#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่ทองผาภูมิยังคงหนาวนิ่ง ๆ อยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพออกบิณฑบาตตามปกติ เมื่อฉันเช้าแล้วก็ได้แต่งองค์ทรงเครื่อง เดินทางไปยังวัดพุทธบริษัท ซึ่งทางโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุน ได้นำเอานักเรียนบาลีมาเก็บตัว เพื่อฝึกซ้อมอบรมก่อนสอบที่นี่ มีพระนักเรียนบาลีวัดท่าขนุนและครูบาอาจารย์ มาอยู่รวมกันเกินกว่าครึ่งวัด..! กระผม/อาตมภาพถวายค่าภัตตาหารมา ๓๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ทราบว่าจะอยู่ได้กี่วัน ?! จึงต้องแวะเวียนมาดูกันเป็นระยะไป
ความจริงแล้วพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ได้จัดให้มีการอบรมบาลีก่อนสอบที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ทุกปี แต่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าการอบรมก่อนสอบที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) นั้น อาจารย์ผู้อบรมได้ทำการอบรมให้ทุกวิชา แต่ว่านักเรียนของเราบกพร่องวิชาไหนนั้น อาจารย์ผู้สอนจะทราบดีกว่า จึงได้แยกมาอบรมเป็นของตนเองแล้วก็ได้ผล อย่างในรอบปีที่ผ่านมา ทางวัดท่าขนุนมีสอบรอบสองผ่านหลายรูป ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงถือเป็นนโยบายว่า ถ้าเป็นการอบรมบาลีก่อนสอบ ทางวัดท่าขนุนจะดำเนินการเอง กระผม/อาตมภาพได้เรียนถวายทั้งพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. เจ้าคณะภาค ๑๔ และพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีไว้แล้ว ซ้ำยังกำชับทั้งเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ และเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ว่าให้ช่วยนำรายชื่อออกจากการอบรมให้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะเหมือนกับปีก่อน ซึ่งอยู่ ๆ ก็ส่งรายชื่อเข้าอบรม ทั้งที่กระผม/อาตมภาพแจ้งไปแล้วว่าจะอบรมกันเอง ทำให้ขาดการอบรมไปเกือบ ๑๐ รูป โดนพระเดชพระคุณเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านบ่นเป็นกระบุงโกย..! ปีนี้เมื่อทราบนโยบายว่ากระผม/อาตมภาพจะทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า "ตามใจเอ็ง แต่ว่าข้าอยากให้มารวมกันเป็นกายสามัคคีมากกว่า" เมื่อได้รับคำชี้แจงว่าผู้เข้าอบรมแต่ละคนมีจุดอ่อนอย่างไร อาจารย์จะรู้ดีแล้วเน้นเฉพาะจุดนั้น ท่านก็เข้าใจ แต่ก็ยังอดบ่นไม่ได้อยู่ดี เพราะเกรงว่าถ้านานไปมีสำนักอื่นเลียนแบบทำตาม โครงการอบรมก่อนสอบของทางวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ซึ่งดำเนินมาแล้วเกือบ ๕๐ ปีก็คงจะล่มสลาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพขึ้นไปแล้วปรากฏว่า อากาศทางด้านวัดพุทธบริษัทซึ่งอยู่บนยอดเขานั้น ก็อยู่ที่ประมาณ ๑๔ องศาเซลเซียสเท่ากับทางวัดท่าขนุนนั่นเอง อาจจะเป็นเพราะว่าวัดท่าขนุนอยู่ริมแม่น้ำแควน้อย เจอลมแรงก็หนาวมาก ส่วนทางด้านวัดพุทธบริษัทอยู่บนยอดเขา เจอลมภูเขาเข้าจึงได้หนาวพอกัน..!
หลังจากที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจได้ครู่หนึ่ง ผอ.เจิด (นายศิลป์พิสุทธิ์ พันชะวะนัด) ผู้อำนวยการโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ก็ได้นำคณะมาถวายสักการะช่วงปีใหม่ เพราะว่าถ้าช้ากว่านี้ กระผม/อาตมภาพจะเดินทางเข้าไปเพื่อรอรับการอบรมเจ้าสำนักศาสนศึกษา ตามปีงบประมาณ ๒๕๖๘ แล้ว เมื่อ ผอ.เจิดและคณะมาถึง ก็ได้กราบขอบคุณที่เมื่อวานนี้ กระผม/อาตมภาพเมตตาเดินทางไปเป็นประธาน ในงานฉลองสถานศึกษารางวัลพระราชทานของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โดยเฉพาะการที่สัมโมทนียกถา ให้แนวคิดในการปฏิบัติของทั้งผู้บริหาร ครูบาอาจารย์ และเด็กนักเรียน ว่าทำอย่างไรจึงจะรักษาระดับคุณงามความดีเอาไว้ได้ ครั้นเสร็จธุระแล้ว ผอ.เจิดกลับพาคณะเดินชมสถานที่ไม่ยอมเลิก บอกว่าชอบใจมาก เพราะว่าไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย ไปยืนถ่ายรูป นั่งถ่ายรูปกันที่บริเวณเรือนชานทางด้านขอบภูเขา จะเรียกว่าขอบเหวก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นลาดเนินเขา ที่ทางวัดพุทธบริษัทได้สร้างเลียนแบบตลาดริมแควเมืองทางขนุนเอาไว้ เพียงแต่ว่าเป็นชานที่ไม่ได้ยาวนัก ประมาณ ๓๐ เมตรเท่านั้น ขนาดนั้น ท่านก็ยังติดใจจนกระทั่งขอกระผม/อาตมภาพไปนั่งถ่ายรูปด้วย บอกว่าจะส่งไปอวดเพื่อนผู้อำนวยการโรงเรียนอื่น ๆ เมื่อเสร็จธุระแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางเข้าสู่ที่พักวัดอุทยาน เพื่อเตรียมตัวในการที่จะเข้ารับการอบรมเจ้าสำนักศาสนศึกษา ตามปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ซึ่งทางสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงถือว่าเป็น "เสือปีนไว" ทำการอบรมเจ้าสำนักศาสนศึกษาแผนกธรรมเสียก่อน คาดว่าอีกไม่นาน ทางแม่กองบาลีก็คงจะจัดอบรมเจ้าสำนักศาสนศึกษาแผนกบาลีด้วย ซึ่งทางวัดท่าขนุนนั้นมีทั้งสำนักศาสนศึกษาแผนกธรรมและสำนักศาสนศึกษาแผนกบาลี ก็แปลว่ากระผม/อาตมภาพจะต้องโดนอบรมอย่างน้อยก็อีกหนึ่งงาน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตอนนี้ได้มีกฎหมายเกี่ยวกับพระปริยัติธรรมขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนบุคลากร ซึ่งทำงานอยู่ในสำนักศาสนศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะตำแหน่งเจ้าสำนักศาสนศึกษา ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ตำแหน่งอาจารย์ประจำสำนักศาสนศึกษา และตำแหน่งเลขานุการสำนักศาสนศึกษา เหล่านี้เป็นต้น
ปีที่แล้วได้งบประมาณมา ๙ ล้านบาท จึงได้จัดสรรให้กับเลขานุการเจ้าสำนักศาสนศึกษาไปก่อน เนื่องเพราะว่าจะเป็นบุคคลที่ทำงานหนักที่สุด ในด้านเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ มาปีนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่เจ้าสำนักศาสนศึกษา จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพในฐานะเจ้าสำนัก ต้องมารับการอบรมว่า เงินก้อนนี้ใช้จ่ายในส่วนใด ? และรายงานผลอย่างไรบ้าง ? โดยเฉพาะแนวทางในการบริหารจัดการสำนักศาสนศึกษาแผนกธรรมให้ก้าวหน้าไปยิ่งกว่านี้ ท่านทั้งหลายที่ได้ยินว่าปีที่แล้วได้รับการจัดสรรงบประมาณมา ๙ ล้านบาท อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นจำนวนมาก เนื่องเพราะว่าสำนักศาสนศึกษาของแต่ละวัดทั่วประเทศนั้นมีอยู่มากมาย ก่อนหน้านี้ต่างก็ดำเนินการกันเองด้วยศรัทธา ก็คือศรัทธาของเจ้าสำนัก ซึ่งตนเองเรียนนักธรรมเรียนบาลีแล้วประสบความสำเร็จ ไม่อยากให้พระภิกษุสามเณรบวชแล้วมาอยู่ว่าง ๆ จนกระทั่งอาจจะสร้างปัญหาให้กับวัดวาอารามได้ จึงพยายามหางบประมาณจากแรงศรัทธาที่ญาติโยมทั้งหลายมีต่อเจ้าสำนักนั้น ๆ ส่งเสียให้บรรดาพระภิกษุสามเณรได้เข้ารับการศึกษาสูง ๆ ขึ้นไป เพื่อเปิดโอกาสในการดำเนินชีวิตให้แก่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นว่ามีบรรดา "มหาเปรียญลาพรต" ตามสำนวนของนักข่าว ได้สึกหาลาเพศออกไป ทำหน้าที่สำคัญต่าง ๆ กันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนของอนุศาสนาจารย์กองทัพต่าง ๆ ระบุเอาไว้ชัดเจนเลยว่าจะต้องมีเปรียญธรรมอยู่ในวิทยฐานะของผู้ที่เข้ามาสมัครด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะสอบเข้าเป็นอนุศาสนาจารย์ และบรรดาครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ นั้นก็เป็นเปรียญลาพรตกันเสียส่วนมาก เพราะว่าสมัยก่อนนั้น โรงเรียนกับวัดอยู่ใกล้ชิดกัน บางทีวัดก็ให้พื้นที่เพื่อสร้างโรงเรียนด้วย จึงมีโรงเรียนชื่อวัดโน้นวัดนี้จำนวนมากมาย บรรดามหาเปรียญลาพรตก็มาเป็นครูบาอาจารย์สอนนักเรียนต่อ และวิชาการในสมัยก่อนนั้น ก็เข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง เราท่านจะเห็นว่ามีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ซึ่งสร้างตำราเรียนเอาไว้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นตำราเรียนเกี่ยวกับมูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
หรือว่ามหาเปรียญลาพรตอย่างพันเอกปิ่น มุทุกันต์ ท่านก็ขึ้นถึงตำแหน่งอธิบดีกรมศาสนา และสามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระสงฆ์และวัดวาอารามทั่วประเทศได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อกล่าวถึงในเรื่องของผู้บริหารในด้านงานพระพุทธศาสนา ก็มักจะต้องยกตัวอย่างพันเอก ปิ่น มุทุกันต์ ขึ้นมากล่าวถึงอยู่เสมอ เนื่องเพราะว่าท่านเป็นผู้ทรงความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม สามารถบริหารงานตามหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จากการที่เราท่านทั้งหลายส่งเสียให้พระภิกษุสามเณรเรียน ด้วยงบประมาณจากความศรัทธาของญาติโยม ปัจจุบันนี้ได้รับงบประมาณจากทางด้านรัฐบาล กระผม/อาตมภาพก็ยังหนักใจอยู่ว่า เราเองจะกลายเป็น "ลูกจ้างฆราวาส" อย่างที่พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ. ๙) หรือท่านเจ้าคุณอาจารย์ชัยวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านพูดถึงหรือเปล่า ? เพราะว่าเมื่อรับเงินเขามา ก็ต้องทำงานตามที่เขาชี้นิ้วสั่งการ อย่างที่กระผม/อาตมภาพเมื่อคืนต้องเตรียมเอกสารหลายต่อหลายชุด และกรอกเอกสารตัวจิ๋ว ๆ เท่ากับแมลงหวี่เป็นเอกสารถึง ๓ หน้าด้วยกัน..! ระบุข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นส่วนตัว ตลอดจนกระทั่งวิทยฐานะ ประสบการณ์ในการทำงาน และจะต้องส่งสำเนาเอกสารต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าใบตั้งสำนักศาสนศึกษา ตราตั้งเจ้าอาวาส สำเนาสมณศักดิ์ ตลอดจนกระทั่งเอกสารอื่น ๆ เพื่อที่จะระบุตัวตนให้ชัดเจน เนื่องเพราะว่าเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ มีกระทั่งใบรับรองแพทย์..! ซึ่งกระผม/อาตมภาพทำเมินไปเสีย เนื่องเพราะว่าทางด้านล่างเขามีช่องให้ขีดไว้ว่าขาดเอกสารส่วนใดบ้าง เอกสารอื่นเกือบ ๒๐ ฉบับก็นับว่ามากพอแล้ว ยังจะต้องการใบรับรองแพทย์ไปเพื่อประโยชน์อะไร ? กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกัน จึงจัดสรรไปให้ตามที่พอจะหาได้ เวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ใครจะไปขอใบรับรองแพทย์ได้ทัน..!? ดังนั้น ถ้ากระผม/อาตมภาพมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการจัดสรรงบประมาณของทางราชการ ก็ให้รู้ว่าเป็นเพราะขาดใบรับรองแพทย์เพียงใบเดียวเท่านั้น..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|