|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#281
|
||||
|
||||
"อาตมาไปเดิน ๆ ดูแล้วก็กวักมือเรียกคุณบี ช่างภาพประจำกลุ่ม บอกว่า “บี..ส่งภาษาถามเขาหน่อยสิ ว่าชิ้นนี้ราคาเท่าไร ?” คุณบีเขาก็พาซื่อ วิ่งเข้ามาถึงถามว่าชิ้นไหน อาตมาชี้ให้ดู ปรากฏว่าสินค้าชิ้นนั้นได้ยินเสียงก็เลยพลิกตัวลุกขึ้น สาวเจ้าของร้านเขานอนอยู่ ก็ในเมื่อนอนอยู่ตรงที่วางสินค้าขาย ก็เลยให้ถามว่าราคาเท่าไร..! คราวนี้เวรกรรมเกิดขึ้นตรงที่ว่า ดันไปทำให้เขาตื่น ก็เลยมาตามตื๊อให้ซื้อของเขา โชคดีที่ว่ารถของเรามาถึงพอดี จึงพากันเผ่นหนีขึ้นรถ
จากนั้นก็วิ่งกลับไปสถานที่พักของเรากัน ไปถึงโรงแรมแล้วตกใจ โรงแรมชื่อเฉิงตี้ คือจักรพรรดิของเมืองเต้าเฉิง น่าจะอยู่ในระดับอย่างต่ำก็ ๔ ดาว โอ้โฮ...ทำไมถึงได้หรูขาดใจขนาดนั้น ไม่นึกว่าทางทัวร์เขาจะใจถึง เช่าโรงแรมระดับนี้ให้พวกเราอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2019 เมื่อ 18:07 |
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#282
|
||||
|
||||
"อาตมาเองเวลาเข้าโรงแรม สิ่งแรกที่ทำก็คือสรงน้ำ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ซักถุงเท้า เอาถุงเท้ากันหนาวไป ๖ คู่ ใช้อยู่แค่ ๒ คู่ คู่แรกคือคู่ที่ใช้ทุกวันเช้ายันค่ำ ซึ่งต้องซัก คู่ที่สองก็คือใช้ตอนค่ำจนถึงประมาณเที่ยงคืน คู่นี้ใส่กันหนาว พอหลังเที่ยงคืนจะลุกขึ้นมาเอาถุงเท้าที่ซักไว้มาใส่ ถ้ายังไม่แห้งหรือแค่หมาด ๆ เวลาเราใส่ก็จะแห้งคาเท้าไปเอง ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ถ้าเปิดฮีตเตอร์แบบห้องอื่นเขาก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าใช้ฮีตเตอร์ตากถุงเท้าแห้งได้
อาตมาเองเข้าห้องไป อันดับแรกเลยคือ เปิดหน้าต่าง อากาศข้างนอกหนาวเท่าไร ข้างในต้องหนาวเท่านั้น แล้วถ้าปิดไฟไม่ได้ก็จะดึงบัตรออกเลย บัตรกุญแจถ้าเราชักออก ไฟจะดับทั้งห้อง เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะว่า เวลาอากาศข้างในกับข้างนอกเย็นเท่ากันแล้ว ตอนช่วงเช้าไปไหนเราจะไม่หนาว แต่ถ้าในห้องอุ่นแล้วออกไปข้างนอกจะหนาวมาก นี่เป็นวิธีปฏิบัติประจำตัว ไม่แนะนำให้คนอื่นทำตาม ซักถุงเท้าเอาไปตาก เสร็จแล้วก็มาสำรวจทรัพย์สินของตัวเอง ปรากฏว่าหูเป้ขาด ก็ต้องเอามาผูกกันเอง สรุปแล้วมีคนประมูลไป ๒๐๐ หยวน เป้ขาด ๆ ๑ ใบ ไม้เทร็กกิ้งได้มา ๕๐๐ หยวน แล้วก็รองเท้าลุยหิมะ ๑ คู่ ได้มา ๗๐๐ หยวน สรุปแล้วสินค้าที่ซื้อไปทุกชิ้นขายได้หมดเลย เก่าแค่ไหนก็ขายได้ ยังขำ ๆ โยมบางคน ถามว่าเป้หูขาดแล้วเอาไปทำไม ? ความจริงคือพลาสติกหัก ถ้าเอาสายเป้มาผูกกับห่วงของเป้ก็ยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่ว่าในสายตาของเขาก็คือเป้ขาดแล้ว ส่วนคนที่อยากได้ก็เพราะเห็นว่า มีรอยจารของหลวงพ่ออยู่ที่เป้ ที่แย่งกันประมูลก็คือจะเอารอยจารนั่นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#283
|
||||
|
||||
"ก็เป็นอันว่าหมดไปอีกหนึ่งวัน สรุปแล้วสองวันที่ยากที่สุดในทริปผ่านพ้นไปแล้ว บอกกับคุณตั้วหัวหน้าทัวร์ว่า ตลอดระยะเวลาที่มา ๗ วันนี้ อาตมาให้การเดินเข้าไปที่ภูเขาหยางเหม่ยหยง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก ๙ วัน รวมกันเอาไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์แล้วกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#284
|
||||
|
||||
วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
"วันนี้อาตมามีปัญหาคือ ผิวแตก ปากแตก จมูกแตก หน้าลอก ...(หัวเราะ)... เพราะว่าทั้งหนาว ทั้งแดดเผา เลยไปถามโยมว่ามีอะไรแก้ได้บ้าง คนโน้นมีวาสลีน คนนี้มีครีม คนนั้นมีลิปมันทาปาก ก็เลยมานั่งคิดว่า เออหนอ..ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้ของพวกนี้ก็ต้องมาใช้ ดังนั้น..ถ้าญาติโยมไปสถานที่แบบนั้น อย่าลืมของพวกนี้เป็นอันขาด สำคัญมากทีเดียว อาตมาผิวแตกจนคันคะเยอไปทั้งตัว อากาศที่นั่นหนาวจัดจริง ๆ แล้วก็ปากแตกเลือดซิบ ๆ เลย แม้กระทั่งจมูกก็แตก ปัญหาใหญ่ก็คือตาเจ็บจากแสงสะท้อนของหิมะ จึงต้องใส่แว่นตาดำเป็นก็อดฟาเธอร์..! ของพวกนี้ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง ด้วยความที่เคยชินว่าไม่เคยใช้ของพวกนี้ ไม่รู้ว่าแดดจัด ๆ ของฤดูหนาว เวลาสะท้อนหิมะจะยิ่งแรงจัดกว่าเดิมหลายเท่า มองไปทางไหนก็ขาวพร่าไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็น้ำตาไหลไม่เลิกไปแล้ว เช้านี้ร้านอาหารเขาค่อนข้างจะสมบูรณ์พร้อม เพราะว่าเป็นโรงแรมมีระดับ ข้าวปลาอาหารค่อนข้างจะกินได้ดั่งใจ แต่อากาศดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง คือจากติดลบ ๔ หรือ ๕ องศาเซลเซียส เหลือ ๐ องศาเซลเซียส ...(หัวเราะ)... พวกเราต้องเดินทางย้อนเส้นทางเดิมกลับมาทางด้านเต้าเฉิง หลี่ถัง ก็คือต้องผ่านสถานที่ซึ่งผ่านมาแล้วนั่นแหละ เช่น พระสถูปขาว ภูเขากระต่าย ช่องเขาคาซาลา เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 13:39 |
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#285
|
||||
|
||||
"ถึงจะผ่านที่เดิมแต่ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเมื่อคืนหิมะตกหนักมาก ถามว่าหนักขนาดไหน ? อาตมาลองเหยียบพื้นดู หนาประมาณ ๑ นิ้วกว่า เกือบ ๒ นิ้ว สวยมาก ๆ
พวกเราก็บ้า เห็นหิมะแล้ววิ่งไปเล่น ชาวบ้านเขาเห็นหิมะก็เดินหลบ ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมได้ดีมาก ถ้าหิมะตกตั้งแต่ขามา ขากลับเราเห็นอะไรซ้ำ ๆ กันก็จะน่าเบื่อ แล้วท่านจัดสรรให้ตกตั้งแต่กลางคืน กลางวันบนถนนหิมะละลายหมดแล้ว รถวิ่งได้..ไม่ลื่น แถมสองข้างทางงามสุด ๆ จอดถ่ายรูปกันไปตลอดทางจนหมดไปครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว แล้วที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าความสูงระดับนั้นพวกเราเคยชินแล้วหรืออย่างไร เพราะว่าไม่เหนื่อยกันเลย อย่างช่องเขาคาซาลาระดับความสูง ๔ พันกว่าเกือบ ๕ พันเมตร ลงไปกระโดดโลดเต้นถ่ายรูปกันได้ จากนั้นก็ผ่านเมืองซางตุย ทุ่งหญ้าแดง ไล่ย้อนเส้นทางเดิมไปเรื่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:39 |
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#286
|
||||
|
||||
"เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของเจ้าที่ ท่านจัดสรรบรรยากาศได้งามสุด ๆ โดยเฉพาะบางจุดนี่เวลาหิมะละลายเป็นไอฟุ้งขึ้นมา เหมือนอย่างกับป่ากำลังไฟไหม้ มองไปทางไหนก็มีแต่ควันขึ้น แล้วถ้าพระอาทิตย์ส่องถูกมุมละก็..เหมือนอย่างกับแสงฉัพพรรณรังสีเลย เพราะว่าเป็นสีรุ้ง
พื้นที่ของแถวนั้น โอกาสที่จะทำนานั้นยาก เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบน้อยมาก ข้าวที่เขาปลูกส่วนใหญ่ก็คือข้าวบาร์เลย์ที่คนจีนเรียกว่าเกาเหลียง แล้วก็มีปลูกข้าวโพดและถั่ว คือส่วนใหญ่เขาจะปลูกผักแปลงเล็ก ๆ อาตมาดูจากพื้นที่แล้วคาดว่าเขาต้องซื้อข้าวจากที่อื่น เพื่อที่จะให้เพียงพอเลี้ยงคนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่ทำปศุสัตว์ การทำปศุสัตว์ทางแถบซีหนิง ชิงไห่ และทิเบต เราจะเห็นความหลากหลาย มีทั้งแพะ แกะ และจามรี แต่ทางด้านนี้จามรีเป็นหลักเลย แล้วมีวัวปนอยู่นิดหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 13:42 |
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#287
|
||||
|
||||
"เวลาเราขับรถไป บางทีโดนจามรีล้อมกรอบไปไหนไม่ได้ มาฝูงใหญ่เกือบร้อยตัวเต็มถนนไปหมด คนเลี้ยงจามรีก็มีม้าตามมา ๔-๕ ตัว บรรทุกข้าวของเครื่องใช้มา ถามว่าแล้วทำไมถึงต้องต้อนจามรีไปลักษณะอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ามีสัตว์จำนวนมาก อาหารไม่พอให้กิน ก็ต้องเดินหาอาหารกินไปเรื่อย อย่างเช่นว่าเดินขึ้นหน้าไป ๑ เดือนฝั่งถนนนี้ เดี๋ยวย้อนหลังกลับมา ๑ เดือนฝั่งถนนโน้น ก็กลับถึงบ้านพอดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:41 |
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#288
|
||||
|
||||
"Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์เขาให้เดาว่า จามรีตัวหนึ่งราคาเท่าไร ? ไล่ไปไล่มาปรากฏว่าจามรีราคาตัวละเป็นหมื่นหยวนเลย..! ก็ตกราว ๆ ๕ หมื่นบาทไทย ถามเขาว่า “แพงขนาดนั้นแล้วซื้อกันไหวหรือ ?” เขาบอกว่าไหว เพราะว่าจามรีใช้งานได้ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย
ใช้เนื้อเป็นอาหาร ใช้ไขมัน ขน กระดูก เขา ใช้ได้ทุกอย่าง เขาบอกว่าแค่เสื้อโค้ทที่ทำจากขนจามรี ถ้าฝีมือดี ๆ ตัวหนึ่งราคา ๔-๕ พันหยวน แสดงว่าถลกหนังมานี่ได้คืนไปครึ่งหนึ่งแล้ว..! ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์กันมาก เวลาพวกเราไปเจอจามรีปิดถนนกัน ๔๐-๕๐ ตัว เสียงร้องกันว่า “Millionaire” ไอ้นี่มหาเศรษฐีแน่นอน ...(หัวเราะ)... และจะมีพวกหมาทิเบต ก็คือทิเบตัน มาสตีฟฟ์ เขาเลี้ยงเอาไว้ช่วยต้อนจามรีและวัว พวกนี้จะแข็งแรงมาก วิ่งไล่ม้า ไล่จามรีทั้งวัน ถ้าเจ้าของขี่ม้าก็วิ่งไล่ม้าทัน ถ้าหากว่าเจ้าของต้อนจามรี ตัวเองก็ต้องวิ่งคอยต้อนไม่ให้จามรีแตกฝูง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:43 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#289
|
||||
|
||||
"ต้องบอกว่าวิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปอยู่อาจจะไม่สบาย ถามว่าทำไมถึงไม่สบาย ? ส่วนใหญ่เขากินแต่อาหารที่เป็นเนื้อ ร่างกายของพวกเราน่าจะไม่ชิน แต่ว่าทางด้านโน้นส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ คือผักมีบ้างนิดหน่อย ส่วนผลไม้มีเยอะ ผลไม้ส่วนใหญ่ที่เขาปลูกที่เห็นอยู่มีแอปเปิ้ล พลัม ทับทิม องุ่น ซึ่งองุ่นของเขากลิ่นหอมมาก แล้วรสชาติไม่หวานจัด น้องเล็กไปขอซื้อองุ่นเขากะละมังหนึ่ง แค่ ๑๒ หยวนเอง ตีเป็นเงินไทยก็ ๖๐ บาท อาตมากินอยู่ ๒ วันครึ่งกว่าจะหมด..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 13:44 |
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#290
|
||||
|
||||
"นอกจากนั้น Eric ก็ไปซื้อแอปเปิ้ลมาลังหนึ่ง พอพวกเราขึ้นก็หยิบลูกหนึ่ง ลงก็หยิบลูกหนึ่ง ขนาดนั้นยังกินอยู่หลายวันกว่าจะหมด แล้วแถวนั้นมีตู้เย็นฟรี ก็คือผลไม้เย็นเฉียบแข็งโป๊กอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากอากาศอุณหภูมิต่ำมาก จะกินแต่ละทีต้องทำพิธีกรรมมานั่งเสกนั่งเป่าให้อุ่นขึ้นมาหน่อยถึงจะแทะเข้า..! เพราะฉะนั้น..พวกเราหากต้องไปอยู่ที่โน่นก็คงจะต้องเปลี่ยนวิธีการกิน ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าเราไม่คุ้นชินกับอาหาร
ตอนช่วงกลางวันเข้าภัตตาคารหรูมาก ชื่อว่าซื่อหยาหยวน แปลว่า สวนของนายท่านคนที่สี่ อาหารของเขาก็ตามหลักเลย คือใส่พริกมาก่อน และร้านนี้เอาข้าวใส่ถังไม้มา เป็นถังไม้ซึ่งพวกรุ่นหลัง ๆ อย่างของเราไม่ค่อยได้เห็น ในเมืองไทยน่าจะมีคนเคยเห็นบ้าง อาตมาเด็ก ๆ นี่ถังไม้ใช้งานหลากหลายมาก เป็นไม้เป็นชิ้น ๆ ที่เข้าลิ้นกัน เสร็จแล้วก็มีเหล็กรัด ถึงเวลาเทน้ำลงไป ไม้โดนน้ำแล้วพองบีบกันแน่น ทำให้บรรจุน้ำได้ แต่ที่ประเทศจีนเขาเอาถังไม้ใบเล็กใส่ข้าวสุกมา ก็คงเอาลงไปนึ่งทั้งถังอย่างนั้น ข้าวปลาอาหารตามแบบของจีนก็คือ ทุกมื้อจะต้องมีน้ำแกงจืดมา ๑ ชาม จืดสนิท จืดไม่มีรสชาติอะไรเลย เหมือนกับว่าเขาใส่ผักลงไปเฉย ๆ ต้มน้ำแล้วเอาขึ้นมาอย่างนั้น ไม่รู้จักใช้น้ำต้มกระดูกหรืออะไรเลย พวกเรากินอาหารรสจัดแบบคนไทย ไปที่โน่นก็เกือบจะบรรลุกันเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:47 |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#291
|
||||
|
||||
"ซื่อหยาหยวนอยู่ใกล้ ๆ ซุ้มประตูเข้าเมืองหลี่ถัง ก็แปลว่าเราหยุดกินอาหารกลางวันกันที่เมืองหลี่ถัง ตัวซุ้มประตูเมืองห่างจากภัตตาคารประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร อาตมาเดินไปถ่ายรูป ปรากฏว่าเจอรถจอดขวางทาง แล้วเจ้าของรถยืนฉี่อยู่ข้างถนนหน้าตาเฉย..! เข้าท่าดีเหมือนกัน ก็คือถ้ากูยังไม่ไป คนอื่นก็ยังไม่ต้องไป ขอให้ฉี่เสร็จก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน ...(หัวเราะ)... เป็นอะไรที่ดูแล้วขำก็ขำ ถ้าเป็นบ้านเราคงได้ตีกันตาย
เสร็จจากอาหารกลางวันก็วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ผ่านช่องเขาเซี่ยกา ช่องเขาคาซาลา ไปหยุดพักเข้าห้องน้ำที่ช่องเขาสนเดี่ยว พวกเราก็ยอดฝีมือเหมือนเดิม พักเข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที มีเวลาช็อปปิ้ง ๑๒ นาที..! โดยเฉพาะเริ่มฉลาดขึ้น ใครอยากได้อะไรที่เหมือน ๆ กันให้บอกกันไว้ ถึงเวลาซื้อหลายชิ้นจะต่อราคาได้มาก ถ้าหากว่าซื้อชิ้นเดียวก็ต่อราคาได้น้อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:48 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#292
|
||||
|
||||
"พอออกจากช่องเขาสนเดี่ยวก็รถติด ติดชนิดไม่กระดิกเลย ๒๐-๓๐ นาที จนกระทั่งโชเฟอร์ทนไม่ไหว ซือฝู่ (คำเรียกโชเฟอร์แบบให้เกียรติ ประมาณว่ายกเป็นท่านอาจารย์) แกก็เดินลงไปดู แล้วมารายงานว่ามีอุบัติเหตุ พวกเราก็รอไปเถอะ ต้องบอกว่าพื้นที่ไกลขนาดนั้น ตำรวจจราจรจีนมาได้เร็วมาก ขนย้ายรถ ๒ คันที่ชนกันขวางทางออกไปได้ภายในครึ่งชั่วโมง ก็คือตั้งแต่รถเริ่มติดจนกระทั่งไปได้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง พื้นที่ไกลขนาดนั้นเขามีความพร้อมในการที่จะแก้ไขปัญหา เป็นบ้านเราขนาดในกรุงเทพฯ ยังติดไปเถอะ เป็นชั่วโมงนั่นแหละ
คราวนี้เส้นทางที่วิ่งมา ของเราจะแยกไปเมืองซินตูเฉียว ไม่ได้วิ่งย้อนเส้นเดิมตลอด เพราะว่าเป็นทางลัดที่จะวนกลับไปทางเมืองเฉิงตูได้ ทางด้านซินตูเฉียวที่เราวิ่งไปมียอดเขาหิมะโผล่มา Eric บอกว่า “คงคาพีค” เราก็ว่า ตูฟังผิดหรือเปล่าวะ ? ปรากฏว่าเป็นยอดเขาชื่อคงคาจริง ๆ เป็นยอดเดียวในบริเวณนั้นทั้งหมดที่สูง ๗ พันกว่าเมตร แต่พวกเราไม่ได้ไป เพราะว่าอยู่นอกเส้นทางไปไกลมาก คือถ้าเห็นภูเขาโปรดทราบว่าใกล้ตา แต่ไกลตีน..! เห็นยอดเขาเหมือนกับอยู่ไม่ไกล แต่ต้องวิ่งรถไปเป็นวัน เขาก็เลยไม่ได้พาพวกเราไป นอกจากพามุดเข้าอุโมงค์วิ่งกลับเส้นทางไปพักที่โรงแรมในเมืองซินตูเฉียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:50 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#293
|
||||
|
||||
"คราวนี้มีปัญหาก็คือ เราอยู่ในพื้นที่ความสูง ๔-๕ พันเมตรมาตลอด ลงมาถึงซินตูเฉียวประมาณ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียส ร้อนเกือบตาย..! แล้วโรงแรมนี้ก็น่ารักมาก อาตมาเองเป็นพระ ไม่รู้ว่าเขาเจาะจงหรือเปล่า ? ส่งไปอยู่ชั้น ๓ ยังดีว่าแค่ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศยังพอมีให้หายใจ แบกกระเป๋าขึ้นชั้น ๓ ได้แบบไม่ทรมานมากนัก..!
สรุปว่ามานอนที่ซินตูเฉียวอากาศไม่หนาวมาก นอนไม่หลับเพราะว่าร้อน รู้สึกว่าตัวเองชักจะบ้า ๆ บอ ๆ อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียสแล้วดันร้อน..! โยมลองนึกถึง -๖ องศาเซลเซียส แล้วบวกให้เป็น ๑๗ ดูสิ อุณหภูมิต่างกันตั้ง ๒๐ กว่าองศาเซลเซียส ปกติต่างกันแค่ ๒-๓ องศาเซลเซียสก็รู้สึกร้อนแล้ว ดังนั้น..ตอนมหาเคไปเรียนอยู่ที่ไซบีเรีย บอกว่าอากาศ -๔๐ องศาเซลเซียส พอขึ้นมา -๒๐ องศาเซลเซียสนี่เหงื่อแตกพลั่กเลย ถ้าเราไปเจอ -๒๐ ก็ตายแล้ว กลางคืนอาตมาก็เลยมีปัญหาหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะว่าอากาศไม่เย็น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:51 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#294
|
||||
|
||||
"คราวนี้ด้วยความที่หลับ ๆ ตื่น ๆ จึงได้เจอหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรท่านแวะมา ท่านก็อุตส่าห์ไปถึงแถวนั้นได้เหมือนกัน จะถามท่านว่านั่งเครื่องบินอะไรมาก็เกรงใจ..! ได้แต่กราบขอพรให้คณะของเราเดินทางสะดวกและปลอดภัย เวลาเจอพระเจอครูบาอาจารย์ อาตมาไม่ได้ขอมากหรอก ส่วนใหญ่ขอเผื่อคนอื่นเขา ตัวเองไม่ค่อยได้ขอ เพราะว่าไม่ค่อยจะห่วงตัวเอง
ก็เป็นอันว่าผ่านไปอีก ๑ วัน ไม่ค่อยมีอะไร ที่ไม่มีอะไรเพราะว่าย้อนทางเดิมไปเสีย ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยแยกจากเมืองเหล่าเก้อหล่าเซียง เพื่อไปเมืองซินตูเฉียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:52 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#295
|
||||
|
||||
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
"อาตมาหลับไปหลังเที่ยงคืน เพราะว่าอากาศเย็นลงเร็วมาก ตอนเช้ามืดดูอุณหภูมิเหลือแค่ ๑ องศาเซลเซียส บ่ายกับเช้านี่ต่างกันเป็นสิบองศาเซลเซียส อาหารเช้าของโรงแรมก็เหมือนเดิมคือ ผัดผัก ข้าวต้ม หมั่นโถว ไข่ต้ม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย วันนี้พวกเราเดินทางกันเร็วมาก เพราะว่ามัคคุเทศก์นัดเดินทาง ๐๗.๓๐ น. เนื่องจากว่าเราจะต้องข้ามภูเขาไปเมืองคังติ่ง จากเมืองคังติ่งวิ่งผ่านเมืองเทียนฉวน ทะลุไปเมืองหย่าอันกลับเมืองเฉิงตู ต้องกลับถึงเฉิงตูให้ได้ในวันนี้ ระยะทาง ๓๐๐ กว่ากิโลเมตร แล้วรถเขาให้วิ่งแค่ ๖๐ กม./ชม. แล้วมีกฎเกณฑ์ด้วยนะ ว่าคนขับขับต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมงแล้วต้องหยุดพัก เราขับแทนก็ไม่ได้อีกด้วย ถึงเวลาคนขับก็จะหยุดพักของเขาเลย เราเองจะไปช็อปปิ้งหรืออะไรก็ไปเถอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:54 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#296
|
||||
|
||||
"เวลา ๐๗.๓๐ น. พวกเราพร้อม โชเฟอร์ก็พารถออกข้ามเขาไปเมืองคังติ่ง วิ่งไปได้หน่อยเดียวโชเฟอร์ถามว่าจะไปต่อไหม ? เพราะว่าหมอกลงหนักมาก มองทางไปข้างหน้าได้แค่ ๕-๖ เมตรเท่านั้น พวกเราทุกคนยืนยันว่าไปต่อ เขาก็เลยต้องวิ่งไป แล้วก็ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากไป เพราะว่าพวกบรรดาใจร้อนเจอรถบรรทุกบ้าง เจอรถวิ่งช้าบ้าง เขาจะวิ่งสวนเลนมา ของเรายังไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นก็เห็นรถอื่นชนกันอยู่กลางถนนหน้าบี้ไปแล้ว ยังดีว่ากฎหมายจีนให้ขับรถไม่เกิน ๖๐ กม./ชม. อุบัติเหตุก็เลยไม่หนักมาก ถ้าขับเร็วขนาดบ้านเราคงได้ตายกันนับศพไม่ถ้วน..!
ขนาดนั้นรถเรายังเกือบเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เพราะพวกประเภทใจร้อนวิ่งแซงมา โชเฟอร์ก็เลยต้องอาศัยเสียงแตรไปตลอดทาง อาศัยแตรรถใหญ่ขู่เอาไว้ก่อนเพราะว่าเสียงดัง ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นทางโค้ง ทางลงเขา ทางอะไรก็บีบแตรไว้ก่อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:55 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#297
|
||||
|
||||
"พวกเราไปถึงเมืองคังติ่งประมาณ ๐๙.๐๐ น. ตอนแรกก็สงสัยว่าเมืองอะไรมหึมามโหฬารขนาดนี้ ก็คืออยู่หลังเขาแล้วใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ? ปรากฏว่าพวกคังติ่งเขาบอกว่า พวกซินตูเฉียวนั่นอยู่หลังเขา ส่วนพวกซินตูเฉียวก็บอกว่าพวกคังติ่งนั่นแหละอยู่หลังเขา เพราะว่าต่างคนต่างต้องข้ามเขาถึงจะไปหากันได้ ได้ข้อมูลนี้จากมัคคุเทศก์ แต่คราวนี้ข้อมูลจากมัคคุเทศก์นี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอก เพราะว่าเขาพูดติดปากเลยว่า “I’m not sure.” ในเมื่อข้อมูลไม่แน่นอน แล้วจะให้เราเชื่อดีไหม
เขาบอกว่าคังติ่งเหมือนกับเมืองหลวงของเสฉวนตะวันตก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลัก ๆ อย่างพวกหลี่ถัง รื่อหวา ซางตุย ซินตูเฉียว ย่าติง ล้วนแต่มีขนาดเล็กกว่าทั้งหมด แล้วก็ตามกฏของเขาก็คือ ขับรถ ๒ ชั่วโมง คนขับต้องได้พักครึ่งชั่วโมง พวกเรานอกจากเข้าห้องน้ำจ่ายเงินแล้วก็เดินสำรวจตลาด ไปเจอเนื้อจามรีสดมาก ประมาณว่าเขาเพิ่งจะถลกหนัง เนื้อเต้นดิก ๆ มาเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 10:56 |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#298
|
||||
|
||||
"เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เราออกจากเมืองคังติ่ง โชเฟอร์เขาพาเราไปลองของใหม่ เป็นอุโมงค์ยังไม่เปิดใช้อย่างเป็นทางการ อุโมงค์ใหญ่มาก อย่างสั้น ๆ ก็ ๕-๖ กิโลเมตร อย่างยาว ๆ ก็ ๒๐ กว่ากิโลเมตร วิ่งเข้าอุโมงค์กันแบบต่อเนื่องเลย ก็คือหลุดจากอุโมงค์มา เห็นแดดได้ไม่เกิน ๑๐ วินาทีก็เข้าไปในอุโมงค์อีกแล้ว เขาบอกว่าเส้นทางนี้จะลัดกลับไปเฉิงตูได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าเส้นทางเก่า ๓ ชั่วโมง
อาตมาเห็นแล้วก็คิดว่า จีนนี่เขาทำอะไรเล็ก ๆ ไม่เป็น..ทำใหญ่มาก ลองคิดดูว่าอุโมงค์ใหญ่ขนาดรถ ๑๘ ล้อวิ่งสวนกันแล้วยังมีทางเหลือนี่ บ้านเราถ้าทำสักเส้นเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่เขาทำไปกลับ ก็คือไป ๒ เลน กลับ ๒ เลน เป็นคนละอุโมงค์กัน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ พอหลุดไปปลายอุโมงค์แล้วเจอโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ถึงได้เห็นว่าเขาทำงานเป็นระบบมาก ก็คือพอเขาเจาะภูเขาได้หินมา เขาก็ส่งเข้าโรงงานทำเป็นปูนซีเมนต์ แล้วเอามาก่อสร้างต่อ กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ทำลายธรรมชาติ เพราะว่าอย่างเก่งก็ภูเขาเป็นรูอยู่หน่อยหนึ่ง ไม่ใช่อย่างบ้านเราที่ระเบิดกันแหลกลาญไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 11:19 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#299
|
||||
|
||||
"ตรงช่วงที่เป็นรอยต่อระหว่างภูเขาซึ่งก็คือเหวนั้นจะเป็นสะพาน บางแห่งนี่เสาสูง ๔๐-๕๐ เมตร มองลงไปแล้วใจหาย ซ้ำยังมีบางแห่งเป็นสะพานใหญ่เหมือนสะพานโกลเด้นเกตของสหรัฐอเมริกา น่าเสียดายที่อยู่ในภูเขา ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ นี่คงจะเป็นแลนด์มาร์คได้เลย คราวนี้ด้วยความเมตตาของเจ้าที่ เนื่องจากว่ามีแต่มุดอุโมงค์ ออกมาแล้วก็มุดเข้าไปใหม่ ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้จอด แม้กระทั่งส้วมระหว่างทางก็ไม่มี ท่านก็เลยให้ฝนตก ถ้าตกวันอื่นนี่เราเที่ยวไม่ได้ มาตกวันนี้มีปัญญาก็ตกไปเถอะ..!
ออกจากคังติ่งมาไม่นานก็ฝนตก ตกไปถึงเมืองเทียนฉวน จากเมืองเทียนฉวนตกไปจนถึงเมืองหย่าอัน พวกเราไปพักฉันเพลที่หย่าอันกัน ก็ต้องเดินเปียกกันครึ่งตัว ที่เดินเปียกครึ่งตัวเพราะว่าเขากางร่มมารับ เขาก็กางให้ตัวเองครึ่งหนึ่ง กางให้พวกเราครึ่งหนึ่ง เปียกกันคนละซีก แล้วจะกางทำไมวะ ? กางแล้วเปียกคนละซีก ...(หัวเราะ)... ที่เมืองหย่าอันเขาเลี้ยงเพลเรา ต้องบอกว่ากับข้าวมากกว่าที่คิด พวกเราเห็นมา ๔ อย่าง มีน้ำแกงด้วย ก็นึกว่าหมดแล้ว ปรากฏว่ากินไป ๆ อย่างที่ ๕ - ๖ - ๗ - ๘ ตามมา ดันไม่ได้เผื่อกระเพาะเอาไว้ ...(หัวเราะ)... ก็เลยกลายเป็นมื้อที่กับข้าวเหลือเยอะมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 11:21 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#300
|
||||
|
||||
"อิ่มแล้วเดินทางต่อ เข้าอุโมงค์บ้าง ลุยฝนบ้าง ในอุโมงค์เขาสวย ถึงเวลาเขาจะประดับไฟแพรวพราวไปหมด ตรงโน้นสีหนึ่ง ตรงนี้สีหนึ่ง ถาม Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ว่า ทำไมเขาต้องมีไฟสี ๆ ด้วย ? เขาบอกว่าให้คนขับรู้สึกไม่เบื่อ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหลับใน
พวกเราลุยฝนไปจนกระทั่งหลุดพ้นอุโมงค์มา เริ่มเข้าเมืองเฉิงตูก็รถติด เมืองใหญ่ ๆ นี่รถติดหนักมาก ไปถึงเฉิงตูประมาณ ๑๔.๓๐ น. คนขับรถเขามีงานอื่นรออยู่ ตอนแรกเขาบอกว่าจะพาเราไปส่งที่ช็อปปิ้งมอลล์เลย จะสังเกตว่าตั้งแต่เราออกเดินทางมา วันที่ ๑๖ จนถึง ๒๔ ไม่มีการช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการ แต่วันนี้เขามีให้ช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 11:22 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|