กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-03-2022, 07:17
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,529
ได้ให้อนุโมทนา: 215,924
ได้รับอนุโมทนา 736,937 ครั้ง ใน 35,904 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-03-2022, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานนี้ก็ได้ลุ้นการประกาศผลสอบบาลีกัน ซึ่งวัดท่าขนุนก็ได้มีมหาเปรียญเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ รูป ก็คือพระมหาชลธี ธมฺมวโร ส่วนอีก ๒ รูปที่เข้าสอบนั้น พระมหาเอกชัย สุทฺธิธมฺโม สอบตก ส่วนพระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ติดซ่อมวิชาแปลมคธเป็นไทย

ในช่วงของการประกาศผลบาลีก่อนสอบนั้น ได้มีการประกาศว่าจะไม่ติดรายชื่อทั้งที่วัดปากน้ำและวัดสามพระยา เพราะว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังรุนแรงอยู่ มีการประกาศผลออนไลน์แทน ซึ่งมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น

แล้วก็เป็นไปตามที่คาดหมายก็คือ ทางด้านสำนักเรียนวัดโมลีโลกยารามของท่านเจ้าคุณสุทัศน์ (พระธรรมราชานุวัตร, สุทัศน์ วรทสฺสี ป.ธ.๙ ,ดร.) กวาดประโยคบาลีระดับชั้นต่าง ๆ ไปแบบถล่มทลายเช่นเคย ต้องบอกว่าหลังจากที่ท่านเจ้าคุณสุทัศน์ได้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่สำนักบาลีวัดโมลีโลกยารามแล้ว ก็ได้ปรับปรุงจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วในที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเกิดจากการทุ่มเทจนกระทั่งประสบความสำเร็จ ความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ถ้าว่ากันตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ความสำเร็จนั้นจะต้องประกอบด้วยอิทธิบาททั้ง ๔ ก็คือ

๑) ฉันทะ มีความยินดีและพอใจที่จะกระทำสิ่งนั้น ๆ
๒) วิริยะ เมื่อยินดีและพอใจแล้วก็พากเพียรพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมก็คือทุ่มเทกันชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก
๓) จิตตะ มีกำลังใจปักมั่นต่อเป้าหมาย จดจ่อ ไม่เคลื่อนคลาย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน จนกว่าจะบรรลุตามเป้าประสงค์ที่ตั้งเอาไว้

ข้อสุดท้าย ยิ่งสำคัญที่สุด ๔) วิมังสา ต้องมีการไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราตั้งใจจะทำอะไร ? ปัจจุบันนี้ทำไปแล้วเท่าไร ? ยังเหลืออีกมากน้อยแค่ไหนกว่าที่จะถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ ? และยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-03-2022, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดาบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้นำเอาหลักของทฤษฎีฝรั่งมาเป็นการสรุปและประเมินผล ซึ่งความจริงแล้วก็คือหลักวิมังสาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนพวกเรามา ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ตรงจุดนี้จะทำให้เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าทฤษฎีต่าง ๆ ของฝรั่งจะวิเศษเลิศลอยแค่ไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่พ้นไปจากความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

โดยเฉพาะหลักธรรมของพระองค์ท่านนั้น รู้แท้ รู้จริง ไม่สามารถที่จะคัดค้านได้ ประกอบไปด้วยอกาลิโก คือไม่จำกัดด้วยเวลา ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหนสมัยไหนก็ตาม ถ้าหากว่ารู้หลักธรรมแล้วตั้งใจน้อมนำไปปฏิบัติ ก็สามารถเข้าถึงได้ตามที่ตนเองต้องการ

มีการท้าทายให้ผู้อื่นเข้ามาพิสูจน์ ตามที่บาลีกล่าวไว้ว่า เอหิปัสสิโก ก็คือ ถ้าหากว่าต้องการผลจริง ๆ ต้องเข้ามาทำด้วยตนเอง ไม่มีใครที่จะสามารถบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จได้ นอกจากพากเพียรพยายามกระทำเอาด้วยตนเอง

ในส่วนนี้นั้นศาสนาพุทธของเราต่างจากศาสนาอื่น ๆ เพราะว่าศาสนาอื่น ๆ ส่วนมากแล้วเป็นศาสนาเทวนิยม มีการร้องขอต่อเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อให้ดลบันดาลให้เป็นไปตามความต้องการของตน แต่สำหรับศาสนาพุทธนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนในเรื่องของเทวตานุสติ ก็คือคนเรามีศักยภาพที่จะเป็นเทวดา นางฟ้า หรือว่าพรหมได้ด้วยตนเอง

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติในศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีการละอายต่อความชั่ว ไม่กล้ากระทำความชั่ว มีความเกรงกลัวต่อผลของบาปที่จะส่งผลให้ แล้วละเว้นจากความชั่วทั้งหลาย ท่านก็สามารถเกิดเป็นเทวดาหรือว่านางฟ้าได้ ตามลำดับความดีที่ท่านเข้าถึง

นอกจากมีศีลบริสุทธิ์ มีความละอายชั่วกลัวบาปแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายยังกระทำความดีจนเคยชิน คำว่า เคยชิน ก็คือสามารถทรงความดีเอาไว้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ หรือว่าสามารถทรงสมาธิสมาบัติในระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่ปฐมฌานหยาบขึ้นไปจนถึงฌาน ๔ ละเอียด ท่านก็สามารถเกิดเป็นรูปพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-03-2022, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังสอนให้เกินไปกว่านั้น ก็คือนอกจากเทวตานุสติ การที่เราสามารถเป็นเทวดานางฟ้าในระดับปกติ สามารถเป็นโลกียพรหม หรือว่ารูปพรหมแล้ว พระองค์ท่านยังสอนให้เข้าถึงสมาบัติ ๘ ก็คือเปลี่ยนจากกสิณกองใดกองหนึ่งที่ทรงได้ถึงระดับฌาน ๔ ไปเป็นอรูปฌาน ก็คือเพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็จับความว่างไม่มีอะไรของอากาศ ก็จะสามารถเข้าถึงสมาธิอย่างเต็มที่ในระดับเดียวกับฌาน ๔ แต่ว่ายึดเอาความว่างของอากาศเป็นอารมณ์ ท่านจะเข้าถึงอรูปพรหมชั้นแรกก็คืออากาสานัญจายตนฌาน

ถ้าหากว่าท่านกระทำต่อไปอีก ด้วยการพินิจพิจารณาว่า คำว่าอากาศนั้น ก็ยังมีขอบเขตที่ยึดถืออยู่ เพราะว่าสภาพจิตของเราเป็นผู้กำหนดซึ่งขอบเขตนั้น ก็ไปกำหนดเอาผู้ยึดถือก็คือวิญญาณความรู้สึกนั้นแทน เพิกภาพเสีย แล้วจับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณแทน เมื่อสามารถทรงกำลังได้เต็มที่ถึงระดับเดียวกับฌาน ๔ ท่านก็จะได้อรูปฌานที่ ๒ ก็คือวิญญานัญจายตนฌาน
ท่านก็จะสามารถเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๒ ก็คือวิญญาณัญจายตนพรหม

ถ้าหากว่าท่านกระทำต่อไปอีกโดยที่ไม่ท้อถอย พิจารณาเห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ ล้วนแต่เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าสามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้เอาไว้ จนกระทั่งทรงกำลังใจเต็มที่ได้เท่ากับฌาน ๔ ท่านก็จะเข้าถึงอรูปฌานที่ ๓ คืออากิญจัญญายตนฌาน
ท่านก็จะสามารถเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๒ ก็คือ อากิญจัญญายตนพรหม

เมื่อท่านเข้าถึงอรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เรียกง่าย ๆ ว่าสมาบัติที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ แล้วท่านนำเอาผลนั้นมาใช้ ก็คือเมื่อตัวเรารู้สึกว่าหิว ก็ทำเป็นเหมือนไม่หิว รู้สึกว่ากระหาย ก็ทำเป็นเหมือนไม่กระหาย รู้สึกว่าร้อน ก็ทำเป็นเหมือนกับไม่ร้อน รู้สึกว่าหนาว ก็ทำเป็นเหมือนกับไม่หนาว เป็นต้น

ถ้าหากว่าท่านสามารถรักษาความรู้สึกเช่นนี้เอาไว้ จนทรงสมาธิในระดับฌาน ๔ ได้ ท่านก็จะเข้าถึงอรูปฌานที่ ๔ เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็จะเกิดเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-03-2022, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่คือการสอนในระดับของเทวตานุสติ ที่ยังอยู่ในขอบเขตที่จับได้ต้องได้ ด้วยกำลังของปุถุชนทั่ว ๆ ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนเราให้ก้าวพ้นจากระดับปุถุชนไปอีก

ก็คือถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริบูรณ์ เป็นผู้ที่ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญา เห็นว่าตัวเราจะต้องตายอยู่เสมอ เมื่อเราจะต้องตาย ก็ควรที่จะหาสุคติเป็นที่ไป ซึ่งสุคติทั้งหลายนั้นอาจจะกลับมาทุกข์ได้อีก นอกจากพระนิพพาน ก็เอากำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานไว้

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำได้ทรงตัวมั่นคง จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ไม่มีความหนักใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าอารมณ์ทรงตัวจริง ๆ ท่านก็จะเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า คือความเป็นพระโสดาบัน

ถ้าท่านทั้งหลายรักษาอารมณ์ทั้งหลายนี้ไว้แล้ว สามารถขยายศีล ๕ ออกไปเป็นการรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ โดยที่ไม่มีความหนักใจเลย ท่านก็จะเลื่อนชั้น เป็นพระอริยเจ้าในระดับพระสกทาคามี

เมื่อสามารถรักษาคุณสมบัติเหล่านี้เอาไว้ได้แล้ว ยังทรงศีล ๘ โดยอัตโนมัติ ตัดความรัก คืออารมณ์โลภและอารมณ์ราคะออกไปได้ ตัดความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาทต่าง ๆ ลงไปได้ ท่านทั้งหลายก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าในระดับพระอนาคามี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 25-03-2022, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าหากว่าสามารถยอมรับกฎของกรรมอย่างแท้จริง ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ ปล่อยวางภาระทั้งปวงลงได้ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วแล้ว แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ได้เกาะ ท่านทั้งหลายก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

เราจะเห็นว่าในเรื่องการศึกษานั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา สอนไว้ครบถ้วนทั้งทางโลกทางธรรม สอนไว้ทั้งปริยัติและปฏิบัติ เมื่อท่านทั้งหลายเรียนรู้ในปริยัติธรรม สามารถนำมาปฏิบัติจนเกิดผล แล้วเสวยผลแห่งการปฏิบัติของท่านได้ ก็เรียกว่าเข้าสู่ปฏิเวธธรรมได้อย่างแท้จริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราจึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพ โดยไม่ต้องบีบบังคับให้ใครเคารพ เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การบูชา โดยที่ไม่ต้องบังคับให้ใครบูชา ท่านทั้งหลายจะเกิดอาการยึดมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย อย่างชนิดที่เรียกว่า ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี สามารถสละชีวิตเพื่อพระรัตนตรัยได้ สามารถสละชีวิตเพื่อปกป้องพระธรรมได้ สามารถสละชีวิตเพื่อปกป้องสถาบันสงฆ์ได้

ถ้าท่านทั้งหลายกระทำกำลังใจมาถึงระดับนี้ได้ ก็ได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ศึกษาในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนปรากฏผลแก่ตนอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2022 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว