอนไปสักสามวันสามคืน แบบนั้นส่ออาการว่ากำลังสมาธิไม่พอใช้งาน แต่ถ้ากำลังสมาธิพอใช้งาน กี่งานก็มาเถอะ..บริหารจัดการกันไป

ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ (นายนภเดช เกลียวศิริกุล) เพิ่งจะอายุ ๓๙ ปีเอง ผมหงอกจะหมดหัวแล้ว..เครียดกับงาน เพราะฉะนั้น...เรื่องทุจริตคิดมิชอบอะไรทั้งปวง ท่านนายอำเภอบอกว่า "ไม่ต้องมาคุยกับผมเลย อายุราชการของผมยังเหลืออีกตั้ง ๒๑ ปี ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ตำแหน่งปลัดกระทรวงก็ต้องได้แน่นอน" ลองคิดดูว่าเขามีนายอำเภอต่ำ นายอำเภอสูงใช่ไหม ? ตอนนี้อายุ ๓๙ เป็นนายอำเภอสูง ก้าวต่อไปก็เป็นปลัดจังหวัดหรือผู้ว่าฯ เลย อีกก้าวหนึ่งก็เข้ากระทรวงแล้ว ไม่เป็นผู้ตรวจก็เป็นปลัดกระทรวง

ท่านเป็นปลัดกระทรวงเมื่อไร ประเทศชาติคงเจริญอีกมาก เรื่องทุจริตนี่ท่านไม่เอาด้วยเลย มาถึงประชุมหน่วยราชการในสังกัดทั้งหมด ประกาศชัดเลยว่า "เรื่องทุจริตไม่ต้องคุยกับผม ผมไม่เอาอายุราชการของผมที่เหลือตั้งขนาดนั้นมาเสี่ยงกับพวกคุณหรอก ผมเตรียมการเอาไว้ว่า อันดับแรกก็คือ..ไม่ได้รับความร่วมมือ อันดับที่สอง..โดนประท้วง อันดับที่สาม..โดนยิงกบาล..!" ท่านเตรียมรับสถานการณ์ไว้ทุกรูปแบบแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-01-2022 เมื่อ 17:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 12-01-2022, 10:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทองผาภูมิของเราจะว่าไม่มีเรื่องทุจริตก็ไม่ใช่ เรื่องทุจริตสมัยก่อนเขามีคำว่า "ม้า ไม้ มอญ" ม้า..ก็คือขายยาบ้า ไม้..ก็คือทำไม้เถื่อน มอญ..ก็คือวิ่งต่างด้าว ขนต่างด้าวเข้าประเทศได้คนหนึ่ง ๔-๕ พันบาท รถคันหนึ่งยัดมาเกือบ ๒๐ คน ยุคนี้นี่ยาบ้าทะลักเข้ามา เพราะว่าเข้าทางด้านแม่สายไม่ได้ เข้าทางแม่สอดไม่ได้ เลยมาเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ เคยจับได้ที ๒-๓ แสนเม็ดเหมือนกัน

แม้กระทั่งแรก ๆ ที่อาตมภาพสร้างวัดหลาย ๆ วัดพร้อมกัน เขายังว่า "พระอาจารย์เล็กขายยาบ้า ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างวัดเยอะแยะขนาดนั้น" ก็ดีนะ..ขายยาบ้าแล้วยังมาสร้างวัดอีก..! เขาสอบสวนทั้งทางลับทางแจ้ง เสร็จสรรพเรียบร้อย ประกาศเลยว่า หลวงพ่อวัดท่าขนุนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งปวง

แต่มีลูกศิษย์วัดคนหนึ่งไปเกี่ยวข้องกับพวกนี้อยู่ ท้ายที่สุดก็ต้องสึกไป เพราะอาตมาบอกกับเขาไปชัด ๆ ว่าตำรวจกำลังหมายตาคุณอยู่ ถ้าจะอยู่ต่อไปก็เลิกความประพฤตินี้เสีย ไปคบหาสมาคมกับพวกค้ายาไม่ใช่เรื่องดี ถ้าหากว่าไม่อยู่ต่อก็สึกหาลาเพศไป..เขาก็สึก

เรื่องของวัด ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสเข้มงวดหน่อย ทุจริตต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะละอายชั่วกลัวบาปกัน อย่างเพื่อนฝูงบางราย อาตมาเห็นแล้วก็ถอนใจ เขาเปลี่ยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ทุกครั้งที่ออก โทรศัพท์เครื่องนี้อาตมายืมน้องเล็กมาใช้ เพราะว่าระยะหลังนี้งานมาในไลน์มาก ถึงเวลาก็ต้องส่งคืน เพราะว่าโทรศัพท์ของตัวเองราคา ๖๙๐ บาท เคยโดนเจ้าคุณศรีวิสุทธิวงศ์แซวว่า "เรามาเซลฟี่กันเถอะอาจารย์" แล้วจะไปเซลฟี่อะไรวะ ? โทรศัพท์กูราคา ๖๙๐ บาท..!

เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความเจริญต้องมา โลกต้องเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องปกติ แต่ทำอย่างไรที่เราจะให้เขาหนุนเสริมในเรื่องความดีของเรา ไม่ใช่ให้เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต คนเราถ้าจะอวดกัน ให้อวดกันที่คุณความดี ไม่ใช่อวดกันที่ฐานะ เรื่องของฐานะไม่ยั่งยืนหรอก ขนาดอนาถปิณฑิกเศรษฐี รวยขนาดนั้นยังกลายป็นคนจนไปพักใหญ่ ถ้าไม่ใช่บุญเก่ามาหนุนเสริม ก็คงจนยาวไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 13-01-2022, 16:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕

ไปนอนที่ไหนกันหมด ? มาได้แล้วจ้า..! เรื่องอื่นเราอาจจะมีข้ออ้างให้ขี้เกียจได้ แต่เรื่องการปฏิบัติธรรมห้ามมีข้ออ้างอย่างเด็ดขาด เพราะว่าทันทีที่กิเลสเคยอ้างได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็จะเอาแบบนั้นอีก ดังนั้นมีแต่ต้องขยัน และขยันยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถ้าหากว่าเราปล่อยให้ขี้เกียจได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปกิเลสก็จะอ้างว่า คราวที่แล้วยังได้เลย แล้วหลังจากนั้นอาการก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ คือจะโดนชวนให้ห่างความดีไปเรื่อย การที่เราห่างจากความดีเมื่อไร หนทางที่เราจะก้าวสู่พระนิพพานก็ห่างไกลออกไปเท่านั้น


ฉะนั้นในเรื่องของการจะไปพระนิพพาน ต้องเด็ดขาด จริงจัง อย่าทำเป็นเล่น คนที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานต้องเห็นว่าเวลาเรามีน้อย ไม่เหลือพอไว้ให้เล่น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างถ้าหากว่าเราทำจริงจัง ผลที่เกิดขึ้นถึงจะมีได้

เมื่อกลางวันออกไปสวดมนต์ฉันเพลข้างนอก มีโยมท่านหนึ่งปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ถามว่า "บางทีนั่งเพลิน ๆ แล้วมีเสียงอะไรดังขึ้น ทำไมตกใจ..หัวใจเต้นแรงมาก ?" ก็บอกไปว่า "คุณขาดสติ ในเมื่อขาดสติ ไม่ได้ควบคุมกำลังใจให้อยู่กับตัว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น กำลังใจต้องวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้เรื่องราวนั้น ๆ ถ้าวิ่งกลับมาเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ" แล้วเขายังอุตส่าห์ถามต่ออีกว่า "ไม่ดีใช่ไหมคะ ?" ถ้าดีก็คงไม่ตกใจหรอก..! นั่นแหละคือคนที่ปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ยังรักษากำลังใจตัวเองไม่ได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 13-01-2022, 16:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายคนก็คงได้ยินอาตมภาพเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ต่อให้เผลอ ๆ มีคนมายิงปืนข้างหูก็ไม่สะดุ้ง เพราะว่าหลังจากที่รักษากำลังใจเป็น กำลังใจก็อยู่กับตัวเอง เกิดอะไรขึ้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งกลับมา ก็เลยไม่มีอาการตกใจ บางทีกำลังพูดกำลังคุยอยู่ เกิดอะไรตึงตังโครมครามขึ้นมา คนอื่นตกใจหมด ส่วนอาตมภาพก็ยังคงว่าไปเรื่อยเปื่อย คนก็น่าจะเห็นว่าต่างจากคนอื่นเขามาก

เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความเพียรพยายาม ความเพียร..เขาเรียกว่าวิริยบารมี ความจริงจังสม่ำเสมอ ตรงนี้..เขาเรียกว่าสัจจบารมี อยู่ที่ความอดทนอดกลั้น ไม่สำเร็จไม่เลิก ส่วนนี้..เขาเรียกว่าขันติบารมี

พวกเรารู้จักบารมีทุกตัว เแต่ไม่มีสักทีนะสิ...! ชื่อก็บอกแล้วว่า "บารมี" แล้วทำไมมาถึงเราแล้วกลายเป็น "ไม่มี" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ยังขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง

คนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์แล้วจะมีชีวิตอยู่รอดมาถึงปัจจุบันก็แสนยาก มีชีวิตรอดมาจนเติบโตรู้ความได้ จะได้พบพระธรรมก็แสนยาก พบพระธรรมแล้วจะน้อมนำมาปฏิบัติก็แสนยาก ....กี่แสนแล้ว ? แสนยาก แสนยาก ล่อไปก็หลายแสนแล้ว

ดังนั้น...การที่เราได้พบพระธรรม และมีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องของการสร้างบารมีไว้ดีมาแต่ปางก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2022 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 13-01-2022, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล ที่ชาวสุพรรณเรียก หลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร หรือคนที่เป็นเพื่อนเป็นฝูงกันก็เรียกหลวงพ่อสะอิ้ง เจ้าคุณสะอิ้ง ท่านบอกว่า เรื่องของการสร้างบารมีเป็นเรื่องของคนมีบุญเท่านั้น ถ้าบุญไม่พอ ไม่มีโอกาสมานั่งสร้างบารมีหรอก เพราะว่าเราก็คงไหลตามกระแสกิเลสไปไหนก็ไม่รู้ ?

หรือถ้าหากว่ามีผู้ควบคุมอย่างอาตมาก็ว่าไปอย่าง อาตมานี่ต้องบอกว่าดวงซวย โดนคุมประพฤติ ทำอะไรนอกทุ่งนอกท่าไม่ได้เลย ตั้งแต่เด็กมาแล้ว พยายามจะชั่วทุกอย่าง แต่ชั่วไม่สำเร็จ ว่าจะกินเหล้าก็กินไม่ได้ แค่ได้กลิ่นก็เมาแล้ว รุ่นพี่เขาบอกว่า "เฮ้ย..เบียร์ก็ได้ กินไปโหลหนึ่งยังไม่เมาเลย..!"

ปรากฏว่าแค่ได้กลิ่นก็หงายท้องตึง..! เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ ที่บ้านเวลาถักอวนถักแห จะไปถากเปลือกไม้มาต้ม เพื่อที่จะย้อมอวนย้อมแหให้คงทน เปลือกไม้ต้มพวกนั้นถ้าทิ้งไว้สัก ๗-๘ วัน ก็เน่าฟองฟอด กลิ่นเหม็นบูดคลุ้งไปทั้งบ้าน กลิ่นเบียร์นั่นกลิ่นเดียวกันเลย จึงสงสัยว่า "แล้วกินของเน่า ๆ แบบนี้กันลงไปได้อย่างไร..?" ใครที่กินได้นี่เก่งมากเลยนะ

ขโมยบุหรี่พ่อไปแอบสูบ ได้ไปครึ่งตัวเมาน้ำลายยืด บ้วนไม่ขาดเลย น้ำลายเหนียวไปทั้งปาก ...(หัวเราะ)... เข็ดไปจนวันตาย..!

ขโมยหมากแม่ไปหัดกิน เคี้ยวไปได้ไม่นาน เขาบอกว่า "หมากยัน" นี่ไม่ได้แค่ยันหรอก โดนถีบหงายท้องเลย..! หน้าร้อนเห่อ...ปากบวม เหงื่อแตกพลั่ก ...(หัวเราะ)... ทำอะไรไม่ได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2022 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 13-01-2022, 16:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนไปเป็นทหาร เจ้านายเขาพาไปเที่ยวซ่อง เพราะว่าทหารอยู่ชายแดนนาน ๆ ถ้าไม่มีแบบนี้ให้ เดี๋ยวได้คลั่งตายกัน แต่ถ้าหากไปตามเวลาปกติ ซ่องนั้นเจ๊งแน่ นักท่องเที่ยวอื่นเห็นทหารไปเป็นคันรถ ก็คงเผ่นกันหมด ก็เลยต้องไปนอกเวลา ประมาณบ่ายโมง บ่ายสองโมง ไปถึงบรรดาผู้คุม ที่เรียกกันอย่างไพเราะ ๆ ว่า "แมงดา" ก็ไปไล่ทุบประตูเรียกผู้หญิงออกมาทีละคน ๆ

อาตมาเห็นแล้วก็เหวอเลย เราลองนึกถึงผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด ๆ อยู่ใต้แสงใต้สี แล้วเวลาปกติดูได้หรือ ? ตอนบ่ายโมง บ่ายสองโมง ก็เพิ่งจะนอนกันเท่านั้นเอง นุ่งกระโจมอกหัวเป็นกระเซิงออกมา หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง ศพชัด ๆ เลย...! เฮ้อ..เห็นแล้วก็ได้แต่นั่งเฉา สรุปว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง..!

มารู้ทีหลังว่าโดนคุมประพฤติ หลังจากที่ฝึกทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธิอะไรแล้ว ก็ไปดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ไปต่อว่าผู้คุมประพฤติ เขาเรียกท่านว่าท่านย่า บอกท่านว่า "ผลบุญที่ผมทำมานั้น ชาตินี้ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมกับบุญที่ทำมาเลย แล้วท่านย่าให้ผมแค่นี้..?"

ท่านบอกว่า "ไอ้หน้าอย่างมึง ถ้ารวยก็เลว..!" โห..พูดเพราะมากเลย แล้วท่านก็บอกว่า "ลองนึกดูสิลูก ในชีวิตนี้ ถ้าอยากได้อะไรจริง ๆ แล้วไม่ได้ มีไหม ?" กระผม/อาตมภาพพยายามนึกทวนไป..ไม่มี อะไรถ้าต้องการจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วจะได้ ก็เลยบอก "ไม่มีครับย่า ถ้าผมอยากได้จริง ๆ จะช้าจะเร็วก็ต้องได้"

ท่านเลยบอกว่า "เออ แล้วยังไม่พอใช่ไหม..? กำลังใจของพวกเอ็งนั้นล้นเกิน ถ้าไปแล้ว มักจะไปข้างเดียว ถ้าเป๋ออกนอกทางเมื่อไรก็ไปกระฉูด ดึงไม่กลับหรอก เพราะฉะนั้น...เอาไปแค่นี้แหละ..!" ตะเกียกตะกายแทบตาย ตอนที่ไม่อยากได้แล้ว..แหม..ไหลมาเทมา แต่ตอนที่อยากได้..ไม่ให้ นี่แปลว่าอะไร..? แล้วยังโดนด่าซ้ำอีกด้วย..!

ฉะนั้น...ถ้าหากว่าพวกเราไม่มีคนคอยคุมประพฤติแบบอาตมาละก็ ไปแล้วกลับยากนะ เหมือนอย่างกับพายเรือ แทนที่จะหันเข้าหาฝั่ง ดันหันหัวออกทะเล ก็ไปเรื่อยเปื่อยหาฝั่งไม่เจอเท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-01-2022 เมื่อ 18:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 14-01-2022, 18:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เหมือนกับการกินข้าว ต่อให้ไม่ครบ ๓ มื้อ อย่างน้อยวันหนึ่งต้องมีมื้อหนึ่งลงไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราเองก็หิว แต่คราวนี้เราหิวแล้วเราไม่รู้ตัว บางคนนอนเป็นวันเป็นคืนตื่นขึ้นมา โอ๊ย..เพลีย อยากจะคลาน..ไม่หายเหนื่อย เพราะว่าพักแต่ร่างกาย ใจไม่ได้พัก ร่างกายของเราต้องเคลื่อนไหวถึงจะแข็งแรง แต่จิตใจต้องนิ่งสงบถึงจะแข็งแรง เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกัน

พวกเราอุตส่าห์มาถึงตรงนี้ ถอยหลังก็ไม่ทันแล้ว ให้ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นหน้าไปเถอะ เอานิสัยอาตมาไปใช้ก็ได้ "ขึ้นหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ตาย อย่างนั้นขึ้นหน้าอย่างเดียวเลย ขึ้นหน้าไปตายคนเขายังชมว่ากล้า ถอยหลังมาตายเขาจะหาว่าขี้ขลาด"

วัดกันให้รู้ ๆ ไปเลยว่า กิเลสกับเราใครจะแน่กว่ากัน ? ครั้งนี้แพ้ไม่เป็นไร..สู้ใหม่ ครั้งหน้าแพ้อีกไม่เป็นไร..สู้อีก ตื๊อให้กิเลสระอาใจไปเลย เพราะว่ากิเลสเป็นแชมป์เปี้ยนโลก ยึดครองโลกมานานจนนับไม่ได้ เราสู้กับแชมป์โลกนี่ ถ้าหากว่าแพ้..ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าชนะ..เราเก่ง ต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเองบ้าง

การที่เราจะชนะได้ต้องจริงจัง สม่ำเสมอ หมั่นทบทวนอยู่บ่อย ๆ ทำอะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกใกล้ไกลเท่าไรจะถึงเป้าหมายนั้น ? ตอนนี้สิ่งที่เราทำยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 11:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 14-01-2022, 19:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาสงสารเพื่อนพระหลายราย แรก ๆ ก็ตั้งใจทำเพื่อพระพุทธศาสนา ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นทำเพื่อตัวเอง กุฏิที่พักอะไรก็ต้องหรูหราสุด ๆ รถยนต์ก็ต้องรุ่นใหม่ป้ายแดงอยู่เรื่อย แม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ยังอุตส่าห์ไปซื้อแบรนด์เนม นาฬิกาไม่ได้ใช้อะไรมากมายหรอก ถึงเวลาก็ใส่กระเป๋าอังสะไว้ ถ้าดูเวลาก็ต้องล้วงขึ้นมา แล้วยังไปซื้อเครื่องเป็นหมื่นเป็นแสนหรือ ? มิกกี้เมาส์ ๒๕๐ บาท ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่เขาจะเอาอย่างนั้น

เรื่องพวกนี้โทษเขาไม่ได้ เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจ เนื่องจากกิเลสสั่ง อาตมานึกถึงเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง สมัยเป็นฆราวาสไปเที่ยวด้วยกัน วันนั้นเขาเดินผึ่งเลย มองตั้งแต่หัวถึงตีนก็ไม่มีอะไรแปลกนี่หว่า ? ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นวะ ?" เขาบอกว่า "อ๋อ..เปลี่ยนกางเกงในใหม่" รู้สึกยืดมากเลยได้ใส่ของใหม่..! ทั้ง ๆ ที่คนอื่นไม่เห็นของเขาหรอก นั่นแหละ..กิเลสมันสั่ง..! เข้าใจหรือยังว่ากิเลสหลอกเราได้ขนาดไหน แล้วเราก็โดนหลอกอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่คิดที่จะสู้เอาชนะสักที ก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว

เราก็เหมือนกับไก่ที่เขาขังไว้ในกรง เตรียมเอาไปขายตอนตรุษจีน แทนที่จะรีบ ๆ แหกกรงหนี..เปล่า นอนสบายใจเฉิบ..! เขาล้วงขึ้นมาจากกรงเชือดเมื่อไรถึงจะซาบซึ้ง แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งพระเณรยิ่งสำคัญ เขาบอกว่าภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นจริงหรือเปล่า ? ถ้าเห็นจริงต้องรีบปฏิบัติเพื่อหนีไปให้พ้น..!

แต่ในส่วนนี้จะไปหวังให้พระของเราเป็นพระอริยเจ้าเลยก็ยาก ก็ได้แต่ตั้งความหวังต่ำ ๆ เอาไว้ ไม่เอามากมาย เอาแค่ว่าบวชมาแล้วให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มมือก็พอ การที่จะไหว้ได้เต็มมือ อย่างน้อย ๆ ก็จะต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ศีลต้องเต็มที่ สมาธิไม่ต้องมากก็ได้ ปัญญาก็แค่รู้รอบในกองสังขาร..อ้าว..นั่นก็ทั้งหมดแล้ว ...(หัวเราะ)... ปัญญาแค่ให้รู้ว่าตัวเองต้องตาย ตายแล้วก็กอบโกยอะไรไปไม่ได้หรอก เขาไม่ได้ใส่โลงไปให้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรที่พอจะทำประโยชน์ให้กับโลกได้ก็ทำไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2022 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 14-01-2022, 19:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ญาติโยมใส่บาตรข้าวปลาอาหารมาท่วมวัดท่วมวา ไม่ได้ทิ้งนะ เอาไปแบ่งปันให้ท่านทั้งหลายที่เดือดร้อนจากเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มาเป็นปี ๆ แล้ว ของเรากินเหลือ ก็เก็บที่ยังไม่ได้กินก็ให้เขาไป ส่วนเศษที่เหลือก็เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไป พยายามใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด แม้กระทั่งขยะที่ญาติโยมทั้งหลายทิ้ง ถึงเวลาแม่ชีเขาก็เก็บขาย ได้ไม่น้อยนะ พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟเลย ซึ่งก็แปลว่าพวกเรานี่ก่อขยะกันน่าดู

เราลองนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านตรัสว่า "ถ้าตราบใดที่ประชาชนยังทุกข์ยากลำบากอยู่ ตราบนั้นประเทศชาติเจริญไม่ได้" จะให้ประเทศชาติเจริญได้ ต้องทำให้ประชาชนทั่วไป จะใช้คำพูดเท่ ๆ ก็คือ "ระดับรากหญ้า" ทำให้ประชาชนระดับรากหญ้า พออยู่พอกิน ไม่มีความทุกข์ยากลำบากมากนัก

แล้วพระองค์ท่านก็ทำต่อเนื่องกันมา ๗๐ ปี ไม่ใช่อายุ ๗๐ ปีนะ พระองค์ท่านทำต่อเนื่องกันมาเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนตลอด ๗๐ ปี แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ไม่ทิ้ง ยังคงติดตามสั่งงานสั่งการอยู่เสมอ

กำลังใจของเราไม่ต้องมาก จะไปเอาอะไรมากมายถึง ๗๐ ปี เอาแค่ ๗ ปีก็พอ ตั้งเป้าไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติธรรม ถ้าทำดีทำถูก อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี เราก็ตีว่าเราเป็นอย่างช้าก็แล้วกัน

หลายคนปฏิบัติมาหลายสิบปี เอาดีไม่ได้ อย่างที่เขาบอกว่า "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้" ดังนั้น...เราต้องสำนึกได้แล้วว่าที่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ นับว่ามีกุศลมหาศาล เพราะเรามีโอกาสแก้ตัว ขณะที่คนส่วนมากที่ตายไปแล้วไม่มี แต่ถ้าเราตายแล้วตายฟรีแบบพวกเขา ก็ถือว่าเสียชาติเกิด เพราะฉะนั้นเอาหลักนักปราชญ์ที่เขาว่าไว้ "ถ้าอยู่ก็ให้เขาเกรงใจ ถ้าไปก็ให้เขาคิดถึง" ก็คือทำอะไรก็ต้องเต็มที่ทุกอย่าง บอกว่า "เกิดมาทั้งทีฝากดีเอาไว้"

อย่างของอาตมาตอนนี้ไม่มีอะไรให้ห่วง สารพัดอย่างทำไปเยอะจนบอกไม่ถูกแล้ว มองไปที่พระพุทธรูปทองคำ ถ้าถามว่าใครสร้าง ? คนที่เหลือก็บอกว่า "หลวงพ่อเล็กสร้าง" ตายไปอีกร้อยชาติ คนก็ยังบอกว่า "หลวงพ่อเล็กสร้าง" จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 12:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 15-01-2022, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่คือแค่ส่วนที่เป็นทางโลก ๆ เท่านั้น แล้วทำอย่างไรในเรื่องของทางธรรม ? ในสมัยพุทธกาล ถ้าเราไปดูในพระไตรปิฎก มีในเอตทัคคะปาลิ บาลีที่กล่าวถึงบุคคลผู้ยอดเยี่ยมทางใดทางหนึ่ง ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้รับการยกย่องปรากฏชัด มายุคเราสมัยเราจะมีโอกาสอย่างนั้นบ้างไหม ?

ถ้าเราได้ฟังประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็จะเคยชินกับชื่อของญาติโยมหลายคน อย่างเช่นนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร นายแจ่ม เปาเล้ง นายเฉลิม คงทอง พอมาถึงยุคของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มี ด็อกเตอร์เดือน - คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค มีคุณสุวรรณ - คุณจันทนา วีระผล มีคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ มีพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์ กับแม่อ๋อย คือโยมเฉิดศรี สุขสวัสดิ์

มาถึงรุ่นอาตมานี่ จะมีใครให้เอ่ยถึงเป็นบุคคลในตำนานบ้างไหม ?

เราต้องเข้าใจว่า ถ้าหากเราศึกษาประวัติเอตทัคคะบุคคล จะเห็นว่าในอดีต พอเห็นใครทำความดีแล้วได้รับการยกย่อง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เอาอย่างบ้าง ทำบุญใหญ่แล้วอธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนกับท่านนั้นท่านนี้บ้าง พวกเราหลายคนก็เคยปรารถนามา นึกไม่ออกเอง..ใช่ไหม ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องเต็มที่ เต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังสติปัญญา ถ้าทุ่มเทเต็มที่แล้วไม่สำเร็จ แล้วค่อยยอมรับว่าเรามันห่วยเอง..!

แต่ถ้ายังไม่ได้ใช้ความพยายามเลย ไปงอมืองอเท้าแล้ว ก็น่าเกลียดเกินไป..! จึงได้แต่เตือนพวกเราทุกคนว่า เวลาในการปฏิบัติธรรมมีน้อย ชีวิตเราอยู่รอดมานาทีหนึ่ง ก็ได้กำไรนาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่ง ก็ได้กำไรวินาทีหนึ่ง ต้องอาศัยเวลาที่เหลือนี้ สร้างคุณงามความดีให้มากที่สุด ส่งตัวเราเองไปให้ไกลที่สุด ต่อให้ไม่ถึงพระนิพพานชาตินี้ ก็ต้องให้เหลือระยะทางสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ฝากไว้เป็นข้อคิด ถ้าใครเอาไปทำตามก็ขออนุโมทนาด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2022 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 15-01-2022, 22:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอเตือนไว้นิดหนึ่ง หลายท่านรู้สึกว่าตัวเองลางสังหรณ์ดี จะมีอะไรเกิดขึ้นเราก็มักจะรู้ แต่ไม่ค่อยเชื่อ แล้วพอถึงเวลาเกิดขึ้น บางทีก็เดือดร้อน เจ็บตัวบ้าง เสียทรัพย์สินบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็มานึกว่า "เอ๊ะ...เรารู้แล้วนี่ แล้วทำไมเราถึงไม่ป้องกันตรงนี้ ?"

ที่สำคัญคือเรารู้ได้อย่างไร ? เรารู้เพราะคำอธิษฐานตรงที่ว่า "เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่ายิ่งเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ถ้าขับรถไป แล้วรู้สึกว่าไปข้างหน้าอีกหน่อยต้องชนแน่นอน ก็ลงข้างทางจอดนอนสัก ๑๐ นาทีไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-01-2022 เมื่อ 19:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว