กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-10-2022, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,598
ได้ให้อนุโมทนา: 216,269
ได้รับอนุโมทนา 739,770 ครั้ง ใน 36,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-10-2022, 22:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ พวกเราจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการรักษาเวลาในการทำกิจกรรมของวัดให้ดี เพราะว่าพอออกพรรษาแล้ว การตีระฆังย่ำรุ่ง - ย่ำค่ำ ก็จะเหลือแค่เสียงระฆังปลุกช่วงเช้าตอนตี ๓ ครึ่งเท่านั้น ดังนั้น..สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก็คือสติ ที่จดจ่ออยู่กับกิจกรรมของเราว่า ระยะเวลานี้เราทำอะไร ต่อจากนี้เราต้องทำอะไร ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะพลาดได้

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความเคยชิน ถ้าเป็นหลักจิตวิทยาของฝรั่ง เขาบอกว่าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันสัก ๓ วัน ก็จะเริ่มเคยชิน ถ้าทำต่อเนื่องกันเป็นเดือน จะกลายเป็นนิสัยถาวร ในเมื่อเราโดนเสียงระฆังย่ำค่ำ เตือนให้ทำวัตรและเจริญพระกรรมฐานมาตลอด ๓ เดือน พอไม่มีเสียง เราก็อาจจะเพลิน แล้วก็ลืมกิจกรรมสำคัญนี้ไป

การสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาล อันดับแรกเลย ท่านได้ระลึกถึงกิจกรรมที่ทำอยู่ เป็นอนุสติ เพราะว่าเห็นภาพพระพุทธรูป คือพุทธานุสติ สิ่งที่เราสวดคือพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธัมมานุสติ การได้เห็นเพื่อนพระสงฆ์ก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี เป็นสังฆานุสติ

ปกติแล้วการเจริญพระกรรมฐานเอง ให้เรามานั่งนิ่ง ๆ อยู่ระยะเวลาเท่ากับที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่การสวดมนต์ไหว้พระ ทำให้เราสามารถที่จะนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน เท่ากับว่าเราทำกองกรรมฐานใหญ่ได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากในการบังคับตัวเองมากนัก

แล้วสิ่งที่เราทำ ถ้าซ้ำ ๆ กันอยู่หลายวันจนกระทั่งกลายเป็นความเคยชิน ถึงเวลาใจจะคิดถึงอยู่เสมอ นั่นก็คือการทรงฌานในอนุสติทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งถ้าให้ไปภาวนาเองก็เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่พอเรามาทำเป็นกิจกรรมในแต่ละรอบของวัน จนกระทั่งเคยชิน กลับกลายเป็นว่าเราทรงฌานในกองกรรมฐานใหญ่ได้โดยไม่รู้ตัว..!

โดยเฉพาะบางท่านเปรียบเทียบว่า การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คือการได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์ เราลองนึกดูว่า ประชาชนทั่วไปจะได้เข้าเฝ้าองค์ในหลวงสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แล้วองค์ในหลวงยังเคารพกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าของเราสำคัญขนาดไหน ทำไมเราไม่สามารถที่จะปลีกตัวมาเฝ้าพระองค์ท่านวันละแค่ ๒ - ๓ เวลาแบบนี้ได้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-10-2022, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สามสิบกว่าปีที่แล้วมา ตอนที่กระผม/อาตมภาพมาถึงทองผาภูมิใหม่ ๆ พระสงฆ์สามเณรแถวนี้สวดมนต์ทำวัตรกันเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น แม้กระทั่งการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ ก็ทำเฉพาะในช่วงพรรษาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพระวินัยอย่างชัดเจน เพราะพระพุทธเจ้าระบุเอาไว้ชัดว่า การทบทวนพระปาฏิโมกข์ต้องทำทุกกึ่งเดือน

ส่วนในเรื่องของการทำวัตรเช้าเย็นนั้น เป็นการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นกับ กาย วาจา ใจ ของเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเปรียบว่าเหมือนกับการกินข้าว แต่ว่านี่เป็นอาหารของใจ ถ้าหากว่าเราทั้งหลายจะกินข้าวเฉพาะช่วงในพรรษา แล้วอีก ๙ เดือนนอกพรรษา เราจะกินอะไร ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงต้องค่อย ๆ ปรับปรุงมาเรื่อย จากอาคันตุกะซึ่งมาพักที่เกาะพระฤๅษี จนกระทั่งมาเป็นรองเจ้าอาวาสที่นี่ จนกระทั่งเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ในปัจจุบันนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระเบียบต่าง ๆ จนกระทั่งมีการสวดมนต์ทำวัตรกันทุกวัน มีการลงพระอุโบสถกันทุกกึ่งเดือน จากที่เคยนิมนต์พระวินัยธรจากที่อื่นมาแสดงพระปาฏิโมกข์ ก็กลายเป็นว่าพระของเราเองสามารถที่จะสวดสาธยายได้หลายรูป ดังนั้น..เรื่องสำคัญแบบนี้อย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด

พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านย้ำอยู่เสมอว่า เป็นพระหรือไม่เป็นพระ อยู่ที่ว่าได้ "ทำวัตรสวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติ" หรือไม่ ? แล้วท่านเองก็ทำตัวเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เห็น

กระผม/อาตมภาพไม่ทราบว่าเจ้าคณะจังหวัดก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าตั้งแต่พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) มาก็ดี พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทโธ ป.ธ.๔) ก็ดี พระเดชพระคุณพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ.๔) ก็ดี จนกระทั่งมาถึงพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) ดร. รูปปัจจุบันนี้ก็ตาม เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีทั้งหมดที่ว่ามา ไม่มีใครที่พระภิกษุสามเณรรักเท่าหลวงพ่อไพบูลย์เลย เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ท่านทำทุกอย่างนั้นออกมาจากใจจริง แปลว่ากำลังใจของท่านต้องเสียสละเพื่อคณะสงฆ์อย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-10-2022, 23:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพอยากจะเชื่อว่า หลวงพ่อไพบูลย์ท่านเป็นพระเจ้าคณะปกครองรูปเดียว ที่ไปได้ครบทุกวัดจริง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี แม้กระทั่งเข้าป่าเข้าดง ไปค้างวันค้างคืน จนโดนผีหลอก ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย แถมยังทะเลาะกับผีและชนะเสียอีก..!

เรื่องที่ท่านเคยเล่าให้ฟังก็คือ ท่านไปพักอยู่ตรงบริเวณเขาเหล็ก บ้านเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นบ้านป่าเมืองดอย ท่านเองก็นอนพักแบบง่าย ๆ เสื่อผืนหมอนใบ ใช้จีวรตีโปง ปรากฏว่าโดนผีเจ้าที่มาไล่ บอกว่าเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ หลวงพ่อไพบูลย์แปลกหน้ามาจากไหน ไม่อยากจะให้อยู่ด้วย ให้ไปไกล ๆ เลย..!

หลวงพ่อไพบูลย์ท่านถามว่า "มึงเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ใช่ไหม ?" ผีบอกว่า "ใช่" "แล้วมึงรู้จักกูไหม ?" ผีก็งง "ไม่รู้จัก" ท่านบอกว่า "มึงเป็นใหญ่แค่ตำบลนี้ กูนี่เจ้าคณะจังหวัด..! ใหญ่กว่ามึงยังมีอำเภอ กว่าจะมาถึงจังหวัด กูเป็นเจ้านาย มึงไม่รู้จักได้อย่างไร ? บังอาจมาไล่เจ้านาย เดี๋ยวกูก็เล่นเสียหรอก..!" สรุปว่าผีกลัว ท้ายสุดต้องยอมขออภัยแล้วก็จากไปแต่โดยดี..! คุณเคยเจอเจ้าคณะจังหวัดแบบนี้บ้างไหม ? เจ้าคณะจังหวัดแบบนี้นี่แหละ ที่ท่านทำวัตรสวดมนต์เป็นปกติ

แม้กระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดรูปต่อมาที่เป็นลูกผู้พี่ของท่าน ฟังไม่ผิดนะครับ ลูกผู้พี่แต่เป็นเจ้าคณะจังหวัดทีหลัง เพราะว่ามัวแต่บริหารงานอยู่ เรียนได้แค่เปรียญธรรม ๔ ประโยค หลวงพ่อไพบูลย์เรียนจนได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค ก็เลยได้รับการตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดก่อน

หลวงพ่อไพบูลย์บอกกับหลวงพ่อณรงค์ กระผม/อาตมภาพได้ยินกับหูว่า "ท่านนี่มีดีก็เฉพาะตรงสวดมนต์นี่แหละ" ก็คือเรียนก็สู้หลวงพ่อไพบูลย์ไม่ได้ การปกครองก็ไม่คล่องตัวเหมือนหลวงพ่อไพบูลย์ที่พระเณรรักกันทั้งบ้านทั้งเมือง

หลวงพ่อณรงค์ ก่อนที่จะเดินทางไปไหน ถ้าสมมติว่าออกเช้า อย่างเช่นว่าตี ๕ ครึ่ง ๖ โมง ท่านจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรก่อน ไม่เลือกเวลา แต่ขอให้ได้ทำ กลับมาแล้วก็เข้าโบสถ์กราบพระ สวดมนต์ ทำวัตร แล้วถึงจะเข้านอน กระผม/อาตมภาพเองตอนช่วงที่ทำหน้าที่เลขานุการชั่วคราวของท่าน บางวันกลับมา ๓ ทุ่มกว่า ๔ ทุ่ม ตัวเรายังหนุ่มอยู่ ก็แทบจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว ท่านเองยังสวดมนต์ไหว้พระอยู่เลย นี่คือวัตรปฏิบัติของพระเถระระดับเจ้าคณะปกครอง ซึ่งพวกเราเองอยู่ใกล้ชิด เพราะว่าอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-10-2022, 23:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อพยุงนั้น กระผม/อาตมภาพไม่ได้คุ้นเคยจนกระทั่งอยู่ใกล้ชิดมากนัก แต่ว่าศรัทธาเลื่อมใสท่านเป็นอย่างมาก เพราะว่าท่านมีปฏิปทาว่า ไปงานที่ไหนก็คือไปก่อน ถึงเวลา อยู่จนเสร็จงานถึงจะกลับ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่กำลังใจนิ่งพอ ไม่มีใครทำแบบนั้นได้หรอก เพราะฉะนั้น..ใครนิมนต์หลวงพ่อพยุงไปก็สบายใจได้ ต่อให้งานคุณเลิกช้าแค่ไหน ท่านอยู่จนกระทั่งเสร็จงานถึงกลับ

ส่วนในปัจจุบันนี้หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญา พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. ถ้าหากว่าพวกคุณไปวัดใต้เช้าหน่อย คำว่าเช้าหน่อยนี่ไม่ต้องเช้ามากหรอก สัก ๘ โมงก็ได้ เข้าไปก็จะได้ยินเสียงท่านนำสวดมนต์ทำวัตรแล้ว นั่นระดับเจ้าคณะจังหวัด แล้วไม่ใช่พระในวัดปฏิบัติอย่างเต็ม ๆ เหมือนอย่างกับวัดท่าขนุนของเรา ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติ แต่ท่านเคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ มาก ถึงขนาดบอกว่า การได้ทำวัตรสวดมนต์คือการได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ควรที่จะละโอกาสนี้ไป เรื่องพวกนี้ท่านสามารถพิสูจน์ได้ แค่ไปวัดใต้เดี๋ยวนี้ก็รู้ เสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น มีเป็นปกติ

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่อยู่กันมาจนกระทั่งครบพรรษา ถ้าหากว่าจะอยู่ต่อ กำลังใจต้องเข้มแข็งพอ วิธีสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งที่ดีที่สุด ก็คือสร้างสมาธิให้เกิด วิธีสร้างสมาธิให้เกิดที่ง่ายที่สุดก็คือสวดมนต์ไหว้พระ

ขอฝากเอาไว้เป็นหลักการหรือวิธีการ ให้ท่านทั้งหลายได้ไปประพฤติวัตรปฏิบัติตนว่า ทำอย่างไร ถ้าเราอยากจะอยู่สุข อยู่เย็น อยู่ในพระพุทธศาสนา เรื่องของวัตรปฏิบัติพวกนี้ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด เป็นเครื่องช่วยชีวิตของท่านเลย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว