กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-12-2021, 10:58
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,095 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี



การบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี

วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ บรรยายถวายความรู้ในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ของนิสิตวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ผ่านระบบ Zoom Meeting Online ณ ห้องพัก Holatel Rimnan Hotel ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-12-2021, 22:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กราบขอโอกาสพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวาราวดี ท่านอาจารย์พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ, ศ.ดร. รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวาราวดี คณาจารย์ฝ่ายบรรพชิต ตลอดจนกระทั่งนิสิตฝ่ายบรรพชิตทุกรูป และเจริญพรคณาจารย์ ผู้บริหารฝ่ายคฤหัสถ์ ตลอดจนกระทั่งนิสิตฝ่ายคฤหัสถ์ทุกท่าน

กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม วันนี้ได้รับนิมนต์มาบรรยายในงานปฏิบัติธรรม ซึ่งจะว่าไปแล้ว บางทีก็อยู่ในลักษณะที่ว่าเห็นใจพวกท่านทั้งหลาย เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้ากำลังใจของเรายังไม่ได้ รับรองว่าไปกันไม่ได้จริง ๆ ครับ

เนื่องจากว่าการสร้างบุญสร้างบารมีของเรามานั้น ถ้าว่ากันโดยทั่ว ๆ ไป ก็คือ มีอยู่ ๓ ระดับ เรียกว่าสามัญบารมี กำลังใจขั้นต้น ประเภทนี้ดีที่สุดแค่ให้ทานได้ครับ รักษาศีลไม่เป็น ภาวนาไม่เป็น

เราลองนึกดูว่า บางวัดเวลามีงานบุญต้องจ้างโฆษกมาพูดชักชวนให้ญาติโยมทำบุญกันเป็นวัน ค่าตัวแพงด้วยนะครับ ลักษณะของญาติโยมที่ทำบุญ ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตดูก็จะเห็น บางคนนี่ประเภทที่เรียกว่าชวนเท่าไรก็เหมือนกับหูทวนลม ไม่มีกำลังใจที่จะสละออกเลย นั่นคือสามัญบารมีขั้นหยาบ

ถ้าหากว่าสามัญบารมีขั้นกลาง ชวนแล้วชวนอีก น้ำลายแห้งไป ๓ โอ่ง..! สามารถควักเงินออกมาทำบุญได้ แต่เสียดายใจแทบขาด จนกระทั่งต้องไปสามัญบารมีต้นระดับสุดท้าย แบบละเอียด ถึงจะสามารถให้ทานได้ แต่ถ้าบอกว่ารักษาศีลนี่ รู้สึกเหมือนอย่างกับแบกช้างทั้งตัว ไม่ไหวอย่างแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-12-2021, 22:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของศีลนี่เป็นของอุปบารมีครับ กำลังใจขั้นกลาง ถ้าอย่างหยาบนี่ให้ทานได้ รักษาศีลไม่เป็น อย่างกลางก็ให้ทานได้ รักษาศีลบ้าง ด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าอย่างละเอียดถึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่เจริญภาวนาไม่เป็น

ต้องระดับปรมัตถบารมีครับ กำลังใจขั้นสุดยอดเลย ถ้าลักษณะอย่างนั้นสามารถให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ว่าการเจริญภาวนา ถ้าเป็นอย่างหยาบก็เจริญภาวนาบ้าง ด่าชาวบ้านเขาบ้าง บ่นชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าอย่างกลางก็ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้ แต่ว่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ต้องไปถึงปรมัตถบารมีอย่างละเอียดครับ ถึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้เป็นปกติ

ตรงจุดนี้อยากให้ท่านทั้งหลายลองคิดถึงตัวเองดูครับ การที่เราทั้งหลายได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา แล้วส่วนมาก นิสิตของเราก็คือเป็นบรรพชิต พระภิกษุและสามเณร ก็แปลว่าเราสร้างบุญสร้างบารมีมาเต็มที่แล้วนะครับ

เพราะว่าการได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม อยู่ในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ พร้อมที่จะสนับสนุนการบวชของท่านทั้งหลาย มีอายุกาลผ่านวัยมาจนได้ตามเวลาที่เขากำหนด มีอวัยวะครบ ๓๒ สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ

ก็แปลว่าท่านทั้งหลาย จริง ๆ แล้วสร้างบารมีมามาก แต่ว่าเรากลับไม่เห็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม มักจะคิดว่าเราโดนบังคับมาตามหลักสูตร ผมเสียดายนะครับ ไปนึกถึงในธรรมบทที่ท่านเปรียบว่า เหมือนกับทัพพีที่ขวางหม้อแกงอยู่ จุ่มอยู่ในหม้อแกงทั้งปีทั้งชาติ แต่ไม่รู้เลยว่ารสแกงนั้นเป็นอย่างไร ?

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า รสทั้งหลาย รสแห่งวิมุตตินั้นถือว่าเลิศที่สุด แต่คราวนี้เราทั้งหลายกลับไม่คิดที่จะชิมเลยหรือครับว่ารสชาติเป็นอย่างไร ?

ทำไมพระอาจารย์เล็กปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๑๐ กว่าขวบ จนกระทั่งถึงตอนนี้ ๖๐ กว่าปี ไม่เลิกไม่ราเสียที มีอะไรดีหรือครับ ? แล้วขณะเดียวกัน ท่านทั้งหลายทำจริง ๆ จัง ๆ บ้างไหมครับ ? ถ้าเราลองหวนนึกถึงตัวเองดูว่า แค่งานของพระทั่ว ๆ ไป สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เราทำได้ครบถ้วนหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 20-12-2021, 22:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราเป็นพระภิกษุสามเณร แล้วญาติโยมเขาจะเคารพบูชาเรา เพราะเรามีความเหนือกว่า มีความต่างมากกว่า ถ้าหากว่าทุกอย่างของเราเหมือนอย่างกับฆราวาส ไม่มีใครเขานับถือนะครับ เพราะเขาถือว่าเหมือนกัน

คราวนี้สิ่งที่เราต่างจากญาติโยมทั้งหลาย อยู่ที่ศีลครับ อันดับแรกเลย...สามเณร ศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์ ศีล ๒๒๗ บวกกับอภิสมาจารอีกเป็นร้อย..! ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราทั้งหลายลองนึกดูว่า เราอยู่ในปฏิรูปเทส คือถิ่นที่เหมาะสม สามารถที่จะได้พบพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมพร้อมสมบูรณ์ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนอย่างกับหนูตกถังข้าวสารครับ ผมสงสัยแค่ว่าเมื่อไรจะกินเสียที ? ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราก็ได้แต่สบายใจว่าพวกเราอยู่ในถังข้าวสาร

ไม่เหมือนกับต่างประเทศครับ และไม่ต้องถึงต่างประเทศ แค่ในประเทศของเรา เวลาผมไป เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ที่ไม่ใช่บริเวณที่ตัวเองอยู่ ญาติโยมแห่กันมาแบบหิวโหยเลยนะครับ ก็คือปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ติดขัดตรงโน้น ไม่ได้ตรงนี้ พระอาจารย์ช่วยบอกวิธีการให้ที พอบอกกล่าวไป แก้ไขไป เขาก็ไปตั้งหน้าตั้งตาทำกัน

ยิ่งชาวต่างชาติแล้วยิ่งหนักใหญ่เลยครับ พอถึงเวลาเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพราะเห็นคุณเห็นประโยชน์ แม้กระทั่งล่าสุดนี้ รัฐสภาสหรัฐอเมริกากำหนดให้มีการนั่งสมาธิภาวนาก่อนที่จะประชุมนะครับ หลักการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนี่แหละ ทางยุโรป ประเทศอังกฤษ ราชองครักษ์ ๔,๐๐๐ นาย ต้องนั่งสมาธิก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน นั่นเพราะว่าเขาเห็นประโยชน์ครับ แต่ว่าเราท่านทั้งหลาย พระภิกษุสามเณรและฆราวาสเห็นประโยชน์บ้างไหมครับ ?

ทุกวันนี้ตัวท่านทั้งหลายเหมือนอย่างกับวัวควายที่โดนเฆี่ยนโดนตีอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเจ็บ เพราะว่ากิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ทำร้ายเราอยู่ทุกวันนะครับ แต่ละท่านรู้ดีว่าถึงเวลากิเลสกำเริบขึ้นมาแล้วเราทุกข์ยากลำบากขนาดไหน

สมัยผมบวชใหม่ ๆ ก็เหมือนกันครับ อยากจะสึกไปมีเมียวันหนึ่งเป็นร้อยหน..! นั่นราคะครับ พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมไป คนพูดมา ไม่เข้าหู ไม่ชอบใจ โกรธเขาอีก โทสะมาอีกแล้วครับ กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ทำร้ายเราอยู่ทุกวันครับ ผมถึงได้บอกว่าตัวเราเหมือนอย่างกับวัวกับควายที่ถูกเฆี่ยนถูกตีอยู่ทุกวัน แต่เราไม่คิดที่จะหลีกเลี่ยงจากการโดนเฆี่ยนโดนตีนั้นเลยหรือครับ ?

วิธีหลีกเลี่ยงที่ง่ายที่สุดก็คือการปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัวหนักแน่นมั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนกดดับไปชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ ท่านทั้งหลายคงจะบอกไม่ถูกหรอกครับว่ามีความสุขขนาดไหน อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 19:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 20-12-2021, 22:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเราดูในอาทิตตปริยายสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ไฟทั้งหลายเหล่านี้เผาเราอยู่ทุกวัน แต่ทันทีที่เราทรงสมาธิได้ เราจะสามารถดับไฟเหล่านี้ได้ชั่วคราวครับ เมื่อเราดับไฟเหล่านี้ได้ชั่วคราว ความสุขจะเกิดขึ้นกับเราอย่างชนิดที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลงนี่ สบายอย่างไร เราบอกไม่ถูกนะครับ

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละครับ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีปัญญาอยู่บ้าง เราจะรู้สึกเลยว่า ตัวเราที่เป็นปุถุชนหนาไปด้วยกิเลส แค่เข้ามาแค่ผิว ๆ สะเก็ดของพระพุทธศาสนาแค่นั้น ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วคนที่เขาทรงฌาน ทรงสมาบัติได้เป็นปกติ จะมีความสุขขนาดไหน ?

บุคคลที่เหนือไปกว่านั้นอีก อย่างพระโสดาบัน เป็นต้น พระโสดาบันพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอนแล้ว ไม่ต้องหวาดกลัวภัยจากอบายภูมิทั้งหลายนี้แล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหนครับ ?

พระสกทาคามีที่ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เบาลง จะยิ่งมีความสุขขนาดไหน ?

พระอนาคามีที่ตัดราคะ ตัดโทสะได้อย่างเด็ดขาด ไม่กำเริบแล้ว จะมีความสุขขนาดไหนครับ ?

ท้ายที่สุด พระอรหันต์ที่ท่านไม่เอาอะไรแล้วครับ ภาระทุกอย่างปล่อยวางลงได้โดยสิ้นเชิง ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมอรหันต์ละครับ ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

แค่ใช้ปัญญาคิดนิดเดียวนี่แหละครับ เราก็จะเห็นว่าคุณของพระพุทธศาสนา คุณของการถือศีลปฏิบัติธรรมนี้มากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะพรรณาได้ ไม่ใช่เรื่องที่มาบังคับให้เราต้องทุกข์ต้องยาก ไม่ใช่ถึงเวลา ๑๐ วันของการปฏิบัติธรรม เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น แต่ว่านั่นคือโอกาสทองของเราครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 22-12-2021, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายท่านอยู่ที่วัด เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล บางท่านก็เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ต้องประกอบกิจตามหน้าที่ของตนเองอยู่ทุกวัน เวลาปฏิบัติธรรมแทบจะหาไม่ได้ แล้วอยู่ ๆ เขาบังคับให้เราสร้างความดีตั้ง ๑๐ วัน ปริญญาโทก็ ๑๕ วัน ยังดีนะครับที่แบ่งให้ทำเป็น ๒ ช่วง ไม่อย่างนั้นปริญญาโทเจอ ๓๐ วัน ส่วนปริญญาเอก ๔๕ วันครับ เขาบังคับเราให้ดีนะครับ แล้วทันทีที่เรารู้สึกว่าโดนบังคับ เราก็มักจะต่อต้านครับ

แต่ถ้าปัญญาท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์ เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยให้หนทางความทุกข์ยากในวัฏสงสารของเราสั้นลง หรือหลุดพ้นไปได้เลย เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาขวนขวายในการทำ แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายยังไม่เห็นประโยชน์ ก็เพราะว่าไม่ได้ลองทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่มีโอกาสลิ้มรสพระธรรมที่เกิดจากตนเองเลย

ตอนที่ท่านทั้งหลายเป็นฆราวาส หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ เห็นญาติโยมหลายคน ถึงเวลาต้องออกไปกิน ถึงเวลาต้องออกไปเที่ยว กลายเป็นคนติดกินติดเที่ยวครับ กลางคืนอยู่บ้านไม่ได้ ค่ำลงเมื่อไรต้องออกแล้ว ตะวันไม่ขึ้นไม่เห็นทางกลับบ้าน เขาไปทำอะไรกันครับ ?

คำว่า "ติดกินติดเที่ยว" นั่นไม่ใช่นะครับ แต่เขาไปเพราะเขารู้สึกว่าเขามีความสุข มีความสุขจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ในสถานที่ซึ่งเขาไปกินไปเที่ยวกัน เขาต้องการความสุขตรงนั้น โดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เขาจึงไปกันอยู่ทุกวัน จนกลายเป็นนักเที่ยว

แต่ความสุขทั้งหลายเหล่านั้นไม่ยั่งยืน เพราะว่าโดนกระตุ้นด้วยสิ่งภายนอก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส รู้สึกว่าดี อยากได้อยากมีแบบนั้นอีก ก็ต้องไปอีก ไปกันทุกคืน บางบ้านก็ทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาดไปเลย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าขาดการกระตุ้นก็หายหมด ทำให้เขาต้องไปกันทุกคืน ๆ ๆ เพื่อให้สิ่งกระตุ้นเหล่านี้เกิดขึ้น แล้วตนเองจะได้มีความสุข
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2021 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 22-12-2021, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมากเลยครับ แค่ลมหายใจเข้าออก จมูก อก ท้อง...ท้อง อก จมูก รู้ได้ครบแค่นี้ก็พอแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นเหนือกว่าความสุขของการไปกิน ไปเที่ยว ไปกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งภายนอกจนประมาณไม่ได้เลย และเป็นความสุขที่ยั่งยืนด้วย เพราะว่าเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา เกิดจากการที่เราทำด้วยตนเอง ไม่ต้องกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งภายนอก

ตรงจุดนี้ภาษาบาลีเรียกว่า ปีติ พอปีติเกิดขึ้น คราวนี้อันตรายครับ..! หลายท่านทำกันข้ามวันข้ามคืน ไม่พักไม่ผ่อน พอร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการกินอาหารหรือการทำงาน กินมากไปก็ย่อยไม่ทัน ทำงานมากไปก็เหนื่อย จนกระทั่ง
ในวันต่อ ๆ ไปไม่สามารถที่จะทำให้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องหาส่วนที่พอเหมาะพอดีแก่ตนเอง ความพอเหมาะพอดีแก่ตัวเองนั้นไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังบุญบารมีที่สั่งสมมา

บางท่านนั่งกรรมฐานข้ามวันข้ามคืนได้สบาย ของเราเอง ๓ นาที ๕ นาที ก็ต้องออกไปหาน้ำดื่ม ต้องออกไปเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่ได้เดินออกไปข้างนอกแล้วจะขาดใจตายครับ เพราะว่าท่านทั้งหลายไปเลี้ยงกิเลสจนอ้วนและมีกำลังมาก

ทำไมกิเลสมันถึงอ้วนและมีกำลังมาก ? เพราะว่าเราเลี้ยงเองครับ ทุกวันเลย เขาเรียกว่า วิญญาณาหาร อาหารคือความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจครับ

ถึงเวลาเราบังคับตัวเองให้นั่งนิ่ง ๆ หลับตาอยู่ ตาไม่เห็นรูปที่ชอบใจ เราก็จะคลั่งแล้ว หูไม่ได้ยินเสียงที่ชอบใจ ก็จะคลั่งแล้วเหมือนกัน จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส กายไม่ได้สัมผัส เหมือนกันครับ หลายท่านก็ออกอาการอาละวาด แทบจะวางมวยกับพระวิปัสสนาจารย์ก็มี นั่นเพราะกิเลสบัญชาการเรานะครับ กิเลสมีกำลังมาก เพราะเราเลี้ยงอยู่ทุกวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2021 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 22-12-2021, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าเราไม่เลี้ยงละครับ ? ตั้งสติ สำรวมอินทรีย์ ไม่ให้ตาเห็นรูป ไม่ให้หูได้ยินเสียง ไม่ให้จมูกได้กลิ่น ไม่ให้ลิ้นได้รส ไม่ให้กายสัมผัส ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา กิเลสอด ก็จะตายนะครับ ถ้าอดมาก ๆ ก็ตายเลย แต่ว่าท่านทั้งหลายสู้กิเลสไม่ได้ เพราะว่าเราฉลาดน้อยกว่า

ตรงจุดที่เราฉลาดน้อยกว่าก็คือ กิเลสอาศัยเราอยู่ครับ ที่ตัวเราอาศัยอยู่คือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมขึ้นมา มีอาการ ๓๒ หัวหู หน้าตา เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่เรามาอาศัยขับ เราใช้งานอยู่ทุกวัน พอถึงเวลารถจะพัง ไม่ใช่เราจะพังนะครับ แต่กิเลสฉลาดครับ พอถึงเวลารู้ตัวว่าจะตาย เพราะว่าเราทำให้อด เนื่องจากว่าเรามาปฏิบัติธรรม กิเลสก็จะทำให้เราหลงผิด คิดว่าไอ้ที่จะตายคือตัวเรา ไม่ใช่มัน ในเมื่อปัญญาเราไม่ถึง รู้ไม่เท่าทัน เราก็ไปปล่อยให้กิเลสรอดไปได้ทุกที ทั้ง ๆ ที่ตามบี้ต่ออีกนิดเดียวกิเลสก็ตายแล้ว แต่หลอกให้เราคิดว่าไอ้ที่จะตายคือตัวเราครับ

แล้วตรงจุดนี้เราจะรู้เท่าทันได้อย่างไร ? การปฏิบัติธรรมครับ สภาพจิตของเราจะนิ่ง จะสงบ เหมือนกับน้ำนิ่งครับ พอจิตของเราสงบ ปัญญาจะเกิด จะรู้เท่าทันกิเลสทั้งปวง เพียงแต่ว่ารู้เท่าทันแล้วรับมือไหวไหม ? นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

คราวนี้การที่จิตของเรา ถ้าหากว่าภาวนาไปจนถึงระดับที่สงบ บางทีก็มีการรู้เห็นพิเศษต่าง ๆ เกิดขึ้น ตรงนี้ก็เสียง่ายอีกครับ เพราะว่าถึงเวลาก็เห็นผี เห็นเทวดา เห็นหวยให้ยุ่งไปหมด จัดการไม่ถูกนี่ พังมาเยอะต่อเยอะแล้วนะครับ

เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเราขาดประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม ทำให้เราไม่สามารถที่จะรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ประสบการณ์จะมีได้ต้องเกิดจากการฝึกฝนบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญครับ

กิเลสจะมาท่าไหน เรารู้เท่าทัน แก้ไขไปได้ตามเพลง จากที่แพ้มาตลอด เราก็จะเริ่มชนะบ้าง แล้วหลังจากที่เพียรพยายามสู้ไปเรื่อย เราก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วท้ายที่สุดเราจะไม่แพ้อีกครับ

ท่านทั้งหลายลองดูนะครับว่าแค่หน้าจอนี้ ๑๐ กว่านาทีท่านก็นั่งไม่ติดแล้ว หลายท่านก็ไปเรียบร้อยแล้วครับ ดำเนินการตามทฤษฎี ๓ ป. "ปิดไมค์ ปิดจอ ไปนอน" นี่ขนาดบังคับกันนะครับว่า ถ้าไม่มีรูปปรากฏอยู่ในจอ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่บังคับไม่ได้ครับ เพราะว่ากิเลสมีกำลังแรงกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2021 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 22-12-2021, 17:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้เมื่อท่านทั้งหลายเข้าใจแล้ว และก็รู้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นมีประโยชน์แค่ไหน ท่านก็จำเป็นอย่างยิ่งนะครับที่จะต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำได้แล้ว เรายังต้องเอาไปสั่งสอนญาติโยมเขาด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราเป็นพระเป็นเณร วันนี้ผมเองมีเวลาให้ท่านทั้งหลาย ๑ ชั่วโมง โอกาสที่จะมาสั่งมาสอนอย่างอื่นไม่มี ได้แต่บอกกล่าวว่าประสบการณ์ที่ตนเองทำมานั้นมีอะไรบ้าง และสิ่งที่พูดไป ถ้าท่านทั้งหลายบางส่วนทำไม่ถึง ก็จะผ่านหูไปเฉย ๆ

แต่ว่าผมมีหน้าที่บอก แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าครับ ท่านบอกว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น จะทำหรือไม่ทำ จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ อยู่ที่ตัวเราเองนะครับ ท่านใดเห็นประโยชน์ เกรงกลัวโทษของความชั่วที่เคยทำมาในอดีตจะมาสนอง ต้องเร่งทำให้มากไว้ครับ เนื่องเพราะว่าในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

พอถึงเวลา สีลมัย เรารักษาศีลได้ครบถ้วนสมบูรณ์ การที่เราตั้งสติระมัดระวังไม่ให้ศีลขาด จะช่วยให้สมาธิของเราเกิดขึ้นเองครับ เพราะว่าสติคอยระมัดระวังอยู่เสมอ เมื่อสมาธิเกิดขึ้น เราก็ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเคยภาวนาหรือไม่เคยภาวนามาก่อนก็ตาม

ถ้าหากว่าเริ่มภาวนาแล้ว จะใช้คำภาวนาว่าอะไรก็ได้ เคยถนัด เคยชำนาญแบบไหน ให้ทำแบบนั้นครับ การเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ๆ ทำให้เราไม่ได้อะไร เพราะว่าจิตมีสภาพจำ ถึงเวลาจะนึกถึงของเก่า แล้วเราก็มาบังคับให้ทำของใหม่ ของเก่ายังไม่ทันจะได้ ของใหม่ยังไม่ทันจะดี เราเองก็ต้องมานั่งกลุ้มใจ ครบ ๑๐ วันอีกแล้ว ยังไม่ทันเห็นหน้าเห็นหลังอะไรเลย

ดังนั้น....สำคัญอยู่ตรงที่ว่า เมื่อถึงเวลาแล้ว เราต้องพลิกแพลงครับ เคยใช้พุทโธมา ก็ลองใช้พองยุบดู เคยใช้สัมมาอะระหังมา ก็ลองใช้พองยุบดู เคยดูรูปดูนามมา ก็ลองใช้พองยุบดู อะไรดีหรือไม่ดี ต้องลองก่อนครับ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาเจอสิ่งที่ไม่คุ้นชิน เราก็ปฏิเสธเลย ถ้าไม่คุ้นชินแล้วปฏิเสธเลยนี่ผมก็ไม่ได้มานั่งตรงนี้นะครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2021 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 22-12-2021, 17:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะว่าผมเริ่มมาจากพุทโธ โดยพระป่าสายหลวงปู่มั่น ท่านสอนมาตั้งแต่เด็กครับ พออายุ ๑๖ ปี ก็เริ่มมาฝึกสายมโนมยิทธิแบบสายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แล้วหลังจากนั้นก็มาเรียนแบบการเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน เมื่อมาเรียน มจร. ก็เริ่มมาฝึกพองยุบ ทำไมผมถึงทำทุกอย่างละครับ ?

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราจะรู้ว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี ต้องลงมือปฏิบัติครับ แล้วถ้าผมปฏิบัติก็คือผมทุ่มเทจริง ๆ เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว ถ้าไม่ดีจริง ผมจะได้ด่าได้เต็มปากเต็มคำครับว่า "กรรมฐานสายนี้ไม่ได้เรื่อง" แต่ถ้าหากว่าเขาดีจริง ๆ ผมต้องทำให้ดีให้ได้ นี่คือลักษณะของการปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กผมก็เป็นแบบนี้

ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรู้สึกว่าเราไม่คุ้นชินกับกรรมฐานสายพองยุบ ต้องลองพยายามดูหน่อยครับ ถึงเวลาแล้วเราก็ลองจับพองยุบดู ไม่ได้อะไรมากก็ไม่เป็นไรครับ ให้แค่พอตอบพระวิปัสสนาจารย์ได้ว่าเราได้ทำแล้ว

เวลาส่วนใหญ่เราก็ปฏิบัติตามความเคยชินของเรา เคยภาวนาพุทโธ เราก็พุทโธไปได้นี่ครับ ท่านไม่ได้มานั่งจี้ว่าตอนนี้ต้องพองยุบ เคยสัมมาอะระหัง เราก็สัมมาอะระหัง จับลม ๗ ฐานไป เคยพิจารณานามรูป ก็พิจารณาไป เคยจับอาการเคลื่อนไหวก็จับอาการเคลื่อนไหวไป

แต่ตอนเดินนี่จำเป็นครับ ตอนเดินเราต้องการความพร้อมเพรียง ถ้าหากว่าทำอยู่ด้วยกัน ยังดีนะครับว่านี่เป็นการปฏิบัติธรรมออนไลน์ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาท่านเดิน ต้องอาศัยการเดินจงกรมสติปัฏฐาน ๖ ระยะเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่พร้อมกันครับ

ดังนั้น...ในส่วนนี้ถ้าหากว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา แล้วเรายังไม่ทันได้ลองเลย แต่ไปตำหนิว่าไม่ดี ยังไม่ได้ลองเลย แล้วก็ไปต่อต้าน เราลองนึกถึงวันที่เรามาเรียนสิครับ ท่านจบ ม.๖ มาแล้วเจอการเรียนแบบปริญญาตรีที่ไม่เหมือนกับ ม.๖ หรือว่าท่านที่เรียนมาน้อย แล้วก็ผ่านมาเรียน ป.บส. ปวน. หรือว่าเรียน ป.พศ. ป.สส. เพื่อที่จะเอาวุฒิ ม.๖ มาเรียนต่อปริญญาตรี ต่างกันมากนะครับ

ในเมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แปลกแยกไปจากที่เราเคยศึกษาอยู่ ถ้าเราปฏิเสธ เราก็จะไม่ได้ความรู้
..ใช่ไหมครับ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2021 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 22-12-2021, 17:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของกรรมฐานก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าท่านปฏิเสธเสียตั้งแต่แรก ไม่ว่ากรรมฐานสายไหนก็ไปไม่รอดครับ ดังนั้น...คนฉลาดที่มีปัญญาจริง ๆ ต้องลองทำดูก่อน แล้วถ้าหากว่าทำ ก็ตั้งใจทำแบบเอาดีกันเลย ทุ่มเทไปเลยครับ

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ผมรับประกันครับ ลำบากที่สุดไม่เกิน ๓ วันแรก พอจิตของเราเริ่มคุ้นชินแล้ว วันต่อ ๆ ไปก็สบายครับ แค่เอาสติประคองอารมณ์ไว้เท่านั้น ก็แปลว่าอีก ๖ - ๗ วันที่เหลือ เราสามารถรักษาอารมณ์ที่ สุข สงบ เยือกเย็น อยู่กับตัวเราได้ แล้วท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าวิมุตติรส ซึ่งเป็นรสพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นดีอย่างไร

ทำไมพระหรือว่าโยมที่เรารู้จัก บางท่านถึงได้ทุ่มเทปฏิบัติธรรมอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ก็คงจะเหมือนกับการที่เราได้กินอาหารที่อร่อย ถูกใจ ถึงเวลา ถ้าหากว่ามัวแต่ไปรอพ่อครัวอยู่ รอแม่ครัวอยู่ บางทีเขาไม่ทำให้ เราก็ไม่ได้กิน ก็มีวิธีเดียว คือ ต้องปรุงอาหารเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ก็คือเราต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้ได้ด้วยตนเอง

แล้วในเรื่องกรรมฐานนี่เป็นเรื่องที่แปลกมากครับ เพราะว่าเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตัวเราเท่านั้น คนอื่นทำแทนก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นกินข้าวแล้วให้เราอิ่มนั้นเป็นไปไม่ได้ครับ เราต้องกินเอง

คราวนี้ท่านทั้งหลายได้โอกาส มีชาติกำเนิด เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาที่ยังมีหลักธรรมสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ และโดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่อุปสมบทบรรพชาเข้ามา หลายท่านอายุกาลพรรษาก็หลายสิบ เคยรู้สึกไหมครับว่า "เราเสียทีที่บวชเข้ามาหรือเปล่า ?" เพราะว่าไม่ได้เคยลองปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลย

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรู้สึกแบบนั้น ต้องเร่งตัวเองแล้วนะครับ เรื่องของธรรมะนั้นไม่รอใคร เพราะเรามีโอกาสตายได้ทุกเวลา หายใจเข้า...ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก...ไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน ความตายอยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง ถ้าเราประมาท ตายโดยปราศจากความดีใด ๆ ติดตัวไป เราก็จะมีอบายภูมิเป็นที่ไป แล้วถ้าลงไปเมื่อไร ท่านทั้งหลายก็จะโดนคิดทบต้นทบดอก ทั้งเก่าทั้งใหม่เลยครับ กว่าที่จะได้ผุดได้เกิดใหม่ พระพุทธเจ้าก็คงจะผ่านไปแล้วหลายพระองค์..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2021 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 24-12-2021, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราเกิดในปฏิรูปเทส อยู่ในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ มีหลักธรรมของพระพุทธเจ้าพร้อมสมบูรณ์ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วแถมยังมีโอกาสที่เขาบังคับให้อีกด้วย ท่านทั้งหลายจะไม่ลองทำกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ดูสัก ๑๐ วันหรือครับ ?

แล้วจะได้รู้ว่าทำไมพระอาจารย์เล็กไปไหน มีแต่คนต้องการ แต่จะว่าไปแล้ว ผมก็ทำมานานเกินไปครับ เพราะว่าตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี นี่อายุ ๖๓ ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้เบื่อสักวันเดียวเลย เพราะว่าซักซ้อม หาวิธีการต่าง ๆ ที่แปลกใหม่อยู่เสมอ เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น มีหลายสายยังไม่พอ กิเลสยังมีหลายลีลาอีกด้วย ทำอย่างไรที่เราจะรู้เท่าทันกิเลสแล้วไม่แพ้มัน

เราบวชเข้ามาแล้ว ส่วนญาติโยมทั้งหลายก็ถือว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่คอยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ถ้ามีใครตำหนิติเตียนพระพุทธศาสนาของเราว่าเป็นของไม่จริง เป็นของไม่แท้ ท่านสามารถที่จะแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้หรือไม่ครับ ?

การแก้ต่างด้วยการไปถกเถียงกันนั้นไม่ยั่งยืนครับ พอเขาหาช่องว่างในคำพูดของเราได้ เขาก็กลับมาเถียงกับเราใหม่ แต่ถ้าหากว่าท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้เกิดผลจริง ๆ ถึงเวลาเอาผลของการปฏิบัตินั้นแหละครับเป็นเครื่องยืนยันได้ จากคนที่อารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย ก็รู้จักเย็นลง จากคนที่มีศีลบกพร่องไม่สมบูรณ์ ก็มีศีลสมบูรณ์ขึ้น ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ไม่ต้องไปชวนใครมาปฏิบัติธรรมครับ เพราะว่าตัวเราเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เขาเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนนี้แล้ว เขาจะอยากปฏิบัติตามเองครับ

บางท่านก็บอกว่า วัดท่าขนุนมีพระมาก มีเณรมาก ทำไมท่านทั้งหลายเหล่านั้นถึงไปวัดท่าขนุน แต่ไม่ไปวัดอื่น ? ก็เพราะเขารู้สึกว่าเขาไปแล้ว เขาได้สิ่งที่เขาต้องการครับ แล้วส่วนใหญ่สิ่งที่เขาต้องการก็คือหลักการปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปชักไปชวนนะครับ ถึงเวลาเขาจะมากันเอง

ดังนั้น....ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท เมื่อถึงเวลาเราจะค้ำจุนพระศาสนาให้มั่นคง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการทำตัวเองให้สำเร็จขึ้นมาสักระดับหนึ่ง จากปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ขึ้นมาเป็นกัลยาณชน ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ในเบื้องต้น แค่นี้ก็พอแล้วครับ ถือว่าเป็นบุคคลชั้นดี รู้ว่าการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นอย่างไร สามารถเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นเขาได้ อันนี้น่าจะสำหรับญาติโยมฆราวาสหญิงชายเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2021 เมื่อ 19:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 24-12-2021, 08:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าสำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา ต้องมากกว่านั้นครับ เหตุที่ต้องมากกว่านั้นก็เพราะว่า เราเป็นศาสนบุคคล เป็นผู้ที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของพระพุทธศาสนา เพราะว่าได้สืบสายของความเป็นพระภิกษุสามเณรมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนป่านนี้ แต่คราวนี้เราจะยืนยันด้วยการมีตัวตนเฉย ๆ ไม่ได้นะครับ เราต้องยืนยันด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าว่าดีอย่างไร จึงต้องปฏิบัติขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเรา ให้ยิ่งกว่าญาติโยมเขา

ในแต่ละวันเราออกบิณฑบาต ถึงเวลาญาติโยมนำเอาปัจจัยไทยธรรมมาถวาย ท่านทั้งหลายเคยรู้สึกไหมครับว่า "เราเองสมควรแก่สิ่งที่ญาติโยมเขาถวายหรือไม่ ? เรามีความดีอะไรที่ญาติโยมเขาเห็น แล้วเขาถึงได้มาทะนุบำรุง ? ความดีเหล่านั้นเรามีเพียงพอแล้วหรือยัง ?" เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องมีจิตสำนึก พินิจพิจารณากันเองนะครับ

เพราะว่าญาติโยมทั้งหลายเวลามาทำบุญ คนโน้นต้องการอย่างนั้น คนนั้นต้องการอย่างนี้ สิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างนั้น ก็คือต้องการจากเรานะครับ เหมือนอย่างกับว่าคนยากจนมาหาเศรษฐี เขาไม่ได้มาหาเฉย ๆ เขามาขอเงินด้วย ถ้าเราเป็นคนรวยที่มีเงินน้อย ถึงเวลาคนโน้นมาขอไปร้อยหนึ่ง โยมคนนี้มาขอไปสองร้อย คนนั้นมาขอไปห้าร้อย คนโน้นเอาไปพันหนึ่ง ถึงเวลาแล้วเราจะหมดตัวนะครับ..!

เราจึงต้องเพียรพยายามที่จะกระทำให้เกิดอานิสงส์ให้มากไว้ ถึงเวลาญาติโยมทั้งหลายมาแล้วต้องการ เราจะได้มีเพียงพอให้กับเขา ไม่อย่างนั้นก็ต้องกู้หนี้ยืนสินกินทุนเดิม แล้วเราบวชไปก็ขาดทุนอยู่ทุกวัน ในเมื่อโอกาสดีเช่นนี้มาแล้ว ภายใน ๑๐ วันนี้ ลองดูกันได้เลยครับ

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าตั้งใจจริง ๆ ๓ วัน ๕ วัน ก็รู้เรื่องแล้ว ท่านทั้งหลายอาจจะตั้งใจหาตัวบทพระคาถาสักบทหนึ่ง ที่เขาบอกว่าดีทางแคล้วคลาด ดีทางคงกระพัน ดีทางค้าขาย ดีทางเมตตามหานิยม อะไรก็ได้ครับ มาภาวนาในช่วง ๑๐ วันนี้ เอาให้เกิดผลไปเลยครับ เราจะได้มีอะไรดีต่างจากคนอื่นเขา ไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่มีอะไรพอที่จะอวดเขาได้
นะครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2021 เมื่อ 18:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 24-12-2021, 10:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคยท่องคำพิจารณาปัจจเวกขณะของบรรพชิต จะมีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ตัวเราเองมีคุณวิเศษหรือไม่ เพื่อที่จักได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม ตรงนี้ไม่ใช่สหธรรมิกไต่ถามครับ ตัวเราเองมีคุณวิเศษหรือไม่ เมื่อถึงเวลา ญาติโยมต้องการพึ่งพา แล้วเราจะช่วยเหลือเขาได้หรือไม่ ?

เรื่องของคุณงามความดีเป็นการสะสม เราสะสมในศีล ในสมาธิ ในปัญญา วันละเล็กวันละน้อยไปเรื่อย แค่เราสวดมนต์ทำวัตรอยู่ทุกวัน ก็ขลังได้แล้วครับ ทำไมถึงขลังได้ ? เพราะว่าเวลานั้นปากเราสวดมนต์ ใจเรานอบน้อมถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไป ไม่ได้ทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจครับ ท่านทำวัตรสวดมนต์เช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง ท่านก็สะสมความดีได้แล้ว ๒ ชั่วโมง

ระหว่างออกบิณฑบาต ตั้งจิตด้วยเมตตาสงเคราะห์ ญาติโยมท่านใดต้องการสิ่งหนึ่งประการใด ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ขอบารมีของครูบาอาจารย์ ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ญาติโยมทั้งหลายเหล่านั้น ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาด้วยเถิด ถ้าเป็นผมเองก็เดินบิณฑบาต ๕ กิโลเมตร ใช้เวลาราว ๆ ชั่วโมงครึ่ง ก็แปลว่าเราสะสมความดีได้อีกชั่วโมงครึ่งต่อวัน

ถึงเวลาไปกวาดลานวัด ทำความสะอาดลานเจดีย์ ถูกุฏิ ถูศาลา กำหนดความรู้สึกตามไปด้วยครับ ไม้กวาดจะไปทางซ้าย จะไปทางขวา ไม้ถูจะไปข้างหน้า จะดึงมาข้างหลัง ถ้ากำหนดรู้ตามไปได้ จะมีความสุขมากเลยครับ เพราะว่าสติอยู่เฉพาะหน้า ไม่ปรุงแต่งไปในอดีต ไม่ปรุงแต่งไปในอนาคต ถ้าศาลาหลังใหญ่ถูสักชั่วโมงหนึ่ง ท่านก็สะสมความดีได้อีก ๑ ชั่วโมงแล้ว

เรื่องของคุณงามความดีทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อสะสมไปมาก ๆ จะทำให้เราขลังโดยอัตโนมัติครับ แล้วความขลังตรงนี้ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพวกผีสางนางไม้อะไรทั่ว ๆ ไป เราสู้ได้หมดครับ เพราะว่าคุณงามความดีในพระรัตนตรัยเหมือนกับแสงสว่าง เรื่องของผี เรื่องของไสยศาสตร์ เหมือนอย่างกับความมืด เมื่อถึงเวลาแสงสว่างกระทบ ความมืดก็หายไปเองครับ

บางทีญาติโยมเจ็บไข้ได้ป่วยมา ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ เห็นหน้าหลวงปู่หลวงพ่อก็หายแล้ว เพราะว่าคุณงามความดีที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านสั่งสมเอาไว้ครับ มากจนกระทั่งแค่เข้าใกล้ก็รู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2021 เมื่อ 19:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 26-12-2021, 05:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...บรรดาพระเถรานุเถระ ตลอดจนกระทั่งน้องสามเณรทั้งหลาย เราจะต้องมีจิตสำนึกว่า "เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ" ไม่ใช่เรียนหนังสืออยู่ห้องเดียวกัน มีนิสิตผู้หญิงเรียนอยู่ด้วยก็ตามจีบกันเช้ายันเย็น..! เราต้องระมัดระวังศีลเราให้ดีนะครับ

อย่าลืมว่า "ภิกษุพูดจาเกี้ยวหญิงต้องอาบัติสังฆาทิเสส" ขาดความเป็นพระไปเลยนะครับ จะต้องไปอยู่ปริวาสตามวันตามเวลาที่เขากำหนด เก็บมานัตต์ได้ครบแล้ว ก็ต้องให้สงฆ์ ๒๐ รูปสวดอัพภาน คืนความเป็นสงฆ์ให้ คุ้มค่าหรือครับกับการที่เราขาดความสำรวมแล้วไปจีบเพื่อนนักเรียนผู้หญิง ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะต้องมีจิตสำนึกของตนเองว่า ถ้าเราไม่สามารถทำให้พระพุทธศาสนานี้เจริญได้ เราก็อย่าทำให้ศาสนานี้เสื่อมทรามลงเพราะตัวเราเลยครับ

เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายเป็นแค่สมมติสงฆ์ ก็ได้อานิสงส์มหาศาลแล้ว เราแค่ห่มผ้าเหลือง ปฏิบัติตามศีลในปาฏิโมกข์และนอกปาฏิโมกข์ เท่ากับเราเป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาครับ ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ก็อยู่เฉย ๆ เป็นแค่ผู้สืบต่อายุพระพุทธศาสนาก็พอ

แต่ถ้าหากว่ามีความสามารถ เราก็ทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง ด้วยการปฏิบัติในกิจการคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ การศึกษาสงเคราะห์ เมื่อถึงเวลาท่านสะสมงานไปได้ระยะหนึ่ง ความดีเหล่านี้จะเริ่มปรากฏ แล้วญาติโยมทั้งหลายจะไหลมาเทมา เมื่อญาติโยมมา เรื่องของลาภผลปัจจัยต่าง ๆ ก็มาด้วย ตอนนี้ต้องตั้งสติให้ดี ๆ นะครับ ตั้งสติไม่ดี เสียหายตายจากความเป็นพระไปมากแล้ว..!

ครูบาอาจารย์ของผมบอกว่า "สตรีกับสตางค์อันตรายที่สุด" เพราะว่าทำให้เราเผลอได้ครับ พรรคพวกเพื่อนฝูงหลายคน ถ้ารู้จักสนิทสนมกัน บางทีผมด่าแบบไม่เกรงใจเลยนะครับ โทรศัพท์ออกรุ่นใหม่ปุ๊บ กูเปลี่ยนปั๊บ..! มีความจำเป็นหรือครับ ? เงินทองญาติโยมไม่น่าให้มาเพื่อให้เราเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกรุ่นนะครับ

บางท่านก็รับกฐินปุ๊บ ซื้อรถป้ายแดงปั๊บ ผมด่าจริง ๆ นะครับว่า "ทำไมมึงไม่รู้จักอดทนไว้สัก ๘ เดือน ๑๐ เดือน ถึงเวลาจะซื้อรถสักกี่คันก็ไม่มีใครว่า แต่นี่รับกฐินปั๊บ ซื้อรถปั๊บ คนเขาก็รู้สิว่ามึงเอาเงินกฐินไปซื้อ..!" แต่นั่นเป็นเพื่อนที่สนิทกันนะครับ ถึงเตือนกันแรง ๆ ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 20:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 26-12-2021, 05:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางท่านก็เที่ยวต่างประเทศกันปีหนึ่ง ๑๐ กว่าครั้ง แล้วแถมยังตีความที่พระพุทธเจ้าท่านสอนผิด ๆ อีกด้วย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอเธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก แต่เขาเอาแค่คำว่า "เที่ยว" ครับ กูก็เลยเที่ยวตะบันราดเลย..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ผมทราบว่าท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้ว แต่ไอ้รู้ทั้งรู้นี่แหละครับ บางทีดีชั่วรู้หมด แต่ยังอดไม่ได้ครับ ไอ้ที่อดไม่ได้ เพราะว่ากำลังใจของเราขาดสมาธิครับ สมาธิเหมือนกับเบรกชั้นดี รถวิ่งจะตกเหว เราต้องเบรกให้อยู่ เบรกไม่อยู่ ตกเหวตายนะครับ..! พอเบรกอยู่แล้ว คราวนี้ก็ใช้ปัญญาครับ ทำอย่างไรที่เราก็หันหัวรถไปให้พ้นจากเหวนั้นได้

เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าทำไปนาน ๆ แล้วก็จะเกิดความเชี่ยวชาญชำนาญขึ้นครับ ก็จะทำให้ตัวของเรามีความสามารถมากขึ้น สมกับที่ญาติโยมเขาเลี้ยงดูเรามาด้วยปัจจัย ๔ เราก็จะได้ตอบแทนเขาด้วยความรู้ทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลักในการปฏิบัติธรรม ญาติโยมทั้งหลายเมื่อได้รับหลักการนั้นไปแล้ว นำไปปฏิบัติแล้วเกิดผล ถ้าเกิดผลก่อนนี่เราอายเขานะครับ..!

ดังนั้น....พระภิกษุสามเณรของเราต้องเป็นผู้นำเขาทุกเรื่องครับ นำในการทำความดี นำในการทำมาหากิน นำในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เรื่องพวกนี้ภายใน ๑๐ วันนี้ สิ่งที่กระผม/อาตมภาพอยากเห็นเลยก็คือ พระภิกษุสงฆ์สามเณรของวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวาราวดีทุกรูป นำนิสิตที่เป็นคฤหัสถ์ปฏิบัติธรรมครับ ทำอย่างไรที่เราจะนั่งได้ทนกว่า ? ทำอย่างไรที่เราจะนั่งได้นานกว่า ? ทำอย่างไรที่เราจะสำรวมกิริยาวาจาได้มากกว่า ? ขอฝากท่านทั้งหลายเอาไว้ด้วยนะครับ

พระพุทธศาสนาของเราบอบช้ำมากแล้ว ช่วยกันขัด ช่วยกันถูให้สะอาดเอี่ยมขึ้นมาหน่อย ช่วยกันค้ำ ช่วยกันจุนให้มั่นคงขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพื่อรุ่นหลัง ๆ เขาจะได้อาศัยร่มเงาพระพุทธศาสนานี้ ในการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นทั้ง กาย วาจา ใจ ของเขาครับ เหลือเวลาอยู่ประมาณ ๘ - ๙ นาที ท่านใดมีคำถามบ้างไหมครับ ? ถ้ามีไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถามมาได้เลย

กระผมเองก็เกิดและโตมากับวัดไร่ขิงนี่แหละครับ เรียนตั้งแต่ ปปส. ปริญญาตรี ปริญญาโท ส่วนปริญญาเอกตอนนั้นยังไม่มีครับ ต้องไปเรียนที่วัดศรีสุดาราม กลับมาก็สอนให้กับวัดไร่ขิงมาหลายปี จนกระทั่งมาสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีนี่แหละครับ ถึงต้องลาออกจากวัดไร่ขิงมา ไม่อย่างนั้นเวลาปฏิบัติธรรม พวกท่านก็จะเบื่อหน้าผมเองครับ มานั่งบ่นให้ฟังอยู่ได้ทุกวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 04:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 26-12-2021, 05:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การภาวนาควรใช้บทอะไรดีครับ ?
ตอบ : การภาวนาจะใช้อะไรก็ได้ครับ ตัวบทพระคาถาอันใดก็ได้ เพราะฉะนั้น...จะสัมปะจิตฉามิ หรืออะไรที่ท่านเขียนมาในช่องแชตใช้ได้หมดครับ ? แต่สำคัญตรงที่ว่า พองยุบเอาไว้นิดหนึ่งครับ ถึงเวลาจะได้ตอบพระวิปัสสนาจารย์ท่านได้ แล้วถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเดินจงกรมพร้อมกัน ก็ใช้การเดินแบบสติปัฏฐาน ๖ ระยะครับ จะใช้อย่างอื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเดินไม่พร้อมกัน ถ้าหากว่าไม่กล้าถาม พิมพ์มาในช่องแชตก็ได้ครับ ถ้าไม่ถามผมจะตอบเองนะครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 04:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 26-12-2021, 05:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การฝึกมโนมยิทธิ คือการฝึกแบบไหนครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นทิพจักขุญาณ คำว่าทิพจักขุญาณ เราเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าตาทิพย์ ทิพจักขุญาณของมโนมยิทธิเป็นการที่เราเคยทำได้ในชาติก่อน แล้วมาทบทวนของเก่า พอจิตสงบลงได้ระดับ ก็จะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้น สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้

ถ้าท่านไหนเคยฝึกมาในสายธรรมกาย ก็แบบเดียวกันเลยครับ เพียงแต่ว่าทางสายธรรมกายนั้น เราต้องเริ่มจากการกำหนดภาพลูกแก้ว ผู้หญิงเข้าทางช่องจมูกซ้าย ผู้ชายเข้าทางช่องจมูกขวา กว่าจะผ่านครบ ๗ ฐาน กว่าจะเห็นดวงแก้วที่ศูนย์กลางกาย ไล่ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบขึ้นไป จนกระทั่งถึงกายพระอรหันต์ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว อยากรู้อะไรก็ถามธรรมกายที่ปรากฏขึ้น ส่วนมโนยิทธินี่ไปใช้ตอนปลายครับ ก็คือถึงเวลาจับตอนปลายเลย ดังนั้น...ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่ามาก่อน ไม่สามารถที่จะทำได้ครับ

ถ้าหากว่าให้ผมเปรียบเทียบ ธรรมกายก็เหมือนอย่างกับเราสร้างบ้านด้วยการเขียนแปลน ผูกเหล็ก เทโครงขึ้นมาตั้งแต่ต้นเลยครับ จนกระทั่งกลายเป็นบ้านทั้งหลังให้เราอยู่ได้ ส่วนมโนมยิทธิเหมือนลูกคนรวยครับ ไปซื้อคอนโดมีเนียมอยู่ มีสถานที่อยู่เหมือนกันนะครับ คือ ผลสุดท้ายสามารถรู้เห็นได้เหมือนกัน แต่ว่าการรู้เห็นมักพาให้เสียครับ

หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านสอนมโนมยิทธิ เพราะท่านเชื่อว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาด สามารถเอาไปใช้ถูกต้อง แต่จากประสบการณ์ของผม เห็นว่าใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ครับ ท่านให้ดูว่าเราเกิดมากี่ชาติแล้ว มีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ? ทุกข์ยากขนาดนี้เพียงพอแล้วหรือยังที่เราจะปฏิบัติเพื่อหนีความทุกข์นี้ ?

แต่เขาไม่ใช้อย่างนี้ครับ เที่ยวไปดูว่าคนโน้นเป็นผัวเรา คนนี้เป็นเมียเรา แล้วท้ายที่สุดแทนที่จะเข็ดว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ก็ดันไปฟื้นความสัมพันธ์เก่าอีกด้วย ลักษณะอย่างนี้แหละครับถึงได้เละเทะไม่เป็นท่า แล้วถึงเวลาเขาท้าพิสูจน์ก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ จนกระทั่งกลายเป็นคำพูดกึ่งเยาะเย้ย กึ่งถากถางที่เขาบอกว่า "อย่ามโน" ครับ

ดังนั้น...ในเรื่องของมโนมยิทธิเป็นเรื่องของทิพจักขุญาณครับ เป็นการฟื้นของเก่าขึ้นมาใช้ ถ้าเราไม่มีพื้นฐานในอดีตจะทำยากครับ

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 04:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 26-12-2021, 05:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สอบถามเรื่องสีลัพพตปรามาสครับ ความบริสุทธิ์แห่งศีลต้องอยู่ในระดับไหนครับ ?
ตอบ : เราต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ถ้าตอบแบบนี้ อาจจะเข้าใจแค่เลา ๆ ครับ

อย่างเช่นว่า ถ้าเราเห็นมดเดินมา
ในบ้านเป็นแถวเลย เราไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ก็คือเราไม่ไปยุ่งกับมด แต่คราวนี้ถ้าเราสั่งคนอื่นทำครับ อย่างเช่นสั่งลูกศิษย์ "เฮ้ย...ช่วยจัดการที มดขึ้นมากุฏิหลวงพ่อแล้ว" อันนี้ก็คือยุให้คนอื่นเขาทำครับ

คราวนี้เรารู้ตัวว่าเรารักษาศีล เราไม่ละเมิดศีล ลูกศิษย์เราก็ไม่ได้สั่งให้ทำ แต่แหม...ไอ้นั่นตาดีเห็นเข้า คว้ายามาฉีดเข้าให้ เราก็ "เออ...มึงน่าจะทำนานแล้ว" นี่คือยินดีในสิ่งที่คนอื่นทำครับ

เพราะฉะนั้น..ขอบเขตของสีลัพพตปรามาส ก็คือการรักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ นั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเจอครบ ๓ รายการนี้ก็แปลว่าสีลัพพตปรามาสครับ แต่ถ้าเราไม่ละเมิดได้ด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ แปลว่าเราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 04:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 26-12-2021, 06:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ญาติโยมหลายคนปฏิบัติ พอจิตสงบแล้ว กลัวว่าจะหลงออกไปแล้วกลับมาไม่ได้ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยากจะบอกว่าที่กลัวหลงก็คือหลุดออกไปใช่ไหม ? ถ้าหากว่ากลัวในลักษณะนั้น ขอบอกว่าอย่าได้กลัวเลย กลัวไปไม่ได้ดีกว่า เพราะจากประสบการณ์ของอาตมานี่ ไม่มีอะไรที่จิตเรารักยิ่งกว่าร่างกายนี้อีกแล้วครับ อะไรเกิดขึ้นนิดหนึ่งก็กลับ เกิดขึ้นหน่อยก็กลับ จิตนี้หวงร่างกายนี้สุด ๆ ครับ เพราะฉะนั้น...ที่กลัวว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ขอให้กลัวว่าไปไม่ได้ดีกว่าครับ เพราะว่าถ้าหาก ว่าเราตัดใจจากร่างกายนี้ไม่ได้จริง ๆ เราจะส่งจิตออกไม่ได้ครับ

บางท่านที่ฝึกมโนมยิทธิมา เราจะเห็นว่าดิ้นตึง ๆ ๆ ๆ ตลอดเวลา นั่นคือใจจะไป แต่ด้วยความกลัว อีกใจหนึ่งก็รั้งเอาไว้ จึงชักกะเย่อดิ้นอยู่นั่นแหละครับ ดังนั้น...ที่ไปแล้วแต่ไม่กลับยังไม่เจอครับ มีแต่ประเภทรีบกลับทันที ยังไม่ทันจะต้องการเลยก็กลับมาแล้ว

ตรงจุดนี้ขอให้เข้าใจว่าการไปนั้นยากมาก แต่การกลับนั้นง่ายสุด ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงแล้วกลับไม่ได้ครับ แค่นึกถึงร่างกายนี้ก็กลับมาเดี๋ยวนั้นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2021 เมื่อ 05:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:08



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว